เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 385
< < 240 > >
ผมฝัน ฝันถึงมันมานับๆล้านครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดที่ฝันมันสลายหายไป มันวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ราวกับความฝันที่ไม่มีวันจบ ..และจะให้มันจบก็ไม่ได้เหมือนกัน ความฝัน ความปารถนาในห้วงลึกของจิตใจจะให้มันจบที่นี่ได้ที่ไหนกัน
ตัวผมลุกขึ้นยืนอีกครั้งในโลกที่ว่างเปล่า เดินผ่านช่วงเวลามากมายที่เคยก้าวผ่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน–ข้ามผ่านชีวิตมากมาย โดยไม่เหลี่ยวหลังกลับมามอง แม้ว่าจะยืนอยู่บนโลกในจินตนาการที่แสนหอมหวานแค่ไหน
ตอนไหนก็ไม่รู้ของผม ..
“..ดูอ่อนแอจริงๆนะ เด็กทารกเนี่ย”
น้ำเสียงไร้ซึ่งความแยแสแบบจงใจที่แสนคุ้นเคย ข้างหลังของผม ..พี่สาวของผม ยูนา แล้วก็ บางทีน่าจะพ่อกับแม่ของผม ทุกคนกำลังมุงดูผมในวัยแรกเกิดกันอยู่
“ยูนาแข็งแกร่งเกินไปต่างหากละ จากนี้ไปเธอก็ช่วยเป็นพี่สาวที่แข็งแกร่งให้เรนด้วยนะ”
“ค่ะ ถึงจะดูยุ่งยากน่ารำคาญ แต่จะช่วยไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางละกัน”
อยากจะหันหลังกลับไปจนใจแทบจะขาด แต่ว่าผมทำไม่ได้ เพราะทั้งหมดมันเป็นแค่ความฝันที่สลายไปแล้ว ไม่มีทางเรียกกลับคืนมาได้ และหากฝืนหันหลังกลับไปก็มีแต่–ฝันที่กำเอาไว้อยู่นี้จะหลุดออกไป ผมกัดฟันกรามแน่น และเดินผ่านความทรงจำช่วงเวลานั้น
“ขอบคุณมากนะจ๊ะ”
…
..ท้องฟ้าสดใส ภายในป่าที่ห่างไกลกับตัวเมือง ผมมองดูตัวเองในวัยแปดขวบที่เดินตรงไปหาใครสักคนด้วยท่าทางเคืองๆ ไม่นานก็เจอเข้ากับพี่ยูนาในวัยไล่เลี่ยกันที่นั่งแกว่งขาไปมาอยู่หน้าโรงฝึก หากให้เดาเหตุการณ์ พี่ยูนาน่าจะโดดซ้อม จนผมต้องออกมาตาม เป็นแบบนี้ในทุกๆวันจะแทบจะอยู่ในกิจวัตรประจำวันช่วงนั้น
“พี่ยูนา”
“..อ๊ะ เรนเองเหรอ มีอะไรอีกล่ะ”
ตัวผมในวัยเด็กลงไปนั่งข้างๆของพี่ยูนา
“โดดซ้อมไม่ได้นะครับ คุยกับคุณพ่อแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าวันนี้จะมาซ้อม เขาอุตส่าห์ลดเวลาซ้อมจากทุกวันมาเป็นสัปดาห์ละห้าวันเองนะครับ”
“ก็นะ ตอนนี้พี่ก็ไม่ใช่เด็กๆแบบเรนแล้วด้วย จะให้มานั่งคิดเรื่องซ้อมตลอดทั้งวันเนี่ยก็ไม่ไหวหรอกนะ ใช่ ที่เขาเรียกว่าวัยต่อต้าน”
“คะ.. แค่ขี้เกียจเองไม่ใช่เหรอครับนั่น”
“จุ๊ๆ หากจะขี้เกียจก็จงขี้เกียจโดยไม่ลืมสร้างคุณค่าให้ตัวเอง เพราะอย่างนั้นมันเลยต้องเป็นวัยต่อต้านอย่างไรละค่ะ เรนน่ะอ่อนต่อโลกเกินไปนะ ขืนยังเอาแต่ทำซื่อแล้วจริงจังแบบไม่สนอะไรเลย ..อืม ระวังชีวิตจะเหลวแหลกเอาได้ รู้ไว้ด้วย”
จุดเชื่อมโยงอยู่ตรงไหนกันนะ ..
