เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 377
< < 232 > >
คู่ต่อสู้ของผมก็คือ ไอน์ วิญญาณระดับเทพของการ์ป แล้วก็ วาราลี่ วิญญาณระดับเทพของเวฟ และผู้ถือครองทั้งสองคนล้วนเสียชีวิตไปแล้วเหมือนกันทั้งคู่ ช่างเป็นความบังเอิญที่เลวร้าย ผมชี้ปลายคทาเวทย์เรลันดาฟเข้าใส่ทั้งสอง และอัดเปลวเพลิงทำลายล้างเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง
ทั้งหมดถูกปัดทิ้งด้วยการควบคุมแรงโน้มถ่วง ผมอาศัยจังหวะนั้นทำลายเวทมนตร์ทิ้งโดยการระเบิดซ้ำจากภายใน
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!
แรงระเบิดมากพอจะแผดเผาร่างกายของยอดนักรบได้ง่ายๆ ต่อให้สองวิญญาณระดับเทพจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนในช่วงมีชีวิต แต่ผิวกายของสองคนนั้นก็ไม่น่ามากพอจะทนมันเอาไว้ได้
แน่นอนว่าถ้าโดนแค่นี้แล้วแพ้ไปเลย มันคงจะเสียชื่อแย่ ผลปรากฏตามความคาดหวัง ทั้งวาราลี่และไอน์ไม่ได้บาดแผลอะไรเลย เนื่องจากวิชาไสยศาสตร์ของวาราลี่
ผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ที่เป็นรองเพียงแรกซ์ แล้วก็ผู้ควบคุมแรงโน้มถ่วงอเนกประสงค์ การต่อสู้กับสองคนนี้พร้อมๆกันนั้นไม่ค่อยฉลาดนัก เพราะอย่างนั้นนี่แหละ ผมเลยเลือกจะโจมตีโดยหวังผลที่การถ่วงเวลา เพื่อรอให้เจ้าชายขี่ม้าขาวของผมปรากฏตัว
การสะบั้นมิติก่อนขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ท้องฟ้าอากาศรอบตัวผมมีรอยกระจกแตกเกิดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง วาราลี่รู้สึกตัวถึงเรื่องนี้ได้ผิดกับไอน์ที่เอาแต่บ้าพลัง เธอหันหลังกลับมา และปัดป้องการโจมตีที่ยังไม่ปรากฏ แต่จะมาถึงในอีกอึดใจเดียว
“มาหาฉันซะ–”
ยูนาโผล่มาราวกับวาร์ปได้ เธอลอยอยู่ในระดับเดียวกับสองวิญญาณระดับเทพผู้ทัดเทียมกัน ร่างของเซเนียเปล่งแสงและลอยไปอยู่บนมือของยูนา
สิ่งนั้นคือดาบคาตะนะสีขาวออร่าเขียวที่ถูกย้อมด้วยคลื่นสีม่วงแห่งการสะบั้นมิติอีกที
“ [ดาบมหาภูต]-[เซเนีย] ”
ดาบที่ถือครองอำนาจแห่งการสร้างมิตินับล้านปรากฏขึ้นบนโลกใบนี้อีกครั้ง
“สะบั้น”
“ชิ”
วาราลี่หมุนตัวถีบดาบมหาภูต แรงสะเทือนที่มหาศาล แล้วก็วิชาไสยศาสตร์ในการสร้างกฏได้ส่งผลให้วาราลี่หลบหลีกการตัดมิติทั้งหมดได้อย่างหวุดหวิด ไอน์เองก็ใช้พลังของตัวเองดิ่งลงพื้นหนีการโจมตีราวพายุโหมของยูนาได้เช่นเดียวกัน
