< < 231 > >
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา สภาโลกได้ไปเจรจาหลายๆอย่างกับผู้มีอำนาจทั่วทั้งโลก ผลสรุปก็คือพวกเขาได้กองกำลังขนาดใหญ่ยักษ์ พร้อมด้วยบุคลากรผู้มากความสามารถมากมาย ไม่ว่าจะ จอมมาร สหพันธ์อิกดราซิล หรือว่าความร่วมมือจากอาณาจักรมหาอำนาจทุกหนแห่ง
นอกจากการเคลื่อนไหวของสภาโลกก็มีการเคลื่อนไหวแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย
‘มาเจล’ ‘ปัญญาพระเจ้า’ ผู้ที่จู่ๆก็ประกาศตัวเป็นราชาแห่งเกรล เป็นหนึ่งในผู้ถือครองสายเลือดของราชวงศ์ที่แท้จริง โดยมีการสนับสนุนเขาจากลีออน หัวหน้าแก็งมากมายในเมืองซึ่งต่างก็มีอิทธิพลมหาศาล ทำให้ไม่มีขุนนางคนไหนสามารถขัดขวางมาเจลผู้ครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่สลัมคนนี้ได้เลย
แน่นอนว่านอกจากมาเจลก็มีอีกหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องที่เอเธอร์เป็นคนทรยศ เรื่องที่ผู้กล้าตายไปแล้ว หรือเรื่องภายในที่เริ่มหลุดสู่ประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆในเวลาเพียงอึดใจเดียว ทั่วทั้งโลกก็ได้รับรู้ว่า ‘วันสิ้นโลก’ ใกล้จะมาถึงแล้ว
ความโกลาหลที่แท้จริงพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ในคืนวันสุดท้ายก่อนที่เทพมังกรจะถือกำเนิด พูดให้เป็นรูปธรรมคือในเวลาไม่หกชั่วโมง เทพมังกรจะลืมตาตื่นอีกครั้ง—ตัวผม เรเซอร์ ดราแคล์ ประจำการณ์ในตำแหน่งของตัวเอง ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เทพมังกรจะลืมตาตื่น หรือก็คือตอนนี้ผมยืนอยู่ที่ ‘แดนนรกกินคน’ พร้อมกับทหารประจำการณ์ และคนข้างกายหลายคน เช่นเดียวกัน สหายอีกหลายคนก็กระจัดกระจายกันไปตามขบวนรถที่สภาโลกเป็นคนจัดขึ้น
ผมเป็นเพียงหนึ่งในจิกซอว์เท่านั้น คิดอย่างนั้นเลยปล่อยให้สภาโลกจัดการการตั้งขบวนทุกอย่าง ถึงผมตั้งใจจะเคลื่อนไหวตามใจตัวเอง แต่อย่างน้อยก็ขั้นตอนเริ่มต้นที่ผมจะเคลื่อนไหวตามพวกเขา
ตอนนี้ผมนั่งเล่นอยู่ท่าเรือเล็กๆริมแม่น้ำ ขณะที่ทหารหลายคนกำลังวิ่งวุ่นเตรียมการณ์อะไรหลายๆอย่าง แอบรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ตัวเองได้รับคำสั่งให้พักเก็บแรงไว้ให้มากที่สุดก่อนการต่อสู้จะปะทุขึ้น
“..วุ่นวายจริงๆแฮะ”
ทูตสวรรค์ยังไม่โผล่หัวมาสักคนเลย ในช่วงสามวันนี้ก็ไม่มีใครจับตัวพวกเธอได้ รวมถึงเอเธอร์ด้วย หลายๆคนคาดการณ์ว่าทุกคนจะปรากฏตัวตอนที่เทพมังกรลืมตาตื่น หรือไม่ก็ออกมาหลังจากนั้น ไม่ก็ก่อนหน้านั้น จะอย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้มีเพียงเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด
“มาสเตอร์ขอตัวไปลาดตะเวนก่อนนะคะ”
“กระผมด้วยขอรับ”
“ข้าด้วยๆ”
แน่นอนว่าคนที่มีหน้าที่ติดตามในทุกๆบนสนามรบที่ก็คือสามคนนี้ ยูนาในชุดออกรบเต็มรูปแบบ ชินในชุดทักชิโด้ แล้วก็ฟัฟนิร์ในชุดตามปกติของเธอ ซึ่งทุกคนต่างมีพันธเป็นนายบ่าวกับผมเหมือนกันหมด นอกจากนั้นก็ ..ข้างๆยูนาคือหญิงสาวผู้งดงามเกินกว่าใครๆ ชุดที่สวมใส่ดูนุ่มฟูผิดลักษณะภายในสนามรบ
“ขี้เกียจเดิน เราขออยู่กับเจ้าหนุ่มเรเซอร์ละกัน”
“อย่าสร้างความเดือดร้อนให้มาสเตอร์เชียวนะคะ”
“แน่นอนสิ เรื่องนั้นบอกตัวเองเถอะนะ”
ยูนาแล้วก็ ‘มหาภูต’ ‘เซเนีย’ จ้องตากันจนเป็นประกาย ทำท่าอย่างกับจะเข้าไปซัดกันให้ตายอย่างไรอย่างนั้นเลย ..
