< < 227 > >
ภายหลังจากเหตุการณ์ปริศนา รอยกระจกแตก และแสงสีม่วงที่ปกคลุมทั่วทั้งสนามรบจบไป สงครามก็ได้จบสิ้นพร้อมๆกัน ทูตสวรรค์ เผ่าพันธ์จากสวรรค์ รวมถึงวิญญาณระดับเทพได้ถอยทัพตามคำสั่งของมิคาเอล เช่นเดียวกัน อาร์คเดม่อน ปีศาจมหาบาป และพวกพ้องของเรเซอร์ที่เหนื่อยล้าก็ต่างวางมือกับสงครามครั้งนี้ ..แน่นอน เอเธอร์เป็นคนเดียวที่ไม่คิดจะวางมือ เนื่องจากว่าเอเธอร์ไม่ได้คิดฟังมิคาเอลอยู่แล้ว เขาจึงถูกมิคาเอลใช้อุปกรณ์บางอย่างจับวาร์ปไปที่อื่น สุดท้ายก็จบลงอย่างนี้
แพ้หรือว่าชนะกันนะ?
จอมมารดิลุคตั้งคำถาม พลางมองผลลัพธ์จากการต่อสู้ครั้งนี้
“..ตัดสินใจถูกต้องรึเปล่านะตัวเรา”
วิญญาณระดับเทพที่จะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเธอ การต่อสู้ต่อจากนี้ที่ยากลำบากยิ่งกว่าเดิม–ทั้งยังต้องสู้กับเทพมังกรในบทสรุปอีก
ปีศาจมหาบาปทุกตนที่บาดเจ็บสาหัส พวกของเรเซอร์ที่เหนื่อยล้าเต็มทน และ ..เรเซอร์ที่ล้มทั้งยืนอยู่กลางสนามรบ
หากดำเนินแผนการณ์เดิมต่อไปมันจะดีกว่านี้รึเปล่า? แม้จะนึกสงสัยขึ้นมา แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะย้อนกลับไปทำเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะมันแสนจะเจ็บปวด ตอนนี้เธอเลือกทางเลือกที่เห็นแก่ตัว และเอสบายเป็นอันดับหนึ่ง
ช่างเป็นจอมมารที่น่ารังเกียจอะไรขนาดนี้ ดิลุคนึกตำหนิตัวเองทั้งรอยยิ้ม
****
“…สู้เอเธอร์ไม่ได้เลยสินะ”
เคียวยะนอนมองท้องฟ้าอยู่ในป่าใกล้เคียง เขาพึ่งจะได้สติหลังจากพ่ายแพ้ให้แก่เอเธอร์ไป ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เคียวยะจึงรอดชีวิตมาได้แบบหวุดหวิด เจ้าตัวพยายามจะร่าย [ฮิล] รักษาตัวเอง แต่วงจรเวทย์ในตัวเละเทะไปหมดจากการต่อสู้ ทำให้ไม่เป็นผล มีแต่ต้องรอเท่านั้น ..แต่หากปล่อยให้เลือดไหลมากกว่านี้ละก็
ดวงตาของเคียวยะปิดลงอย่างช้าๆ
‘อย่าตายนะ เคียวยะ!!!’ โครินบินวนไปมาอย่างกับแมงวี่
ใช่ อาจจะตายจริงๆก็ได้
“หนวกหูน่า”
‘ตะ ตะ แต่ว่า!!’
ไม่มีแต่ โวยวายไปก็ไม่ได้อะไรด้วย เก็บแรงหาวิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์ตอนนี้จะดีกว่า ..ก่อนอื่น
“อย่าตายนะ!!”
“บอกว่าหนวกหูไงโว้ย ไอ้โคริน! คนกำลังใช้ความคิด!”
‘ฉันเปล่าพูดนะ!’
“..หา?”
เคียวยะลืมตาตื่น และสังเกตุเห็น ‘เมอัน’ ที่วิ่งมาหาตัวเอง
“โดนใครเล่นงานมาเหรอ?”