ผมอาศัยช่วงเวลานั้นเล็งที่สองคนนั้นและอัดการโจมตีเข้าใส่โดยเน้นปริมาณเข้าว่า
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ไม่นานแรงระเบิดเพลิงทำลายล้างก็ถูกบีบ ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! วาราลี่สลายการโจมตีของผมด้วยวิชาไสยศาสตร์
การผูกกฏแปลกๆให้กับโลกใบนี้ได้ ทำให้เธอเป็นอมตะได้ไม่พอ ยังสามารถใช้เพื่อยกเลิกพลังหรือสร้างปรากฏการณ์บางอย่างก็ได้ด้วยเช่นกัน เป็นคู่ต่อสู้ที่เคี้ยวได้ยากสำหรับผมที่ไม่มียูนา เพราะอย่างนั้น หน้าที่จัดการวาราลี่จึงควรเป็นของยูนา ส่วนไอน์นั้นเป็นหน้าที่ของผมจะดีกว่า แต่ว่าถ้าไม่มีตัดมิติช่วยก็ยากที่ผมจะเอาไอน์ลงได้โดยเร็ว กลับกัน ถ้าไม่มีเวทมนตร์ของผมช่วย ก็ยากจะเอาวาราลี่ลงได้โดยเร็วอีก
ต้องการจบทุกอย่างให้เร็วที่สุด เพราะฉะนั้น
ผมกับยูนาสื่อสารกันทางสายตาเช่นนั้น และลงมือตามที่คิด
“ “ ไฟเยอร์/สะบั้น ” ”
เปลวเพลิงที่ปะทุ และมิตินับพันผุดขึ้นพร้อมๆกัน พวกเราผสานงานกันอย่างเข้าขา และไล่ต้อนทั้งวาราลี่และไอน์ได้ในอึดใจเดียว
****
หมัดปะทะเข้ากับหมัด ไม่ว่าจะหมัดเล็กๆของมนุษย์อย่างยูจิ หรือหมัดขนาดยักษ์เหนือมนุษย์ทั้งยังมีถึงสีแขนของอลันก็ล้วนแต่เป็นหมัดที่ทรงพลังไม่ต่างกัน
ตุ้ม !! ตุ้ม !! ตุ้ม !! ตุ้ม !! ตุ้ม !! ตุ้ม !! แรงสะเทือนจากหมัดอย่างกับแผ่นดินไหว ยูจิแลกหมัดกับอลันด้วยแขนเพียงข้างเดียว และแขนเทียมอีกข้างที่ยากจะชนกับหมัดของอลันได้โดยตรง กล่าวก็คือยูจิสามารถชนกับอลันได้ตรงๆด้วยแขนเพียงข้างเดียวเท่านั้น ในขณะที่ทางฝั่งอลันมีถึงสี่แขน แล้วก็การหักล้าง
ร่างถูกกระซากจนเละหลายต่อหลายครั้ง ยูจิรักษาตัวเองด้วยความเร็วประหนึ่งฮิลลิ่งแฟคเตอร์ จากนั้นก็พุ่งเข้ามาปะทะกับอลันต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ใบหน้าไร้ความเจ็บปวด ไร้ความรู้สึก การแลกหมัดกับอลันแล้วแพ้เพราะการหักล้างในทุกๆครั้ง มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่ายูจิจะกลับมาสู้ใหม่ได้อีกครั้งในเวลาไม่ถึงหนึ่งวิด้วยซ้ำ นอกจากนั้นยัง–แข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผล
ไม่ใช่แค่มานาที่แทบจะไร้ขีดจำกัด หรือความรู้สึกที่ตายด้านจากความเจ็บปวด แต่พลังกายของยูจิยังทวีคูณขึ้นเรื่อยๆเมื่อผ่านการต่อสู้ ไร้เหตุผล แข็งแกร่งจนไร้เหตุผล ขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตมันอยู่ที่ตรงไหนกัน