“ไปๆเถอะจ๊ะ ไม่ทำอะไรไม่ดีหรอก อีกอย่างตัวเราตอนนี้กำลังทำพันธสัญญากับเธออยู่ด้วยนี่ ทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก”
“คำพูดสามารถฆ่าคนตายได้นะคะ รู้รึไม่?”
“..เฮ้อ อย่างที่เห็นแหละนะ เจ้าหนุ่มเรเซอร์ ยูนานั้นพอเป็นเรื่องเกี่ยวกับเธอแล้วเนี่ย น่ารำคาญสุดๆ พวกซึนเดเระขี้หวงนี่น่ารำคาญเนอะ?”
“น่ารักจะตายไปครับ”
“คึก …ฝะ ฝากไว้ก่อนเถอะ เซเนีย เสร็จธุระแล้วไม่ได้ตายดีแน่”
ชินกับฟัฟนิร์หัวเราะแห้งๆ พูดคุยกันจบ ทั้งสามก็ออกลาดตะเวนตามที่คุยกันเอาไว้ ทำให้เหลือแค่ผมกับเซเนีย พวกเราเงียบใส่กันสักพัก ก่อนที่เซเนียจะมานั่งข้างผม เอาขาทวนน้ำเล่น และพูดคุยด้วย
“นึกดูแล้วมาไกลเหมือนกันนะ อะไรหลายๆอย่างชวนให้ไม่อยากจะเชื่อ ..โดยเฉพาะเรื่องที่จู่ๆยูนาก็มีกายเนื้อ แล้วกลับมาทำพันธสัญญากับเราอีกครั้งเนี่ย สุดจะเชื่อเลยนะ”
“รู้สึกดีสินะครับ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว”
“..คงจะอย่างนั้น ถึงอีกไม่นานยัยนั่นจะหายไปก็จริง แต่ แต่แรกเดิมทียูนาก็เป็นมนุษย์ สมควรที่จะตายแล้วจางหายไปจากโลกใบนี้ตั้งนานแล้ว เป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ไม่ยากนักหรอก”
คำโกหกผุดให้เห็นโต่งๆเลยแฮะ ผมสัมผัสได้ว่าเซเนียพูดโกหกอยู่ ต่อให้ยูนาจะมีสถานะเป็นวิญญาณที่ตายไปนานแล้ว แต่เธอก็ยังปราถนาจะได้ใช้เวลาร่วมกับยูนาที่เป็นเช่นนั้น โชคดีของเซเนียที่ผมเป็นคนรู้จักกาลเทศะ เลยไม่คิดพูดจี้จุดในสิ่งที่เธอไม่อยากให้ใครรู้
“ผมเองก็เหมือนกัน ขอบคุณนะที่ช่วยทำพันธสัญญากับยูนาอีกครั้ง”
“เหมือนกันนั้นสินะ ..พวกเราเหมือนกันเล็กน้อยนะ เรเซอร์ ดราแคล์”
“ตรงที่รักยูนาสุดหัวใจเหรอ?”
“ประมาณนั้น”
เซเนียหัวเราะพึมพำในลำคอ พลางใช้มือคลำยิ้มบางสิ่งออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า ..สิ่งนั้นคือก้อนหัวใจที่ถูกแช่แข็งเอาไว้
“นี่มัน?”
