เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 38: จิตอาสา กับ เบลลามี (1)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 38: จิตอาสา กับ เบลลามี (1)
< < 31 > >
ฝันประหลาดเมื่อวานผมเล่าให้ยูนาฟังทั้งหมด ซึ่งผลที่ได้ก็คือ—-
“ฉันไม่คิดว่าเรนจะตายเกิดได้เรื่อยๆ หรอกคะ”
เธอว่ามาอย่างนั้น เห็นบอกว่าความสามารถของไสยศาสตร์มันมีประเภทที่ทำให้ตายเกิดหรือมีอายุขัยยืนนานได้ แต่มันมีเงื่อนไขอยู่ชัดเจนมาก ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถเป็นอมตะโดยแท้จริงหรือตายถึง 1000 ชีวิตได้
ไม่อย่างนั้นราชาแห่งไสยศาสตร์คงจะยังมีชีวิตยืนยาวถึงปัจจุบันเป็นแน่ มากที่สุดคือ 1000ปีในการยืดอายุขัย และการตายมากที่สุดไม่เกิน 3 ชีวิตต่อวัน—นั่นคือของราชาแห่งไสยศาสตร์ แต่กับเรนไม่มีทางเก่งถึงขนาดนั้นแน่นอน
จึงได้ข้อสรุปว่า…เรนอาจคิดค้นวิชาใหม่มาก็ได้ในเวลาเป็นพันๆ ปีนี้
ส่วนเรื่องของยูจิ …มันลางอยู่ในหัว จำไม่ได้ว่าเขาทำอะไรบ้างแต่รู้สึกมันเป็นอะไรที่เหนือโลกสุดๆ
เอาเถอะ อย่างไรซะหลายเรื่องในฝันและจากคำบอกเล่าของยูนาทำให้ผมรู้สึกกลัวเรนจากใจจริง บางทีคนคนนั้นอาจเป็นคนที่ควรระวังเสียยิ่งกว่าเอเธอร์ด้วยซ้ำ
อาจไม่ใช่ด้านพลังโดยตรง แต่เป็นเรื่องความเหลี่ยมของคนชื่อเรน ในฝันผมเห็นมันแล้วรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
สุดท้ายนี้ผมจึงส่งจดหมายไปให้ ‘เซบาสเตียน’ และ ‘อันนา’ ทั้งหมดก็เพื่อให้สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเรน
ขณะจึงนั่งอยู่ในห้องพักครูด้วยหน้าเคร่งเครียด
“..เจ้าหมอนั่นมันอันตราย”
ต้องยืนยันเกี่ยวกับเรนคนนั้นให้เร็วที่สุด
“หมายถึงอริรึครับ ถ้าจะทำอะไรก็ช่วยระวังชื่อเสียงโรงเรียนด้วยนะครับ หรือก็ระแวงตัวเองหน่อยเถิดท่านเรเซอร์”
“ผมเหรอ?”
ผมกำลังพูดคุยกับอาจารย์หัวโล้นสุดดุในห้องปกครอง
“ใช่ครับ เกรงว่าถ้าเอาแต่จะก่อเรื่องแล้วท่านจะเรียนไม่จบเอา”
“…ผมยังไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะครับ”
“ยังสินะครับ …เอาเถอะ ยังไงก็เพลาๆ หน่อยนะครับ”
ทำไมเขาถึงดูระแวงผมจังนะ? ผมแค่คิดเกี่ยวกับเรนเองแท้ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องต่อยตี หรือชู้สาวเลย
ผมได้แต่ยิ้มเบาหวิวตอบกลับ
“จะระวังนะครับ แล้วที่เรียกผมมามันมีธุระอะไรหรือครับ?”