ในที่สุดยูจิก็เหนือกว่า แขนข้างซ้ายขนของอลันบิดไปคนละทาง เผลอเพียงครู่เดียว แขนข้างขวาล่างก็ถูกซัดจนย่นราวกับผ้า อลันเอียงตัวหลบหมัดของยูจิ และกระโดดถอยหลังไปราวสามจังหวะ ใช้หักล้างคุมจังหวะการเคลื่อนไหวของยูจิ ไม่ให้เข้ามาได้ใกล้มากกว่านี้
“ท่านออโรโบรอส ..สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมานั้นน่าหวาดกลัวเกินไปแล้วครับ”
ในที่สุด ยูจิก็ได้พัฒนากำลังกายของตัวเองจนเหนือยิ่งกว่าอลันไปแล้ว การแลกหมัดไร้สาระพวกนั้นไม่สามารถสยบยูจิได้อยู่หมัดอีกต่อไป ต่อให้มีถึงสี่แขนสมบูรณ์ ซึ่งมากกว่ายูจิสี่เท่าก็ตามที อลันตระหนักรู้ถึงเรื่องนั้น จึงตัดสินใจเปลี่ยนวิธีต่อสู้ เจ้าตัวรักษาแขนที่โดนบิดและซัดจนเละสองข้างกลับมาเหมือนเดิม จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ยูจิรับรู้ได้ว่าอลันกำลังจะเปลี่ยนแปลงบางอย่าง จึงสร้าง [ดาบแห่งแสง] ขึ้นมาใช้แขนเทียมคว้าเอาไว้ จากนั้นก็ใช้วิชาไสยศาสตร์สร้างพื้นที่ได้เปรียบให้ตัวเอง ปกคลุมทั่วทั้งคัลเซเรม ด้วยมานาที่มหาศาลแทบจะอนันต์ ทำให้ไม่มีขีดจำกัดใดมาหยุดยั้งยูจิที่วงจรเวทย์ได้พัฒนาไปถึงจวนจะขีดสุดตอนนี้ได้อีกต่อไป
“[วิชาไสยศาสตร์]-[เปิดเผยขอบเขตุ] ”
ร่างของยูจิผุดวงจรเวทย์ขึ้นทั่วทั้งร่าง
[เปิดเผยขอบเขตุ] วิชาไสยศาสตร์ที่จะสร้างขอบเขตุได้เปรียบให้แก่ผู้ใช้งาน พื้นฐานทุกอย่างทวีคูณขึ้นไปอีกขั้น ประสาทสัมผัสการรับรู้จะถูกขยายขึ้นคลอบคลุมทั้งเขตุแดนที่สร้างขึ้นมา ราวกับว่ามีดวงตาอันเฉียบคมที่สามขนาดยักษ์มองจากมุมสูง
ข้อเสียคือเป็นวิชาที่กินมานามหาศาล และจำเป็นต้องใช้สมาธิในการใช้งานสูง ระหว่างเปิดใช้งานก็จะอยู่ในสถานภาพที่ใช้งานวิชาไสยศาสตร์อื่นๆไม่ได้อีก เป็นวิชาที่สร้างภาระให้แก่ร่างกายเป็นอย่างมาก
หากเป็นคนปกติ วิชานี้จะถูกใช้งานเพื่อสืบสวนบางอย่าง แต่กับยูจิคือข้อยกเว้น เขาสามารถใช้มันเพื่อ–ต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เพียงเท่านี้ยูจิก็สามารถอ่านทุกการโจมตีต่อจากนี้ของอลันออกได้ อลันวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น แม้ว่าใกล้จะจนมุมขึ้นไปเรื่อยๆแล้วก็ตาม
“หากเอาจริงผลลัพธ์จะเป็นอย่างนี้สินะครับ …ก่อนหน้านั้นออมมือให้เหรอ”
“เปล่าครับ แค่ต้องเก็บข้อมูลให้ครบ”
“..สุดท้ายผมก็ถูกบีบให้เหลือแค่ทางเลือกเดียวจนได้ ทั้งหมดเป็นเพราะยูจิแข็งแกร่งเกินไปนั้นสินะ”
