เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 372
< < 228 Sec3 > >
ยูนาผละตัวผมออก และโพล่งขึ้น พร้อมยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นต่างกับทุกๆที นี่คงจะเป็นความปารถนาที่เธอต้องการกับตัวผมจากใจจริง ..ไม่อยากจะให้คนสำคัญของตัวเองร้องไห้ในวาระสุดท้าย เรื่องนั้นผมเองก็เข้าใจดี
แต่ว่านะ
“..ทำได้ที่ไหนกัน”
คนที่เข้มแข็งขนาดนั้นบนโลก ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้หรอก
หรือไม่ก็ ..ผมมันอ่อนแอเกินไปก็เท่านั้น
****
สุดท้ายผมก็เดินออกห่างจากยูนา ไม่คิดจะพูดคุยอะไรต่อ จะบอกว่าอยู่ในสถานะงอลกันก็ว่าได้? ต่างฝ่ายต่างไม่พูดคุยอะไรกันกับสถานกาณณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เลยแยกย้ายกันมีแต่ต้องเรียกอย่างนั้นนั่นแหละ
ไม่ ไม่ใช่เลย ผมไม่ได้โกรธเคืองยูนาหรืออะไรทั้งนั้น ยูนาก็ไม่ได้โกรธอะไรผม ผมก็แค่ไม่อยากจะสู้หน้ายูนา ไม่อยากเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของเธอก็เท่านั้น ผมเลยเลือกจะเดินออกมาจากจุดๆนั้น
แทนที่จะบอกว่างอลหรืออะไร เรียกว่าผมทำตัวขี้ขลาดแทนน่าจะถูกกว่า
“..แม่งเอ้ย”
ผมเดินไปตามทางภายในเรือรบซึ่งไร้ผู้คน ก้มหน้ามองพื้น และเดินอย่างไม่มีสมอง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินสวนใครไปบ้าง เว้นแต่คนๆนั้นจะเอ่ยทัก
“ไม่ได้เจอกันนานนะ เรเซอร์”
“….เบ็นจิโร่?”
เธอคนที่เอ่ยทักผมก็คือ ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ วีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเล สหายที่เคยร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเสมือนตัวละครในหนังแอคชั่นสืบสวน ผมกับเธอมีความทรงจำปราบโจรที่ดีหลายอย่างทีเดียว
ตอนนี้เธออยู่ในชุดทหารเรือเต็มยศ ซึ่งดูสง่างามและยิ่งใหญ่สุดๆ แม้ว่าร่างของเธอจะเป็นเพียงคนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างโลลิ และเกือบๆวัยรุ่นก็ตาม แต่นั่นเป็นเรื่องของพันธุกรรมเลยช่วยอะไรไม่ได้
“เธอเองก็มาที่นี่ด้วยสินะ”
“ใช่สิ เพราะเป็นงานค่อนข้างสำคัญ ผนวกกับคนของสภาโลกก็ลดน้อยลงไปมากด้วย ฉันเลยถูกเลือกให้ทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกัน ..จะว่าไป นายเองก็ไม่เลวเลยนะ ก่อวีรกรรมไว้มากมายทีเดียว ‘พ่อจอมมารแห่งจุดสิ้นสุด’ ”
เสียงชวนยัวะนั่นทำให้ผมขนลุกชู่วเลย
“ไปได้ยินมาจากไหนละนั่น”
“หวานใจจอมมารของนายไง ตอนที่ประชุมกัน”
หวานใจเนี่ยนะ ..ก็จริงอยู่ แต่เรียกอย่างนั้นมันดูน่าอายยังไงไม่รู้สิ
“จอมมารแล้วก็เบลลามีสินะ สองคนนั้นทำไว้ได้ดีทีเดียว ฉลาดเป็นกรดเลยละ จากการสนทนาสั้นๆก็ทำให้เข้าใจสถานะของทางสภาโลก และยื่นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธมาให้ แล้วยังมีพี่สาวของนายช่วยพูดโน้มน้าวใจอีก แม้จะไม่อยาก แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับ แน่นอนว่าถึงจะตกลงไป แต่ก็ไม่ได้คิดจะไว้ใจหมดหน้าตักหรอกนะ จอมมารยังไงก็เป็นจอมมารอยู่ดี หลังเหตุการณ์ทุกอย่างจบลง จะมีการสอบสวนครั้งใหญ่เกิดขึ้นตามมา เตรียมใจเอาไว้ด้วยละกัน”
“..อ่า”
ผมตอบกลับง่ายๆ เพราะไม่อยากจะคิดอะไรทั้งนั้น ท่าทางเช่นนี้ของผมคงจะผิดสังเกตุกระมัง เบ็นจิโร่เลยพล่ามต่อ
“เป็นอะไรไป?”