“แต่ว่า-”
ผมวัยเด็กทำท่าจะบ่นแว๊กๆอะไรต่อ แต่พี่ยูนาก็ห้ามไว้โดยการดึงผมมาอยู่บนตัก และโดนผลักให้ทิ้งตัวลงนอนบนตักเธอแบบไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ สุดท้ายผมเวลานั้นก็นอนอู้อยู่บนตักของเธอจนได้
“เรนไม่เคยคิดเรื่องอย่างอื่นเลยเหรอคะ นอกจากฝึกซ้อมประจำวันให้จบไปวันๆ”
“บางครั้งก็ออกไปตกปลา กับเก็บของตามภูเขาด้วยนะครับ”
“ฮะ ฮะ ฮะ ตามกับกิจวัตรประจำวันที่ไหนละคะนั่น” พี่ยูนาเท้าคางบนพุงของผม หรี่ตามองอะไรบางอย่างที่ไกลออกไป “บางวันก็อยากจะนอนอยู่เฉยๆ บางวันก็อยากจะพยายามทำอะไรสักอย่างแบบสุดความสามารถ ..ในหนึ่งอาทิตย์ ในหนึ่งเดือน อยากจะลองทำอะไรที่ไม่ซ้ำกันดูแหละนะ ฉันตอนนี้”
“พี่ยูนา ..แบบนั้นเรียกว่าเหลวแหลกรึเปล่าครับ?”
“…”
“แอ๊ก!”
ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าทำไมถึงโดนพี่ยูนาสับศอกใส่เบาๆ แต่ตอนนี้ผมโตพอจะเข้าใจได้แล้ว ..ผมยืนอยู่หลังเสา ฟังเสียงร้องไห้ของตัวเองที่วิ่งหนีหลังจากโดนเธอสับศอกใส่ และพึมพำออกมาเบาหวิว แม้จะไม่มีใครได้ยินอยู่แล้ว แต่ว่า ..ก็ไม่อยากจะให้ใครได้ยินอยู่ดี
“ — ”
…….
“ให้ตายสิ เป็นเด็กที่เถรตรงเกินไปจนน่าเป็นห่วงตลอดเลยนะ โตไปคงจะน่าเป็นห่วง แต่ก็ ..นั่นสินะคะ ยังไงซะก็คงจะเติบโตมาได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”
พี่ยูนายิ้มอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะลุกขึ้นยืนมาบิดขี้เกียจ
“จะต้องกลายเป็นสุภาพบุรุษที่พบเห็นได้ตามนิทานแน่นอน ชักอยากจะเห็นหน้าของน้องเขยซะแล้วสิ”
กล่าวจบเธอก็ออกเดินผ่านหน้าผมไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสผิดกับปกติ ที่เธอมักจะทำสีหน้าไม่แยแสใส่ทุกคนตลอด
ผมแบมือมองดูประสบการณ์ของตัวเอง
“..ขอโทษนะครับพี่ยูนา ..ที่โตมาดันกลายเป็นแบบนี้”
และพบว่ามันเต็มไปด้วยเลือดของมนุษย์ ไม่จำกัดเพศหรือวัย ไม่ว่าจะเด็ก ผู้หญิง หรือคนแก่ ..ผมหัวเราะพึมพำในลำคอ
จากนั้นก็ ..อ่า ใช่
“ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง!”
ตัวผมนั่งกอดร่างของแม่แท้ๆของตัวเอง พลางส่งเสียงกู่ร้องออกมาราวกับคนบ้า ..
“นายโผล่มาเพื่อคุยเรื่องแค่นี้นั้นเหรอ?”
