เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 375
< < 230 > >
(มุมมอง เรเซอร์)
ผมเดินทางมาได้ไกลพอสมควรจากจุดเริ่มต้น และไม่นานหลังจากที่ออกเดินทางก็พบรอยเท้า และหลักฐานอะไรหลายๆอย่างว่ามีคนเคยเดินทางผ่านมา ทำให้ผมสะกดรอยตามได้ง่ายยิ่งขึ้น ยิ่งไปเรื่อยๆหลักฐานก็ยิ่งชัดเจนขึ้น คิดว่าอีกไม่นานน่าจะไปถึงตัวทั้งสองคนได้
หากเจอกันแล้วจะทำอะไร? ..แน่นอนว่าสองคนนี้ปล่อยไปดีๆได้ที่ไหน เป็นถึงคนที่ทรยศมนุษยชาติ ไม่มีทางที่ผมจะปฏิบัติด้วยโดยดีอยู่แล้ว แต่ก็คงไม่ถึงกับฆ่าทิ้งหรอก เพราะยังมีเหตุจำเป็นอยู่หลายอย่างต้องสอบสวนอยู่ แต่มั่นใจว่าในภายหลังจากหมดประโยชน์แล้ว สองคนนี้น่าจะโดนสภาโลกสั่งประหารไปตามสมควรนั่นแหละนะ
ถึงตอนนั้นผมเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก ..อืม เห็นบอกว่าอาเบลท้องอยู่ด้วยสิ ถ้าสองคนนั้นต้องตายจริงๆ ผมอาจจะรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงแทนก็เป็นไปได้
ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน พลางเดินไปด้วย แต่จู่ๆก็สัมผัสได้ว่าคนอื่นรอบตัวผมหยุดเดินกันกระทันหัน ทำให้ผมต้องหยุดเดินตาม และลดสายตาลงมาเบื้องหน้า
“..เอเธอร์”
ชายในชุดสูทสีขาวผู้ถูกขนานนามว่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เป็นอีกครั้งที่พวกเราได้เจอกัน
“มาสเตอร์ ถอยไปก่อนค่ะ”
ไม่รีรอ ยูนา และชิน ชักดาบออกมา และเดินมาอยู่ข้างหน้าผม ฟัฟนิร์รวบรวมมานาเตรียมเข้าสู้ด้วยสภาพตัวสั่นระรัว ผมเองก็จับปลายเรลันดาฟไว้แน่นเตรียมเข้าต่อสู้ วิเคราะห์พื้นที่รอบๆโดยละเอียดไปพร้อมๆกัน
“บังเอิญจริงๆนะครับ”
“บังเอิญเนี่ยนะ? ไม่น่าใช่หรอกมั้ง ..เป้าหมายคืออะไรกันแน่”
เอเธอร์หรี่ตามองด้วยดวงตามหาปราชญ์ จากนั้นเจ้าตัวก็คว้าเอาบางสิ่งจากกระเป๋าเวทมนตร์
“เหมือนว่าจะไม่ได้บังเอิญ แค่มีเป้าหมายเดียวกันเฉยๆครับ”
กล่าวจบ ดาบแห่งผู้กล้าก็ถูกดึงออกมาตั้งโชว์ไว้กับพื้น ตัวปลายดาบเลืองแสงเป็นอันบ่งบอกว่าตอนนี้เจ้าของก็คือเอเธอร์ แต่แรกเดิมที ดาบเล่มนี้ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อเอเธอร์อยู่แล้วด้วย ในสมัยที่เป็นผู้กล้า ให้พูดก็คือในที่สุดเอเธอร์ก็กลับไปสู่ยุคสมัยที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองได้แล้วนั่นเอง ด้วยดาบแห่งผู้กล้าเล่มนั้น
การที่ดาบเล่มนี้อยู่กับเอเธอร์ก็หมายความว่า ..