อาจารย์ห้องปกครองวางกระดาษปึกใหญ่บนโต๊ะ
“เกี่ยวกับบทลงโทษอย่างเป็นทางการครับ”
ไหงบอกว่าแค่ตักเตือนไง แบบนี้หลอกลวงกันชัดๆ
ผมทำหน้าแหยงออกหน้า เพราะในวัยคึกคะนองก็มีวัยเด็กไม่มีเกี่ยวกับห้องปกครองเหมือนกับใครหลายคน
“คือว่า…วันก่อนไม่เห็นพูดอย่างนี้เลยนา”
“ไม่คิดว่าคนผิดจะมีสิทธิ์ออกเสียงนะครับ”
ทำไมเขาปากเสียกับผมจังนะ ผมเป็นถึงขุนนางเชียวนา ไม่ใช่ขุนนางธรรมดาด้วย ขุนนางโคตรจะชั้นสูงเลย แค่โบกมือก็มีคนตายแล้ว ระดับนั้นเชียว
อีกฝ่ายเป็นแค่ครูห้องปกครองจอมดุด้วย ไม่อาจสู้อำนาจได้หรอก
ทำเป็นวางท่าข่มดีมั้ยนะ? จะได้มีครูห้องปกครองอยู่ในอาณัติด้วย
“คือ”
“อะไรครับ?”
จิตคุกคามแวบมาทันใด ประหนึ่งตอนที่ได้เผชิญหน้ากับเทพแห่งธรรมชาติครั้นยัง 14
ความทรงจำเฉียดตายแย่ๆ นั่นไม่อยากเก็บไว้ในหัวหรอก
“หมายถึงบทลงโทษที่จะให้ทำคืออะไรเหรอครับ?”
“อ่านไม่ออกหรือครับ? เอาเถอะ ….”
เหมือนโดนแอบด่าเลย
ออร่าความน่ากลัวของครูห้องปกครองมันเป็นแบบนี้ทุกโลกเลยสินะ ประมาทไม่ได้จริงๆ
“สรุปสั้นๆ นะครับ ในวันหยุดเรียนของอาทิตย์นี้ คุณต้องไปทำจิตอาสาช่วยเหลือผู้สูงอายุครับ”
“ให้ผมทำจะดีหรือครับ?”
“ถ้าขนาดคนแก่ยังลงไม้ลงมือละก็–”
“ไม่มีทางครับๆ”
“ถ้านั้นก็โชคดีนะครับ”
อาจารย์ยื่นใบยืนยันตัวตนกับเนื้อหารายละเอียดมาให้กึ่งยัดเยียดกัน ผมได้แต่ทำหน้าแหยงใส่และรับมันไป
เล่นเอานึกถึงเรื่องในวัยเยาว์เลยแฮะ ชีวิตวัยรุ่นที่วนเวียนอยู่กับห้องปกครอง ไอผมก็ไม่ได้เกเรอะไรหรอกแค่ซวยทำให้อาจารย์คิดว่าเป็นอย่างนั้น
“ให้ตายสิ”
ผมพึมพำออกมาขณะนั่งอยู่ในห้องเรียนช่วงพักสิบก่อนเข้าคาบต่อไป
“มีปัญหากับใครมา?” เคียวยะถามทันควัน
“เดี่ยวดิ ทำไมเวลาฉันทำหน้าเครียดมันต้องไปมีเรื่องกับใครด้วยละ” พอถามกลับไปหมอนั่นก็มีสีหน้าแปลกใจ
“ก็ถ้าเครียดก็หมายความว่ามีเรื่องทะเลาะกับใครมาไม่ใช่รึไง? ถ้าแบบนั้นตูช่วยได้นะ”
“แกนี่มัน …จริงๆ แค่”
ผมเล่าให้ฟังโดยสังเขป
“อะไรกัน น่าเบื่อชะมัด”
สมกับเป็นเคียวยะเลือดร้อนได้โล่จริงๆ คนพรรค์นี้ยังอยู่รอดปลอดภัยได้ยันทุกวันนี้เป็นเพราะมีสกิลเทพติดตัวนั่นแหละ
“เรียนรู้วิธีสันติไว้ก็ดีนา”
“เออ ก็พยายามอยู่”
แบบนั้นก็ดี
“เรเซอร์แกจะไปทำงานจิตอาสาสินะ วันไหนละเผื่อฉันจะไปช่วยด้วยได้” กอรี่พุ่งเข้ามาถาม
“น่าจะหยุดเสาร์นี้เลยแหละ”
“แย่ชะมัด วันนั้นไม่ว่างแหละ”
“ถ้านั้น …” เคียวยะน่าจะพูดเสนอตัว แต่เงียบไปก่อน
เขาจับคางตัวเองแล้วพึมพำเบาหวิว
“…ไปกับเบลลามีดีมั้ยละ?”
