เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 384
< < 239 > >
ยามราตรีปกคลุมด้วยแสงสีเสียงแห่งการทำลายล้างมากมาย ทั้งหมดคือสิ่งที่พบได้ทั่วไปในสงครามขนาดใหญ่ ซึ่งจอมมาร และเอเธอร์ย่อมรู้จักคืนๆนี้ดีกว่าใครเป็นธรรมดา อย่างไรก็แล้วแต่ มันคือวันคืนที่ทั้งสองเผชิญกับมันมานับครั้งไม่ถ้วน
คืนที่เรียกว่า ‘วันตัดสิน’ น่ะนะ
จอมมารสีขาว จอมมารสีดำหรือดิลุค และเบลลามี ยื่นมือไปข้างหน้า ปลดปล่อยเพลิงสีขาวและสีดำออกมาพร้อมกัน เข้าใส่ศัตรูในวันตัดสินอย่างเอเธอร์ หรือผู้กล้า
เอเธอร์เดินควงดาบแห่งผู้กล้า ‘จัสติสเทีย’ ด้วยท่าทางง่ายๆ และเหวี่ยงดาบในอึดใจเดียวเข้าใส่สองเปลวเพลิง
แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้กล้าสาดส่องไปนับกิโลเมตร แน่นอนทั้งหมดล้วนถูกเปลวเพลิงไม่สีดำก็สีขาวกลืนกินและทำลายล้างในที่สุด แต่นั่นก็มากพอจะสร้างจังหวะช่องว่างครึ่งหนึ่งให้เอเธอร์พุ่งไปประชิดร่างของเบลลามีได้
ร่างสีขาวปกคลุมด้วยออร่าแสงสีขาว พลังกายที่เหนือมนุษย์ของเอเธอร์ถูกยกระดับขึ้นไปอีกครั้ง
ความเร็วเหนือยิ่งกว่า ‘เทพดาบ’ ในทุกๆอานุภาค เอเธอร์พร้อมด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้กล้าคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไร้ข้อกังขา
แววตาสีเทาสบตากับดวงตาสีแดงของเบลลามี เพียงอึดใจเดียว ร่างนั้นจะถูกสะบั้นจนไม่เหลือกระทั่งเศษเนื้อ และแน่นอนว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
“ย๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!”
เด็กสาวผู้มีผมสีชมพูย้อมด้วยเพลิง ‘ซาตาน’ ในชุดเกราะ เฟซ 3 พุ่งเข้าใส่เอเธอร์พร้อมด้วยดาบทลายโลกา เอเธอร์ไม่แม้แต่จะมอง เจ้าตัวก้าวเท้าถอยหลัง และหมุนตัว เพียงแค่นั้น จังหวะดาบของเอเธอร์ก็เป็นผู้ชนะ ดาบศักดิ์สิทธิ์ตัดผ่านร่างของซาตานเป็นสองฉีกด้วยความเร็วที่ไม่มีใครในที่นี้มองทัน
เร่งความเร็วตัวเองด้วยอำนาจของดาบแห่งผู้กล้า นั่นคือสิ่งที่เอเธอร์ถนัดที่สุดเมื่อได้เป็นผู้ถือครองดาบเล่มนี้ ตลอดผู้กล้านับร้อยรุ่นที่ผ่านมา มีเพียงเอเธอร์เท่านั้นที่สามารถเร่งการทำงานได้มหาศาลขนาดนี้
เอเธอร์ทำท่าจะพุ่งไปซ้ำ แต่ก็เสียจังหวะไปแล้ว เปลวสีขาวพุ่งมาล้อมรอบทิศ ดิลุควิ่งฝ่าร่างของซาตานพร้อมกับ ‘ดาบแสงแห่งดวงดารา’ ‘อัสโตรเฟร์ย่า’ เธอตั้งมันขึ้น และเหวี่ยงลงมาด้วยแรงทั้งหมดที่มา ตรงหน้ามีดาบที่แยกทุกสรรพสิ่งได้ รอบตัวมีเพลิงสีขาว จำเป็นต้องเลือกทางนี้-หรือไม่ก็สวนกลับไปเลย แน่นอนว่าอย่างหลัง เอเธอร์ตั้งท่า รวบรวมแสงศักดิ์สิทธิ์ และ—กะจะสวนดิลุค ซึ่งนี่คือจังหวะ 50/50 ความแน่นอนนั้นไม่มี
ด้วยเหตุนั้นเอง ไม่นานแสงศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งผ่านร่างของเอเธอร์ ลากร่างในชุดสูทสีขาวนี้ออกมาจนพ้นระยะโจมตีทั้งหมด เอเธอร์ยืนอยู่บนพื้น พร้อมกับทูตสวรรค์บนฟ้า— ‘ทูตสวรรค์’ ‘ลูซิเฟอร์’ อดีตปีศาจมหาบาปที่ตอนนี้ได้กลับกลายมาเป็นทูตสวรรค์ ทาสรับใช้ของสวรรค์อีกครั้ง