“โทษที ตอนนี้ไม่ค่อยอยากพูดคุยด้วยเท่าไหร่”
“เหรอ”
ในเมื่อหมดธุระที่จะคุยกันแล้วผมก็เดินไปต่อ—
“อีกไม่กี่วันจะเกิดสงครามครั้งใหญ่กับพวกทูตสวรรค์อีกครั้ง คราวนี้ทางสภาโลกจะเข้าร่วมด้วย และหลังจากปราบปรามพวกนั้นจบ พวกเราก็ต้องสู้กับเทพมังกรต่อ ซึ่งตีจำนวนวันไว้เรียบร้อยแล้วว่าทั้งหมดจะจบภายในสี่วัน”
..เร็วมาก
“ทั้งอย่างนั้นนายกลับอยู่ในสภาพอย่างนี้ อีกสี่วันชะตากรรมของโลกจะถูกตัดสินแล้วแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นคนเหยาะแหยะในช่วงสุดท้ายแบบนี้ ทำเอาฉันผิดคาดไปไกลเลย”
“จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ”
“ขอเอาตามนั้นละกัน เรเซอร์ บางทีภาพจำที่ฉันมองไปทางนายมันอาจจะดูยิ่งใหญ่เกินไปก็เป็นไปได้ จริงๆแล้วนายก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะอย่างไรก็ช่าง ขอแค่อย่าได้ทิ้งสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ไว้กลางทางโดยเด็ดขาดก็เพียงพอแล้ว ถ้าหากแค่นี้นายยังทำไม่ได้ นายก็ไม่ต่างอะไรกับเดนมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งคนแบบนั้นดันเป็นจอมมารคนที่สองซะได้อีก”
“จะพูดอะไรก็รีบๆพูดมาเถอะ”
เบ็นจิโร่พยักหน้ารับ และโพล่งออกมาตรงๆ
“ฉันจะฆ่านายแน่นอนถ้าเกิดทำให้ผิดหวัง”
“..”
เบ็นจิโร่มีพลังมากพอจะฆ่าผมได้ ยิ่งเป็นตัวผมที่สูญเสียยูนาไป ..ผมมั่นใจได้ว่าตอนนี้เบ็นจิโร่เหนือกว่าผมไปแล้ว ไม่ว่าจะสู้ทางบก หรือว่าในน้ำ ไม่ว่าจะดีหรือแย่ อย่างน้อยๆผมก็อาจจะทำให้ผลจบลงที่เบ็นจิโร่ไม่สามารถจบการต่อสู้ระหว่างผมได้ เพียงเพราะผมมี ‘วิหคอมตะ’ เท่านั้น แต่นอกเหนือจากนั้นล่ะ? นอกจากตายยาก ผมก็ไม่น่ามีอะไรเหนือกว่าเบ็นจิโร่ตอนนี้แล้วมั้ง
ระหว่างที่ผมเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น เธอกลับเงยหน้า และตรงไปต่อ นี่อาจจะเป็นก้าวแรกของการนับถอยหลังวันที่ผมจะพ่ายแพ้ให้แก่เบ็นจิโร่อย่างหมดรูปก็เป็นไปได้ ในฐานะคู่แข่งแล้ว-ไม่ชอบเลยแฮะ อีแบบนี้
แต่ว่าเข้มแข็งสุดๆไปเลยนะ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว เบ็นจิโร่เข้มแข็งยิ่งกว่าใครๆมาโดยตลอด
น่าเศร้านะที่เธอเลือกคู่แข่งเป็นคนอย่างผม
…….
……..