“มาช้าไปนะครับ ทั้งสองคนถูกผมฆ่าตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
คงจะอย่างนั้น มีหรือเอเธอร์จะปล่อยไป
“บัดซบเอ้ย”
“หลังจากที่แยกทางกันไปก็หยาบคายกับผมขึ้นมากเป็นพิเศษเลยนะครับ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจจริงๆที่น้องเขยของผมกลายเป็นอย่างนี้ หรือว่าจะได้รับอิทธิพลไม่ดีมาจากดิลุคกันนะครับ”
“หนวกหูเฟ้ย แล้วยังไงต่อ ไหนๆก็เจอหน้ากันแล้ว เจอกันหน่อยสักตั้งจะเป็นยังไง!?”
“หนึ่งต่อสี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ดีสักเท่าไหร่ครับ เพียงแต่–ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกว่าจะแพ้เลยละครับ”
เอเธอร์ดึงดาบแห่งผู้กล้าชี้ขึ้นฟ้า ตัวดาบเปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่นั้นอากาศก็เกิดสั่นสะเทือน ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียว รอยยิ้มเสแสร้งผุดบนใบหน้าอีกครั้ง
ปริมาณพลังของแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นมากกว่าที่แอสทอเรียสจะใช้ได้หลายเท่าตัว เพียงแค่การเปล่งประกายแสงเล่นๆนั่นก็เทียบเท่าหรือมากกว่าการโจมตีไพ่ตายของแอสทอเรียสแล้ว.. เพราะเป็นดาบที่เดิมทีถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เอเธอร์ใช้งาน คุณสมบัติอะไรต่างๆมันเลยคู่ควรกับเอเธอร์มากที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์
ความแข็งแกร่งของเอเธอร์ตอนนี้ไม่ได้ถูกยกระดับแค่เล็กน้อย แต่ถูกยกไปอีกขั้นหนึ่งเลยก็ว่าได้
ด้วยคุณสมบัติพิเศษในตัวดาบเล่มนั้น มันสามารถกลบข้อเสียเรื่องมานาน้อยของเอเธอร์ได้ทั้งหมด เอเธอร์ที่ไม่มีข้อเสียเรื่องมานา และได้ความสามารถพิเศษมากมายจากดาบแห่งผู้กล้านั้น—มีพลังพอจะฆ่าจอมมารอย่างดิลุคได้ นี่คือความจริงที่เคยปรากฏในอดีต
พวกเราทุกคนในที่นี้เข้าใจตรงกันทุกอย่าง ทำให้ไม่ว่าจะชิน ยูนา หรือฟัฟนิร์ก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะชินที่ทำท่าจะเปลี่ยนตัวเองไปอยู่ในร่างอาภรณ์เทพมังกรได้ตลอดเวลา
“ยูนา คิดว่าชนะได้มั้ย?”
“..โดยส่วนตัวคิดว่าเอเธอร์ตอนนี้รับมือยากยิ่งกว่าเทพมังกรอีก”
คงจะอย่างนั้น ..สมกับเป็นชายที่ถูกระบุไว้ว่าสามารถหนึ่งต่อหนึ่งชนะเทพมังกรได้คนเดียวในเนื้อเรื่อง ก็งงอยู่ว่าชนะได้ไง แต่เงื่อนไขคงเป็นเพราะดาบแห่งผู้กล้านั่นนี่แหละ บ้าบอชะมัดเลยนะ ตัวตนของเอเธอร์เนี่ย โกงที่สุดเลย
ด้วยจำนวนคนแค่สี่คน จะเอาชนะเทพมังกรได้จริงๆเหรอ? เรื่องนั้นผมไม่สามารถมั่นใจได้ แต่ว่า
“ถ้าชนะ สเตจต่อไปก็จะเคลียร์”
เอเธอร์แทบจะกลายเป็นตัวปัญหาเดียวที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งทูตสวรรค์ไปแล้ว ถ้าเกิดข้ามผ่านเอเธอร์ไปได้—สเตจต่อไปก็ไม่ต่างกับเคลียร์ไปแล้วครึ่งทางได้!