อลันยิ้ม ก่อนจะใช้ขากระแทกพื้นหนึ่งครั้ง ดังสนั่นไปทั่วทั้งคัลเซเรม ……ฟรืออออ เปลวเพลิงสีน้ำเงินพวยพุ่งออกจากพื้นดิน ปกคลุมทั่วทั้งร่างของอลัน ร่างสีฟ้าย้อมด้วยเพลิงสีน้ำเงิน วงจรเวทย์ของอลันเลือนแสงขึ้นเช่นเดียวกับยูจิ
“อิมแพ็ค”
สิ้นสุดเสียงพึมพำนี้ อลันพุ่งไปอยู่ข้างตัวของยูจิ และกระซากแขนรามไปถึงหัวไหล่ของยูจิจนหลุด ยูจิเบิกตาโพงกว้าง และพยายามจะรักษาแขนคืน ทว่าก็โดนการหักล้างขวางกั้นการรักษาทั้งหมด วงจรเวทย์ภายในร่างกายถูกแยกออกจากกัน นำไปสู่สภาวะผิดปกติทางการควบคุมมานา
[เปิดเผยขอบเขตุ] สั่นคลอนเป็นอย่างมาก เมื่อยูจิไม่สามารถควบคุมมานาได้ร้อยทั้งร้อย
“..ขีดจำกัดสายเลือดของเผ่า ‘อสูรยักษ์’ .. [อาชูร่า] นั้นสินะครับ”
[อาชูร่า] การก้าวข้ามขีดจำกัดของอสูรยักษ์ แผดเผาร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเอง เพื่อไปสู่ขีดสุดของสิ่งมีชีวิต ทันทีที่เปิดใช้งานร่างกายก็จะถูกบังคับให้หมดสภาพทันทีหากปิดการใช้งาน และหากใช้งานขีดจำกัดสายเลือดนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผู้ใช้ก็จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ตามแต่ที่ร่างกายจะทนรับเอาไว้ได้ ..แน่นอนว่าทางเลือกมีแค่สองทาง
ชนะศัตรูแล้วหมดสภาพ หรือว่าจะแพ้ศัตรู และตายไปพร้อมกับการแผดเผาของอาชูร่า
ร่างของอลันกำลังถูกแผดเผาอยู่ แขนและขาสั่นอย่างผิดสังเกตุ แต่ทั้งหมดถูกกลบด้วยเพลิงสีน้ำเงินที่ไร้ไอร้อน ยูจิหายใจฮอบออกมาเป็นครั้งแรกจากการต่อสู้ เพราะวงจรเวทย์ได้รับความเสียหาย ทำให้ต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมากเพื่อคงอยู่ [เปิดเผยขอบเขตุ] ไว้ให้ได้
การต่อสู้ครั้งนี้ยากกว่าที่คาดเอาไว้ เพียงแค่การเคลื่อนไหวเดียวของอลันก็ได้พลิกสถานการณ์ให้กลายเป็นศึกแลกชีวิตไปเสียแล้ว ..หากยูจิสามารถรับมือกับอาชูร่าได้จนหมดเวลา เขาจะชนะ หากทำไม่ได้ เขาจะตาย
ห้ามปิด [เปิดเผยขอบเขตุ] โดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นร่างนี้จะไม่สามารถตามการเคลื่อนไหวของอลันได้เลย มีแต่ต้องประคองสติของตัวเอง และเอาชนะอลันให้ได้ทั้งอย่างนี้
อลันตั้งสติ กลับมาควบคุมร่างกายที่ถูกแผดเผาได้อีกครั้ง จึงตัดใจจะขยี้ยูจิให้เละ ยูจิหยุดหายใจหอบ และเร่งการวิเคราะห์จนถึงขีดสุด—การต่อสู้จะจบในไม่กี่วินาทีต่อจากนี้
อลันก้าวเท้า ยูจิก้าวถอยหลัง
“!!!!!!!”
“ย๊ากกก!!!!”
