เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 388
< < 243 > >
“ลาก่อน–น้องสาวของผม”
ดาบเหวี่ยงไปตามวิถีของมัน และยากที่จะหยุดไว้ได้ ..เว้นแต่ว่ามันจะหยุดด้วยตัวของมันเอง
ปลายดาบจ่อที่ปลายยคอของเบลลามี เลือดไหลออกจากปลายคอ ..และไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้น
“…ลาก่อน ..ลาก่อน ..เมื่อไหร่จะลาก่อนสักทีนะ”
ก้าวแรกคือการอยากจะเป็นพี่ที่ดี …หลังจากที่รู้ข้อเท็จจริงนี้จากใครบางคนแล้ว เอเธอร์ก็-
‘แค่นั้นเองเหรอ ง่ายจังเลยนะครับ’
“..ไม่เห็นจะง่ายตรงไหนเลยนะครับ” เอเธอร์ยิ้มก่อนเบิกตาโพงกว้าง และโพล่งขึ้น “รีบๆหายไปสักทีสิ ..หายไปได้แล้ว หายไป ไม่ต้องเหลือแม้แต่เศษธุรี กลิ่นเลือดและร่างไร้วิญญาณนั่นเองก็ด้วย หายๆไปให้หมดซะ ..น้องสาวของผม ..ช่วยหายไปสักทีจะได้รึเปล่า!!!?”
เป็นครั้งแรก ที่ชายคนนี้แผดเสียงร้องออกมา—
****
บนหน้าบังลังค์แห่งพระเจ้าที่ไร้พระเจ้า ..พวกผมได้ลืมตาตื่นบนโลกใบนี้ ณ ที่แห่งนั้น
“เหมือนว่าผมจะเป็นพี่ชายของเธอนะ”
“นั่นสินะ ตามสถานะแล้วก็ใช่ มีมารดาคนเดียวกัน แล้วก็ ..อือ อะไรหลายๆอย่างก็ตรงกัน ว่าแต่ นายเอาอะไรมาตัดสินว่าเป็นพี่สาวของเรานั้นรึ?”
“ความรู้สึกกระมังครับ”
“..ความรู้สึกคืออะไรเหรอ?”
บางที ผมอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตตนแรกที่สัมผัสถึง ‘ความรู้สึก’ ได้ก็เป็นไปได้ กระนั้นตัวผมก็ไม่อาจให้คำตอบแก่น้องสาวของตัวเองได้สำเร็จ ช่างน่าละอายใจ
หลังจากนั้นผมกับน้องสาวตัวเองก็เดินไปต่อ ไม่นาน พวกผมก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก ณ เวลานั้น รับแสงที่ส่องลงมา และลมที่พัดไปพัดมา ก่อนจะพึ่งนึกได้-
-ว่าแต่ว่า ตัวผมเวลานั้นมีชื่อว่าอะไรกันนะ ..
“ “ชื่อ?” ”
สงสัยในเรื่องเดียวกัน เป็นความบังเอิญที่น่าพิศวงดี ทั้งผมและเธอสังเกตุเห็นสร้อยคอของกันและกัน มันสลักตัวอักษรที่พวกผมสามารถอ่านออกได้ตั้งแต่แรกเกิด
“โซโลม่อน”
“แอสทอเรียส”
อ่า ใช่ ผม ณ เวลานั้นมีชื่อว่า ‘แอสทอเรียส’ ..เช่นเดียวกันกับโซโลม่อน ในภายหลัง พวกเราจะได้รับนามใหม่จากตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ตัวผมได้เป็นพี่ชายของ ‘โซโลม่อน’ ที่ภายหลังจะเปลี่ยนนามของตัวเอง และเปลี่ยนสถานะของตัวเอง จากบุตรแห่งพระเจ้ากลายมาเป็น ‘จอมมาร’ ..ยังไงก็ช่าง มันคือเรื่องราวหลังจากนี้
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไป
สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกกำลังขยายขึ้นเรื่อยๆ จากที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันมีรูปร่างอย่างไร ตอนนี้ผมกลับสามารถสัมผัสถึงมันได้ และพอจะเข้าใจได้ว่า ..