“หัวใจของแมมม่อน อำนาจมหาบาปแห่งความโลภ แล้วก็สายเลือดของเผ่าอสูรโลหิต”
“…”
น่าสงสัย เซเนียพูดต่อ
“วันก่อนที่พวกเธอจะมาหาเราที่ป่ามหาภูต ปีศาจมหาบาปแมมม่อนได้มาหาเราก่อน แล้วขอให้ฆ่าตนทิ้งพร้อมกับแยกหัวใจออกมา แล้วให้เราเอาไปมอบให้กับ เรเซอร์ ดราแคล์ อีกที เหตุผลไม่แน่ชัด เจตนาวัตถุประสงค์ที่อยากให้กระทำต่อหัวใจดวงนี้ไม่แน่ชัด เจ้าตัวบอกว่าเรเซอร์จะทำอะไรก็ทำเลย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ”
“..หมายความว่า”
“ใช่ แมมม่อนได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายไปแล้วละ” เซเนียถอนหายใจ “ไม่ใช่ เพราะอกหักหรืออะไรหรอกนะ แต่แมมม่อนคนนั้นเล่าให้ฟังว่าตัวเองได้ไปทำพันธสัญญากับเรนเพื่อขอความร่วมมือ ทำให้ตัวเองอยูใ่นสถานะที่ทำยังไงก็ไม่มีทางย้ายฝั่งไปหาจอมมารได้ ทางออกสุดท้ายเพื่อแสดงความภัคดี และสร้างประโยชน์ให้กับจอมมารเลยเหลือแค่ตายไปให้จบๆ แล้วทิ้งพลังของตัวเองไว้ให้คนอื่นแทน”
แน่นอนว่าเซเนียยื่นหัวใจของแมมม่อนมาให้ผม พูดมาซะตั้งขนาดนั้น ผมรับแต่โดยดี และโยนมันเก็บไว้ภายในกระเป๋าเวทมนตร์
ทำไมถึงไม่บอกเรื่องนี้กับจอมมารที่ตัวเองรักตรงๆกันนะ เรื่องสำคัญ และการเตรียมใจจะตายนี้ ..ให้วิเคราะห์โดยตัวผมเอง น่าจะเป็นเพราะแมมม่อนไม่อยากตายต่อหน้าคนรักของตัวเอง
เป็นจุดจบที่น่าเศร้า แม้ว่าจะเป็นคู่แข่งทางใจกันก็ตาม
“ฉันจะไม่ใช้มันหรอก ไว้จบการต่อสู้ทั้งหมดแล้วจะส่งหัวใจของแมมม่อนไปให้ดิลุคกับเบลลามีตัดสินใจกันอีกที”
“เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนะ”
การให้เกียรติคนตายยังไงมันก็เป็นเรื่องพื้นฐานของพื้นฐานละนะ …..หืม?
พื้นดินมีการสั่นสะเทือน ผมกับเซเนียลุกขึ้นยืนพร้อมกัน พวกเราหันไปมองที่เทพมังกรในไข่ ซึ่งมันกำลังมีรอยร้าวเกิดขึ้นทีละนิด ..ทีละนิด
“อ้า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ข้างหลังของผม แคมป์ อาวุธ ผู้คน หลายสิ่งหลายอย่างถูกยกขึ้นไปบนท้องฟ้า เช่นเดียวกันกับพื้นผิวทะเลทราย วินาทีที่การให้สัญญาณมาถึง บนท้องฟ้าก็ปรากฏเผ่าพันธ์จากสวรรค์นับพันนับหมื่นลอยอยู่เหนือเมฆ พร้อมกับทูตสวรรค์ทั้งสามตนสุดท้ายอย่าง ราฟาเอล กาเบรียล ทว่าผู้นำสูงสุดอย่างมิคาเอลกลับไม่อยู่
เรื่องที่ต้องใส่ใจไม่ได้มีแค่เรื่องตรงนั้นที่ไกลออกไป ..ทั่วทั้งพื้นที่เขตุแดนนรกกินคน มอนสเตอร์เริ่มส่งเสียงร้อง มองโกเลีย และมอนสเตอร์ประเภทอื่นประปรายเริ่มพากันออกมาอาละวาดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เสียงร้องของผู้คนผสานกับเสียงร้องของมอนสเตอร์อย่างลงตัว
ผมรู้ดีว่าไม่ได้มีแค่นั้น ปฏิกิริยามานาแปลกๆเกิดขึ้นหลายๆจุด บางทีอาจจะเป็น ‘วิญญาณระดับเทพ’ ที่ทางทูตสวรรค์ไปรวบรวมกันมาก็เป็นไปได้
แถมยัง ..กำลังตรงมาทางนี้
“เรเซอร์ ดราแคล์”
“อ่า เหมือนว่าจะเริ่มแล้ว ..สงครามวันสิ้นโลก” ผมสละผ้าที่คลุมหัวเรลันดาฟออก จากนั้นก็ชี้เรลันดาฟไปที่ที่ผู้มาเยือน “เข้ามาเลย .. ‘วาราลี่’ แล้วก็ ‘ไอน์’ !!”