****
“จนอุทิศตนเพื่อพระเจ้าสูงสุดเสีย”
“..ครับผม”
เทพแห่งวัฐจักรออโรโบรอสมักจะบอกกับอลันเช่นนี้เสมอ ตั้งแต่ที่เขาลืมตาตื่นวันแรก ไปถึงวันสุดท้ายของยุคโบราณ หรือกระทั่งปัจจุบันที่ผ่านไปนับล้านปีแล้วก็ตามที
จงรักพระเจ้าสูงสุด จงรักในหน้าที่ของตนเอง จงอุทิศตนซะ เสมือนคำสั่งที่จารึกอยู่ภายในร่างกาย อลันถูกสั่งให้รัก ..โดยที่ไม่เคยถูกใครรักตอบกลับเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จนกระทั่งโชคชะตาได้นำพา— นั่นคือวันที่อลันได้พบกับยูจิเป็นครั้งแรก ..ไม่สิ ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก หากนับช่วงเวลาที่ถูกลบทิ้งนับล้านๆครั้งไปด้วยแล้วก็ แต่ถ้าไม่นับก็ใช่ นี่คือการพบกันครั้งแรกอย่างแน่นอน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอ่อ ..คุณชื่ออะไรเหรอ?”
“..อลัน”
เด็กหนุ่มตรงหน้าของอลันพล่ามอะไรไม่รู้ การพล่ามมากของเด็กหนุ่มทำให้อลันได้สติจากการถูกจองจำ และ ..เจ้าตัวก็พึมพำต่อตามที่โลกใบนี้บอกให้ทำ ตามที่นายเหนือหัวของตนเองปารถนา การทำพันธสัญญากับเด็กหนุ่มตรงหน้าคือก้าวแรกสู่เป้าหมายของนายเหนือหัว
“เพื่อสักวันจะมีใครบางคนมามองเห็นผม …มาทำพันธสัญญา ..เพื่อเติมเต็มความปารถนาซึ่งกันและกัน ..ความปารถนานี้สักวันจะต้องสมหวัง ..เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นใครผมก็ยอม ..ต่อให้ต้องเจอแต่กับอะไรซ้ำๆก็ตามที”
“มองเห็นเหรอ? คนอื่นมองไม่เห็นคุณเหรอครับ?”
มีเพียงแค่ท่านเท่านั้นที่มองเห็น อลันตอบกลับ
เด็กหนุ่มได้ยินก็หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะยื่นมือให้พร้อมรอยยิ้มที่สุดใสร่าเริง
“ถ้านั้นก็ทำสัญญากับผมสิ ถ้านายอยากออกไปจากที่แห่งนี้ก็จับมือผมไว้นะ”
…เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มเลือกจะยื่นมือมาให้เขา ทั้งๆที่อลันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของเด็กคนนี้ เด็กคนนี้ควรจะรู้ได้โดยสัญชาสตญาณ ทว่าบริสุทธิ์เกินกว่าจะเข้าใจอะไรได้ ต่อให้กล่าวคำเตือนออกไปก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากตัวของอลันจะได้รับเหตุผลในการการปลอบประโลมตัวเอง
“…คิดดีแล้วหรือครับ? การที่ผมจับมือตอบกลับจะหมายถึงชะตาชีวิตของท่านจะเปลี่ยนไปตลอดกาล—-ท่านคิดดีแล้วหรือ? บางทีท่านอาจจะต้องเสียใจไปตลอดกับเส้นทางนี้ บางทีอาจต้องสูญเสียมากมายนับไม่ถ้วน และบางที…อาจต้องร้องไห้” อลันก้มหน้าลง ราวกับมีผนึกความทรงจำไหลย้อนเข้ามา “ท่านจะต้องสูญเสียในตอนจบนะครับ คิดดีแล้วหรือ?”
“บะ แบบนั้นน่ากลัวนะครับ”
“ใช่แล้วครับผม เพราะฉะนั้นจึง—คิดดีแล้วหรือ? ..คิดดีแล้วหรือที่จะทำให้ตัวเองไปถึงจุดจบเหมือนกับทุกๆครั้ง หากท่านปารถนาที่จะไม่ยอมรับ กระผมก็ไม่คิดบังคับอะไร”
“ฮะ ..ฮะ..”
หัวเราะแห้งๆอีกแล้ว เด็กคนนี้ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย–
“แค่เป็นเพื่อนกันเองครับ”
……..