“น้องสาวของผมช่างน่ารัก”
“อือ จริงอย่างที่ท่านพี่ว่า เพียงแต่มาพูดกันตรงๆเช่นนี้มันก็น่าหงุดหงิดอย่างไรไม่รู้นะ แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ เข้าสู่ช่วงผสมพันธ์แล้วสินะนั่น จะขืนใจหรืออะไรก็เชิญเลย ตัวเราไม่มีแรงพอจะขัดขืนอยู่แล้วนี่ ถ้าท่านพี่พอใจอย่างนั้นก็เชิญเลย”
“เข้าใจพูดล้อเล่นดีนะ สิ่งที่เรียกว่าน้องสาวมันมีอารมณ์ทางเพศด้วยได้ที่ไหนกัน”
“โชคดีที่ท่านพี่ของเรายังสมประกอบดี โชคดีเหลือเกินที่ไม่วิปริต”
โซโลม่อนมักจะล้อเล่นด้วยท้อยคำแอบรุนแรงเสมอ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะเธอรู้ดีว่าตัวของผมไม่ได้คิดอย่างนั้น จึงได้พูดออกมาแบบไม่กลัวอะไร ..แต่ว่าในฐานะพี่ชายก็กลุ้มใจว่าเธอจะไปเจอเข้ากับคนแปลกๆที่ยากจะคาดเดาความคิดเข้าเอาได้
“ฟังผมนะ โซโลม่อ–”
“คิดว่าโลกใบนี้เป็นยังไงบ้างเหรอ?”
จู่ๆก็โดนบ่ายเบี่ยงประเด็นก่อน ถ้าเกิดเมินเฉยคำถามของเธอ เธอจะรู้สึกโกรธขึ้นมา โซโลม่อนเป็นอย่างนี้ตลอด ผมก็เลยทำลืมคำถามในหัวของตัวเอง และตอบคำถามของเธอไป
“แน่นอน เป็นโลกที่วิเศษดี”
สำหรับผม ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับน้องสาวของตัวเองนั้นล้ำค่าที่สุด มันถึงได้วิเศษที่สุดยังไงละ
ทว่า โซโลม่อนไม่ได้คิดอย่างนั้น เธอเท้าคางมองออกไปโลกภายนอก ด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่ายเต็มทน
“นั้นเหรอ”
คำตอบนี้สำหรับโซโลม่อนคงจะเป็นได้เพียงเรื่องน่าเบื่ออย่างหนึ่งบนโลกใบนี้ แต่ว่าผมคาดไม่ถึง ..ไม่ใช่แค่คำตอบ แต่ตัวตนของผมมันน่าเบื่อสำหรับโซโลม่อน ใช่แล้วละ ตัวผมน่าเบื่อเกินกว่าจะเป็นพี่ชายให้เธอได้
น่าละอายใจที่จากนั้นไม่นานตัวผมก็ถูกหลอกใช้ โซโลม่อนเปิดศึกกับสวรรค์ และช่วงชิงมานาแทบจะทั้งหมดไปเป็นพลังให้ตัวเอง ตัวของผม พี่ชายแท้ๆของเธอถูกถีบหัวส่งลงสู่เบื้องลึกสุดของโลกที่ใกล้เคียงกับนรก
ความเมตตาไม่ใช่การปล่อยให้ดิ้นรนต่อไปในที่แห่งนั้น ความอาฆาตต่างหากละที่ทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างนี้ขึ้น
แอสทอเรียสถูกรังเกียจโดยโซโลม่อนละครับ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่ว่า ..ผมก็กลับมายืนบนโลกใบนี้ได้อีกครั้ง
และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ที่มีชะตาจะต้องสู้กับโซโลม่อน—สู้กับจอมมารดิลุคมาโดยตลอด
ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อสังหารเธอลงได้ ชีวิตนี้ก็จะถูกแช่แข็ง และจะได้รับการปลดปล่อยอีกครั้งในเวลาที่ไล่เลี่ยกับการลืมตาตื่นของจอมมาร
แอสทอเรียสพี่ชายของโซโลม่อน ได้เปลี่ยนเป็นแอสทอเรียสผู้กล้าผู้ปราบจอมมารลงได้
เหตุผลที่ต้องฆ่าจอมมารมีอยู่มากมาย เพราะอย่างนั้นร่างนี้จึงขยับไปตามความปารถนาของใครบางคน ..สุดท้ายก็หลงลืม ผมมักจะหลงลืมบทสรุปของความรู้สึกในทุกเรื่องราวตลอด
ในทุกๆเรื่องราว หลังจากที่ท่านผู้กล้าสังหารจอมมารลงได้ ท่านผู้กล้าจะ ..ใช่ จะหลั่งน้ำตาออกมาเสมอ
และทุกๆครั้ง ทุกการลืมตาตื่นของผม สิ่งที่ผมจะโหยหา ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือความปารถนาที่จะพบกับน้องสาวของตัวเองอีกครั้ง
อยากจะหาให้พบ ไม่อยากจะฆ่า แล้วก็ ..อยากจะถูกยอมรับในฐานะพี่ชายให้ได้
ความรู้สึกก่อร่างชัดขึ้นเมื่อมีชื่อว่า ‘เอเธอร์’
อ่า ใช่แล้วละครับ ผมแค่อยากจะเป็นพี่ชายของเธอ ..แค่อยากจะเป็นพี่ชายที่ดีให้ได้
รูปร่างของความรู้สึกมันชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ
บทสรุปมันถึงได้ลงเอยเช่นนี้จนได้
****
“..หายไปซะ หายไปซะ หายไปซะ!!”
