< < 30 > >
ชีวิตของคนเราเปรียบได้กับหนังสือเล่มหนึ่ง—-คุ้นๆแฮะความคิดแบบนี้ จุดเริ่มต้นของหายนะชัดๆ …ถ้าให้เปรียบชีวิตผมเป็นชีวิตตอนนี้คงเป็นมังงะฮาเร็มบ้าบอแหงๆ ทว่าฮาเร็มกลิ่นเหงื่อตัวผู้น่ะ! ไม่ต้องการเฟ้ย!
“แกนี่มันหน้าด้านจริง ลอกคราบไปลอกคราบมาเก่งชะมัด” เคียวยะกอดอกและพูดอย่างโนสนโนแคร์
“อะไรกัน อยากมีเรอะ แก” กอรี่สวนกลับไปอย่างไม่หวั่น
“เหอะ! เกรงว่าจะเล่นงานฝ่ายเดียวเซ้เกิดรับคำท้าไปน่ะ” เคียวยะตอบพลางตบขาตัวเองระรัว “ขืนทำแกเลือดตกยางออกขึ้น มันจะมีเรื่องขึ้นมานะเซ้เว้ย!!”
“ทำให้ได้เหมือนที่พูดละ ไอ้เวร”
—รีเวิร์สฮาเร็มในหมู่นักเลงแบบนี้ ไม่อยากได้เฟ้ย!
ทั้งสองคนที่คุยกันอย่างดุเดือดเลือดร้อนคือ ‘เคียวยะ’ หนุ่มปากเก่งปากเสียผู้เป็นตัวละครสำคัญของเรื่องและของโลกในฐานะผู้ครอบครองดวงตามหาปราชญ์
อีกคนชื่อ ‘กอรี่’ เป็นตัวประกอบที่ถูกเรเซอร์รังแกจำเป็นในนิยายต้นฉบับ
ทั้งสองที่เป็นนักเลงขนานแท้เหมือนกัน แต่ด้านบทบาทต่างกันสนิท กำลังประชันฝีปากกันอย่างสูสี
ส่วนตัวผม ‘เรเซอร์’ ตัวร้ายแสนจะโหลยโท่ยของไลทโนเวลแห่งยุค ตอนนี้ก็อย่างที่เห็น กำลังถูกพวกวัยรุ่นเหม็นเหงื่อล้อมอย่างเลี่ยงไม่ได้
…แล้วทำไมต้องมาวัดฝีปากกันต่อหน้าผมด้วยฟร้ะ พวกเอ็งเนี่ย
ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนถูกดึงปลายเสื้อจนผมสะดุ้งโหยง
“เรเซอร์แบบนี้เขาเรียกว่าฮาเร็มเหรอ?”
ผู้ที่ถามผมเป็นหญิงสาวค่อนไปทางเด็กสาว ประมาณเด็กมัธยมต้น มีเส้นผมสีดำม่วงยาวสลวย และดวงตาสีแดงงดงามประหนึ่งดวงจันทร์สีเลือด
เธอคนนี้ชื่อ ‘เบลลามี’ รับบทบาทสำคัญในเรื่องเช่นกันในฐานะลาสบอสอย่าง ‘จอมมาร’
ที่สำคัญเธอเป็นนางอวยที่รักของผมด้วย ..ทูลหัวเลยก็ว่าได้ กราบไหว้หล่อนวันละสามครั้งขั้นต่ำ
“..ไม่หรอก แบบนี้ขอไม่นับนะ” ผมตอบกลับเบลลามีไป
“มีฮาเร็มทั้งทีไม่ดีใจหรือ?” ยังจะถามต่ออีก
“ก็บอกไม่ใช่ฮาเร็มไง” ผมก่ายหน้าผากตัวเอง “แบบนี้ไม่นับเว้ย”
“…น่าเสียดายนะ”
“ทำไมเสียดายละครับ คุณเบลลามี”
ราวกับเบลลามีตั้งตารอคำตอบอย่างนั้น เธอยิ้มบางๆ ให้ผม ..อยากเห็นอีกจัง ยิ้มของเบลลามี–
“ช่วงนี้มันเกิดเทรนด์ใหม่ที่ผู้หญิงในหอเขาตามกันน่ะ”
..โอเค รู้ละว่าเทรนด์อะไร
“…เทรนด์อะไรเหรอ?”