รู้ตัวอีกที ผมก็เดินผ่านเบ็นจิโร่มาไกลแล้ว มาถึงตรงบันไดทางขึ้นไป ผมขึ้นไปชั้นบนของเรือรบ ทันทีที่ออกมาก็ตามคาด นี่คือเวลาเที่ยงคืนกว่าๆแล้ว ตอนนี้ท้องฟ้ามืด และเต็มไปด้วยหมู่ดาวที่มากผิดปกติ
น่าสงสัย แต่ตอนนี้จะยังไงก็ช่าง
ผมเดินผ่านเรือรบ ลงไปที่ท่าเรือ และ ..ตรงริมทะเลนั้นมีคนราวสี่คนจับกลุ่มกันย่างมาชเมลโล่กินกันอย่างสนุกสนาน อย่างกับหลุดมาจากการ์ตูนวัยเด็กที่ผมเคยดูเลยแฮะ พอมองดูดีๆก็—-แก็งปีศาจมหาบาปนี่หว่า
“อ๊ะ หวานใจท่านจอมมารนี่นานั่น”
“เรเซอร์ ดราแคล์ ไม่ใช่เหรอ!?”
“ท่านเรเซอร์ ทางนี้คร้าบ ทางนี้”
ทั้งสี่คนประกอบไปด้วย อังเฟกอร์ ซาตาน แอสโมเดียส แล้วก็ลิเวียธาน กำลังนั่งล้อมกองไฟ และย่างมาชเมลโล่ไปพลาง คุยไปพลาง
เป็นภาพที่ดูน่ารักชวนจั๊กจี๊พิลึก
ผมถอนหายใจ และลงไปนั่งบนท่อนไม้เล็กๆแถวนั้นตามคำเรียกร้องของแอสโมเดียส
“มองดูดีๆก็หล่อเหลาเอาการนะคะนี่ ไปติดใครไม่ติด ดันไปติดยัยนั่นซะได้ น่าเสียดายจริงๆ มีตาหามีแววไม่”
ลิเวียธานดูเหมือนจะไม่ถูกกับดิลุค แต่จริงๆแล้วหล่อนเป็นซึนเดเระท็อคซิคขั้นรุนแรงสินะ ถ้าจำไม่ผิด
“เชิญคร้าบ เชิญเลยๆ มาชเมโล่แสนอร่อย” แอสโมเดียสยื่นมาชเมลโล่เสียบไม้ให้ผม “อาหารที่อร่อยที่สุดตอนตั้งแคมป์ ไม่ลองสักไม้จะเสียใจเอานะครับ ฮ่าๆๆ”
“พวกนายปีศาจมหาบปาดูจะชอบการตั้งแคมป์กันจริงๆนะ”
ผมรับมาแบบว่าง่าย และเริ่มย่างตามคนอื่น อาจจะเป็นเพราะว่างด้วยละมั้ง
‘เมี๊ยว’
..เสียงแมว?
ไม่นาน แมวสีดำกระโดดขึ้นมานั่งบนตักผม และทิ้งตัวนอนไม่มีช่องว่างให้ผมขัดขืน ครั้นจะจับไปวางไว้ข้างล่างก็ชวนรู้สึกผิดพิลึก
“จำไม่ผิดนี่มันแมวของลูซิเฟอร์นี่นา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน”
“ลูซิเฟอร์มันโง่โดนจับตัวไปน่ะค่ะ เลยทิ้งเจ้า ‘อาซาเซล’ ตัวน้อยเอาไว้ ใช้ไม่ได้เลยนะคะ มานี่มาลูกแม่ โอ๋ๆๆๆ อาซาเซล อาซาเซลจ๋า มานี่มา จุ๊ๆๆๆๆ”
ลิเวียธาน หล่อนผิดลุคไปไกลแล้วนะ ปกติชอบวางมาดพูดสุภาพดูสุขุม และหยาบคายกับดิลุคเป็นพิเศษ แต่กับแมวนี่มันอะไรกันฟร้ะนั่น
พูดไม่ได้ เพราะมันเสียมารยาท แต่ชวนให้นึกถึงคุณป้าปากเสียข้างบ้านเลยแฮะ อารมณ์ประมาณนี้เลย แต่ถ้าวัดที่อายุก็ดูจะเสียมารยาทกับคุณป้าไปอีก ..เรียกอย่างไหนจึงจะดีกันนะ
“เจ้าลูซิเฟอร์มันขี้โกงจริงๆที่เก็บสิ่งมีชีวิตน่ารักขนาดนี้ไว้กับตัวเองคนเดียวเนี่ย น่าโดนสักหมัด”
“เห็นอาซาเซลแล้วอยากเลี้ยงแมวสักสิบตัว แล้วนั่งๆนอนๆอยู่ที่บ้านเฉยๆจังเลยน้า ..อ่า ใช่ ต้องหาคนทำความสะอาด กับคนดูแลแมว แล้วก็ดูแลฉันด้วย คนๆนั้นก็ต้องเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาว ฮิฮิ จะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาสมัครรึเปล่าน้า” อังเฟกอร์พึมพำอย่างเคลิบเคลิ้มในโลกความฝันของตัวเอง
ซาตานกับอังเฟกอร์ก็เอากับเค้าด้วย ..ถามจริงเถอะ
“อย่างที่เห็นครับ อาซาเซลตอนนี้อยู่ในสถานะที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกเราปีศาจมหาบาป”
“ตำแหน่งนั้นไม่ใช่ของจอมมารเรอะนั่น?”