เอเธอร์กำลังจะกลายเป็นบ้า ชายผู้เย็นชากลับแหกปากโวยวายกับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เรี่ยวแรงของแขนค่อยๆหมดลงช้าๆ–ท้ายที่สุด ดาบแห่งผู้กล้าปักลงกับพื้น หมดซึ่งภัยอันตรายใดๆ ขณะที่ตรงกันข้ามดาบแห่งโซโลม่อนยังคงส่องสว่างอยู่
กระนั้น–ดาบแห่งโซโลม่อนจ่อที่ปลายลำคอของเอเธอร์
“..หายไป…อา”
ใบหน้าที่ได้รับความรู้สึกกลับคืนมา หวนกลับไปไร้ความรู้สึกตามเดิม เสียงตะโกนสารพัดที่ไร้แก่นสารหายไปราวกับก่อนหน้านี้คือคนละคนกัน เอเธอร์มองสิ่งที่เกิดขึ้นโดยรอบอย่างใจเย็นดังเช่นทุกที ก่อนจะยิ้มออกมา
“ครั้งนี้ผมแพ้สินะครับ”
แน่นอนว่า เป็นรอยยิ้มที่เสแสร้งสิ้นดี
“ยินดีด้วย”
กล่าวจบ เอเธอร์ก็หลับตาลง รอคอยความพ่ายแพ้ที่กำลังจะมาถึงด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า ต่อให้ผลลัพธ์จะลงเอยอย่างไร ก็จะเหลือแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น
……
……..
มาช้าเหลือเกิน-เอเธอร์ลืมตาตื่น และพบว่าดาบแห่งโซโลม่อนยังคงจ่ออยู่ที่ปลายคอของตัวเองอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปได้ไกลกกว่านี้แล้ว ..