“ไม่บอกเว้ย ถ้าจะรีบรักษาก็รีบๆซะ มีอย่างอื่นต้องไปทำต่อ”
“ขะ เข้าใจแล้วค่ะ”
เมอันช่วยรักษาเคียวยะอย่างว่าง่าย เธอมองเคียวยะสลับกับมองพื้นที่รอบๆที่เละเทะจากการต่อสู้ รวมถึงเศษซากของ ‘การ์ป’ และ ‘เทพแห่งธรรมชาติ’ ‘เอโด-เวโด้’ เห็นอย่างนั้นเมอันก็หรี่ตาลงอย่างเศร้าใจ แม้จะแค่ชั่วครู่เดียว แต่เธอก็ได้แลกเปลี่ยนความทรงจำกับสองคนนั้น
“พี่ชาย พยายามเต็มที่แล้วสินะคะ”
“..ยัง ฉันควรจะทำได้ดีมากกว่านี้”
“แต่ว่า ..ต้องรั้งลูซิเฟอร์กับเอเธอร์ไว้เลยนะ พี่ชายทำดีที่สุดแล้ว”
“ก็บอกว่าแค่นี้มันยังไม่พอไงเล่า”
เคียวยะกัดฟันกรามแน่น และร้องไห้ออกมา
‘ร้องไห้อีกแล้ว’ โครินกับเมอันคิดในใจด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นในใจพิลึก
“แค่นี้มันไม่ได้โว้ย!”
เคียวยะปิดหน้าของตัวเองด้วยมือทั้งสองข้าง เพื่อปกปิดน้ำตาแสนน่าอับอายที่เกิดขึ้น ..โดยไม่รู้ตัว เมล็ดพันธ์ุบางอย่างได้เข้าสู่ตัวของเคียวยะ
ตั้งแต่วินาทีที่ลูซิเฟอร์กลายเป็น ‘ทูตสวรรค์’ อีกครั้ง อำนาจมหาบาปแห่งความเย่อหยิ่งก็ได้ปฏิเสธลูซิเฟอร์ และเลือกเจ้าของคนใหม่ทันที ….เมล็ดพันธ์ุสีดำไต่เข้าสู่ร่างกายของเคียวยะ— ‘อำนาจมหาบาปแห่งความเย่อหยิ่ง’ กำลังจะถือกำเนิดขึ้นในตัวของเคียวยะ
****
หลังจากสงครามจบไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ข่าวสารก็กระจายไปทั่วทั้งโลก ทั้งจริงและไม่จริงมากมาย แต่ที่แน่นอนอีกไม่นาน ตัวแทนของสภาโลกก็จะโผล่มาพูดคุยกับ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ ผู้นำของจอมมารคนปัจจุบัน
ไม่ทราบว่าจะมีใครมาบ้าง แต่จำเป็นต้องมีเรเซอร์เป็นตัวกลางในการพูดคุย ทว่า .. เรเซอร์ ดราแคล์ อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
เกิดเหตุการณ์หลายๆอย่างขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องที่ดิลุคยอมเข้าพวกกับเรเซอร์ การหายตัวไปของแมมม่อนและลูซิเฟอร์ หรือวิญญาณระดับเทพหวนคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ภายใต้คำสั่งของทูตสวรรค์ แต่ว่าเรื่องที่ทำให้เรเซอร์ช็อคที่สุดน่าจะไม่พ้นเรื่องที่คนสำคัญของเขา ‘ยูนา’ จะต้องลงนรกในอีกเจ็ดวัน
“ “..เรเซอร์” ”
‘ดิลุค’ พร้อมด้วย ‘เบลลามี’ ยืนอยู่ข้างๆเรเซอร์ที่นั่งทรุดลงกับพื้นมานับชั่วโมง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ดวงตาดูว่างเปล่า แม้แต่เสียงหายใจยังแทบจะไม่มี
“ยูนา เธอเล่นของใส่เรเซอร์รึเปล่า?” ดิลุคถาม
“ไม่เกี่ยวกับฉันค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่า–เป็นปัญญาเรื่องจิตใจของมาสเตอร์มากกว่าปัญหาของฉันนะคะ”
ไม่ไกลกัน วีรสตรียูนาผู้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง เธอนั่งอยู่กับพื้นด้วยท่าทางที่นิ่งสงบจนผิดสังเกตุ
ไม่เป็นห่วงเรเซอร์เลยเหรอ? ทั้งดิลุคและเบลลามีก็คิดไปในเสียงเดียวกัน
“ดูท่าเธอจะสำคัญกับเรเซอร์มากจริงๆนะ”
“นั่นสินะคะ” ยูนาตอบกลับอย่างเย็นชา “แล้วจะเอาอย่างไรต่อหรือคะ? อีกไม่นานคนจากสภาโลกจะโผล่มาเจรจาด้วย ลำพังแค่จอมมารอย่างคุณพูดคุยคงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ ยังไงพลังของมาสเตอร์ในการเจรจาก็ยังสำคัญอยู่ดี คิดวิธีปลุกได้หรือยังคะ?”