เหตุใดศูนย์รวมจิตใจจึงเปลี่ยนไปเป็นแมวของลูซิเฟอร์ได้ฟร้ะนั่น แถมยังชื่อ ‘อาซาเซล’ อีก ชื่อของทูตสวรรค์ที่พวกเอ็งเกลียดนักเกลียดหนาไม่ใช่รึไง
“ฮะๆๆๆๆ กลับกัน ท่านดิลุคนี่แหละตัวทำให้พวกเราหมดกำลังใจ ฮะๆๆๆ”
“เห็นด้วยเลยละเรื่องนั้น”
“ใช่มั้ยๆ? ฉันเคยพูดเรื่องนี้หลายครั้งแล้วนา แต่ไม่ีมใครฟังเลยอ่ะ”
“ถึงอาซาเซลจะน่ารักแค่ไหน แต่เสียมารยาทกับท่านจอมมารเกินไปแล้วนะพวกแก!”
“แหม่ ก็นะ ท่านหญิงเขาใช้งานคนหนักไปหน่อยนี่นา จะโทษใครได้”
นินทาเจ้านายตัวเองกันใหญ่เลยแฮะ เจ้าพวกนี้ …โดยเฉพาะ อังเฟกอร์ อย่างกับพวกพนักงานออฟฟิศที่โดนหัวหน้าแกงบ่อยๆจนเก็บกด แล้วชอบแอบนินทากับกลุ่มเพื่อนหญิงพลังหญิง แบบว่าก็น่าสงสารอยู่หรอก แต่ก็ดูน่าหมันไส้ไปในตัวแฮะ เป็นปรากฏการณ์ที่อธิบายได้ยาก
“จะว่าไป-วันนี้ดาวเยอะจริงนะ”
“เห็นว่ามันเป็นแบบนี้ งึมๆ เพราะเทพมังกรกำลังจะถือกำเนิดอีกครั้งละ เทพแห่งจุดเริ่มต้นที่มักจะปรากฏตัวมาพร้อมกับดวงดาว บัดซบดีเนอะ งึมๆ”
ซาตานพูดตอบผมในขณะที่กำลังเคี้ยวมาชเมโล่อย่างเอร็ดอร่อย
“เทพมังกรสินะ ..”
ผมถอนหายใจอีกครั้ง ย่างมาชเมโล่ แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เป็นประกายดวงดาวระยิบระยับ ระหว่างนั้นอังเฟกอร์ก็โน้มตัวมาชี้หน้าผมด้วยรอยยิ้ม
“นี่ๆ ท่านชาย เล่าให้ฟังหน่ออยสิว่าไปเจอท่านหญิงได้ยังไง”
“ท่านทั้งสองคนนั้นตกหลุมรักท่านเรเซอร์เข้าซะจนผิดนิสัยเลย นึกว่าเล่นของใส่ซะอีกละครับทีแรก ฮะ ฮะ ฮะ”
….