แค่นี้?
“ฉันไม่ได้ว่างหรอกนะ เร็วๆนี้จะต้องไปเตรียมการณ์รับมือพวกมหามังกรด้วย นายเองก็เถอะ อย่ามัวจมปลักอยู่กับการสูญเสีย”
“..คุณแม่ ..ไม่ได้สำคัญอะไรกับพี่ยูนาเลยหรือไง”
เสียงถอนหายใจที่ไม่แยแสในวันนั้นยังฝังลึกอยู่ในจิตใจดวงนี้ ตัวผมหน้าซีดเผือก อ้าปากค้าง ดวงตาแข็งทื่อ
“แค่มีเรื่อสำคัญกว่าต้องทำ”
และตัวสั่นไม่หยุดหลังจากนั้น
แม้แต่ตอนนี้ พอนึกย้อนกลับไปเรื่องเมื่อตอนนั้น มือมันก็สั่นไม่หยุด ..ผมใช้มืออีกข้างกุมมือของตัวเองเอาไว้ พยายามเรียกเสียงหัวเราะออกมาเพื่อปกปิดความรู้สึกหวาดกลัวนี้
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ”
“เรนเองรึ มีอะไรล่ะ?”
เรื่องพวกคนที่ฆ่าแม่ ผมตั้งใจจะเล่าทั้งหมดให้ฟัง แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยปากจนเต็มคำ
“นายไม่จำเป็นต้องรู้อะไรทั้งนั้นหรอก ไม่จำเป็นต้องยุ่งอะไรกับเจ้าพวกนั้น”
“แต่ว่า–”
“ก็บอกไม่จำเป็นไง!”
ความหวาดกลัวกัดกินจิตใจดวงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นอีกครั้งที่ความกลัวมันคลืบคลานเข้ามาใกล้ คำพูดหลังจากนั้นก็เหมือนเดิมมันซะทุกอย่าง ทุกคนเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะพี่ยูนา พ่อ หรือว่าคนสำคัญคนอื่น ..บอกให้ลืมมันไปซะ มีอย่างอื่นที่ต้องทำก่อน สิ่งสำคัญทีต้องทำมันมีมากมายเหนือความตายของคนรักตัวเอง
บ้าที่สุด ..บ้าไปกันใหญ่แล้ว
“แล้วไว้หลังจากนี้—”
ไม่อยากจะได้ยินมากไปกว่านี้ ผมจึงออกวิ่ง วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อหนีบางอย่างที่เคยเชื่อว่าคือความอบอุ่น เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ แค่จังหวะเลวร้ายหนึ่งจังหวะ ความรู้สึกทั้งหมดก็เปลี่ยนไปเป็นความหวาดกลัว—-สุดท้ายก็ถูกกระแสของชีวิตลากไปลงเอยที่สงครามตามที่ควร
ภายในสนามรบคือที่บ่มเพาะความหวาดกลัวชั้นเลิศ ..ความหวาดกลัวทั้งหมดหลอมรวมกันเป็นความกลัวในความตาย แต่กว่าผมจะตระหนักรู้ถึงสิ่งนั้นมันก็สายเกินไปแล้ว
ตัวผมมองดูตัวผม มองดูตัวของผมเองที่นอนอยู่กับพื้น ตัวผมนอนกอดไหล่ของตัวเอง สภาพราวกับคนบ้าท่ามกลางสนามรบที่ดำเนินไปต่อ ใช้ศพของเพื่อนคนสำคัญอำพรางการมีอยู่ของตัวเอง และปลีกตัวเองออกจากสนามรบอย่างช้าๆ จนสงครามได้จบลง