“โทษที ท่านเอเธอร์ เผอิญว่าอสูรของซาตานนั้นมีอยู่มากมาย ทำให้ข้าไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบน่ะท่าน”
ซาตานอยู่ใน [เฟซ 3] ซึ่งมีคุณสมบัติในการเรียกมอนสเตอร์ออกมาอาละวาดได้ การต่อสู้กับจอมมารสองคน และซาตานพร้อมๆกันมันไม่ได้มีแค่สามชีวิต แต่มีพวกมอนสเตอร์มาคอยอาละวาดสร้างความวุ่นวายให้
“ไม่มีปัญหาครับ คิดไว้แล้วด้วยซ้ำว่าลูซิเฟอร์จะต้องมาทัน”
เอเธอร์พูดโกหกหน้าตาเฉย อย่างไรก็แล้วแต่การต่อสู้ได้หยุดลงขณะหนึ่ง เพราะระยะห่างที่เกิดขึ้น ทำให้ซาตานฟื้นฟูร่างกายตัวเองกลับมาได้ และมายืนอยู่ตรงหน้าดิลุคและเบลลามีพร้อมหน้ากันอีกครั้ง
เอเธอร์ ลูซิเฟอร์ และ ดิลุค เบลลามี ซาตาน เป็นการจับคู่สู้แบบ 3-2 ที่แบ่งโทนสีกันชัดเจน อีกฝั่งเป็นสีขาว อีกฝั่งเป็นสีดำแดง ยกเว้นดิลุคคนเดียวที่ดูแปลกแยก
ทั้งสองฝ่ายจ้องหน้ากัน ยังไม่คิดจะเริ่มสู้กันต่อ เนื่องจากว่าค่ำคืนนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาที่กำลังร่ายรำ เอเธอร์มองท้องฟ้าที่วิปริตแปรปรวน และสถานการณ์ในสงครามซึ่งเขาสามารถสัมผัสได้ด้วยคุณสมบัติพิเศษทางร่างกาย
“คนรักของเธอทำให้ราตรีนี้วุ่นวายเป็นพิเศษนะ”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ จะให้เสียชื่อจอมมารแห่งจุดสิ้นสุดได้อย่างไรกันล่ะ จริงมั้ย?”
“อือ เรเซอร์มักจะอยู่คู่ความวุ่นวายเสมอ”
“..นั่นสินะครับ เรื่องนั้นพอจะเข้าใจอยู่”
เอเธอร์เปิดใช้ดวงตามหาปราชญ์ วิเคราะห์สถานการณ์โดยรวม ก่อนหรี่ตามองไปทางจอมมารสีดำ อย่างเบลลามี
“อีกสิบนาที ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’ จะปรากฏ สินะครับ”
‘ดาบแห่งโซโลม่อน’ ดาบที่มีไว้เพื่อทำลายกฏของโลกใบนี้ อำนาจแห่งข้อผิดพลาดที่แท้จริงของจอมมาร ปัจจุบันนี้มันอยู่ภายในร่างของเบลลามี
“อือ นั่นสินะ
เป็นที่แน่นอนว่าดาบเล่มนี้มีเงื่อนไขในการใช้งาน
ประการแรก จำเป็นต้องมีมานาจำนวนมหาศาลเป็นสื่อกลางอัญเชิญดาบแห่งโซโลม่อน
ประการสอง จำเป็นต้องมีปีศาจมหาบาปตายมากกว่าสามตน ซึ่งปัจจุบันนี้มี–
“บิลเซบับ แมมม่อน แล้วก็ลูซิเฟอร์ ปีศาจมหาบาปทั้งสามตนตอนนี้ได้หลุดพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว กล่าวได้ว่า .. ใช่ มีปีศาจมหาบาปตายถึงสามตนแล้วในตอนนี้ ขอเพียงแค่รวบรวมมานาได้ครบ ดาบแห่งโซโลม่อนก็จะปรากฏขึ้น”
เอเธอร์หัวเราะพึมพำในลำคอ
“ก่อนจะถึงตอนนั้น”
“ก่อนจะถึงตอนนั้น ..อือ นั่นสินะ เราคงต้องตายก่อนนั้นสินะ”
เบลลามีลั่นออกมาง่ายๆ แม้จะเพียงครู่เดียวแต่มันก็ทำให้เอเธอร์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“แต่ว่าไม่ยอมตายหรอกนะ ทั้งเราและดิลุค รวมถึงซาตานด้วย ด้วยเหตุนั้นเอง เอเธอร์อาจจะต้องทำงานหนักหน่อย นอกจากเราแล้วก็อีกไม่ถึงสิบนาที วันถัดไปก็จะมาถึงแล้วด้วย เทพมังกรไม่นานจะลืมตาตื่น แต่ก็พยายามเข้านะ ..ทั้งพวกเรา และพวกของพี่เอเธอร์”
“….”