“จริงๆมันมีเบื้องลึกเบื้องหนามากกว่านี้นะ แต่ก็นั่นสินะ นับเวลาตามตรงเจอกันแค่เกือบๆจะหนึ่งปีเท่านั้นเอง ที่วิทยาลัยเวทมนตร์ที่ฉันกับเบลลามีศึกษากันอยู่ คือตอนนั้นเบลลามีก็ไม่รู้จักฉันหรอก แต่ฉันรู้จักเธอไง เลยเข้าไปทัก”
“โดนผู้ชายหมายหัวตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน ไม่เลวเลยนะคะเนี่ย ท่านหญิง”
“แต่ก็นะ ครั้งแรกมักจะไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีนัก พอไปจับมือกับหล่อนเสร็จไม่กี่วิ หล่อนก็หยิบผ้าเช็ดน้าพร้อมสเปย์มาเช็ดทำความสะอาดมือตัวเองต่อทันทีหน้าตาเฉย ทำเอาจิตใจของฉันแหลกสลายเลยละ”
“หะ…เห๋”
“โหว”
“แบบว่าสุดยอดไปเลยครับ”
ปีศาจมหาบาปทุกคนได้ยินก็ถึงกับไปไม่เป็น
“จากนั้นก็ตามตื้อ ไม่นานก็เริ่มสนิทกัน
“เจอขนาดนั้นยังไปต่ออีก หน้าหนาไม่เบานะคะนั่น”
“..โดยมีโจร กกน. เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์”
พอนึกๆดูถ้าเคียวยะมันไม่ได้วิตถาร ผมกับเบลลามีอาจจะไม่ได้ลงเอยกันอย่างนี้ก็เป็นได้ ..ว่าแต่ตอนนั้นเคียวยะมันเป็นบ้าอะไรของมันกันฟร้ะ โจรขโมย กกน. เนี่ยนะ บ้าเปล่าเนี่ย
“ “ “ “โจร กกน. ? ” ” ” ”
“อ่า รู้จักเจ้า ‘เคียวยะ’ รึเปล่า หมอนั่นแหละ”
…….
ทั้งสี่หน้าซีดเผือกขั้นมาทันควัน
“คะ เคียวยะคนนั้นเนี่ยนะ โรคจิตปล้นกางเกงในชาวบ้าน!?”
“เหวอ มาดซะเข้ม แต่ดันวิตถารซะได้นะ”
“กะ กะ เกินคาดไปไกลเลยนะครับเนี่ย”
“..ภัยสังคม ปล่อยให้คนๆนั้นเดินไปมาจะดีเหรอคะ? ดูยังไงๆก็น่าจะเป็นพวกเก็บกดแหงๆ”
ค่าสถานะของเคียวยะ -99 หน่วย
“ถึงตอนนี้จะยังนิสัยเสีย แต่สมัยก่อนนิสัยเสียกว่านี้อีก สบายใจได้ ตอนนี้ถือว่าพอคุยกันรู้เรื่องแล้ว ในหลายๆครั้งก็พึ่งพาได้ด้วยน่ะนะ”
บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทที่ผมไว้วางใจให้มากที่สุดก็ว่าได้ละมั้ง
มาชเมโล่เหมือนจะได้ที่แล้ว ผมยกไม้เสียบขึ้นมางับมาชเมโล่เข้าปากทันที เพราะร่างกายมีคุณสมบัติพิเศษจากมณีอัคคี ทำให้ผมทนความร้อนธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พอเคี้ยวๆดูแล้วก็พบว่าอร่อยกว่าที่คิด เลยสังเกตุซองมาชเมโล่ใกล้ๆก็พบว่ามันคือ ‘มาชเมโล่ตราจอมมาร’ ผลิตโดย ‘อังเฟกอร์’ ซะอย่างนั้น
พวกของจอมมารเนี่ยมีแต่พวกปล่อยชิลรึไงกันนะ ..พึ่งจะสูญเสียบิลเซบับไปกันเองไม่ใช่รึไง เพื่อนอีกสองคนอย่างลูซิเฟอร์ และแมมม่อนไปเองแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับสละทุกความเครียด มานั่งคุยกันอย่างสุขสันต์ร่าเริงได้
ผมละสงสัยจริงๆ
“คิดยังไงกับการที่ต้องสูญเสียคนสำคัญไปกันบ้าง”
จู่ๆผมก็โพล่งขึ้นมา รู้สึกว่าตัวเองมันขี้แพ้ยังไงไม่รู้ ผมพูดต่อ
“แบบว่ารับมือยังไงถึงจะดี ต้องวางตัวแบบไหน ต้องควบคุมความรู้สึกของตัวเองอย่างไหนมันถึงจะถูก ต้องยิ้มแย้มสู้ความเศร้า หรือว่าปล่อยทุกอย่างให้เละเทะไปเลย ..ราวๆนี้”
…….