เหมือนว่าคู่ต่อสู้ครั้งนี้ก็คือสองวิญญาณระดับเทพของคนรู้จักแหละนะ
****
บนทะเลทรายของแดนนรกกินคนอันกว้างใหญ่ไพรสารเช่นเดียวกับท้องฟ้า เผ่าพันธ์จากสวรรค์พร้อมด้วยทูตสวรรค์ได้ปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ ราฟาเอล และกาเบรียลมองต่ำลงมาที่พื้นดินซึ่งมีกองกำลังรวมกันอยู่มากมายมหาศาล ไม่แพ้พวกทูตสวรรค์เลย—แม่ทัพใหญ่มีทั้งหมดสามคน ได้แก่ บุตรสาวแห่งราชามังกร ผู้นำของจักรวรรดิราชามังกรคนปัจจุบัน ‘มิร่า’ ตามมาด้วย
ราชาอัศวิน ‘คาลอส’ ผู้ที่ควรจะตายไปแล้วจากการต่อสู้กับเทพดาบ แต่เขากลับเอาชีวิตรอดกลับมาเป็นแม่ทัพในการต่อสู้สุดท้ายนี้ได้
สุดท้าย ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ สัญลักษณ์แห่งกองทัพเรือ
นอกจากผู้นำทั้งสามแล้วก็มี เคียวยะ อานิม่า แล้วก็ปีศาจมหาบาปทุกตน ยกเว้นซาตานได้ร่วมต่อสู้ในพื้นที่ตรงนี้ด้วย แค่นั้นไม่พอยังมีกำลังรบจากทหารตั้งแต่แข็งแกร่งไปจนถึงอ่อนแอนับหมื่นคน
ดูจากจำนวนและคุณภาพแล้ว ทูตสวรรค์ควรจะเป็นฝ่ายแพ้ ไม่สิ พวกเธอจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ทว่าท่าทางหวาดกลัวกลับไม่ผุดในสีหน้าเลยแม้แต่น้อย เหตุผลที่ทำให้พวกเธอยังปั้นหน้ายิ้มได้นั้นเป็นเพราะ—ราฟาเอล เรียกคันธนูออกมา จากนั้นก็ยิ่งลำแสงดิ่งลงสู่พื้น พร้อมกันสามจุด
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! แรงลมมหาศาลพัดเอาทหารผู้อ่อนแอปลิว และตกลงมาตายนับร้อยชีวิตได้
“เอาจนได้ เอาจนได้ โดนหลอกใช้งานสินะแบบนี้”
ชายหัวโล้นผิวสีน้ำตาลร่างยักษ์กล่าวอย่างเหนื่อยใจ
“เผ่าพันธ์ุจากบนสวรรค์จริงๆเองก็เลวไม่ต่างกับมนุษย์เลยนะครับ”
ชายรูปงามผมสีทองพึมพำเสียงใส
“การที่ข้าตกต่ำลงถึงขนาดไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเองได้นั้นช่างน่าสมเพซ”
ชายผิวขาวดูสะอาด ผู้มีผมยาวปิดบังใบหน้าถอนหายใจเฮือกโต เป็นเพียงการกระทำธรรมดา แต่เพียงแค่หายใจ อาวุธของทหารที่อยู่ใกล้ๆเขาทุกนายก็ถูกทำให้หักลง บางคนแขนก็หลุดออกจากร่างอย่างไม่ทราบสาเหตุ ราวกับว่าลมหายใจนีเแฝงความคมเอาไว้อยู่
มิร่าหน้าซีดเผือก เท็งงุ เบ็นจิโร่ ก้าวเท้ามาออกหน้าแทนมิร่าผู้บอบบางจากการสูญเสียมากมาย
“เอ่ยนามออกมาเสีย เหล่าวีรชนเมื่ออดีตกาล”
“วีรชน?” ชายร่างยักษ์ผิวน้ำตาลถามกลับแบบงงๆ
“หรือจะให้บอกว่าทรชนดีล่ะ?”