“มันจะมีหนังสือที่เขียนถึงความรักต้องห้าม ความรักของเพศเดียวกัน ‘ชาย-ชาย’ น่ะ” เบลลามีตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงดูรื่นรมย์เหลือเกิน
เบลลามีเป็นสาววายรึนี่ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย
ก็นา ตอนเจอกับยูจิมันตั้งปี 2 บางทีเธออาจจะเปลี่ยนความชอบแล้วก็ได้แล้วถึงเวลานั้น หล่อนเป็นแฟนคลับหนังสือขั้นหนักด้วย จะเริ่มอ่านวายเพราะมีคนอ่านเยอะบ้างจึงไม่แปลก
“…ในที่นี้ไม่ได้จะแดกดันให้เรเซอร์ไปคู่กับสองคนนั้นนะ”
“ใจดีจังเลยนะ สมกับเบลลามี”
“อือ ของแบบนี้น่ะมันต้องเกิดโดยธรรมชาติ ความรักน่ะมันเรื่องธรรมชาติ”
“เฮ้ย”
“เราล้อเล่นนะ”
….ดูไม่ออกเลยแฮะ ใจจริงทั้งนั้นผมว่า
“ว่าก็ว่าเถอะ เบลลามีก็ล้อเล่นเป็นเหมือนกันแฮะ”
“ปกติเราเป็นคนชอบล้อเล่นน่ะ”
ดูไม่ออกเลยเฟ้ย! บอกที่ว่าอันนี้ล้อเล่นเหมือนกันน่ะหล่อน
ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก—-แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมมีรสนิยมทางนั้นนะ
‘นั่นสินะคะ แต่ฉันถูกใจคำพูดของนางอวยมาสเตอร์มากค่ะ’
จู่ๆ ยูนาก็โพ่งขึ้นมา
ที่ว่าความรักคือเรื่องธรรมชาติน่ะเหรอ?
‘ใช่ค่ะ พอได้ยินแล้วก็นึกไปถึงเรื่องเมื่อก่อนเลย’
เกิดคาดเลยแฮะ ไม่คิดว่าเธอจะมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ด้วย อยู่กันมาตั้งนานไม่เห็นรู้เลย
‘เพราะมาสเตอร์ไม่ได้ไปเอี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลยไงคะ ฉันจึงไม่พูดถึง’ ยูนาถอนหายใจ ‘กับคู่หูเมดคู่นั้นก็ทำเป็นเอ็นดูปิดบังอะไรบางอย่าง’
ช่างเถอะเรื่องนั้น ..แล้วอีกฝ่ายเป็นใครละ?
‘จริงๆ ก็ไม่ถึงกับเรื่องความรักอะไรหรอก แค่ใกล้เคียงเฉยๆ’
แล้วอีกฝ่ายใครละ?
‘….’
แหม่ น่ารักจริง
‘ฉันไม่ได้อายหรืออะไรหรอกนะคะ เพียงแต่มันไม่ถึงกับเรื่องรักๆ หรอก’
พอได้ยินเกี่ยวกับรักเธอก็พูดถึงเรื่องนี้นี่นะ
‘…ให้ตายเถอะค่ะ ไม่เคยโดนมาสเตอร์ไล่ต้อนขนาดนี้ตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรกแล้ว’
ตอนนั้นน่าคิดถึงดี พอย้อนกลับไป รู้สึกเหมือนทำปากดีใส่ยูนาซะเยอะด้วย ยูนาเองก็ปากจัดใส่ผมใช่เล่นเลย
‘ต้องขออภัยด้วยค่ะ ที่ฉันโดนมาสเตอร์ด่า ฉันน่าจะสวนไปให้เข็ด เพราะปล่อยไว้มาสเตอร์ถึงได้ทำตัวห้าวน่าตบขนาดนี้ น่าจะสั่งสอนให้รู้ซึ้งว่าใครสูงต่ำกว่า’
ถ้าจะขอโทษก็ช่วยขอโทษเรื่องที่ด่าฉันเซ้!!