ทุกคนตอบรับความตั้งใจของผม การสะบั้นมิติ และเปลวเพลิงมหามังกรปะทุขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเอเธอร์กลับเก็บดาบเข้ากระเป๋าเวทมนตร์ และคว้าเอาผนึกบางอย่างออกมา
“น่าเสียดายนะครับที่ผมไม่คิดจะสู้ด้วย”
“หะ หา!!? คนอุตส่าห์เตรียมใจไว้แล้วแท้ๆนะเฟ้ย! จู่ๆมาบอกว่าไม่เอาละแล้วแค่นี้เนี่ยนะ อย่ามาเล่นตลกหน่อยเลยเอเธอร์ แกกลายเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นั่นสินะครับ แต่ว่า ..ให้สู้กับคนที่มี ‘ดาบสะบั้นมิติ’ เล่มนั้นในกำมือตลอดเวลานี่ออกจะฉลาดน้อยไปหน่อย ถึงจะเหลือจำนวนการใช้แค่ครั้งเดียว แต่มันก็มากพอจะเปลี่ยนผลลัพธ์ทุกอย่างได้”
สิ่งที่เอเธอร์กลัวไม่ใช่พวกผมสี่คน แต่เป็นดาบสะบั้นมิติที่อยู่ในตัวของยูนาเวลานี้ ..ใช่ เพราะมันคือพลังที่มากพอจะเอาชนะโชคชะตาได้ในชั่วอึดใจเดียว แต่ถ้าใช้มันยูนาก็จะหายไปในทันที หากคิดดูดีๆผมก็ไม่มีทางใช้มันหรอก แต่ว่ายูนาน่ะอีกอย่าง หากจำเป็นเธอคงดึงดาบเล่มนั้นออกมาใช้โดยไม่ลังเล
“ถ้าเกิดไม่มีห่วงอะไรผมก็อาจจะตอบรับคำขอนั้นอยู่หรอก แต่ว่านะ ผมยังมีเรื่องต้องไปเคลียร์กับน้องสาวของตัวเองอยู่ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ต่อให้ความเป็นไปได้มันจะน้อยแค่ไหน ผมก็จะมาพลาดตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด มันไม่คุ้มกับที่เสียน่ะครับ ระหว่างชีวิตของผมและชีวิตของยูนา”
กล้ามาบอกว่าตัวเองมีค่าเท่ายูนาได้นะ ไอบ้านี่ เริ่มเดือดหน่อยๆแล้วสิ
“แปลว่าไม่มีความคิดที่จะสู้กับฉันอยู่ในหัวเลยสินะ”
“เรื่องของเรเซอร์และยูนา ผมจะให้คนอื่นจัดการแทน คิดเสียว่าโชคดีก็ได้ที่ไม่ได้ถูกผมหมายหัวเอาไว้ก็คงได้”
“แหม่ ช่างโชคดีจริงๆนะตัวฉันแล้วก็ยูนาเนี่ย”
เอเธอร์พยักหน้ารับ และยิ้มให้
“ใช่แล้วละครับ”
“หึ.. [เฟรมบาสเตอร์] !!!!!”
ผมอัดเฟรมบาสเตอร์พร้อมกันสิบบท เอเธอร์จับทั้งหมดและบิดไปคนละทิศคนละทาง จากนั้นก็บีบผนึกบนมือจนแตก ร่างของเอเธอร์ส่องประกายแสงสีขาว และหายวับไปกับแสงสว่าง
ผมกัดฟันกรามแน่นอย่างเจ็บใจ และเรียกผ้ามาปิดที่ปลายเรลันดาฟตามเดิม
“แม่งเอ้ย ..กวนประสาทได้ดีจริงๆ” ผมถอนหายใจเฮือกโต “ช่วยไม่ได้แฮะ เหมือนว่าจะมาเสียเที่ยวกัน”
ผมยิ้มเจื่อนๆให้ทั้งสาม
“การตัดสินใจไม่สู้อาจจะเป็นโชคดีของทางเราก็เป็นไปได้ค่ะ”
“เห็นด้วยกับท่านยูนาขอรับ”
“ขะ ข้าคิดว่าไม่สู้กันนี่แหละดีที่สุดละ!”