ผมรอดชีวิตกลับมาได้แค่คนเดียวในหน่วยของตัวเอง ..พยายามจะคว้าทุกอย่างที่อาจจะคว้าไว้ได้ แต่ก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ยื่นมือไปขอความเมตตา
ถูกขับไล่โดยทหารของพี่ยูนา ถูกก่นด่าและบอกเรื่องเดิมๆอย่างกับว่าคนที่ทำผิดพลาดเสมอคือตัวผมเอง ..โลกใบนี้ช่างว่างเปล่า เพราะอย่างนั้นเลยคิดจะฆ่าตัวตาย
ยืนอยู่บนยอดสุดของภูเขา มองลงไปตั้งใจว่าจะกระโดดลงไป แต่ว่า ..ในที่สุดก็ตระหนักรู้ถึงสิ่งนั้น
ไม่อยากตาย-ผมพูดออกมาแบบนั้น
คนที่ผิดไม่ใช่ผมเสียหน่อย ไม่ใช่ใครคนอื่นด้วย ..โลกใบนี้ต่างหาก
“โชคชะตา”
ตั้งแต่วินาทีที่ตื่นรู้
ความฝันที่ไม่มีวันถูกทำลายได้ก็ได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าสีดำ ณ เวลานั้น ..ผมยื่นมือออกไป เพื่อคว้ามันเอาไว้ให้ได้
…ความฝันนี้จะไม่มีวันถูกทำลาย เพราะอย่างนั้นมันถึงได้ผ่านเรื่องราวนับล้าน กาลเวลานับหมื่นๆปีมาได้ตลอด
ผมยืนอยู่ตรงหน้า ‘อลิซาเบธ’ หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างผมมาโดยตลอด ..เธอตายแล้ว เพื่อที่จะทำให้ความฝันนี้ไม่มีวันถูกทำลาย เธอเดินตรงมาหาผม และยื่นเคียวสีทองที่ก่อนหน้านี้ไม่แม้แต่จะอยู่บนมือมาให้
“…”
“มองดูโลกต่อจากนี้ไว้ให้ดี ผมจะ ..ฉันจะเป็นผู้ควบคุมโชคชะตา”
กล่าวจบ ฉันก็คว้าเคียวสีทองเอาไว้ จากนั้น–ตัวฉันก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
****
(มุมมอง เรเซอร์)
หลังจากที่เอาชนะ วาราลี่ และไอน์มาได้ พวกผมก็ออกไปสนับสนุนทั่วทั้งสนามรบ ด้วยวิหคอมตะ และการสะบั้นมิติที่ถูกยกระดับขึ้นหลายเท่าตัวด้วยมือของยูนาเอง ทำให้พวกผมสามารถไล่เก็บชัยชนะมาได้ด้วยความรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถไปสนับสนุนส่วนกลางที่สู้อยู่กับพวกทูตสวรรค์ได้
จากนั้นเรื่องราวก็เป็นไปตามที่ทุกคนปารถนา เท็งงุ เบ็นจิโร่ โค่นวิญญาณระดับเทพได้ด้วยการสนับสนุนของผมและอีกหลายคน ก่อนที่พวกเราจะผสานแรงกันไล่เก็บงานพวกทูตสวรรค์ และจบท้ายด้วยการไปช่วยเคียวยะ จากนั้นก็ฟื้นฟูสภาพโดยรอบของทุกคนด้วยวิหคอมตะ ขอแค่ไม่ตาย หรือสูญเสียมานาจนหมดตัว ผมก็สามารถปลุกทุกชีวิตกลับมาสู้ใหม่ได้เสมอ
ชัยชนะกำลังเอียงมาทางนี้–ไม่ว่าใครก็ต่างคิดอย่างนั้น ยกเว้นคนที่เคยเจอกับเทพมังกรตัวเป็นๆ
สิ่งนั้นค่อยๆเทาะเปลือกออกมา พร้อมกับเวลาที่นับถอยหลังจนถึงวันถัดไปเรียบร้อย
00 : 00
…….
……
….