‘ฮา ตลกดีนะคะ’
ฮึย เป็นคนที่ปากเสียดีจริงๆ …แล้วอีกฝ่ายใครละ?
‘…ชิ’
ผมแสยะยิ้มในใจ
‘คิดว่าตอนนี้ยังไม่เหมาะค่ะ มาสเตอร์กำลังเที่ยวกับเพื่อนอยู่นะ คิดว่าเสียมารยาทค่ะ ถ้าเกิดคุยกันตอนนี้’
ให้ตายสิ เขินก็ไม่บอกตรงๆ ปากแข็งสมเป็นเธอ ก็ได้ ไม่อยากเล่า ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก
‘ไม่ค่ะ เรื่องนี้จำเป็นต้องเล่า’
…ก่อนหน้านั้นยังปากแข็งอยู่เลย
‘มันเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ ตลอดสามปีไม่เคยเล่าให้ฟังก็จริง…เพราะฉันลืม’
…เอาจริงดิ บอกว่าเรื่องสำคัญแท้ๆ
‘ขออภัย มันผ่านมานานแล้วด้วย ..ระหว่างเดินทางทำให้พึ่งนึกออก”
นั่นสินะ คนแก่มักจะหลงๆ ลืมๆ อยู่แล้ว ช่วยไมได้นี่นะ
‘ไม่ได้แก่ค่ะ เสียมารยาท อายุฉันหยุดตั้งแต่อายุได้ 500ปีแล้ว’
ขออภัยครับ ..แบบนั้นเรียกว่าวัตถุโบราณยังได้เลยมั้ง
หลังจากนั้นผมก็พูดคุยเรื่องต่างๆ เฮฮากับทั้งสามคน(ยูนาคอยขัดเป็นระยะๆ) ก่อนจะฟ้ามืดจึงกลับหอ
แต่ผมไม่ได้กลับไปเลย ผมมานั่งเล่นตรงสวนสาธารณะโรงเรียนตอนเวลาราวหนึ่งทุ่ม เพื่อคุยเรื่องสำคัญกับยูนา โดยเปิดประเด็นมาจาก ‘ความรักเป็นเรื่องธรรมชาติ’
ดูผิดกับอารมณ์เคร่งเครียดพิลึก แต่ก็เอาเถอะ
“แล้วเธออยากจะเล่าอะไรละ อุตส่าห์ชวนมาตั้งคลับเฮ้าส์”
“ค่ะ มาสเตอร์”
หญิงสาวตรงหน้าเธอมีเส้นผมสีม่วงมัดโพนี่เทล มีดวงตาสีม่วงอ่อน ผิวคล้ำเล็กน้อย สวมชุดฝึกของนักดาบ เป็นชุดที่เหมือนนักกีฬาเคนโด้ญี่ปุ่น ให้บรรยากาศประมาณสาวรุ่นพี่เข้มงวดสุดแกร่ง
เธอ หรือ ‘ยูนา’ ปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้าผม ด้วยร่างกายที่ประหนึ่งโฮโลแกรม
นี่เป็นการคุยทางจิตของพวกเรา เพราะฉะนั้นคนที่เห็นเธอได้จึงมีแค่ผมเท่านั้น เว้นแต่ว่าคนที่มีดวงตาพิเศษหรือพลังมหาศาล ..ตัวอย่างก็เคียวยะคนหนึ่ง ประมาณนั้น
“ถึงกับใช้ร่างจิตมาคุยกัน คงสำคัญจริงๆ สินะ”
“ค่อนข้างมากค่ะ มันอาจจะเกี่ยวกับเป้าหมายของฉันก็ได้ ..ในกรณีที่เลวร้ายนะคะ”
ไม่ชอบเลยแฮะ ไอคำว่า ‘กรณีที่เลวร้าย’ เนี่ย มันเหมือนกับล็อกผลเลยไม่มีผิด
ผมหยักไหล่อย่างหน่ายใจ
“เรื่องความรักมันไปเกี่ยวกับเรื่องเลวร้ายได้ไงกันนะ”
“ประมาณโศกนาฏกรรมค่ะ”
แบบนี้นี่เอง เข้าใจละ
“ขอฟังหน่อยสิ”
“รับทราบค่ะ”
ยูนาแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าสีมืดก่อนจะลำลึกถึงอดีตตัวเอง
“…เมื่อสมัยเด็กฉันมีสิ่งที่พิเศษกว่าคนอื่น รู้สึกว่ามันจะสามารถแยกโลกความจริงออกจากกันได้ค่ะ มันเป็นรูปแบบหนึ่งในการใช้มานา ประมาณความสามารถเฉพาะตัวบุคคลของฉันน่ะ ‘การตัดมิติ’ น่ะคะ”
