< < 229 Sec2 > >
แอสทอเรียส และอาเบล เดินเคียงข้างกันภายในป่าขนาดใหญ่ เป็นเวลากว่าสามชั่วโมงแล้วตั้งแต่ทั้งสองคนออกเดินทางจากกระท่อมไม้กลางป่า ผ่านภูเขา ผ่านป่าไม้ ผ่านแม่น้ำมากมาย เป็นการเดินทางที่ราวกับเดินเล่นในป่า ทั้งสองพูดคุยสลับไปมาอย่างสนุกสนาน
ระหว่างทางก็มีรับมือกับมอนสเตอร์เป็นระยะๆ แต่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถึงแอสทอเรียสจะบาดเจ็บสาหัสอยู่ก็ตาม แต่ความต่างชั้นของพลังระหว่างผู้กล้ากับมอนสเตอร์มันราวฟ้ากับเหว
“จะไปไหนกันต่อเหรอคะ?”
“นั่นสินะครับ ..คงต้องผ่านภูเขาลูกตรงหน้าไปก่อน แล้วก็เดินไปตามทางอีกสักพักน่าจะถึงตัวเมืองแล้วครับ ที่เมืองนั้นมีรถม้าอยู่ด้วย คิดว่านั่งรถม้าไปอาศัยอยู่เมืองแถวๆชนบทน่าจะไม่เลวครับ”
อย่างที่รู้ แอสทอเรียสตั้งใจจะหนีจากสงครามต่อจากนี้ จึงได้พาตัวของอาเบลออกมาจากกองทัพทูตสวรรค์ในช่วงชลมุน และปกปิดตัวตนเพื่อออกเดินทางกัน แต่น่าแปลกใจที่อาเบลดันตอบตกลงคำขอนี้ของเขา
“เข้าใจแล้วค่ะ ว่าแต่แอสทอเรียสดูจะคุ้นเคยเส้นทางแถวนี้ดีจังเลยนะ”
“ตอนทำภารกิจของผู้กล้าผ่านมาบ่อยน่ะครับ”
“ภารกิจ?”
“ครับ”
ทั้งสองคุยกันไป เดินขึ้นภูเขาไป
“ตอนนั้นได้รับมอบหมายให้ปราบ ‘อันเดธดราก้อน’ น่ะครับ”
“มอนสเตอร์แรงค์ S นั้นสินะคะ”
“ใช่ครับ เผอิญว่ามันไปเกิดแถวๆนี่เข้า ผมเลยมีโอกาสได้ไปทำความรู้จักกับนักผจญภัยแถวๆนี้ แล้วก็ผู้คนในเมืองมากมายด้วย เนื่องจากภารกิจครั้งนั้นกินเวลาอยู่หลายวันทีเดียวเลยมีโอกาสได้รู้จักหมู่บ้านเล็กๆในชนบทที่น่าสนใจ ..ให้บรรยากาศที่น่าอาศัยอยู่ดีครับ”
คุยกันอย่างสดใสร่าเริง
“เป็นหมู่บ้านแบบไหนเหรอคะ?”
“ไม่มีอยู่ในแผนที่น่ะครับ บอกได้ว่าเป็นหมู่บ้านลับที่หาทางเข้าไปได้อย่างยากลำบาก คนจากกิลด์ หรือเจ้าเมืองแถวๆนั้นก็ไม่มีใครรู้จักกัน เหมาะกับการซ่อนตัวดีครับ แล้วก็พื้นที่อยู่อาศัยก็ไม่เลว ..เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินภูเขา ล้อมรอบไปด้วยภูเขา น้ำตก และฝูงนกมากมาย อ๊ะ คนที่นั่นเขานิยมเลี้ยงแกะด้วยนะครับ”
“ดูเป็นสถานที่อบอุ่นดีจังเลยค่ะ”
“ใช่ครับ ทุกคนที่แห่งนั้นสร้างบ้านด้วยไม้ และทาสีทับไปอีกรอบหนึ่ง มีธรรมเนียมที่แต่ละบ้างจะมีกังหันลม และฟาร์มแกะเล็กๆสักสี่ถึงห้าตัวเอาไว้เลี้ยงด้วย อาหารก็แปลกไปจากที่อื่นมากทีเดียว เป็นสถานที่ที่ราวกับฝันครับ สักวันอยากจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นกับครอบครัวที่สร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
“กับฉันสินะคะนั่น”
“น่าละอายที่ท่านไม่มีทางเลือกนอกจากตามผมมา …แต่คงจะใช่ครับ”
“ก็จริง แต่ไม่ได้รังเกียจหรอกนะคะ”
“..เอ๊ะ?”