เอเธอร์ไม่ตอบกลับอะไร มีเพียงแค่มือที่กำดาบแห่งผู้กล้าไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม–
****
เวลาดำเนินต่อไปหลายชั่วโมงจากจุดเริ่มต้นของสงคราม ตอนนี้อีกไม่ถึงสิบนาที จะถึงวันถัดไป–หรือก็คือ เทพมังกรกำลังจะลืมตาตื่น สงครามกับทูตสวรรค์ได้เข้าถึงช่วงสุดท้ายแล้ว
“แฮก ..แฮก ..เอาเรื่องเลยนี่หว่า! เอ่ยนามออกมาซะเจ้าหนู!”
“ชื่อว่าเคียวยะโว้ย!!!”
อบุซามะห์ยังคงจับคู่สู้กับเคียวยะอย่างดุเดือดไม่สนใจใคร ราวกับมีโลกส่วนตัวขวางกั้นสนามรบอย่างไรอย่างนั้น การต่อสู้ของสองคนนี้ไม่สนใครหน้าไหนเลย
“พะ พี่ชาย ใจเย็นๆ!”
รังศมีของการต่อสู้สร้างความลำบากให้การต่อสู้โดยรอบเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่เมอันต้องบินไล่ตามมาเบรคทั้งคู่ แต่ก็จะมีใครหน้าไหนมาห้ามได้ เคียวยะออกหมัดแลกกับอบุซามะห์อย่างดุเดือด และเป็นผู้ชนะในการชิงจังหวะหนึ่งจังหวะ เคียวยะยื่นมือออกไปข้างหน้า แสงบีมปรากฏขึ้นที่ปลายฝ่ามือ และ
“ไปตายซะ [ชาร์จ]-[ONE] !!!!!”
ลำแสงสีม่วงที่มีพลังทำลายล้างอยู่คนละดับกับเวทมนตร์ขั้นบรรลุทั่วๆไปพุ่งตรงเข้าใส่ อบุซามะห์ตอบโต้ด้วยการพนมมือ ผสานจิต เรียกเอาวิญญาณของผู้คนนับร้อยมาบิดเบือนการโจมตีตรงหน้า
ปรี๊ด!!!!!! ลำแสงส่งมาไม่ถึงตัวของอบุซามะห์ พร้อมกันนั้นร่างของทหารรวมถึงเผ่าพันธ์จากบนฟ้านับร้อยชีวิตที่ถูกดึงวิญญาณออกก็พากันล้มลงกับพื้น
“วะฮ่าๆๆๆๆ ไม่เลว ไม่เลว”
“บัดซบเอ้ย อบุซามะห์ แก!!!”