‘การตัดมิติ’ อันเป็นเอกลักษณ์ของเธอนั่นเอง พลังที่ทำให้เธอยกตัวขึ้นไปสู้กับเหล่ามหามังกรได้
“แต่ฉันใช้ได้ไม่ดีพอคะ แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งมากแล้วก็ตาม แต่มันยังไปได้มากกว่านั้น …อาจารย์ของฉัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ราชาไสยศาสตร์ แรกต์’ เขาว่าไว้อย่างนั้นก่อนจะรับเด็กในป่าเขาอย่างฉันเข้าเมืองกรุงไปฝึกวิชา แล้วช่วงนั้นนั่นแหละ ที่ทำให้ฉันเจอกับคนคนนั้น …”
ยูนาดูลำบากใจเล็กน้อย
“เขาคนนั้น อายุน้อยกว่าฉันสองปี เป็นลูกของราชาแห่งไสยศาสตร์ เป็นนักไสยศาสตร์อัจฉริยะนามว่า ‘เรน’ เป็นเด็กที่ดีมากคะ มีอะไรลำบากก็จะช่วยตลอด หรือไม่ลำบากก็จะออกตัวช่วยตลอด เป็นเด็กดีเด็กขยันใฝ่รู้ ไม่โกรธโชคชะตาของตัวเองที่ถูกลิขิตไว้ให้วันๆ เอาแต่ฝึกวิชาไสยศาสตร์ตามผู้เป็นพ่อ เป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่โลกหาได้ยากคะ กับเด็กดีแบบนั้นฉันเองก็สนิทด้วย ..ไม่ได้ปากเสียใส่เหมือนกับมาสเตอร์ด้วยค่ะ”
“นี่หล่อน อย่าเอาฉันไปเป็นเครื่องอวยคนรักสิ”
“ไม่ใช่คนรักค่ะ …แค่เหมือนฉันจะชอบเขาฝ่ายเดียวมากกว่า”
…นั้นเหรอ
ยูนากุมอกตัวเอง ก่อนถอนหายใจออกมา
“หลังจากนั้นไม่นานฉันที่อายุ 14 ก็แยกจากที่โรงฝึกไปเป็นทหารให้อาณาจักรแห่งหนึ่งคะ ก่อนที่ไม่นานจะได้ขึ้นเป็นองครักษ์ของเจ้าหญิงที่ชื่อ ‘ซากุระ’ เป็นคนในหลุมศพเมื่อตอนนั้น”
คนที่ยูนารักที่สุดสินะ…ยูนากล่าวต่อ
“หลังจากที่เป็นองครักษ์ให้เจ้าหญิงได้ 6 ปี ลูกของราชาไสยศาสตร์อย่าง ‘เรน’ ก็เข้ามาเป็นทหารฝึกหัดที่กองทัพ …หลังจากนั้นก็เหมือนว่าฉันจะเริ่มตกหลุมรักเขาจริงๆ จังๆ ค่ะ คงเป็นเพราะวัยที่โตขึ้นไปด้วยกระมังคะ”
ยูนาพูดอย่างคิดถึง
“พวกเราคุยแลกเปลี่ยนอะไรกันมากมาย ระหว่างที่คุยฉันก็รู้สึกเจ็บตรงอกตลอด จนกระทั่ง…วันที่ฟัฟนิร์เข้ามาบุกอาณาจักรอย่างไม่สนอะไร และพรากเอาซากุระไปจากฉันคะ—-หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้คุยกับเรนอีกเลย ฉันปล่อยให้เขาเผชิญกับโลกอันโหดร้ายเพียงลำพัง และหันหลังให้กับคนที่ยังอยู่ด้วยกัน ฉันสนใจแต่คนที่จากไปแล้วโดยลืมคนที่อยู่ข้างหลังฉัน”
ยูนายิ้มเหยาะเย้ยตัวเอง
“ในตอนสุดท้ายของเรื่องราว ฉันจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่พราก ‘เรน’ คนเดิมไปคะ เนื่องจากหันหลังให้กับเขาแล้วทิ้งไว้คนเดียว ..ทำให้ ‘เรน’ กลายเป็นสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดที่กระหายในความอมตะ”
“…กระหายในความเป็นอมตะ?”