“ “..ทำไม?” ”
ดิลุคและเอเธอร์พึมพำออกมาพร้อมกัน
‘ทำไมไม่ฆ่าล่ะ? ทำไมไม่รีบจบทุกอย่าง เหมือนกับที่เคยถีบหัวส่งลงสู่เบื้องลึกของโลกใบนี้—’ เอเธอร์หรี่ตาลง ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด
‘ชนะแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่รีบๆจบมันซะละ ตัวเราเบลลามี’ ดิลุคเบิกตาโพงกว้าง สิ่งนี้มันเหนือความคาดหมายของเธอไปไกล ผิดกับที่คุยกันเอาไว้
‘ตัวตนของผมสำหรับเธอมันน่าเบื่อไม่ใช่หรือไง เป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่พึงพอใจกับโลกที่มีแต่กฏเกณฑ์ของพระเจ้า เป็นได้แค่ตัวตนที่ไหลไปตามกระแสของโชคชะตาแท้ๆ เพราะอย่างนั้นถึงได้รังเกียจ ไม่คิดจะขอความร่วมมือ แต่เลือกจะช่วงชิง และสาปใส่ตัวผมเองแท้ๆ’ ความโศกเศร้าค่อยๆแปรเปลี่ยนมาเป็นโทสะ
‘คนที่สร้างเอเธอร์ขึ้นมาก็คือตัวของเราเอง เพราะอย่างนั้นหน้าที่ที่ต้องจบทุกอย่างเลยต้องเป็นของพวกเรา เธอน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือไงว่าสิ่งที่ควรจะทำคืออะไร ถ้ามีมันสมองกับการนึกคิดเหมือนกับเรา ก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากนี่นา ต่อให้ไม่อยากแค่ไหน สิ่งที่ควรทำก็ต้องทำมันให้ลุล่วงให้ได้ ทำมันซะ ..ฆ่าเอเธอร์ซะ!’ ดิลุคกัดฟันกรามแน่น
‘ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้นแล้วทำไม-’
‘–มัวลังเลอะไรอยู่กัน’
สองพี่น้องต่างคิดไปในทางเดียวกัน
‘ต่อให้ตอนนี้จะมีดาบเล่มนั้นจ่ออยู่ที่ปลายคอ แต่ถ้าความตายไม่มาถึงสักที ..คนที่จะชนะจะเป็นทางนี้นะ’ เอเธอร์ค่อยๆยกดาบขึ้นมาได้
‘คนที่แพ้จะเป็นทางนี้ ถ้าเกิดเธอเอาแต่หวาดกลัวความเป็นจริงนี้’ เมื่อเห็นว่าเบลลามีทำอะไรไมได้แล้ว ดิลุคก็เริ่มออกวิ่ง
‘ถ้าไม่รีบละก็–สิ่งที่ยึดมั่นมาโดยตลอดจะสูญเปล่าเอานะ หนักแน่นให้ได้สักครึ่งหนึ่งของดิลุคหน่อยสิ
ฆ่าผมซะ ฆ่าผมที่นี่ตรงนี้ อย่าให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไป การตายของผมจะเป็นใบเบิกทางสำคัญสู่ปลายทางฝันของเธอ
เพราะอย่างนั้น รีบๆจบทุกอย่างได้แล้ว—-’
ดาบถูกยกขึ้นมาจ่อที่ปลายคอของเบลลามีแทน เอเธอร์หรี่ตามองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
‘ทุกอย่างจะจบสิ้นถ้าเกิดเธอไม่เรียนรู้จะแบกรับความเจ็บปวด สิ่งที่ทำทุกอย่างจะหายไปกับสายลม และไม่มีวันหวนกลับมาได้อีก นี่คือโอกาสครั้งสุดท้าย
ตัวเราเบลลามี รีบๆฆ่าเอเธอร์ที่นี่ตรงนี้ได้แล้ว! แบกรับบาปกรรมทั้งหมดเอาไว้แล้วใช้ชีวิตต่อไป
เพราะตั้งใจไว้อย่างนั้น ถึงได้คิดจะฆ่าเอเธอร์ไม่ใช่หรือไงพวกเราน่ะ—เร็วๆ!’
ดิลุควิ่งเข้ามาใกล้พร้อมยื่นมือออก เปลวเพลิงสีขาวพวยพุ่งออกมา
ทั้งสองพี่น้องกัดฟันกรามเหมือนๆกัน และโพล่งออกมาเหมือนๆกัน
“ “..เบลลามี!! ” ”
ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่งลง เบลลามีพึมพำขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวดังเช่นทุกที
“..ยกโทษให้ด้วย” เบลลามีเม้มปากเข้าหากัน กลั้นน้ำตาที่ใกล้จะเล็ดลอดออกมาของตัวเองเอาไว้ “ได้โปรด ยกโทษให้เราด้วย”
เบลลามีร้องไห้ออกมา …..ทั้งสองหยุดนิ่งลง ทั้งเอเธอร์ ทั้งดิลุค ต่างเบิกตาโพลงกว้าง และได้แต่ยืนค้าง
“อภัยให้ตัวเราด้วยนะ ดิลุค ..เรา ..ไม่อยากจะให้ใครตายทั้งนั้น ไม่อยากจะฆ่าพี่ชายของตัวเอง ..ไม่อยากให้คนๆนี้ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว แล้วก็ไม่อยากจะให้ตัวเองต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว”
“..พูดอะไรกัน ..เบลลามี ..ผมเนี่ยนะเจ็บปวด? เรื่องอะไรกัน”
เบลลามีสละดาบแห่งโซโลม่อน แสงสีขาวนั่นค่อยๆจางหายไปทันทีที่หลุดจากมือคู่นั้น มือที่ควรจะถือดาบทลายกฏทั้งหมดกลับคว้าเอามือทั้งสองข้างของเอเธอร์เอาไว้แทน
“ขอโทษสำหรับทุกอย่างนะคะ ..เอเธอร์”
…….