“ไม่อยากไปรบกวนเวลาหล่อนอ่านหนังสือน่ะ”
‘หนังสือ’ > > > ‘กินข้าว’ > > > ‘เรเซอร์’ นั่นแหละสถานะตอนนี้ คิดว่านะ
“เชอะ เบลลามีไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้นสักหน่อย ลองไปชวนดูเถอะ” + “อือ เข้าใจแล้ว”
ด้วยเหตุนั้นเอง——ผมจึงได้เดทกับเบลลามี ไม่สิ จิตอาสาร่วมต่างหากละ
******
เช้าวันหยุดแรกได้มาถึง น่าเศร้าที่วันหยุดแรกในชีวิตรั้วโรงเรียนของผมดันเป็นการไปทำจิตอาสา ทว่า–มันก็ไม่ได้เลวหากอยู่ในสถานการณ์ดังอย่างที่เป็นในเวลานี้
ผม ‘เรเซอร์’ ไอ้ตัวร้ายแสนจะธรรมดาโหลยๆ ขณะนี้กำลังยืนรอใครบางคนอยู่ตรงน้ำพุใจกลางเมือง
อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าเมืองฟัฟนิร์จะแบ่งเป็น 4 โซนได้แก่
1.โซนการค้า
2.โซนท่องเที่ยว
3.โซนชนชั้นกลางไปล่าง
4.โซนของชนชั้นสูง หรือพวกคนรวย
และที่ที่ผมต้องไปทำงานจิตอาสาก็เป็นที่ของคนรวยด้วย สมกับเป็นโรงเรียนของชนชั้นสูงคงตั้งใจส่งเด็กไปประจบคนแก่รวยๆ กระมัง เล่ห์เยอะเหลือเกิน
…แต่ส่งเด็กไม่ดีแบบผมไปคิดดีแล้วรึ?
ผมกอดอกพึมพำกับตัวเอง แต่เพราะฉลาดน้อยเลยไม่ได้ข้อสรุปที่ดีนัก
เอาไงดีนา—-ในห้วงแห่งความคิดนั้นเองผู้มาเยือนก็มาถึงแล้ว และผู้มาเยือนคนนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมายืนรอที่นี่จนคิดอะไรไร้สาระเรื่อยเปื่อยไปสองชั่วโมงเต็มๆ
เธอไม่ได้สาย แค่ผมมารอถึงสองชั่วโมง
“สวัสดี…”
เสียงนั้นเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยินอะไร แต่เพราะยืนอยู่คนเดียวโดดกลางแจ้งทำให้พอจับความได้
น้ำเสียงที่ประหนึ่งนางฟ้ามาโปรดนั่นมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ผมแก้มแดงก่ำอย่างฉับพลัน กล่องดวงใจได้เต้นระรัวไม่หยุดเป็นบทเพลง
…รู้ตัวอีกทีก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้ว
“นี่”
ว่าแล้วก็ถูกจิ้มหลัง——-อ๊าก—-อ๊าง!!!!!!!