“เทียบกับเธอ ตัวเราน่าจะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรเซอร์มากมายนัก ยินดีเสีย”
“เทียบชั่วโมงบินแล้วก็คงใช่ค่ะ”
“เพราะอย่างนั้นเลยถามได้แค่เธอ ต้องทำยังไงถึงจะดีเหรอ?”
ยูนาครุ่นคิด และตอบกลับ
“วิธีปลุกมาสเตอร์ไม่มีหรอกค่ะ เรื่องแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นในอดีตเหมือนกัน ..ราวสองครั้งที่มาสเตอร์สูญเสียสิ่งสำคัญไป เขาจะอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อมพูดคุยกับใครทั้งนั้น ราวๆครึ่งวันก่อนจะได้สติ เป็นหนึ่งในกลไกป้องกันตัวทางจิตใจที่แปลกประหลาดของมาสเตอร์ค่ะ”
“หืม? นานไปหน่อยนะ ไม่ทันเวลาเจรจาแน่นอน”
“คงจะอย่างนั้น”
ดิลุคพยักหน้ารับ และทำการถีบเรเซอร์จนล้ม
“ใช้แรงสะเทือนใส่ก็ไม่น่าตื่นเหมือนกันอีก ขี้เซ้าจริงๆนะเรเซอร์เนี่ย”
“อย่ารุนแรงกับเรเซอร์นะ”
เบลลามีเดินเข้ามากางแขนขวางทาง ยากจะบอกว่าเธอกำลังรู้สึกอะไรอยู่ เพราะใบหน้าเรียบเฉยทุกเวลา แต่น้ำเสียงที่โพล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยน้ำโขไม่ผิดแน่ ดิลุคเข้าใจดี
“ใช่เวลาที่ต้องมาอ่อนโยนด้วยที่ไหนกัน ตัวเราเบลลามี คนอื่นๆนอกจากเรเซอร์ตอนนี้ก็กำลังเตรียมการณ์สำคัญอยู่นะ หลังจากจบสงครามก็ยังต้องวิ่งวุ่นทำอะไรหลายๆเรื่อง อีกไม่นานก็ต้องคุยกับตัวแทนของสภาโลกด้วย ทั้งอย่างนั้นเรายังไม่ได้พูดคุยกับพวกคนของเรเซอร์เลย ปราศจากการอธิบายของเรเซอร์ คิดว่าจอมมารอย่างเราน่าเชื่อถือพอจะเจรจาทั้งกับพวกเรเซอร์ และกับคนจากสภาโลกรึ? เพราะอย่างนั้นนี่แหละ รีบๆตื่นได้แล้ว เรเซอร์ นายต้องมาเป็นตัวกลางการพูดคุยของพวกเรา”
“ร่างกายเรเซอร์ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ถึงขีดจำกัดไปแล้ว”
“สรุปคือเราต้องเจรจาทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวสินะ”
“…..”