“ฉันเองก็คิดว่ามันวิเศษเช่นเดียวกัน พวกเราสามคน หนึ่งครอบครัวเล็กๆ อาศัยอยู่ในที่ที่ปราศจากสงครามการต่อสู้ และภาระหน้าที่ ทั้งชื่อของผู้กล้า หรือเจ้าหญิงมรกตล้วนไร้ค่าในสถานที่แห่งนั้น เพียงแค่คิดก็ไม่รู้ว่ามันจะวิเศษถึงเพียงใดแล้ว
“..สร้างบ้านเล็กๆที่มีอย่างน้อยสองห้องนอน เผื่อวันที่ลูกของพวกเราจะโตขึ้น ข้างๆติดกังหันลม แล้วก็ทำฟาร์มขนาดใหญ่ระดับหนึ่ง เลี้ยงไก่ แกะ วัว แล้วก็ ..หมาสักตัวสองตัวไว้ให้ช่วยดูแลบ้าน วันไหนที่อากาศดีก็ออกไปปูเสื่อรับลม ถ้าหากไม่ไกลกันใต้ภูเขามีแม่น้ำให้ ก็น่าไปนั่งตกปลากันแบบพ่อแม่ลูก”
อาเบลจับมือของแอสทอเรียส ดึงตัวเองขึ้นไปทางขึ้นเขา และยิ้มให้อย่างสดใส
“ขอบคุณนะคะที่เลือกฉัน”
ยิ่งกว่าชื่อของผู้กล้า
“ทั้งอากาศดี ทั้งมีหลายๆอย่างให้ทำ ทั้งมีสัตว์ให้เลี้ยงมากมาย ทั้งมีพวกเราคอยดูแลอยู่ข้างๆตลอด ด้วยสภาพแวดล้อมอย่างนั้น ลูกของพวกเราจะต้องเติบโตมาอย่างมีความสุขได้แน่นอนค่ะ จะต้องเป็นเด็กที่แข็งแรงไม่แพ้พ่อตัวเองแน่นอน”
ยิ่งกว่าคำว่าวีรบุรุษ
“..นั่นสินะครับ” แอสทอเรียสยิ้มอย่างมีความสุข “คงจะฉลาดเหมือนกับแม่ด้วยครับ”
ทั้งสองคนหัวเราะให้กัน พลางวาดฝันไปด้วย
“แอสทอเรียสคอยสอนวิชาดาบ ส่วนฉันจะสอนเรื่องความรู้ เพื่อสักวันหนึ่งที่เด็กคนนั้นจะออกไปเผชิญโลกกว้าง เขาจะได้ออกไปได้อย่างไม่ต้องกลัวสิ่งอื่นใด และไม่ต้องอายใคร เพราะไร้การศึกษาหรืออะไรด้วย”
ยิ่งกว่าอดีต
“ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง ผมไม่ให้ไปไหนมาไหนคนเดียวแน่นอนครับ”
“จะชายหรือหญิงก็แล้วแต่ สักวันเด็กคนนั้นคงจะมีคู่ชีวิต และต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นก็เป็นได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราต้องอยู่กันแค่สองคน ..พอนึกๆดูแล้วก็น่าเศร้าแปลกๆนะคะ”
ยิ่งกว่าปัจจุบัน หรืออนาคต
“..แต่ว่าแค่กลับมาเยี่ยมสักปีละครั้งก็พอใจแล้วละครับ”
“นั่นสินะคะ ขอแค่ยังไม่ลืมกันก็พอ”
ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
“พวกเราสองคนจะต้องสร้างบ้านในฝันให้ได้นะครับ อาเบล”
คำนำหน้าอย่าง ‘ท่าน’ ถูกตัดทิ้งไป–เขามีความสุขกับชีวิตในฐานะคนรักของอาเบลมากกว่าสิ่งอื่นใด
เข้าใจแล้วละ มันเป็นแบบนี้นี่เอง ..ระหว่างชื่อที่แบกรับเพื่ออุดมการณ์ของน้องสาว กับการใช้ชีวิตธรรมดาที่เป็นของตัวเอง อย่างไหนสำคัญกว่า แอสทอเรียสพึ่งจะตระนักรู้ก็ตอนนี้
เพียงแค่นึกถึงอนาคตที่วาดฝันเอาไว้โดยปราศจากชื่อของผู้กล้า เพียงแค่นั้นทำไมมันถึงมีความสุขได้ขนาดนี้กันนะ เพราะได้ตกหลุมรักอาเบลและมีบุตรด้วยกันเหรอ? อาจจะใช่ ไม่สิ คงจะเป็นอย่างนั้นเลยละ
แต่หารู้ไม่
ทั้งหมดก็แค่คำหลอกลวงเท่านั้น
ลูกเหรอ? มีที่ไหนกัน ก็จริงที่พึ่งจะมีอะไรกันไปอีกครั้ง แต่ไม่มีหลักประกันอะไรทั้งนั้น
สุดท้ายความก็จะแตกเมื่อถึงเวลา ..ก่อนจะถึงตอนนั้นอาเบลจะต้องฆ่าแอสทอเรียสทิ้งเสีย
“….”