เอเธอร์เดินถอยหลังไป ไม่นานก็สะดุดกับพื้นดินและล้มลงกับพื้น สูทสีขาวที่บริสุทธิ์เปื้อนไปด้วยฝุ่นของพื้นผิวทะเลทราย ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน และเศร้าเสียใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“…ขอโทษ ..แค่นั้นเหรอ ..ขอแค่นั้นเหรอ ..หา ..แค่นี้แล้วจบกันเหรอ ..หา”
แม้แต่ประกายแสงของดวงตาที่หายไป เวลานี้มันก็กลับมาอีกครั้ง
“อือ ..ใช่”
“..ต้องทำยังไงมันถึงจะดีกันละ ..แบบไหนกันแน่ที่ถูกต้อง ให้ผมยอมรับคำขอโทษของเธอ และให้อภัยเธอ หรือว่าไม่ยอมรับ และฆ่าเธอทิ้งตามเดิมดี แบบไหนมันถึงจะดี ..ทำไมเรื่องมันถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้กัน …ทำไม ..ผมแค่ ..แค่อยากจะเป็นพี่ชายของเธอก็เท่านั้น” เอเธอร์ขยี้ศรีษะของตัวเอง “ไม่ได้อยากให้เรื่องมันลงเอยแบบนี้สักหน่อย ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
เอเธอร์ยิ้ม แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่เสแสร้ง หากแต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความกลัว
“ผมถูกหลอกใช้ ถูกถีบลงสู่เบื้องลึกของโลกที่ไม่ต่างอะไรกับนรก ถูกคนที่สำคัญที่สุดของตัวเองตั้งใจจะปล้นและฆ่าทิ้ง เวลานับหมื่นปีของพวกเราไม่ได้มีค่าอะไรเลย ความรู้สึกระหว่างพี่น้องมันไม่มีอยู่จริงในตัวของเธอ ..แต่ว่าโดนไปขนาดนั้นแท้ๆ แต่ความรู้สึกมันก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย-แม้แต่นิดเดียว แต่ว่ามันโหดร้ายเกินไป ..ให้ยอมรับมันง่ายๆดีแล้วเหรอ ยกโทษให้กับเจตนานั้นถูกแล้วเหรอ ..ไม่อยากจะยอมรับง่ายๆ แต่ก็ไม่กล้าจะฆ่าพอจะฆ่าน้องสาวของตัวเอง เพราะอย่างนั้นไงละ ..คนที่ต้องฆ่าผมถึงต้องเป็นพวกเธอน่ะ! น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่รึไงเรื่องนี้น่ะ ถ้าอย่งานั้นทำไมกันละ ทำไม ..ทำไมไม่ทำให้มันจบๆไปกัน”
เอเธอร์ขยี้เส้นผมของตัวเอง ขณะที่มืออีกข้างก็จับด้ามดาบแห่งผู้กล้าเอาไว้
“..ไม่พวกเธอก็ผม ..ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องตาย”
“ไม่เอาแบบนั้น ไม่อยากจะได้ตอบจบแบบนั้น ..ไม่เอาแล้ว เรื่องเศร้าๆ”
“…ทำไมกัน”
……
……..