……….เอ๊ะ
อลันเบิกตาโพงกว้างในห้องที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ตรงหน้าของเขา ยูจิกำลังส่องประกายอยู่
“..เพื่อน”
“ใช่ครับ ผมจะเป็นเพื่อนกับนาย”
กล่าวจบ เด็กหนุ่มดึงแขนของอลันด้วยแรงอันน้อยนิด แต่กลับทำให้อลันลุกขึ้นราวครึ่งตัวได้
“ยินดีที่ได้รู้จักในฐานะเพื่อนนะ ‘อลัน’ ”
ดวงตาของอลันมีแสงอยู่ภายในเป็นครั้งแรก เขารู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มเท่านั้น เขาไม่ได้คิดไตร่ตรองอย่างดี เขาทำเพียงแค่จับมือของอลันไว้เพียงเพราะสงสาร หรือเห็นว่าอลันไม่มีใครก็เท่านั้น ทั้งๆที่ตัวของอลันและอีกคนภายในตัวของยูจิจะชิงทุกอย่างไปจากยูจิ ..เป็นยูจิในวัยเด็กที่แสนโง่เขลา อลันคิดเช่นนั้น
แต่ว่านะ ..การได้รับ ‘ความรัก’ ก็ยังคงเป็นความปารถนาลึกๆในใจของอลันอยู่ดี อยากจะถูกใครสักคนรัก อยากจะรักใครสักคน อยากจะรู้สึกสิ่งที่เรียกว่ารัก ความรู้สึกเหล่านั้น ..ทำให้อลันอดจะดีใจไม่ได้
“เข้าใจแล้วครับ”
พันธสัญญาแรก ..พันธสัญญานับอนันต์ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า พันธสัญญานี้ไม่มีวันจบลง เพราะมันจะเริ่มต้นใหม่เสมอ
ในบางมุม มันอาจจะเปรียบเสมือนโซ่ที่ตรวนร่างของยูจิเอาไว้อยู่ก็เป็นไปได้
“แล้วก็ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ผมชื่อ ‘ยูจิ’ อย่างที่เห็นก็แค่เด็กทั่วๆไป”
เวลานั้นยูจิคงจะจำไม่ได้แล้ว ว่าการเล่นมุกของยูจิทำให้เขาหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก
****
ร่างสีฟ้าเพลิงสีน้ำเงินพุ่งเข้าใส่ยูจิด้วยความเร็วที่เหนือยิ่งกว่าเทพดาบ หรือใครหน้าไหนบนโลกใบนี้ การวิ่งที่ราวกับผ่ากาลเวลา—อลันยื่นแขนไปข้างหน้า หมายมั้นจะขยี้ยูจิให้เละในคราเดียว ร่างกายของเขามาได้แค่นี้ หากพลาดก็จะพ่ายแพ้ จะทำให้ออโรโบรอสผิดหวัง กลายเป็นขยะที่เป็นแม้แต่ข้ารับใช้ยังไม่ได้
จะไม่ได้รับกระทั่ง ‘ความรัก’ จากใครทั้งนั้น
อลันกู่ร้องออกมาเป็นครั้งแรก
“ย๊ากกกกกกก—–”
ทั้งอย่างนั้น
เป็นอีกครั้งที่ยูจินั้นเหนือกว่า ด้วย [เปิดเผยขอบเขตุ] และการก้าวข้ามขีดจำกัดการวิเคราะห์ซ้ำไปมาอย่างบ้าคลั่ง
ทำให้ยูจิสามารถหลบการโจมตีสุดท้ายของอลันได้
“แฮก ..แฮก ..แฮก”
หลังพ้นอันตรายได้ ยูจิก็หายใจหอบ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อ ดวงตามีน้ำตาสีเลือดไหลออกมา ..ตรงกันข้าม อลันยืนค้างอยู่อย่างนั้น เปลวเพลิงสีน้ำเงินยังคงสถิตทั่วทั้งร่าง อลันกัดฟันกรามแน่น คิดจะขยับร่างกายของตัวเองให้ได้อีกครั้งหนึ่ง จะต้องก้าวข้ามขีดจำกัดของขีดจำกัด เหมือนกับที่ยูจิทำ หากทำได้ ตนเองก็จะเป็นผู้ชนะ—จะได้รับความรักอีกครั้ง
แต่ว่า ..ร่างกายมันขยับไม่ไหวแล้ว อีกไม่นานคงจะกลายเป็นธุรี ไม่ไหวแล้ว—
“รีบๆสลายอาชูร่าสิ เจ้าบ้า!!!”