ทว่า
“..แน่นอนค่ะ”
เกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน?
ทำไมกัน?
ทำไมภาพในฝันที่วาดเอาไว้ ..มันถึงไม่ใช้แค่คำหลอกลวงของเธอกันล่ะ เพียงแค่การสนทนาถึงอนาคตจอมปลอมเท่านั้น .. อา
ถ้าหากเป็นอย่างนั้นได้จริงๆก็คงจะดี เธอเผลอคิดอย่างนั้นขึ้นมาจากใจจริง
ทำไมกันนะ
……
……..
เจ้าหญิงมรกต ‘อาเบล’ ได้ตกหลุมรัก
หวาดกลัว หวาดกลัวความรัก หวาดกลัวคำหลอกลวงของตัวเอง ถ้าหากรู้ว่านี่เป็นเพียงคำโกหกเข้า เขาคนนั้นจะทำสีหน้ายังไง ไม่ใช่แค่นั้น ตัวเองจะทำสีหน้ายังไง
เป็นครั้งแรกที่อาเบลรู้สึกกลัวในความรู้สึกของตัวเอง
หญิงสาวที่ใช้ชีวิตหมกมุ่นอยู่กับการทำลายชีวิตของผู้อื่น กลับคิดอยากไปมีชีวิตที่แสนอบอุ่นของตัวเอง ..น่าสมเพซอะไรขนาดนี้ ทั้งๆที่ทำลายไปแล้วนับไม่ถ้วน กระทั่งชีวิตของผู้เป็นพ่อ หรือคนที่ตัวเองรักก็ไม่เว้น
มานึกเปลี่ยนใจอะไรตอนนี้กัน—
“อาเบล!!!”
“—-เอ๊ะ”
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ทั้งสองกลิ้งไปตามพื้นบนภูเขา แอสทอเรียสโอบกอดอาเบลเอาไว้ ใช้หลังของตัวเองรับทุกการกระแทก และดีดตัวขึ้นมายืนอีกครั้งในอึดใจเดียว พร้อมกับชักดาบแห่งผู้กล้าออกมาตั้งท่า ตรงหน้าของเขามีฝุ่นควันขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น
“ตอบสนองได้ไม่เลวครับ”
และพริบตาเดียว ฝุ่นควันก็ถูกกระซากทิ้งจนไม่เหลือแม้แต่เศษเล็กเศษน้อย เผยให้เห็นชายในชุดสูทสีขาวเป็นเอกลักษณ์
“มาที่นี่ได้ยังไง!!? เอเธอร์!!!”
“สะกดรอยตามมาน่ะครับ คิดว่าถ้าปล่อยพวกคุณสองคนไปมันจะเป็นปัญหาเอา”
“…โธ่เว้ย!!”
แอสทอเรียสถีบตัวเองไปพร้อมกับเหวี่ยงดาบเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรเอเธอร์ได้ แต่ว่า
“อาเบลหนีไปก่อนเลยครับ! แล้วผมจะตามไปทีหลัง เธอหนีไปตามทางก่อนเลย!!”
“ขะ เข้าใจแล้วค่ะ”
อาเบลทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย จนเอเธอร์รู้สึกแปลกใจ
“หนีทำไมกันครับ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการอยู่แล้วรึไง ..เข้าใจยากจริงๆนะครับ สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกนั่นน่ะ”
“หุบปากไปซะ!!”
ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง เอเธอร์พุ่งตัวหลบทุกการตวัดของประกายแสง และเข้าปะทะกับแอสทอเรียสอย่างดุเดือด
ปรี๊ด!!!!!!!!!!! ตู้ม!!!!!!!!!!
“ไม่นะ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่!”
อาเบลวิ่งไปอย่างมีกังวล เธอหันกลับมามองทุกครั้งที่วิ่ง ไม่สามารถวิ่งไปได้อย่างไร้กังวล เพราะชายคนนั้นกำลังจะถูกฆ่า
“ไม่นะ”
เอเธอร์ปัดการโจมตีทั้งหมดของแอสทอเรียส แล้วก้าวชิดแทงทะลุหน้าอกของผู้กล้าง่ายๆ
“ไม่—”
ดวงตาสีมรกตกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง
“แอสทอเรียส!”
แอสทอเรียสทรุดลงกับพื้น เลือดพุ่งมาจากปากราวกับสายน้ำ แสงจากดวงตาใกล้จะดับลงทุกที ..แต่ว่า
“ไม่ยอมให้จบแค่นี้หรอก!”
“หืม?”
“ไม่ยอมให้จบแค่ฝันหรอกน่า!!!”
ด้วยแรงฮึดที่รีดมาจากภายในจิตใต้สำนึก แอสทอเรียสลุกขึ้นยืนพร้อมกับประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมทั่วทั้งภูเขา
“ย๊ากกกกกก!!!!”
แสงศักดิ์สิทธิ์ก่อร่างรวมกันเป็นคลื่นดาบยาวทัดฟ้า แอสทอเรียสตั้งท่าดาบ พร้อมกับพลังทั้งหมดที่มี
“ [จงเปล่งประกาย]-[ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์] ”
แอสทอเรียสโน้มตัวไปข้างหน้า และลงดาบแห่งผู้กล้าใส่ศัตรูตรงหน้า
“ [ยูซาริเซี่ยน] !!!!!”
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ภูเขารอบๆถูกฟันจนสะบั้น และระเบิดออก พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นได้เปลี่ยนให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นพลังที่จะทำลายล้างเอเธอร์ให้สิ้นได้ แสงสีเขียวพุ่งลงมาจากท้องฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเช่นเดียวกันเป้าหมายคือเอเธอร์
นี่คือไม้ตายสูงสุดของดาบแห่งผู้กล้า พลังที่พาทุกอย่างไปสู่จุดจบด้วยดาบๆเดียว
ทว่า
เอเธอร์ใช้แขนขวารับการโจมตีเอาไว้ จากนั้นก็เหวี่ยงออก
“ไม่เลวครับ แต่ว่า”
ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดบิดไปคนละทิศคนละทางกับเอเธอร์ เขาเปลี่ยนทิศทางของพลังทำลายล้างด้วยการแลกขวาทั้งแขนของตัวเองปลิวไปกับแสงศักดิ์สิทธิ์ และพร้อมๆกัน เอเธอร์ได้ใช้แขนซ้ายแทงทะลุร่างของแอสทอเรียสซ้ำไปอีกหนึ่งครั้ง
“…”
ดึงออก และแทงซ้ำอีกหนึ่งครั้ง
“อึก”
เลือดพุ่งออกจากปาก และดวงตา เอเธอร์ดึงออก และถีบร่าง แอสทอเรียสที่ไร้เรี่ยวแรงล้มลงไปนอนกองกับพื้น เลือดไหลออกจากร่างเป็นปริมาณมหาศาล ดวงตาค่อยๆปิดลงช้าๆ
“ยัง ..ยังไม่จบ!”
แอสทอเรียสลุกขึ้นยืนกระทันหัน ร่างปกคลุมด้วยออร่าแสงศักดิ์สิทธิ์ทำให้เคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
“แบบนี้นี่เอง แบ่งพลังมาใช้เผื่อกรณีนี้ด้วยสินะ”
“ย๊ากกก!!!”