“เพราะแบบนี้แหละนะข้าถึงได้ชอบสนามรบ ตัวข้าในยามที่ยืนอยู่กลางสนามรบนั้นไร้เทียมทาน! วะฮ่าๆๆๆๆ”
คนเสียสติที่สามารถควบคุมวิญญาณและแปรเปลี่ยนทั้งหมดให้เป็นรูปแบบของมานาตามใจต้องการได้ นี่แหละคือพลังรูปแบบพิเศษของ ‘พระศาสดา’ ‘อบุซามะห์’
“เอาอย่างไรต่อดีล่ะ เคียวยะเอ่ย ตัวเจ้าที่พลังงานมีแต่จะลดลงไปเรื่อยๆ กับต้วข้าที่ไร้ขีดจำกัดยามอยู่สนามรบ ไม่ว่ามองทางไหนมันก็—”
“พูดอวดเก่งได้แค่นี้นี่แหละค่ะ ‘อบุสวะ’ ”
“ยะ—ยูนา!?”
ยูนาปรากฏตัวขึ้นแทรกกลางระหว่างเคียวยะ และอบุซามะห์ เธอพร้อมด้วยดาบมหาภูตเข้าประชิดอบุซามะห์ทีเผลอ และกระหน่ำสะบั้นมิติพร้อมกับสร้างมิติด้วยความเร็วที่ทวีคูณด้วยสองสิ่งนี้่
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!! แสงสีม่วงปกคลุมทั่วทั้งร่างของอบุซามะห์
“นี่เจ้า ยูนา ทำไมต้องเป็นเจ้าตลอด—-อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!”
“ไปตายอีกสักล้านรอบน่าจะดีนะคะ อบุสวะ”
“ไม่ใช่สวะโว้—อ๊ะ”
ไม่นาน แสงสีม่วงกูวูบดังลง เพียงแต่ร่างของอบุซามะห์ได้มีลอยกระจกแตกผุดขึ้นทั่วร่าง ไม่นานร่างก็ค่อยๆเลืองแสง เป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงการเลือนหายไปของวิญญาณ
“..บัดซบเอ้ย ชีวิตที่สองของข้าก็ยังไม่พ้นโดนเจ้าไล่ฆ่าสินะเนี่ย”
“พูดแล้วก็น่าคิดถึงดีนะคะ ช่วงเวลาที่ไล่กระทืบเจ้าลัทธิประหลาดอย่างคุณเป็นช่วงที่วิเศษช่วงหนึ่งในชีวิตเลยละค่ะ”
“หึม ก็คงจะอย่างนั้นแหละนะ ตอนนั้น ‘ซากุระ’ ยังไม่ตายนี่นาน่ะ เลยมีความสุขฟุดๆนี่นาน่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
การตอบกลับสั้นๆของอบุซามะห์ทำให้ ..ยูนาสติหลุด และเดินเข้าไปหมายจะกระหน่ำฟาดให้เละซ้ำอีกรอบ
‘ใจเย็นก่อนยัยบ้านี่ไม่ใช่เวลา!’
“แกว่ายังไงนะ!?”
อบุซามะห์เห็นท่าทางของยูนาก็หัวเราะลั่นมาอีกครั้ง นั่นยิ่งเติมเชื้อเพลิงให้ยูนาเข้าไปใหญ่ ทว่าก่อนจะได้ลงมือทำอะไร เรเซอร์ ดราแคล์ พร้อมด้วย ชิน คามาเลีย กับฟัฟนิร์ก็โผล่มาขวางไว้ก่อน
“ไม่ใช่หน้าที่ของเธอต้องลงโทษเจ้าหมอนี่”
“..ชิ”
เรเซอร์มองหน้าอบุซามะห์ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ซึ่งสำหรับเรเซอร์มันไม่ใช่สีหน้าที่ดีเสียเท่าไหร่ อบุซามะห์คงจะสัมผัสถึงเรื่องนี้ได้เลยไม่ทำอะไรนอกจากหยักไหล่
“ฝากสวดส่งวิญญาณที ฟัฟนิร์”
พอเห็นยูนาดูหัวร้อนฟัฟนิร์ก็ตัวสั่นไม่หยุด
“ขะ เข้าใจแล้ว ..ว่าไงดีนะ ไม่เจอกันนาน” ฟัฟนิร์สวดส่งวิญญาณทันทีแบบไม่รีรอ ร่างที่เลืองลางผุดแสงขึ้นมาเป็นตัวเร่งเวลา “ไปที่ชอบที่ชอบซะนะ”
“ฟัฟนิร์ไปร่วมมือกับยูนาเนี่ยนะ ข้าไม่อยากจะเชื่อสายตาเลย ..ฮะๆๆๆ”
ฟ้าผ่าลงที่กลางใจของยูนาและฟัฟนิร์พร้อมๆกัน จิตสังหารพวยพุ่งออกมาจากข้างหลัง ทำให้ฟัฟนิร์หน้าซีดเป็นไข่ต้ม และดูแก่กว่าสภาพนับสิบปีขึ้นทันตาเห็น
“ขะ ขอร้องละอย่าพูดไปมากกว่านี้เลยนะ นะ นะ ช่วยหายไปแบบเงียบๆทีนะขอร้องละ!”