ผมกัดลิ้นข่มใจตัวเองหันหลังกลับไป
เป็นการเซอร์วิสที่ดีจริงๆ การที่เธอคนนี้เข้ามาทักจากข้างหลังนี่! ขอบคุณมากครับท่านนักแต่งที่มอบเซอร์วิสดีๆ นี่ให้ผม ขอบคุณที่สร้างเบลลามีขึ้นมาน่ารักขนาดนี้! โอ้ยยย ไม่ไหวแล้ว เหมือนโดนระเบิดลงกลางหัวเลยเว้ย!
ผมหันหลังกลับไปผมกับสาวน้อยนางอวยสุดที่รักของตัวเอง ซึ่งต่างจากเดิมเล็กน้อย
‘เบลลามี’ ตอนนี้เธอสวมชุดไปรเวท …ที่ค่อนข้างจืด แต่! น่ารัก!
เธอสวมกระโปรงยาวที่เกี่ยวกับไหล่เป็นสีดำ และเสื้อข้างในแขนยาวที่รัดรูปสีเทา แต่เพราะรูปร่างที่ไม่ได้ไปทางเซ็กซี่ ผนวกกับตัวเสื้อที่เกี่ยวกับไหล่ด้วยทำให้ปิดบังจนดูมิดชิดทันที สะพายกระเป๋าผ้าดูไม่แพงมาด้วย
ดูเหมือนจะใส่ถุงน่องและรองเท้าหนังมา
ถึงแม้จะแต่งตัวดูเหมือนคนมีตังค์แต่ของทั้งหมดก็ไม่ได้แพงอะไรมาก เหมือนตั้งใจแต่งมาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ….น่ารักอะ ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกต่อให้มีตังค์หรือไม่มีแต่เดิมน่ะ ที่สำคัญ! —-น่ารักโว้ย!!!
ระเบิดลงหัวผมอีกแล้วแล้วไม่ผิดแน่ สติเลืองลางไปเลย การกดสกิลของเบลลามีทั้งนิ่งและเฉียบคมมากระดับจบเกมได้ในคอมโบเดียว
เธอนั้นแสนจะร้ายกาจ ใช่ ร้ายกาจ
“คือ…รอนานมั้ย?”
เบลลามีพูดขึ้น เหมือนว่าจะอ่านคู่มือเวลาไปเที่ยวกับเพศตรงข้ามมาเช่นกัน—
“—ร้ายกาจ”
ผมพูดประหนึ่งใครสักคนใน แoรี่ ooต เตอร์
“..อะ อะไรที่ร้ายกาจเหรอ?”
เบลลามีถามอย่างอายๆ คงจะหวั่นใจในหลายเรื่อง ผมเข้าใจ
ดูจากสภาพหล่อนแล้วคงอาจเพราะนี่เป็นประสบการณ์แรกที่มาเที่ยวกับใครสักคน แล้วก็แต่งตัวแบบตั้งใจมาสุดๆ คงกลัวในใจลึกๆ กระมังว่า ‘เหมาะมั้ยนา’ ประมาณนี้
100 คะแนน ไม่สิ ให้ทะลุร้อยไปเลย สมบูรณ์แบบจริงๆ สมกับเป็นนางฟ้า สมกับเป็นเบลลามี ทูลหัวผมเองแหละ
ผมผพนมมือไหว้ เหมือนกับไหว้เจ้าถิ่นก่อนเยี่ยวข้างทาง
“…เรเซอร์ทำตัวพิลึกอีกแล้ว”
ท่าทางเขินอายหล่อนหายไปในพริบตาเดียวซะนั้น
ถึงกระนั้นก็ไม่หักคะแนนหรอก เพราะเธอนั้นสมบูรณ์แบบ …ว่าไปนั่น
“อยากจะบอกว่า…ดูสวยต่างจากปกติน่ะ”
ให้ตายสิตัวผม น่าอายชะมัดพูดอะไรเสี่ยวๆ ไปซะได้
เบลลามีไม่ตอบเธอเงียบสนิท ก่อนที่จะหันหลังไป
“แล้วที่เรเซอร์ต้องไปทำจิตอาสาคือที่ไหนหรือ?”