“ตอบว่า ‘ใช่’ มาสิ ไม่มีคำก่นด่าจากปากเราหรอก”
“…ใช่แล้วละ”
“เข้าใจแล้ว จะเอาอย่างนั้นก็ได้”
เบลลามีกระพริบตาปริบๆด้วยความงง เธอนึกว่าจะโดนดิลุคด่าเข้าให้แล้ว–ดิลุคส่งยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์
“ถ้าไม่ไหวเราก็จะทำเอง แม้จะยากลำบากแต่เราก็ต้องทำ ..เหมือนกับที่เรเซอร์ทำมาโดยตลอด” ดิลุคเชิดหน้าพร้อมกับเดินไปทางอื่น “ในวันที่เรเซอร์ไม่ไหวก็เป็นหน้าที่ของพวกเราไมใช่รึไง ตัวเราเบลลามี”
“…อือ พวกเราจะจัดการที่เหลือต่อเอง”
กล่าวจบ พวกเธอก็ส่งยิ้มให้กันและกัน เบลลามีหันไปคุยกับยูนาต่อ
“ช่วยดูแลเรเซอร์ด้วยนะ”
“ในสถานการณ์แบบนี้ให้ฉันอยู่เฉยๆจะดีหรือคะ? ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องใช้คน–”
“ยูนามีหน้าที่คอยดูแลเรเซอร์ ตอนที่อ่อนแอแล้วไง”
ยูนาเบิกตาโพลงกว้างด้วยความแปลกใจ เธอหันไปสบตากับเบลลามี ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
“..ยูนาเข้าใจเรเซอร์ดีที่สุด เพราะอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด–น่าปวดใจ แต่ว่าถ้าเรเซอร์ตื่นมาแล้วเจอยูนา แทนที่จะเป็นเรา เรเซอร์น่าจะดีใจกว่าเป็นไหนๆ”
เหมือนกับคำว่า ‘อรุณสวัดดิ์ มาสเตอร์’ ที่ยูนามักจะพูดกับเรเซอร์เสมอในเช้าของทุกวัน เช่นเดียวกับตอนที่กำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญ ถ้าตื่นมาเจอกับยูนาที่สำคัญกับเขายิ่งกว่าใครๆ จิตใจคงจะได้รับการเยียวยาไม่มากก็น้อยนั่นแหละนะ ..เบลลามีคาดเดาไว้อย่างนั้น
“เรื่องนั้นไม่จริงหรอก มาสเตอร์คลั่งรักคุณเสียจนน่าขนลุกขนาดนั้น”
“เราอ่านเจอจากในหนังสือน่ะ เรเซอร์อาจจะรักเราที่สุดในแง่นั้นก็เป็นไปได้ แต่ว่าความรักในฐานะคนสำคัญของยูนาไม่มีทางน้อยกว่าใครหน้าไหนหรอกนะ อย่างน้อยๆในเวลาที่เจ็บปวดที่สุด ..การอยู่เคียงข้างคนสำคัญแบบยูนานั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด”
“แม้ว่าตัวฉันจะเป็นต้นเหตุของสภาพมาสเตอร์ในตอนนี้น่ะเหรอคะ?”
“ช่วยให้เรเซอร์กอดทีนะ หลังจากที่เขาตื่นแล้ว”
“..ไม่รับปากหรอกนะคะ เรื่องนั้น”
“น่าเสียดายนะ”
เบลลามียิ้มให้อย่างเย็นชา แต่ยูนาเองก็รู้ดีว่าเธอยิ้มเป็นแต่แบบนี้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในร่างกายของเรเซอร์แล้ว เลยไม่ใส่ใจรึตะขิดตะขวงใจอะไร
สุดท้ายหน้าที่ของวีรสตรีอย่างเธอก็มีแค่เฝ้าคนสติหลุด เบลลามีกับดิลุคเดินตรงไปที่จุดๆอื่น ปลายทางน่าจะเป็นการเจรจาให้พวกพ้องของเรเซอร์ และคนจากกองทัพจอมมารเข้าใจเป้าหมายตรงกัน ก่อนที่จะไปจบที่การรับมือกับคนจากสภาโลก …ไม่ต่างอะไรกับการตัดสินชะตากรรม ไม่เพียงแต่เป็นศัตรูกับกลุ่มทูตสวรรค์ และเทพมังกร หากเจรจาล้มเหลวก็อาจมีศัตรูเป็นสภาโลกด้วยเหมือนกันอีก
เวลาสำคัญขนาดนี้ มาสเตอร์คนนี้ของเธอกลับเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ ..
“น่าสมเพซเกินไปแล้วนะคะ มาสเตอร์ อุตส่าห์มีคนรักที่แสนดีขนาดนี้ แต่กลับมาจมปลักกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ..ตัวฉันสำคัญมากพอจะทำลายสิ่งที่มาสเตอร์ปารถนามาโดยตลอดเลยหรือคะ?”
“…..”