นั้นเหรอ ว่ากันอย่างนั้นทุกคนก็คงจะช่วยไม่ได้แหละนะ ผมถอนหายใจฟู่ว และหันหัวเปลี่ยนทิศทางการเดินทางต่อจากนี้
****
ข่าวการถือกำเนิดของจอมมาร เผ่าพันธุ์จากบนฟ้า ทูตสวรรค์ หรือกระทั่งเรื่องของเทพมังกรที่จะลืมตาตื่นในไม่นานต่อจากนี้ ซึ่งถูกระบุไว้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดลึกลับเองก็ด้วย บนโลกใบนี้ได้เข้าสู่ความโกลาหลอย่างยิ่งใหญ่
นอกจากเรื่องราวภัยพิบัติที่ถือกำเนิดขึ้นก็มีข้อมูลที่ทางสภาโลกปกปิดเอาไว้อยู่บ้าง ..เช่นเรื่องที่วิญญาณระดับได้หวนคืนสู่โลกใบนี้อีกครั้ง
“อุตส่าห์คิดว่าจะได้รับอิสระแล้วซะอีก ..เลวร้ายที่สุด”
ลึกลงไป ภายในป่าอาถรรพ์ซึ่งถูกทำลายคำสาปทุกอย่างทิ้งไปจนหมดแล้ว วิญญาณระดับเทพ ‘ผู้เป็นอมตะ’ ‘วาราลี่’ ผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ในตำนานที่ครั้งหนึ่งเป็นคู่แข่งของราชาไสยศาสตร์ได้อย่างสูสี เธอหวนคืนกลับสู่โลกใบนี้อีกครั้ง และยืนเผชิญหน้ากับทูตสวรรค์ที่มาเยือนอย่าง ราฟาเอล
“ก็ตามที่ทราบนะคะ โปรดตามมาด้วย”
“เข้าใจแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางเลือกนี่นะ”
วาราลี่ตอบกลับอย่างว่าง่าย และเดินตามราฟาเอลไป
ไกลออกไป ที่อยู่ของหนึ่งในวิญญาณระดับเทพผู้หวนคืน บนยอดเขาที่สูงที่สุดบนโลกใบนี้ ชายหัวโล้นผิวกายสีน้ำตาลยืนกอดอก และหัวเราะลั่นดังสนั่นไปทั่วทั้งนภา
“วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ในที่สุด ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!!!!”
‘พระศาสดา’ ‘อบุซามะห์’ ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยกลายเป็นมหาอำนาจในฐานะศาสดาของมวลมนุษย์ ผู้ถูกยกย่องนับถือเยี่ยงพระผู้เป็นเจ้า
“คิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าสักวันจะต้องได้สูดอากาศหายใจอีกครั้ง!!! วะฮ่าๆๆๆๆ!! ข้ากลับมาแล้วโลกใบนี้ ท่านอบุซามะห์ผู้นี้จะชำระล้างบาปให้พวกแกทุกคนเอง ไอ้พวกมนุษย์โสมด้วยบาปกรรมทั้งหลาย!!”
สิ้นสุดคำประกาศของอบุซามะห์ สิ่งมีชีวิตผู้มีร่างเหมือนมนุษย์ประดับด้วยปีกสีขาวก็บินมาหา อบุซามะห์สัมผัสได้ว่ามันเป็นอะไรที่ไม่น่าปลอดภัยก็ทำท่าจะสอยให้ล่วง แต่ว่า ..