สิ่งแรกที่ปรากฏคือ ‘เรน’ ในชุดเครื่องแบบราวกับนักบวชเหมือนกับทุกๆครั้ง เพียงแต่ว่าดวงตาได้เปลี่ยนเป็นสีเหลือง และผิวก็ขาวขึ้นจนผิดสังเกตุ เรนลอยอยู่บนฟ้าโดยใช้เคียวรับร่างของตัวเองเอาไว้
ไม่ได้สวมใส่เกราะสีทองเหมือนกับก่อนหน้านี้ กระนั้นตอนนี้บรรยากาศกลับดูอันตรายกว่าครั้งก่อนมาก
“..ดูท่าจะสบายดีนะ ‘วอนนาบีพระเจ้า’ ”
มีผมคนเดียวที่โพล่งขึ้นในบรรยากาศแบบนี้ เรนชำเลืองมองผมด้วยสีหน้าที่ดูสดใส ไม่เหมือนกับปกติที่หมอนี่น่าจะหัวร้อนทันทีที่โดนผมยั่วยุ
“ว่าแล้วเชียวว่าแกจะต้องมายืนรอฉันตื่น”
“จริงๆก็ไม่ได้อยากรอหรอกนะ แต่ถ้าไม่รอมันก็–ดักตีหัวไม่ได้นี่สิ!”
ว่าแล้วผมก็ยิงไฟเยอร์บอลใส่เรน บีบอัดมันด้วยความเร็วสูงสุด–เรนหมุนตัวหลบแบบง่ายๆ จากนั้นก็ยกเคียวขึ้นมาเหวี่ยงใส่กลับ
คลื่นสีทองที่ยากจะคาดเดาพุ่งมาทางผม และบางทีรัศมีมันอาจจะเกินตัวผมไปหลายร้อยเท่าตัว ผมเตรียมร่ายเวทย์สวนกลับในจังหวะที่พอเหมาะ ทว่ายูนาก็ออกตัว สะบัดดาบมหาภูตทำลายการโจมตีของเรนทิ้ง
เพล้ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เสียงกระจกแตก ผสานกับเสียงอากาศบีบอัดกัน ทั่วทั้งสนามรบกู่ก้องไปด้วยเสียงๆนี้ ไม่นานเสียงก็ค่อยๆดับลง ..เรนเท้าคางมองสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างใจเย็น ก่อนโพล่งขึ้น
“ดูท่าโลกภายนอกจะวุ่นวายทีเดียวนะ สงครามสินะ โลกไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มักจะลงเอยกับสงครามเสมอ ..บัดซบจริงๆนะโลกใบนี้เนี่ย พอจะเข้าใจความรู้สึกของจอมมารที่อยากจะทำลายโลกให้รู้แล้วรู้รอดขึ้นมาได้เลยละ” ว่าแล้วก็หัวเราะ “แต่ว่าการทำลายล้างโลกใบนี้มันก็แค่การหนีปัญหา ไม่ใช่หนทางที่ฉันคนนี้จะเลือกในบทสรุป ให้พูด อาจจะบอกได้ว่าฉันกับจอมมารแตกต่างกันเป็นอย่างมาก”
ไอหมอนี่ วิธีพูดเปลี่ยนไป ใจเย็นขึ้นด้วยก็จริง แต่อย่างน้อยๆก็ยังปากดีขี้โม้เหมือนเดิมนั้นสินะ
“เอาเป็นว่าก็ขอบคุณละกันที่มายืนรอกันมากมายขนาดนี้ คิดเสียว่าเป็นการเกิดศักราชใหม่ก็คงจะได้ ถึงทุกคนจะมาเพื่อหาเรื่องฉันคนนี้ก็ตามที แต่ว่า ..นั่นสินะ ขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆนะ ฉันรักพวกแกทุกคนเลย” เรนแสยะยิ้ม “เอาละ มนุษย์ทั้งหลาย ได้เวลาขานเพลงศิโรราบแด่พระเจ้าองค์ใหม่แล้ว”
กล่าวจบ เรนก็ยกตัวเองขึ้นฟ้า และโยนเคียวลงสู่พื้น
ฟุ้บ!!! เคียวติดแหงกเข้ากับพื้น จากนั้นเคียวสีทองก็ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างของตัวเองไปเป็น–ชายผมสีทองยาวที่สูงกว่าสองเมตร ร่างเป็นผิวสีขาวซีด ปกปิดดวงตาของตัวเองเอาไว้ด้วยเส้นผมมากมาย
“เทพมังกร?”