ได้ยินอย่างนั้น ชายคนนั้นก็หัวเราะร่า ชายผมยาวเห็นก็ตามน้ำหัวเราะตามเบาๆ มีเพียงแค่ชายผมสีทองสง่างามเท่านั้นที่ไม่หัวเราะ แต่กลับใช้ดวงตาอันแข็งกร้าวจับจ้องมาที่เบ็นจิโร่ แน่นอนมันแฝงด้วยจิตอาฆาตที่มหาศาล มากพอจะทำให้ทหารปลายแถวน้ำลายฟูมปาก และสลบทันที
“ทรชน? อย่ามาพูดจาดูถูกกันหน่อยเลยยัยหนู อันตัวผมผู้เป็นถึง ‘ปีกสวรรค์’ ‘ซิลเวอร์’ ผู้นี้น่ะเหรอ!!?”
ใช่ หากให้พูดถึง ‘ปีกสวรรค์’ ‘ซิลเวอร์’ ก็ต้องเป็นวีรชน หนึ่งในสามวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีส่วนสำคัญในการกำราบกองทัพจอมมารลงในอดีต วีรชนเหนือวีรชนผู้ถูกรับเลือกให้กลายเป็นวิญญาณระดับเทพ ไม่ผิดแน่ ชายคนนี้คือผู้ยิ่งใหญ่ทัดฟ้า
เสียมารยาทเสียแล้ว โปรดอภัยให้ด้วย เท็งงุ เบ็นจิโร่กล่าวเช่นนั้น ทำให้ซิลเวอร์หยุดส่งจิตสังหาร ถัดจากซิลเวอร์ ชายผมยาวเริ่มแนะนำตัว
“ข้า ‘เทียนกง’ เป็นเพียงผู้แสวงหาเส้นทางแห่งการบรรลุเท่านั้น ไม่ใช่วีรชนหรือทรชนใดๆทั้งสิ้น”
‘ผู้สยบผืนดิน’ ‘เทียนกง’ ครั้งหนึ่งชายผู้นี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมยุทธิ์ที่ทรงพลังที่สุด ว่ากันว่าแขนของเขามันสามารถใช้ยกทั้งทวีปได้ ..จะจริงหรือไม่ก็จะปรากฏหลังจากนี้ เท็งงุ เบ็นจิโร่ส่งสายตาไปทางชายร่างยักษ์คนสุดท้ายที่ยังไม่เอ่ยนามออกมา การกดดันทางสายตานั้นคือคำสั่งกลายๆ
“ ‘อบุซามะห์’ ผู้ที่จะพามนุษย์โลกไปสู่จุดสิ้นสุดความบาป หากให้พูดก็คงจะเป็นพระเจ้า เหนือยิ่งกว่าทรชน และสะอาดยิ่งกว่าทรชน นั่นคือตัวข้าเอง”
‘พระศาสดา’ ‘อบุซามะห์’ ผิดกับคำกล่าวอ้าง ชายคนนี้เป็นเพียงทรชนเท่านั้น เป็นที่รู้จักในฐานะอาชญากรโลกผู้ทำพิธีแปลกประหลาดมากมาย หนึ่งในนั้นคือการสังหารหมู่ชังเวยชีวิตของผู้คนในอาณาจักรมากมายตามความเชื่อที่ตนยึดถือ
อาจจะมองว่าไม่ใช่คนเลวก็ได้จากเจตนา แต่ว่าเบ็นจิโร่ที่มองการกระทำคือนายนั้น–ไม่มีทางมองคนบ้าคนนี้เป็นพระผู้เป็นเจ้าได้หรอก
เท็งงุ เบ็นจิโร่ หยิบเอาวิลรันเทียออกมาใช้งาน คาลอสชักดาบออกมาชี้ใส่ศัตรู มิร่าเตรียมจะแปลงกายเป็นมังกร ..
“แต่ละคนที่โผล่มา ทำเอาชักอยากกลับบ้านแล้วสิครับ” แอสโมเดียสกำลังหดหู่ได้ที่
“เหมือนกันแฮะ” อังเฟกอร์เห็นด้วย
“ยืดอกซะเจ้าพวกบ้า!” ลิเวียธานตะโกนขึ้นเพื่อปลุกกำลังใจ “นี่คือการต่อสู้สุดท้ายของพวกเราแล้ว!”