“ใช่ค่ะ ‘เรน’ คนใหม่ต้องการเป็นอมตะอย่างแท้จริง สงครามที่แย่งทุกสิ่งไปจากเขาทำให้เขาเกิดความคิดนี้ขึ้นมา จนทำถึงขั้น—-จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นอมตะ ไม่เว้นแม้แต่การฆ่าคนสำคัญของตัวเอง”
……
“ในท้ายที่สุดคนที่ไปจัดการเขาถึงที่ก็คือฉันเอง เพียงแต่ฉันไม่ได้สะสางเรื่องให้จบ ได้แต่ปล่อยให้ ‘เรน’ รอดตัวไปโดยที่ใช้เพียงลมปากสั่งห้ามเท่านั้น”
“..หรือว่าเรนนั่นจะ”
“ไม่ทราบค่ะ ตลอดสามปีมานี้ไม่รู้การเคลื่อนไหวเลย แต่ถ้าเกิดเขาทำตามที่ฉันบอกตอนนี้คงจากไปแต่โดยดีแล้ว แต่ถ้าไม่…คงจะมีคนต้องสูญเสียเพราะเขานับล้านคนแน่คะ”
ยูนาส่งแววตาที่จริงจังมาทางผมราวกับขอร้อง
“ถ้าเรนยังอยู่เขาจะเป็นเพียงแค่สัตว์ประหลาดผู้กระหายเท่านั้น …ในฐานะที่ฉันเห็นเขาเป็นคนสำคัญ ฉันจึงอยากขอร้องมาสเตอร์เรื่องหนึ่งคะ”
“ไม่ว่าอะไรฉันก็จะรับ”
ยูนาได้ยินก็ยิ้มให้ผม และโพ่งออกมา——–
“—–ช่วยฆ่าเรนให้ทีค่ะ”
“เข้าใจแล้ว ถ้าเกิดเรนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ …ฉันจะฆ่ามันเองกับมือให้ดู”
ยูนาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มให้ผม
“ขอบพระคุณมากค่ะ”
“ระหว่างพวกเรา ไม่จำเป็นต้องมีคำว่าขอบคุณหรอก ..แค่พูดเป็นมารยาทพื้นฐานก็พอ”
ทีนี้พวกเราก็มีเป้าหมายจริงๆ จังๆแล้ว ของผมคือการช่วยเหลือเบลลามี และพวกคนที่ผมสนิทด้วยจากความตาย ส่วนของยูนาคือการก้าวข้ามอดีตและลงมือฆ่าเรน หากเขาไม่ยอมตายแต่โดยดี …
….ก้าวข้ามอดีต?
“ยูนา ขอถามอะไรแปลกๆ หน่อยสิ”
“รับทราบค่ะ มาสเตอร์แปลกอยู่แล้วหายห่วงได้”
“…เธอก้าวข้ามอดีตได้หรือยัง?”
ยูนาเงียบลงในทันที เพราะเห็นภาพยูนาด้วยเลยรู้สีหน้าเธอดี—-เหมือนจะเขินเล็กน้อย
“พูดเรื่องแบบนั้นมันน่าอายนะคะ เหมือนกับอดีตอันดำมืดเลย”
เป็นเด็ก ‘จูนิเบียว’ เรอะหล่อน
“…ไม่รู้สิคะ แต่ตอนนี้ฉันอยากจะเคลียร์ปัญหาเรนมากกว่าคะ”
…แบบนี้นี่เอง
คำตอบของยูนาทำให้ผมพึงพอใจทีเดียว
“ทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดสินะ เข้าใจแล้ว”
“ฮือ?”