เป็นไม่กี่ครั้งที่ยูจิตะโกนด่าคนอื่น ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่คนๆนั้นดันเป็นอลัน
“รีบๆสลายอาชูร่าแล้วนั่งพักอยู่เฉยๆได้แล้ว อลัน!! ขอร้องละ ขอร้อง ผมเข้าใจว่าพวกเราเป็นศัตรูกัน แต่ช่วยฟังคำขอของผมสักครั้งจะได้รึเปล่า!?”
ทำไมกัน ..
“..ทำไม”
“ไม่มีคนปกติที่ไหนอยากให้เพื่อนของตัวเองตายหรอก!!”
……
“เพื่อน?”
“ใช่สิ พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่รึไงครับ ตั้งแต่ตอนนั้นก็สัญญากันไว้ ต่อให้พันธสัญญาระหว่างผมและนายจะเป็นแค่คำโกหก แต่เรื่องที่เป็นเพื่อนกันไม่มีวันเป็นคำโกหก ..ความรู้สึกไม่มีทางโกหกกันได้”
นั่นคือสิ่งที่ได้เรียนรู้มานั้นเหรอ ..ยูจิ
“เพราะฉะนั้นนะอลัน อย่าตายเลยนะ”
ความรู้สึกไม่สามารถโกหกกันได้นั้นเหรอ
ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย
ดวงตาของอลันหรี่ลงอย่างอ่อนโยน อลันขยับร่างกายได้อีกครั้งราวกับปาฏิหาริย์ ยูจิเป็นฝ่ายแพ้
มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่อลันกลับไม่ทำร้ายยูจิ เขากลับเลือกจะเดินเข้าไปสวมกอดยูจิแทน เปลวเพลิงสีน้ำเงินนั้นแผดเผาได้เพียงผู้ใช้งานเท่านั้น แม้แต่ไออุ่นจางๆยูจิก็ไม่รู้สึกถึงมัน วินาทีที่ถูกอลันกอด เขาไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากสัมผัสที่จางลงขึ้นเรื่อยๆของอลัน
“..อลัน”
“หากปล่อยผมไป ผมจะต้องวนกลับมาทำร้ายยูจิอีกแน่นอน ..เพราะอย่างนั้นขอหายไปตั้งแต่ตอนนี้เลยยังจะดีกว่า” อลันยิ้ม “เพราะเป็นเพื่อน เลยไม่อยากจะทำร้ายไปมากกว่านี้อีกแล้ว ..ให้ทำร้ายมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว”
ร่างสีฟ้าค่อยๆกลายเป็นสีดำทีละนิด และรามไปทั่วทั้งร่างในพริบตาเดียว ทั้งอย่างนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่ต้องพูดให้ได้ก่อนหายไปจากโลกใบนี้
“ขอบคุณที่รักผม”
…….
……….
หนึ่งวินาทีหลังจากนั้น เหลือเพียงแค่เศษธุรีสีดำบนฝ่ามือของมือเทียมยูจิเท่านั้น ..ยูจิทิ้งตัวลงไปนั่งกองกับธุรีของอลัน
การต่อสู้กับอลันสร้างความเสียหายทางกายให้ยูจิมหาศาล วงจรเวทย์ถูกทำลายจนต้องใช้เวลาในการพักรักษาระดับหนึ่ง กว่าจะกลับมาใช้ฮิลรักษาแขนกลับคืนมาได้ แล้วที่ชนะได้ก็ชนะได้แบบเกือบๆจะแพ้แล้วด้วยซ้ำ ยูจิมองธุรีสีดำ และยิ้มออกมา..เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก ในหลายๆความหมาย
“ถ้าปรับความเข้าใจกันได้เร็วกว่านี้คงจะดีมากเลยนะ ..อลัน”