อานิม่าโพล่งขึ้นข้างๆ เธออยู่ในสภาพที่ให้ฟัฟนิร์แบกตัวเองไว้ข้างหลัง เนื่องจากพลังกายไล่ตามคนอื่นไม่ทัน
“..เทพมังกร ..แต่ว่าเรนก็”
อานิม่าพยายามจะมองไปให้ลึกกว่านี้–ทว่า เทพมังกรคนนั้นก็หันหน้ามาสบตา สิ่งที่เห็นก็คือ ‘ดวงตาสีขาว’ ผิดกับทวยเทพคนอื่น
“..ขอโทษนะ คุณเรเซอร์”
อานิม่าพึมพำด้วยเสียงสั่น ผมหันไปมองและเห็นเพียงแต่เลือดที่ไหลจากตาทั้งสองข้างของเธอ
“พยายามยังไงตอนนี้ก็มองไม่ออกเลย ..”
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ รักษาดวงตาไว้ให้ดีเถอะ”
ผมดีดนิ้วเรียกวิหคอมตะมารักษาตาให้อานิม่า ..
“ขอบคุณนะ”
“ อ่า .. ‘เทพมังกร’ ‘เทียแมธ’ แล้วก็เรน”
พลังของเทพมังกรมีความลับหลายๆอย่างปิดบังเอาไว้อยู่ แม้แต่จอมมารที่เคยเอาชนะได้ยังชนะได้แบบเล่นทีเผลอ และทุ่มทุกอย่างที่มีในทีเดียว อาจจะพูดได้ว่ามันไม่ใช่ชัยชนะที่ใสสะอาดที่จะขีดเส้นตีขีดจำกัดของเทพมังกรได้ชัดเจน
ถ้าอย่างนั้น แท้จริงแล้วเทพมังกรมีพลังอะไรกันแน่ ข้อมูลจากยุคโบราณ จากปัจจุบัน แล้วก็นิยายต้นฉบับหมุนเวียนเข้าสู่หัวของผมมากมายนับไม่ถ้วน และ–ระหว่างที่ผมตั้งข้อสันนิฐานมากมายอยู่ในหัว
“ว่าแล้วเชียว กำลังคิดเป็นตุเป็นตะอยู่จริงๆด้วย”
เรนก็มายืนอยู่ตรงหน้าผมซะแล้ว
“เรเซอร์ ดราแคล์ ..พี่ยูนา พี่เซเนีย แล้วก็–ชิน นั้นสินะ” เรนชายตามองคนรอบตัวของผม ก่อนจะก้าวเข้ามาประชิดมากยิ่งขึ้น และ “พวกแกขวางหูขวางตาฉันคนนี้สุดๆเลยละ”
พูดจบ แสงสีทองที่มีรูปทรงคล้ายต้นไม้ก็เข้าปกคลุมพื้นที่รอบๆ—เท็งงุ เบ็นจิโร่ พร้อมด้วยเคียวยะเป็นสองคนแรกที่วิ่งเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่ทันการอยู่ดี
ความมืดปกคลุมพวกผม และนำพาไปสู่มิติที่แยกกับโลกความเป็นจริง
…..
ผมยืนอยู่บนโลกสีเทา มีพื้นสีเทา และกำแพงรอบๆสีดำ ยังดีที่พอมีต้นไม้ยักษ์ประดับอยู่บ้าง แต่นับๆดูแล้วก็ไม่ไม่เกินสิบต้น ในโลกขนาดใหญ่ใบนี้ เป็นภาพลักษณ์ที่ไม่เข้ากับแสงสีทองที่นำทางผมมาที่นี่เลยสักนิดเดียว
“ซวยจริงๆแฮะ ..”