สงสัยว่าผมจะพูดเบาไปกระมัง? บ้าเอ้ย เสียค่าเหนื่อยฟรีเลย …ไม่สิ
มองไปดีๆ ที่หูของเบลลามีก็แดงแจ๋เช่นกัน
แกล้งไม่ได้ยินนั้นรึ?
‘ร้ายกาจ’ ยูนาเองก็ออกความเห็นบ้าง
เห็นด้วยเลย เบลลามีที่ร้ายกาจแบบนี้น่ารักเหลือหลาย
“อยู่โซนชนชั้นสูงน่ะ รู้สึกว่าจะเป็นบ้านพักคนชรา”
“…คนชั้นสูงเหรอ”
เหมือนว่าเธอจะดูไ่ม่ถูกกับชนชั้นสูงเท่าไหร่นัก
“มีอะไรรึเปล่า?”
“ไม่หรอก เราแค่มีความหลังไม่ดีกับชนชั้นสูงน่ะ”
นั่นสินะ
“บอกชื่อชนชั้นสูงนั่นมาทีสิ”
“เราว่าไม่ดีกว่า”
ตอบปฏิเสธทันควันซะอย่างนั้น
ผมเกาศีรษะตัวเองงึกๆ และขยับตัวไปเดินคู่กับเบลลามี
……
…..
….ต้องหาเรื่องคุย
จะปล่อยให้บรรยากาศเงียบไปไม่ได้เด็ดขาด—–
“วันนี้กลิ่นหอมกว่าปกตินะ เธอใช้น้ำหอมใหม่สินะ”
“….”
‘—–โง่’ โดนใครสักคนในหัวด่าซะนั้น
เบลลามีเงียบลงแต่ยังเดินต่อ
“…ก็นิดหน่อย”
รีแอคชั่นช้าดั่งเคย
“ไม่นิดหน่อยหรอก ตอนนี้เบลลามีน่ะ—หอมมากเลยรู้มั้ย?”
“เรเซอร์”
“ครับ?”
“เราแนะนำอย่าพูดแบบนั้นกับผู้หญิงดีกว่านะ”
…อ่าว
เบลลามียังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
เธอโกรธผมแล้วสินะ?
“มันทำให้ผู้หญิงเขินน่ะ” เธอพูดเสริม “จะเขินจนอยากเดินกลับบ้านเลย ไม่กล้าเจอหน้าแล้วด้วยถ้ายังพูดอีก ..จะไม่พูดด้วยแล้วนะ”
“ทำให้เกลียดก็บอกตรงๆ ก็ได้นะ ฮือ…ขอโทษครับ”
“ไม่นะ เราไม่ได้เกลียดที่โดนชมอย่างนั้นนะ”
เบลลามีทำท่าสับสนเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ผมควรสับสนมากกว่าหล่อนแท้ๆ
“เธอนี่นะ เดาใจได้ยากเหลือเกิน” +ที่พูดมันตีความได้ทางเดียวด้วยนะหล่อน
“อือ ก็โดนทักอย่างนั้นบ่อยๆ เหมือนกัน”
ผมรีบขอโทษในทันที
“-ข ขอโทษที่ลามปรามนะ”
“..ไม่ได้โกรธนะ”
…เหรอ
ผมเกาหัวตัวเองอีกคราว
“แค่พูดต่อบทสนทนาเอง”
“นั้นเหรอ แบบนี้น่ะเอง …อ่า จริงๆ ด้วยฉันก็มักจะพูดไม่เข้าหูใครบ่อยเหมือนกัน อย่างเมื่อสองปีก่อนก็มีคนมาไล่กระทืบด้วยละเพราะพูดอะไรไปนี่แหละ”
เกือบตายเลยครั้งนั้น
“แบบนั้นหนักกว่าเราอีกนะ อย่างมากนึกว่าแค่กระชากผมกับรุมด่ากันเล่นซะอีก”
“เฮ้ย ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะนั่น”
เบลลามีดูตาค้างที่ผมเล็กน้อย เป็นเพราะการตอบสนองที่ช้าละมั้ง
เธออมยิ้มเล็กน้อย
“ไม่ใช่เรื่องเล็กสินะ”
“เออดิ! แบบนั้นมันคือการรังแกที่ค่อนข้างแรงแล้วด้วยซ้ำ”
“..พึ่งรู้เลยละ”
เธอกล่าวทั้งรอยยิ้มบางๆ ที่หาดูได้ยาก—-แม้ผมจะไม่เข้าใจก็ตามว่ามันมีอะไรให้น่าขบขัน
“…ถ้ามีปัญหาอะไรอีกเรียกฉันได้นะ”
“เรเซอร์พิลึกมาก”
ทำไมผมผิดเฉยเลยละ?