ยูนาหัวเราะพึมพำในลำคอ เธอลุกขึ้นยืน หันซ้ายขวาสังเกตุรอบข้าง ก่อนจะตรงมานั่งข้างๆเรเซอร์แทน ไม่อยากจะให้ใครรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร มันอาจไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับคนอื่น แต่สำหรับยูนามันน่าอายสุดๆ
ยูนาให้เรเซอร์ยืมไหล่ของตัวเองเพื่อพิงนอน ใช่ นี่แหละเรื่องที่น่าอับอาย เพราะปกติวางท่าด่ามาสเตอร์คนนี้ตลอดเวลา การทำให้อ่อนโยนด้วยแบบนานๆครั้งมันจึงน่าอับอายที่สุด
แม้จะแก่ปูนนี้แล้ว แต่ความรู้สึกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับช่วงวัยรุ่นเลย ..
“รู้รึเปล่าคะ? ว่าตอนที่คุณเจ็บปวด ..ฉันเองก็ผล็อยรู้สึกเหมือนกัน ถ้ามีกลไกป้องกันตัวไม่รับรู้เรื่องราวแบบมาสเตอร์เหมือนกันละก็ คงจะดีไม่น้อย”
…….
“พูดไปก็คงจะไม่ได้ยิน แต่ว่า..มาสเตอร์—ฉันเองก็ไม่อยากแยกจากมาสเตอร์เหมือนกันหรอกนะคะ”
…..
“เพราะอย่างนั้น ช่วยอย่าทำตัวเหมือนโดนทิ้งจะได้รึเปล่าคะ?”
****
เบลลามีก้าวไปพร้อมกับดิลุค คนๆเดียวกันก้าวไปพร้อมกัน ทั้งสองซึ่งเป็นคนๆเดียวกันจับมือเพื่อให้กำลังใจกันและกัน
“เช่นนั้นก็”
“อือ”
“จัดการในส่วนที่เหลือ จนกว่าเรเซอร์จะตื่นกันเถอะ ตัวเราเบลลามี”
“เข้าใจแล้ว ตัวเราดิลุค”
จอมมารทั้งสองตนได้ประกาศการประชุมครั้งใหญ่ขึ้น ก่อนที่จะคนจากสภาโลกจะมาถึง—มีเวลาอีกสองชั่วโมง
< < ช่วงคุยกับผู้แต่ง > >
ตอนนี้กลับมาลงแล้วนะครับ ขอโทษด้วยนะครับที่มาๆหายๆตลอดเลย พอดีว่าหูอักเสบน่ะครับ แต่ผมก็พยายามเขียนทีละนิดๆให้ต่อๆกันนะ ตอนนี้ก็มีดองไว้ประมาณเจ็ดถึงแปดตอน จะทยอยลงทั้งหมดภายในสามวัน จากนั้นก็ปั่นต่อยาวๆนะครับ
เป้าหมายตั้งแรกคือเขียนให้จบภายในเดือนนี้ ซึ่งผมเขียนได้ช้ากว่าที่คาดเอาไว้เยอะเลย เนื่องจากหมดแรงเขียนบ่อยๆ (ฮา) บางคนอาจสงสัยว่าไม่ต้องรีบเขียนก็ได้นิ ก็ใช่ครับ แต่คือผมมีเหตุจำเป็นที่ต้องเร่งเขียนให้จบในเดือนนี้น่ะครับ
เดือนหน้าผมมีหลายอย่างที่อยากจะทำ ถ้าทิ้งงานเขียนแล้วไปทำอย่างอื่นแทนเลย ผมได้รู้สึกผิดในใจจนกลายเป็นคนล้มเหลวในชีวิตแน่นอนครับ สภาพคนล้มเหลวในชีวิตไม่มีทางประสบความสำเร็จกับอะไรอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ในความคิดของผมคนเดียวนะ เพราะนั้นถ้าทำงานเขียนให้จบได้ แล้วเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่อยากทำต่อแบบไม่มีรอยต่อเลย ผมก็จะกลายนเป็นคนโคตรประสบความสำเร็จในความคิดตัวเองครับ ด้วยเหตุนั้นเองในอีกยี่สิบวันสุดท้ายจะสปีดรันเขียนจริงๆจังๆแล้วครับ
อนึ่ง เรื่องปัจจุบันที่เขียนจะเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของผมนะ หลังจากนั้นจะพักการเขียนยาวเลย อาจจะสี่หรือห้าปี ไม่ก็มากกว่านั้นก็ได้ สมมุติในอนาคตถ้าผมกลับมาเขียนแล้วยังจำกันได้ก็แวะมาทักทายได้นะครับ (ฮา)
MANGA DISCUSSION