รออยู่หลายวิ ก่อนที่ลิเวียธานจะเป็นคนพูด
“ก็ต้องเศร้าอยู่แล้วสิ เป็นเรื่องปกติจะตาย แต่จะปล่อยทุกอย่างให้เละเทะนั้นไม่ได้ เพราะชีวิตมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอยู่ ..ชีวิตของคนๆเดียวที่สูญสิ้นไปแล้ว ไม่มีทางสำคัญเท่าชีวิตของคนอีกหลายคนที่ยังมีอยู่หรอก”
…….
“ก็จริงที่การสูญเสียมันจะทำให้จมปลักอยู่กับความโศกเศร้า อ้างอิงกับยัยดิลุค ..ไม่สิ อ้างอิงตัวฉันเองก็ได้เหมือนกัน ช่วงเวลานั้นไม่ว่าใครก็ต้องเคยผ่าน และต้องผ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็เพราะนั่นด้วยไม่ใช่เหรอถึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อยากมีชีวิต ชีวิตมันเปล่งประกายที่สุดก็ตอนที่กำลังใช้ชีวิต ..จะร้องไห้หรือซึมแค่ไหนก็ได้ แต่อย่าลืมหัวเราะในตอนสุดท้าย รอถึงวันที่คนสำคัญของตัวเองทุกคนตายก่อนเถอะ ค่อยตายตามพวกเขาไป เพราะคิดแบบนี้ เลยอยากจะมีความสุขให้ได้มากที่สุดก่อนตาย”
“ฟังดูไม่เหมือนวิธีคิดของคนที่พร้อมสละชีวิตให้ดิลุคได้เลยนะ”
“แปลกรึไง ถ้าความสุขของพวกฉันคือการทำเพื่อดิลุคน่ะ”
คำตอบของลิเวียธานทำผมอึ้งเล็กน้อย ซึนเดเระคนนี้พูดออกมาตรงๆก็เป็นได้สินะ
“คำตอบของดิฉันช่วยอะไรได้บ้างรึเปล่าละคะ?”
“..ไม่รู้สินะ”
..ความสุขในรูปแบบที่ทำเพื่อใครสักคนนั้นเหรอ นั่นอาจจะเป็นความสุขอย่างหนึ่งของยูนาก็ได้ จะให้มองแบบนั้นมันจะดีจริงๆเหรอ
การเสียสละตัวเองเพื่อความสุขของคนอื่น มันได้ที่ไหนกัน
“เร็วๆนี้ผมพึ่งจะสูญเสียคนสำคัญไปละครับ”
แอสโมเดียสพูดขึ้นมา
“มันเศร้ามากๆจนอยากจะร้องไห้แทบตาย มันก็ชวนให้คิดบ่อยๆเหมือนกันว่าดีแล้วเหรอที่จะปล่อยให้เธอต้องจากไปแบบนี้ แต่ว่าชีวิตของเธอก็คือชีวิตของเธอ ชีวิตของตัวเราเองไม่ใช่ของใครอื่น อย่างน้อยๆถ้านี่คือทางที่ตัดสินใจเอาไว้ ก็ให้–เธอจากไปโดยไม่มีอะไรให้นึกเสียใจก็ไม่เลวเหมือนกันครับ สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่เสียใจในภายหลังรึเปล่านะ?”
……..