“เรื่องบ้าอะไรเนี่ย ทำไมสัญชาตญาณมันบอกว่าห้ามสู้ด้วยเด็ดขาด”
สิ่งมีชีวิตตรงหน้าแข็งแกร่งเกินไป เป็นตัวตนที่ไม่ควรมีปัญหาด้วยนั้นเรอะ? มีด้วยเรอะตัวตนแบบนั้นต่อหน้าท่านอบุซามะห์ผู้นี้
“แปลกประหลาดจริงๆแฮะ หรือว่าข้าจะโดนมนต์สะกดเข้าให้แล้วเก่ง”
สิ่งนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อีกไม่นานคงจะเผยร่างให้เห็น
“เอาเถอะ ไว้ค่อยคิดต่อจากนี้ละกัน”
กล่าวจบ อบุซามะห์ก็นั่งคัสมาสกับพื้น และหลบตาทั้งสมาธิรออย่างใจเย็น
ไกลออกไป บนผืนทะเลทรายที่กว้างใหญ่นั้น–เซียนกำลังยืนเผชิญหน้ากับคนๆหนึ่งอยู่ แต่เผชิญหน้าด้วยรอยยิ้มน่ะนะ
“ไม่ได้พบกันนานนะ ‘ผู้สยบผืนดิน’ ‘เทียนกง ยังจำกันได้อยู่รึเปล่านะ?’”
ชื่อของวิญญาณระดับเทพ ‘ผู้สยบผืนดิน’ ‘เทียนกง’ นั่นเอง
ชายตรงหน้าคือหนุ่มทีดูสะอาดสะอ่าน ทว่ากลับมีผมยาวปิดบังใบหน้าจนมิด
“ ‘ฮุ่ยหมิ่น’ เองรึ ไม่ได้พบกันนาน แล้วโลกไปถึงยุคถึงสมัยไหนกันแล้วล่ะ”
“เป็นยุคที่สงบสุขที่สุดตั้งแต่บนหน้าประวัติศาสตร์น่ะครับ”
“น่าสนใจดี แล้วมีธุระอะไรถึงโผล่หัวมาหาข้ากันล่ะ อย่างเจ้าถ้าไม่มีธุระคงไม่แม้แต่จะออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ”
ได้ยินอย่างนั้นเซียนก็หัวเราะร่าออกมา เทียนกงนึกสนุกหัวเราะตาม
“จริงๆมีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นน่ะนะ ถ้าหากไม่ว่าอะไร สนใจนั่งสนทนาพลางกินอาหารเช้ากันหน่อยดีรึเปล่าครับ”
“ไม่มีปัญหา ไม่สิ ได้อย่างนั้นจะดีมากเลยด้วยซ้ำ”
กล่าวจบ เซียนก็ได้นำทางผู้สยบผืนดินไปที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่มากนัก
ไกลออกไป บนสุดของป้อมปราการลอยฟ้าแห่งอาณาจักรเกรล มีอยู่ราวๆห้าชีวิตที่ยืนอยู่บนนั้น ได้แก่ ลีออน เกรล ที่ยืนอยู่ข้างๆกัน และมาเจลกับเด็กผู้ชายตัวเตี้ยในชุดคนหนึ่งซึ่งเกาะติดมาเจลตลอดเวลา นอกจากนั้นก็ ..ผู้ชายข้างหน้าของพวกเขาทั้งสี่คน
เขาคนนั้นเป็นชายตัวเล็ก สูงไม่น่าจะเกิน 160 ซ.ม. แต่กลับเปี่ยมด้วยกล้ามเนื้อที่ยากจะจินตนาการถึงได้ของมนุษย์ เพียงแค่มองดูผิวเผินก็สัมผัสได้แล้วว่าคนๆนี้ไม่ธรรมดา ในส่วนของรูปร่างหน้าตานั้นค่อยไปในทางจืดๆ ไม่ได้มีอะไรเด่นเลยแม้แต่อย่างเดียว
เว้นแต่ ‘ดวงตา’ ที่ส่องประกายราวกับมีดวงดาวอยู่ข้างในนั้น แต่ไม่ยักจะมีใครสนใจเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ไอ้หมอนี่กำลังแก้ผ้าอยู่