“ยะ ยังไงรึ?”
“ทำไมเรเซอร์ต้องเล่นต่อด้วยล่ะนั่นแหละที่ดูแปลก”
เหมือนว่าเธอจะอยากหยอกล้อผมเล่นละ
“ขนาดนั้นเลยเรอะ”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ …”
เบลลามีมองไปที่กลุ่มเด็กซึ่งกำลังเล่นของเล่นกันสนุกสนาน
“เรเซอร์น่ะแปลกหลายๆ เรื่องเลย โดยเฉพาะกับตัวเรา ปกติไม่มีใครมาคุยกับเราจนถึงระดับไปไหนมาไหนด้วยกันหรอกนะ”
…
“ทุกคนมักจะมีอะไรขวางกั้นระหว่างตัวเองกับเราเสมอ ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเช่นกัน แต่..กำแพงนั่นน่ะมันอยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด เราและทุกคนนั้นห่างเหินกันเหลือเกิน ราวกับธรรมชาติต้องการให้เป็นเช่นนั้น”
เบลลามีใช้นิ้วโป้งแตะริมฝีปากตัวเองเล็กน้อย เป็นท่าที่เวลาเธอคิดอะไรบางอย่างจะทำออกมา
“ประมาณว่า…เรากับทุกคนอยู่กันคนละโลก ภาษาที่ใช้ต่างกัน ชุดความคิดต่างกัน สังคมต่างกัน—ต่างกันในทุกๆ อย่างจนเหมือนว่าเราเป็นคนจากโลกอื่นก็ไม่ปานเลย และเพราะฉันอยู่คนละโลกกับทุกคนทำให้บ่อยครั้งมักจะทำตัวไม่เข้าตาใครหลายคน และโดนแกล้งเล่นเล็กน้อย …บางครั้งก็เผลอคิดเลยละว่า ฉันอาจจะเกิดมาผิดโลกก็ได้ นี่อาจจะเป็นโลกสีเขียว แต่เรามาจากโลกสีขาวอะไรประมาณนี้ได้นะ”
“…เพราะแบบนั้นฉันเลยดูพิลึกสินะ?”
“อือ เรเซอร์เป็นคนเดียวเลยที่ยอมเปลี่ยนโลกของตัวเองเพื่อคุยกับเรา จากนั้นก็มีใครอีกหลายคนยอมเปลี่ยนโลกของตัวเอง …เราเองก็รู้สึกเหมือนกำลังเปลี่ยนไปเช่นกันน่ะ” เบลลามีผงกหัวลง “..เรเซอร์ทำให้เราเห็นโลกของเรเซอร์ ..”