“เรื่องตลกไว้พอหอมปากหอมคอนั้นสินะ ฮ่าๆๆๆๆ”
“เกี่ยวพันกับชีวิตข้าสุดๆ ช่วยหุบปากทีเถอะ!!”
“ฮ่าๆๆๆ …..”
ไม่นานร่างของอบุซามะห์ก็หายไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ .. เรเซอร์ปาดเหงื่อพลางหัวเราะแห้งๆ
“เสร็จไปอีกหนึ่ง”
ไม่ใช่แค่ฟัฟนิร์ที่เกร็งจากสภาพของยูนาตอนนี้ เรเซอร์เองก็ด้วย พอโดนจี้จุดเรื่องเพื่อนเก่าที่ตายไปเธอก็จะหัวร้อนเป็นฟืนเป็นไฟมันซะทุกทีเลย
“พี่เรเซอร์”
อานิม่าแล้วก็เคียวยะตรงมาหาพวกเรเซอร์ ทั้งสองไม่ได้มีบาดแผลหรือตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากจากการต่อสู้กับอบุซามะห์เลย นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างสุดซึ้ง เรเซอร์ดีดนิ้ว ใช้วิหคอมตะฟื้นฟูสภาพภายในของเคียวยะกับอานิม่าพร้อมกัน
“ทำได้ดีมากทั้งสองคน เป็นหนี้บุญคุณจริงๆ”
“พล่ามอะไรไร้สาระ”
ก่อนหันมาหายูนา
“สภาพตอนนี้?”
“มานาหายไปเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ได้ค่ะ”
ดูเหมือนว่าการขับไล่อบุซามะห์จะไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องใช้มานาจำนวนมหาศาลทั้งกับการตัดมิติเพื่อลบ กับการสร้างมิติเพื่อไม่ให้อบุซามะห์ขัดขืนอะไรได้ แน่นอนว่านี่คือวิธีต่อสู้สุดบ้าคลั่งที่ไม่ควรใช้ในสนามรบจริง ไอการไล่ลบตัวตนอีกฝ่ายโต้งๆแบบนี้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีเรเซอร์เคยซัพพอร์ต
เสียงดีดนิ้วดังขึ้นอีกครั้ง วิหคอมตะปกคลุมร่างของยูนา ทำให้สภาพภายในกลับมาสมบูรณ์
“ทำได้ดีค่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
เรเซอร์ขยิบตาตอบกลับ ยูนาเห็นดังนั้นก็ยิ้มและขยิบตากลับเหมือนกัน
“เรเซอร์ รีบไปช่วยทางเบ็นจิโร่กับคนอื่นเถอะ”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก”
“หา?”
เคียวยะหันไปมองรอบๆ และพบว่าทูตสวรรค์ กาเบรียล และราฟาเอล นอนคาอยู่บนพื้นโดยมี เท็งงุ เบ็นจิโร่นั่งอยู่เหนือตัว นอกจากนั้นวิญญาณระดับเทพอีกสองถึงสามตนก็หายไปหมดแล้วเหมือนกัน แม้จะไม่ชัดมาก แต่ก็พบเห็นล่องลอยของวิหคอมตะตามร่างของผู้บาดเจ็บทุกชีวิต
“ก็การต่อสู้หลักๆมันจบแล้วนี่นะ เหลือแค่พวกลูกกระจ๊อกให้ไล่เก็บงาน” เรเซอร์ยิ้ม และพูดต่อ “เอาแต่สนใจการต่อสู้ของตัวเองจนไม่สนใจคนอื่นเนี่ย สมกับเป็นนายดีนะ เคียวยะ”
“…ต่อไปก็”
“อ่า เหลือแค่ ‘เทพมังกร’ แล้วละ”
กล่าวจบ เปลือกไข่ของเทพมังกรก็เริ่มมีรอยแยกเล็กๆผุดขึ้นมา—