สิ่งดึงดูดความสนใจเลยเป็นท่อนร่างที่ดูน่าหยะแหยง
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย”
“จะไปรู้เรอะ”
“จู่ๆก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ ชีเปลือยแก้ผ้า”
“นั่นดิ”
“มาเจล ฆ่าทิ้งเลยง่ายกว่ามั้ย”
“รอมันทำไม่ถูกใจก่อนค่อยฆ่าทิ้งก็ได้ ..ใจเย็นก่อนลูกพ่อ เดี่ยวหาอะไรให้กินแทน ‘อีสเตอร์’ ”
ตัวจริงของเด็กผู้ชายน่ารักข้างๆก็คือ ‘อีสเตอร์’ ‘ผู้กลืนกินมนุษย์’ ราชันย์มอนสเตอร์ในตำนานซึ่ง ณ ปัจจุบันได้ถูกมาเจลจับมาทำสัตว์เลี้ยง
“แต่ว่าคนๆนี้ดูอันตราย”
“ชีเปลือยแก้ผ้า? ฮะ ฮะ ฮะ อย่างไอหมอนี่โดนตูหมัดเดียวก็ล่วงแล้ว”
“มาเจลโม้อีกแล้ว”
มาเจลหรี่ตามองชีเปลือยตรงหน้า โดยเฉพาะตรงอวัยวะเพศชายที่เปิดกว้าง
นอกจากดวงตา และสภาพเปลือยเปล่า อีกอย่างที่เด่นก็คือขนาดที่โอเว่อร์และอลังการณ์ของเจ้าน้องชายตรงหน้า ขนาดของมันชวนให้คิดว่า ‘อ๊ะ หรือว่านี่มันระดับโลกกันนะ’ เลยทีเดียวเชียว
“ฉันใหญ่กว่าแฮะ”
“โกหกหน้าด้านๆเลยน้า ของๆมาเจลมากสุดๆยังไม่ถึงมาตรฐานเลยด้วยซ้ำ”
“…เห๋ น่าสนใจดีนี่หว่า เอ่ยนามของแกมาซะ ไอ้คนสามหาว”
ดวงตาของชีเปลือยตรงหน้าเปล่งประกายอีกครั้ง ราวกับกำลังรอคำถามนี้อยู่พอดีเลย เจ้านั่นลุกขึ้นยืน โบกสะบัดน้องชายไปมา และชี้นิ้วโป้งเข้าใส่ตัวเองอย่างเย่อหยิ่ง
“นามของข้าก็คือ ‘โอลิเว่อร์’ ใช่ ใช่แล้วละ ‘ราชาผู้พิชิต’ ‘โอลิเว่อร์’ ราชาผู้พิชิตทะเลสีรุ้ง คนนั้นน่ะเอง!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ทำข้าผิดหวังจนได้นะนายของข้า ถึงขนาดจำใบหน้าของโอลิเว่อร์บริวารคนแรกของท่านไม่ได้เนี่ย สอบตกในฐานะราชานะ!!!”
สาเหตุคงเป็นเพราะมาเจลเอาแต่ก้มหน้ามองขนาดไอนั่นของโอลิเว่อร์เลยไม่ทันสังเกตุ ….
“อะ อะ โอลิเว่อร์ ราชาผู้พิชิตโอลิเว่อร์ตัวจริงน่ะเหรอ!?”
“ทำไมถึงกลับมามีชีวิตได้กันล่ะ”
ทั้งลีออนทั้งเกรลต่างตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยกเว้นอีสเตอร์ทีดูจะไม่ค่อยเข้าใจอะไร และมาเจลที่กอดอกก้มมองโอลิเว่อร์อย่างเข้มขรึม ..
“ถอนคำพูดซะ โอลิเว่อร์ ของฉันคนนี้ไม่ได้เล็ก!!!!”
“ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้นรึเปล่าฟร้ะ ไอ้พี่บ้า!!!!”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ลีออนตั้งรับบทเป็นตัวตบมุกให้แก่มาเจลผู้นี้