“จริงๆ ที่พิลึกน่าจะเป็นเธอมากกว่านะ ..ฮะๆ”
…เบลลามีอึ้งไปในทันที คิดว่าผมด่าแหง
“ไม่ได้จะว่าหรืออะไรนะ คือแค่อยากจะบอกว่า …เธอไม่ได้อยู่คนละโลกกับพวกเราหรอก”
“ไม่รู้สิ เราว่าพวกเราต่างกันนะ”
“ต่างกันอยู่แล้วสิ พวกเราไม่ใช่คนเดียวกันสักหน่อย แล้วก็ถ้าเธออยู่กันคนละโลกจริงๆ ละก็…ฉันและหลายคนคงเสียใจแย่”
ใช่แล้ว เสียใจแน่นอน ทุกคนเลย
ในนิยายทุกคนรักเบลลามีหมด ถ้าเบลลามีต้องหายไปละก็–ยอมรับไม่ได้หรอก
เพราะฉะนั้นผมถึงได้มาที่นี่ไงละ
เพื่อไม่ให้เธอคนนี้หายไปจากโลกนี้ เหมือนดั่งความคิดที่ตัวเองอยู่กันคนละโลกกับพวกเราน่ะ
“เพราะฉะนั้นคือ…อยู่โลกนี้ต่อไปนานๆ นา”
ผมเผลอทำเสียงแผ่วออกมา
“อย่าพูดอะไรสำคัญด้วยน้ำเสียงอย่างนั้นสิเรเซอร์”
อะ โอ้
“โทษที”
“ไม่ได้ว่านะ”
บางทีก็เผลอคิดมาละนะว่าหล่อนอาจจงใจแกล้งผมในหลายๆ จังหวะก็ได้
“เข้าใจแล้ว”
เบลลามีโพ่งขึ้นมาด้วยรอยยิ้มสดใส
“เราจะอยู่โลกไปนี้ไปอีกนานๆ นะ”
…อ่า
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
พอเห็นรอยยิ้มของเบลลามีที่สดใสขนาดนี้แล้ว—-มันกลับทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตมากมายขึ้นมาได้
เบลลามีจะตาย เรื่องนี้เท่านั้นที่จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
เธอพึ่งจะได้พบความสุขเองนะ ไม่ใช่กับผมก็ได้ แต่กับใครหลายคน
ไม่ใช่ในโลกนิยาย แต่ในโลกนี้กับเคียวยะก็สนิทชิดเชื้อกัน กับโซเฟียก็เป็นมิตรกัน…กับผมก็สนิทกันแล้ว
ในอนาคตกับคนอื่นๆ ก็อาจจะสนิทขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้—โลกใบนี้สำหรับเธอมันพึ่งได้เริ่มขึ้นเท่านั้น เรื่องราวที่เธอจะได้ท่องโลกของคนอื่นมันพึ่งเริ่มเองนะ
ถ้าเธอต้องตายอีกเพราะเจ้าจอมมารดิลุคนั่น ผมจะโค่นมันเองให้ดู ต่อให้รู้ตัวดีว่าสู้ตรงๆ ไม่ไหวก็จะใช้ทุกวิธีโค่นให้ดู เจ้าเรนที่ดูมีคดีนั่นด้วย
จะไม่ยอมให้เธอต้องเปลี่ยนโลกตามความคิดดั้งเดิมเด็ดขาด ..จะขยี้ศัตรูให้แหลก ขอสาบานด้วยนามแห่ง ‘เรเซอร์ ดราแคล์’
“เบลลามี”
“…?”
“รีบไปกันเถอะ”
ผมจูงมือเธอและออกวิ่งโดยทันที
“อะ เดี่ยวสิ”
เธอตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเงียบสนิท
“ยังเป็นวัยรุ่นอยู่แท้ๆ ถ้าไม่วิ่งให้มันเยอะร่างกายจะอ่อนล้าเอานะ! ถึงจะสวมชุดที่วิ่งลำบากหน่อยก็ตาม แต่ต้องออกกำลังกายเยอะๆ ระดับที่เจอดาบของผู้กล้าฟาดเข้าใส่ก็ไม่ตาย เข้าใจมั้ย!”
“—แบบนั้นค่อนข้างหินเลยนะ”
เธอกล่าวทั้งรอยยิ้ม
เพราะมัวแต่วิ่ง พวกเราเลยไปสายกับที่นัดไว้อะครับ—-