“เข้าใจแล้ว ..จะว่าไปอังเฟกอร์ว่าไปอย่าง น่าจะยืดได้ แต่ว่าลิเวียธานไม่น่าจะยืดอกได้นะ เพราะไม่ยักจะมี—อ๊ากกกก!!!”
หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ แอสโมเดียสโดนลิเวียธานอัดจนเละก่อนจะได้สู้
“ฮิฮิฮิ สมน้ำหน้า”
“ลิเวียธาน ทำไมกัน…ทำไม”
“ไปตายซะ!”
ปีศาจมหาบาปพากันหัวเราะคิกคักแม้ว่าสถานการณ์กำลังจะเข้าสู่การเปิดฉาก
“พวกปีศาจมหาบาปมีแต่พวกไม่เต็มรึไงกันนะ”
“ร่าเริงกันมากๆเลย”
เคียวยะ และเมอันพูดตบมุกพวกปีศาจมหาบาปข้างๆ และ—-ในที่สุดก็เริ่มขึ้น ทูตสวรรค์พร้อมด้วยบริวารมากมาย รวบรวมแสงจำนวนมหาศาล วิญญาณระดับเทพทั้งสามบนพื้นดินรวบรวมมานาเข้าสู่ร่างกายจนพื้นดินสั่นสะเทือน ฝั่งตรงข้าม เตรียมการณ์ร่ายเวทมนตร์ เท็งงุ เบ็นจิโร่ สร้างศรวารีขนาดใหญ่ หมายจะโจมตีสวนทุกการโจมตีให้สิ้น
ณ จุดศูนย์กลางของสนามรบ การประเดิมแรกเป็นสัญญาณของการเปิดศึกทั้งหมดทั่วทั้งแดนนรกกินคนแห่งนี้
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
****
หนึ่งในกองกำลังจากทั้งหมด ซึ่งนำมาโดย มาเจล และชายร่างเล็กคนหนึ่ง โดยมีลีออน เกรล และอีสเตอร์ตามหลังนั้นกำลังยืนเผชิญหน้ากับ-หัวหน้าของเหล่าทูตสวรรค์ มิคาเอล
มิคาเอลไม่ได้สนใจผู้นำสูงสุดอย่างมาเจล หากแต่สนใจชายร่างเล็กผู้ดูจืด แต่มีดวงตาที่เปล่งประกายตรงหน้ามากกว่า ..ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน อย่างน้อยก็เมื่ออดีตที่มิคาเอลตกลงยอมเป็นภรรยาของโอลิเว่อร์
“โย่ว มิคาเอล ไม่เจอกันนานนะ ภรรยาที่รักของข้า”
“…ว่าแล้วเชียวว่ายังไงแกก็ต้องโผล่หัวมา”
ความสัมพันธ์สามีภรรยาดูเลวร้ายกว่าที่คิดเอาไว้ มาเจลมองภาพที่เกิดขึ้น แปปเดียวก็หัวเราะพึมพำในลำคอ
“ว่าแล้วเชียว ผู้ชายเลวๆอย่างแกไม่มีทางได้รับความรักจากภรรยาหรอก ไปฉกเธอมาใช่มั้ยล่ะ? หึๆ”
“เสียมารยาทจริงนะนายของข้า เรื่องมันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว”
มิคาเอลเมินเฉยการสนทนาไร้สาระของสองคนนั้น และโพล่งขึ้น
“จะส่งพวกแกสองคนไปลงนรกทั้งคู่ให้ดู”
แน่นอนว่าเป้าหมายคือการเด็ดหัวศัตรูตัวอันตรายอย่าง โอลิเว่อร์ เพราะคนๆนี้เป็นหนึ่งในวิญญาณระดับเทพเพียงน้อยนิดที่หลุดพ้นจากการครอบนำได้—-มาเจล และโอลิเว่อร์แลบลิ้นตอบกลับพร้อมๆกันโดยมิได้นัดหมาย
“ “ฝันไปเถอะ” ”
****
ภายในคุกนรกคัลเซเรมซึ่งถือได้ว่าเป็นสถานที่ปรีตนิเวศจากสนามรบนั้น ..ยูจิ เรย์ และหนิง เดินไปตามทางเดินของคุกนรกที่พังทลาย ทั้งสามเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่โรงอาหารของคัลเซเรม
“..”