ดิลุคมองดูภาพที่เกิดขึ้นอยู่ห่างๆ เธอสลายเพลิงสีขาวทิ้ง และหรี่ตามองด้วยความเศร้าโศก
“นั่นสินะ เพราะเป็นด้านที่เข้มแข็งของเรามันจึงง่ายดาย ..เพราะเข้มแข็งกว่าเรา แค่คำว่า ‘ขอโทษ’ สำหรับตัวเราเบลลามีแล้ว มันคงพูดได้ง่ายดาย แต่ว่า ..เรามันขี้ขลาด” ดิลุคมองดูเอเธอร์ที่สับสน และภาพสะท้อนตัวเองในตอนนี้ “คนใดคนหนึ่งจะต้องตาย เพื่อไม่ให้รู้สึกแบบนี้ไปมากกว่านี้ ..เหตุผลที่ต้องฆ่าเอเธอร์มันก็มีแค่นี้เองแท้ๆ”
ดิลุคหัวเราะแห้ง ก่อนพูดขึ้น
“จัดการที่เหลือแทนทีนะ ..เราจะไปสนับสนุนคนอื่นต่อ”
เธอหันหลังให้กับสองคนนั้น และทำท่าจะเดินหนี—
“อย่าหนีนะ”
ถูกหยุดเอาไว้จนได้ ดิลุคอยากจะหนีจากที่แห่งนี้ใจแทบจะขาด แต่ก็ไปไม่ได้ ..
‘ตัวเราที่เข้มแข็งไม่เคยที่จะเบือนหน้าหนีต่อสิ่งใด ต่อให้คนสำคัญของตัวเองจะต้องตาย หรือว่าตัวเองจะต้องประสบพบเจอกับความเรื่องที่เลวร้ายมากมายขนาดไหน เธอก็ยังจะเชื่อในความสุขของตัวเองตลอด ต่างกับเรา แบกรับทุกสิ่งและเดินไปต่อ ไม่ใช่แบกรับทุกสิ่งและทิ้งทุกอย่าง ..ใช่ ตัวตนที่เข้มแข็งเกิดจากตัวเราที่อ่อนแอคนนี้นั้นอยากจะเป็นเหมือนกับเธอให้ได้ อยากจะเข้มแข็งพอจะพูดขอโทษให้กับคนที่ตัวเองทำร้ายมาโดยตลอดให้ได้ อยากจะก้าวข้ามความสูญเสียและเดินไปต่อให้ได้ แต่ว่าเรื่องง่ายๆแค่นั้น มันกลับยากเหลือเกิน’
ทำไมกะอีแค่เรื่องง่ายๆแค่นั้นถึงทำไม่ได้ละ ..ดวงตาของเบลลามีที่จ้องมองมากำลังตั้งคำถามเช่นนั้น
‘ก็มัน ..ไม่ง่ายเลยสักนิดนี่นา อะไรที่ทำไม่ได้มันก็เป็นเพราะมันไม่ง่ายกันทั้งนั้นแหละ ต่อให้ทางทฤษฎีมันจะง่ายแค่ไหนก็ตาม แต่ว่านะ ..’
ดิลุคเบือนหน้าหนี และเดินมาอยู่หน้าเอเธอร์ ทั้งสองตาต่างหลบหน้าหนีกัน ..
“ไม่ได้เข้มแข็งเหมือนกับเธอที่สามารถทำเรื่องที่เราอยากจะทำได้ง่ายๆ ..” ดิลุคพูดกับเบลลามี
อย่างเช่นการขอโทษเอเธอร์ เธอเองก็ไม่สามารถทำมันออกมาได้ ต่างกับเบลลามี..ทั้งๆที่อยากจะพูดมาโดยตลอด คงจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ใช่เบลลามี ไม่ใช่ด้านที่เข้มแข็งถึงพูดออกมาไม่ได้
แต่ว่า ..ครั้งนี้ มีตัวเธอที่เข้มแข็งยืนอยู่ข้างๆ อะไรหลายๆอย่างมันคงจะหารกันครึ่งต่อครึ่งได้บ้าง ดวงตาที่เชื่อมั่นในตัวของตัวเองนั่นทำให้ดิลุคผู้อ่อนแอ กล้าจะเผชิญหน้ากับพี่ชายของตัวเองอีกครั้ง
“ขอ ..ขอโทษ”
ดิลุคปรับลมหายใจของตัวเอง และพูดออกมาทั้งน้ำตา
“ขอโทษสำหรับทุกอย่างนะคะ ท่านพี่”
เอเธอร์เงยหน้าขึ้นมาสบตากับดิลุค ..เจ้าตัวทิ้งตัวลงไปนอนกองกับพื้น และใช้แขนข้างที่ยังพอมีแรงอยู่ยกขึ้นมาปิดตาของตัวเองเอาไว้
“….”
“…”
“…”
“ไม่ต้องพูดอะไรแหละดีแล้ว ..ดีแล้วละ”