“นั่นสินะคะ”
หากพูดถึงโชคดีเดียวก็คงมีแค่ผมไม่ได้มาที่แห่งนี้คนเดียว ทุกคนที่ถูกเรนขานชื่อโดนพามาที่โลกใบนี้ ไม่ว่าจะ ยูนาพร้อมเซเนียบนมือ แล้วก็ชิน ..ราวกับพวกผมถูกเลือกให้เป็นเหยื่อรายแรกอย่างไรอย่างนั้น เป็นความรู้สึกที่น่าหงุดหงิดและน่าหยะแหยงอย่างถึงที่สุด ไอการโดนลากไปไหนมาไหนแบบนี้น่ะ
ผมถอนหายใจเฮือกโต และชำเลืองมองเรนที่นั่งอยู่หน้าต้นไม้ยักษ์ตรงหน้า ห่างกับพวกผมราวๆสิบกว่าเมตรได้
“ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
“อยากจะรู้น่ะว่าลำพังตัวตนที่ไม่สมควรอยู่บนโลกใบนี้อย่างพวกแก มนุษยชาติจะก้าวข้ามไปได้รึไม่” เรนหรี่ตามองด้วยแววตาที่เย็นชา “ชิน คามาเลีย คนที่ควรจะตายไปตั้งนานแล้ว แต่กลับอยู่รอดได้ด้วยหัวใจของฟัฟนิร์ ยูนากับเซเนียที่ควรจะหมดสิทธิ์จากโลกใบนี้ไปตั้งนานก็อีกคน แล้วก็สุดท้าย เรเซอร์ ดราแคล์ ข้อผิดพลาดของโลกที่แสนน่าชิงชัง ตัวตนของแกมันไม่ควรจะมีอยู่ที่สุดแล้ว”
คงจะอย่างนั้น-ผมหยักไหล่ตอบแบบง่ายๆ
“รู้ไปแล้วจะได้อะไร ยังไงเป้าหมายของแกก็มีแค่เป็นพระเจ้าอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
“เพราะรู้ไปก็ไม่เสียหายต่างหากละ”
เรนลุกขึ้นยืนช้าๆ ปัดฝุ่นที่ไม่น่ามีออกจากการเกง จากนั้นก็อ้าแขนทั้งสองข้าง
“นอกจากอยากรู้ความเป็นไปของคนอื่นๆแล้ว ฉันก็มีคดีกับพวกแกไม่ใช่น้อยเลยแหละนะ”
เรนพูดพลางมองผมสลับกับยูนา ..ยูนาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เห็นอย่างนั้นผมเลยออกหน้าแทน
“ฮะๆๆ นั่นสินะ จะว่ามีมันก็มีจริงๆนั่นแหละ”
“นึกดูแล้วก็เจ็บแสบใช่เล่น”
“ทางนี้ก็เหมือนกัน ช่วยอย่าทำตัวเป็นเหยื่อด้วย ได้โปรด”
ทั้งผม และเรนแสยะยิ้มให้กัน ดวงตาที่พวกเราจ้องใส่กันและกัน–ไร้ซึ่งจิตสังหาร มีเพียงใจที่บริสุทธิ์ที่ปารถนาจะคิดบัญชีเท่านั้น เอาเป็นว่าโดยรูปธรรมผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรหรอก เพียงแต่ก็เอาสิวะ
ร่างของผมปะทุขึ้นด้วยเปลวเพลิงสีทอง ผมชี้เรลันดาฟไปทางเรน เรนเดินเข้าหาผมอย่างเชื่องช้า
“มาตัดสินกันให้รู้แล้วรู้รอดกันเถอะ เรเซอร์ ดราแคล์–พี่ยูนา!!”
“ตั้งใจอย่างนั้นเหมือนกันแหละน่า เรน!!”
กล่าวจบ โลกจำลองใบนี้ก็ได้สั่นสะเทือน
การต่อสู้ระหว่าง ข้อผิดพลาดของโลก และเทพมังกรจึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้งเป็นครั้งสองในรอบหลายล้านปี