ชายร่างยักษ์ผิวสีฟ้า และประดับทั้งร่างด้วยเครื่องประดับทองคำกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างสงบ ตั้งแต่ที่การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น อลันก็ได้ส่งสัญญาณเรียกยูจิให้มาหา ทำให้ยูจิและอีกสองคนตัดสินใจเคลื่อนไหวตามใจตัวเองเพื่อมาหาอลัย
แน่นอนว่าทั้งหมดก็เพื่อ–
“มาตัดสินทุกอย่างกันเถอะครับ อลัน”
“ตั้งใจไว้อย่างนั้นเหมือนกันครับ ยูจิ”
ทั้งสองลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เหมือนว่าจะมีแขกที่ไม่ได้รังเชิญ
“ออกมาได้แล้วครับ แกนน่อน” ยูจิเอ่ยทัก
เทพดาบ แกนน่อน เดินออกจากมุมหนึ่งของคุกนรก เธอจ้องมาที่ทุกชีวิตในที่แห่งนี้อยู่พักหนึ่ง ก่อนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของยูจิ
“ถ้าเป็นเธอคงจะได้ ..ช่วยฆ่าข้าที”
เพื่อที่จะให้ตัวเองตายจากโลกใบนี้ แกนน่อนมองหาผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวเองมาโดยตลอด ครั้งหนึ่งเคยพบกับเอเธอร์ แต่ก็ถูกปฏิเสธ และทำให้ต้องจมอยู่กับความทุกข์ในความอยากตายนี้ไปอีกนานแสนนาน ..แต่ว่าถ้าเป็นยูจิละก็ต้องตอบรับความปารถนาของเธอแน่ๆ ไม่เหมือนกับเอเธอร์
“ผมอยากจะตอบรับอยู่หรอกนะครับ เพียงแต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ของผม”
“..หืม?”
“ย๊ากกก!!!!!”
เรย์ชักดาบมังกรเหล็กบรามุนต์ พุ่งเข้าใส่แกนน่อน จากนั้นก็ถีบตัวเองพุ่งไปประหนึ่งประกายแสง แกนน่อนปัดป้องการโจมตี และพุ่งไปพร้อมกันเรย์
ทำให้ตอนนี้เหลือแค่ยูจิ หนิง และอลัน ทั้งหมดสามคน
หนิงทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แปปเดียวเธอก็ยอมแพ้ตัดสินใจจะเดินออกจากการต่อสู้ของสองคนนี้ และสองคนนั้นที่ไกลออกไปไม่มาก
“ฉันจะคอยดูข้างนอกไม่ให้คนอื่นมายุ่ง สู้กันให้เต็มที่เลย”
“ขอบคุณมากครับ ช่วยได้เยอะเลย”
กล่าวจบ หนิงทำอย่างที่ว่า ส่วนยูจิและอลันก็เดินเข้าหากันอย่างเชื่องช้า และเปิดฉากการต่อสู้โดยการทำให้โรงอาหารแห่งนี้ระเบิดจากแรงปะทะของหมัดสุดบ้าคลั่ง
****
ห่างไกลจากสมรภูมิรบ แทบจะหลุดออกจากเขตุของแดนนรกกินคน ..จอมมารทั้งสอง ดิลุคและเบลลามี พร้อมด้วยบริวารอย่างซาตาน ทั้งสามยืนตากลมเย็นยามค่ำคืนด้วยใบหน้าที่ผ่อนคล้าย และใช่ พวกเขากำลังรอคนอยู่
“..มาเสียทีนะ”
“ไม่ได้พบกันนานนะ”
ทั้งดิลุค และเบลลามีหันหลังกลับไปทักทายกับแขกทั้งหมดสองคน
ชายในชุดสูทสีขาว และชายในเสื้อโค้ทสีดำ ‘เอเธอร์’ และ ‘ลูซิเฟอร์’ นั่นเอง ทั้งสองโบกมือทักทายกับจอมมารและซาตาน ท่าทางดูเป็นกันเอง ไม่มีอะไรชวนให้คิดว่าทั้งสองฝ่ายล้วนเจตนาจะฆ่ากันให้จบๆภายในคืนนี้
เป็นการตัดสินระหว่าง จอมมาร และผู้กล้า คนแรกของโลกใบนี้ก็ว่าได้
MANGA DISCUSSION