“ไม่มีอะไรหรอก—-กลับกันเถอะยูนา มืดมากแล้ว ฉันอยากจะนอนไม่ไหวละ”
ยูนาเอียงคอสงนก่อนที่จะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“รับทราบค่ะ”
ว่าจบร่างกายทิพย์ของเธอก็สลายหายไป เหลือเพียงแต่ผมท่ามกลางความมืดเท่านั้น
“…กลับดีกว่า”
*******
ผมเห็นมัน เห็นอะไรบางอย่าง
ในห้วงเวลาที่นับอนันต์ผมเห็นอะไรบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่แสนจะยิ่งใหญ่
อะไรบางอย่างนั้นค่อยๆ ปรากฏให้เห็นแน่ชัด
… ‘ยูจิ’ เขากำลังนั่งอยู่บนกองศพนับพัน บรรยากาศต่างไปจากเดิมมากราวกับคนละกันไม่มีผิด แววตาว่างเปล่า รอบตัวถูกม้วนไปด้วยหัตถ์สีดำน่าขยะแขยง แล้วก็ร่างของคนที่เลืองลางไปมา นั่นคงจะเป็นเหล่าวิญญาณระดับเทพในครอบครองของยูจิ หนึ่งในนั้นเองก็มี ‘ยูนา’ ด้วย…
‘ยูจิ’ ผู้น่าเกรงขามมองไปเบื้องหน้าและเอ่ยทักอย่างนิ่งสงบ
“—-มาแล้วสินะ ‘เรน’ ”
ชื่อของ ‘เรน’ ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับชายคนหนึ่งผู้มีบรรยากาศลึกลับ
ไม่เห็นหน้าแน่ชัด รูปร่างก็ไม่แน่ชัด แต่เขากลับดูน่ากลัวอย่างน่าขนลุก
“แหม่ๆ เล่นใหญ่น่าดูเลยนะครับนายท่าน” ชายที่ไม่แน่ชัดโค้งศรีษะ และผายมือออก เป็นการแนะนำตัวที่เป็นทางการต่างกับน้ำเสียง
“เล่นใหญ่นั่นสินะ….นั่นสินะ”
ยูจิกล่าวขึ้ยเบาหวิว ราวกับสติของเขาลอยไปไหนแล้วไม่รู้ ..
“ต้องอีกกี่ครั้งกันนะ อีกกี่ครั้งถึงจะพอ”
“หมายถึงเรื่องอะไรหรือครับ?” เรนกล่าวทั้งรอยยิ้มอันทุเรศ
“—หมายถึงการฆ่าแกไงละเรน แล้วก็”
พลันใดนั้นศพนับพันที่ถูกทับอยู่ก็ปรากฏออกมา เป็นร่างที่ไม่แน่ชัดเหมือนกับชายที่ชื่อ ‘เรน’
ภาพที่น่าตกใจนั้นไม่ได้ทำให้ ‘ยูจิ’ ตะลึงเลย เขาเหมือนจะไปสนใจอย่างอื่นมากกว่า
ยูจิแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า
“แล้วก็…อีกกี่ครั้งกันนะ เรื่องมันถึงจะจบได้ ฉันต้อง…ต้องพยายามอีกแค่ไหนกันนะ”
คำพูดนั้นแสนจะเข้าใจยาก เพียงแต่—-มันมีอะไรบางอย่างอยู่ในทุกถ้อยคำ
“ให้ผมดูอนาคตให้มั้ยครับนายท่าน?”
“…นายเก่งเรื่องนี้สินะ”
“ใช่ครับ เก่งสุดๆ เลย—–อา แหม่ๆ”
เรนทำท่าทางกวนประสาท และทำท่าใช้วงกลมที่มาจากการประสานนิ้วดู
“แหม่ๆ ให้ตายสิ ให้ตายสิ ให้ตายสิ!”
“…ผลเป็นยังไงละ”
“ว่างเปล่าครับผม น่าขันเนอะครับนายท่าน?”
ยูจิได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างแปลกประหลาด เป็นเสียงหัวเราะที่ไร้ซึ่งอารมณ์และแหบแห้ง
“…ให้ตายสิ ต้องอีกกี่ครั้งกันนะ…ไม่รู้จบสักที เปลี่ยนแปลงทุกครั้งแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ ทำไมกันนะ”
“นั่นสินะครับ ทำไมกันนะ?”