“ขอตัวก่อนนะ”
“ครับผม ไว้ว่างๆมานั่งย่างมาชเมโล่กินด้วยกันอีกนะครับ ครั้งหน้าจะชวนท่านดิลุคกับท่านเบลลามีด้วย”
ผมยิ้มตอบ และเดินออกจากวงล้อม
****
ผมเดินอยู่ภายในเรือรบ เดินย้อนกลับไปที่ทิศทางเดิมที่ผมเดินจากมา ..พลางครุ่นคิด ครุ่นคิด ครุ่นคิด
เพราะไม่อยากจะเสียใจภายหลัง? ..พอจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาได้แล้ว ไม่สิ ผมควรจะเข้าใจมันมาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าชีวิตผมไม่เคยผ่านอะไรพวกนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าไม่เคยจะพบเห็นการสูญเสียพร้อมความสุขแบบนี้มาก่อน เห็นมาแล้วต่างหาก มากมายนับไม่ถ้วน ตลอดการใช้ชีวิต ทั้งบนโลกใบนี้ และโลกใบเก่า
แต่กลับหลงลืมมันไปเมื่อพบเจอกับความเจ็บปวด
“มาสเตอร์?”
ผมเจอกับยูนาในทางเลี้ยวของตัวเรือ โชคดีที่เธอยังไม่ได้ไปไหนไกล ..
“ยูนา ฉันจะไม่ห้ามสิ่งที่เธอจะทำ แม้ว่าฉันจะต้องเจ็บปวดก็ตาม แต่ฉันจะไม่ห้าม เพราะมันคือการตัดสินใจของเธอ”
สิ่งที่ยูนากำลังทำคือการก้าวข้ามอดีตของตัวเอง แต่ว่าผมกลับปฏิเสธมัน ทั้งๆที่เป็นคนดึงแขนเธอมาแท้ๆ ที่เธอตัดสินใจทำทุกอย่างลงไปก็เพื่อความสุขของตัวเธอเอง เพื่อไม่ให้ชีวิตของเธอต้องวนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง เหมือนกับอดีต
เพื่อให้ยูนามีชีวิตต่อไป ผมยอมทนขนาดเห็นยูนาจมอยู่กับความทุกข์นับพันๆปีเป็นครั้งที่สองได้จริงๆเหรอ?
..ไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่ยอมหรอกเว้ย!
“จะทำตามคำขอสุดท้ายของเธอเอง”
“…”
“จะหัวเราะให้ดู หลังจากที่เธอตายได้วันเดียว ฉันจะกลับมาหัวเราะให้ดู ไม่ว่าตอนนั้นเธอจะมองลงมา หรือเงยหน้าขึ้นมามอง ฉันก็จะหัวเราะให้ดูเอง”
ผมยื่นหมัดออกไป เป็นท่าไทไฟต์ที่ผมชื่นชอบสุดหัวใจ
“คอยเฝ้ามองดูให้ดีละ วินาทีที่ฉันมีความสุขถึงที่สุดน่ะ”
ถ้าหากนั่นคือความสุขของยูนา ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้าม ..เพราะผมเองก็
“เข้าใจแล้ว ..เข้าใจแล้วค่ะ”
ยูนายิ้มออกมาอย่างงดงามอีกครั้ง ไม่ใช่รอยยิ้มที่หาดูได้ง่ายๆ
เพราะผมเองก็มีความสุขเหมือนกัน เวลาที่ยูนาคว้าสิ่งนั้นมาได้น่ะ
“เข้าใจดีแล้วค่ะ มาสเตอร์”
กล่าวจบ ยูนาก็ยื่นหมัดมาไทไฟต์กับผม
“และสัญญากับฉันอีกหนึ่งเรื่องสิ”
“ช่วยไม่ได้นะคะ มาสเตอร์ให้สัญญากับฉันไปแล้ว ต่อไปก็ถึงคิวของฉัน ว่ามาเลย”
“สัญญาซะ ว่าจะกลับมาหาฉันอีกครั้ง ..จดจำฉันให้ได้ซะ อย่าได้หลงลืมไปเด็ดขาด ตามหาฉัน เหมือนกับที่ฉันตามหาเธอจนเจอ”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ”
ยูนาไทไฟต์ซ้ำอีกครั้งจนหมัดของผมลอย
“จะนับรวมว่าเป็นหนึ่งในพันธสัญญาก็ได้นะคะ มาสเตอร์”
“เหอะ! เอาสิ!”
พวกเรายิ้มให้กันและกันเสมือนกับว่าพันธสัญญาระหว่างพวกเรา มันไม่มีตอนจบ