เอเธอร์ยิ้มตอบเสียงตะโกนปลุกกำลังใจตัวเองนั่น
“..ได้เวลากลับมาหาผมแล้ว ‘จัสติสเทีย’ ”
สัตว์ประหลาดยื่นมือออกไป เพียงแค่นั้น ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็ดับลง ร่างของแอสทอเรียสกลับมาไร้เรี่ยวแรงอีกครั้ง ร่างถูกทำให้เสียการควบคุม และล้มลงไปกองกับพื้นอีกรอบ ใบหน้ากระแทกเข้ากับพื้นจนมีรอยแผล ดาบแห่งผู้กล้าหลุดออกจากมือเป็นครั้งแรก
“วินาทีที่ชีวิตของแอสทอเรียสใกล้ดับลง พันธสัญญาระหว่างจัสติสเทียก็ถึงจุดสิ้นสุดลง และกลับมาหาเจ้าของคนแรกสุดอย่างผมแทน”
เอเธอร์เดินไปหยิบดาบบนพื้นขึ้นมา ดาบเล่มนั้นเลืองแสงสีเขียวตอบรับคำเรียกของเอเธอร์อย่างว่าง่าย
“ในเมื่อไม่คิดจะให้ความร่วมมือกันแล้วก็ขอรับดาบเล่มนี้กลับคืนนะครับ”
“…ยังหรอก”
แอสทอเรียสลุกขึ้นยืน ดวงตาไร้ซึ่งแสงสว่าง ร่างกายหลายส่วนที่ไร้กระดูก ยากจะจินตนาการได้ว่ามันเคลื่อนไหวได้ยังไง
“อุตส่าห์วาดฝันเอาไว้แล้วแท้ๆ ..อุตส่าห์ตัดสินใจเลือกได้แล้วแท้ๆ ..อึก” แอสทอเรียสคว้ามีดสั้นออกมาจากกระเป๋าคาดเอวเล็กๆ “จะตายไม่ได้เด็ดขาด”
“ต่อให้ชี้มีดมาทางผมก็ไม่ช่วยให้รอดหรอกนะ”
“….”
“หืม?”
“ย๊าก”
แอสทอเรียสเดินเข้าใส่ และเหวี่ยงมีดบนมือ เอเธอร์จับมือบิดมืดไปคนละทาง และออกแรงบีบ มือระเบิดอย่างกับลูกมะเขือเทศ ร่างล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง ..แอสทอเรียสเขยิบตัวเข้ามากัดเท้าของเอเธอร์
“……”
“อาาาาาาาาาาา .!!!”
“….”
“อาาาาา ….อา….”
แรงกัดค่อยๆหมดไปทีละนิด ทีละนิด และไม่เหลือความรู้สึกอะไรอีกเลย
“อาเบล ..ขอโทษ”
เอเธอร์เขยิบขาออก ร่างของแอสทอเรียสไร้การตอบสนองทุกอย่าง
ตายไปแล้วนั่นเอง
เอเธอร์เก็บดาบแห่งผู้กล้าเข้ากระเป๋าเวทมนตร์จากนั้นก็มองไปทางที่อาเบลวิ่งหนีไป ดวงตามหาปราชญ์เปล่งประกายเพื่อหาเบาะแสของเรื่องที่เอเธอร์สนใจ
“แบบนี้นี่เอง เพราะแบบนี้เองสินะครับ” เอเธอร์ยิ้ม “จะไว้ชีวิตให้หนึ่งคนละกันครับ ส่วนคุณก็พักผ่อนให้สบาย ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนความพยายามตลอดมา”
ผู้กล้าลำดับที่ 100 แอสทอเรียส ได้จบชีวิตลงในที่สุด ..
****
อาเบลวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต จนไปหยุดอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง เธอนั่งรออยู่ภายในถ้ำแห่งนั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ก็ ..แอสทอเรียสไม่มาสักที
“…”
เธอรู้ดีแก่ใจ ไม่ได้โง่ รู้ดีว่าแอสทอเรียสได้ตายไปแล้ว แต่ว่า ..อาเบลจับท้องของตัวเอง ไม่รู้ว่ามีเด็กคนนั้นที่พูดถึงอยู่รึเปล่า เพราะทั้งหมดมันก็แค่คำหลอกลวงของเธอ แต่ว่า อาเบลก็ลุกขึ้น และออกเดินทางไปต่อ
“ต้องไปสถานที่แห่งนั้นให้ได้” … “ต้องไปให้ได้”
เจ้าหญิงมรกตคือหญิงสาวผู้น่าสมเพซ ในบทสรุปเธอได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง และจมลงกับความทุกข์ที่เชื่อว่าเป็นความสุขมาโดยตลอด ..เป็นผู้ทรงปัญญาแสนโง่เขลา
MANGA DISCUSSION