“อ่า ใช่…ทั้งหมดก็เป็นเพราะพวกแกไงละ!ช”
ยูจิพูดจบร่างของเรนก็หายไปในพริบตาเดียว บนพื้นมีเพียงเศษเลือดเท่านั้น
ยูจิเท้าคางตนเอง พลางมองไปข้างหน้า—เรนกลับมาดั่งทุกครั้ง
“…ต้องอีกกี่ครั้งกันนะเรน ทุกอย่างถึงจะจบลง”
“ไม่รู้เช่นกันครับนายท่าน——-เพียงแต่”
เรนฉีกยิ้มออกมา
“ผมยังเล่นกับนายท่านต่อได้ยาวเลยนะ”
รอยยิ้มอันน่าขยะแขยงนั่นทำให้ยูจิสะบัดมือสลายร่างของเรนในพริบตาเดียวอีกครั้ง
“…อา”
ยูจิมองย้อนกลับไปยันกองศพนับพัน ก่อนจะมองไปที่โลกใบนี้—-บนโลกที่ไร้ซึ่งผู้คน โลกที่มีแต่ความมืดและทะเลเพลิง
ไร้ซึ่งผู้คนแม้แต่คนเดียว แล้วสิ่งตรงหน้าอย่างเรนก็ไม่นับว่าเป็นคนแล้วด้วย ..
…ยูจิถอนหายใจอีกคราว
“อีกแล้วสินะ ครั้งนี้เองก็เหมือนเดิม …ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว”
ยูจิยกมือขึ้นฟ้า
“–พอแล้ว”
เขาพึมพำเบาหวิว
“…จะเอาอีกครั้ง ต่อให้ต้องเล่นเกมบ้าบอนี่อีกเป็นล้านต่อล้านครั้ง ฉันก็จะไม่ยอมแพ้…เพราะคนที่ช่วยโลกใบนี้ได้ มีแค่ฉันไงละ มีแค่ฉันเท่านั้นที่จะช่วยทุกคนได้…รอก่อนนะทุกคน ฉันจะไปช่วยเดี่ยวนี้”
ยูจิกล่าวจบก็เกิดแสงสีขาวปกคลุมทั่วทั้งโลก—–ไม่สิ ทั่วทั้งสรรพสิ่ง กาลเวลา ความเป็นจริง เส้นขนาน โลก จักรวาล ทุกอย่างถูกแสงสีขาวปกคลุม
…ก่อนที่เวลาจะได้เริ่มนับใหม่อีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ
ทว่าความเป็นไปได้แม้จะเศษเชี่ยวเปอร์เซ็นต์ก็ยังมีอยู่—-สิ่งแปลกปลอมได้ปรากฏออกมาเป็นครั้งแรกจากล้านต่อล้านครั้ง
ยูจิมองแสงสีประหลาดนั่น ก่อนที่จะอมยิ้มกับตัวเอง
“ความเป็นไปได้นั้นรึ”
…จะอย่างไรก็ช่าง
“—–ทุกอย่างยังไงก็เหมือนเดิมอยู่ดี…ฉันจะช่วยทุกคนเอง” ยูจิกำหมัดแน่นและประกาศกร้าวออกมา “ด้วยตัวของตัวเองเท่านั้น! ฉันจะช่วยทุกคนเอง!!”
กล่าวจบแสงสีขาวก็วูบดับลง พร้อมกับ…โลกก็ได้เกิดขึ้นมาใหม่อีกคราว
ทว่าครั้งนี้กลับมีตัวแปรประหลาดติดมาด้วย——นั่นก็คือชายที่ชื่อ ‘เรเซอร์’
******
…..ประหลาด
ผมตื่นขึ้นมาจากฝันอันยาวนานแสนประหลาด
“…เป็นฝันที่ประหลาดชะมัด”
ผมพึมพำออกมาก่อนที่จะพลิกตัวซุกกับหมอนและหลับต่อ
…….
……
…..
“…ต้องชนะให้ได้สินะ ครั้งนี้”
ผมโพ่งขึ้นมาอย่างไม่ได้คิดอะไร ก่อนที่จะหลับไปอีกครั้ง
MANGA DISCUSSION