< < 244 Sec3 > >
สิ้นสุดคำประกาศ และคำเตือนโดย [เมเธโอเบิร์ส] ของผม พื้นดิน และชีวิตของเผ่าพันธ์ุจากสวรรค์มากมายก็ได้ดับสูญไป บนผืนดินถูกย้อมด้วยเปลวเพลิงจาก [เมเธโอเบิร์ส] เปลวเพลิงตีเส้นแบ่งฝั่งไปมามั่วซั้วเอาไว้ ทั้งยังมีหมอกควันปกคลุมทุกๆพื้นที่จนแทบจะมองไม่ออกว่าแถวไหนเป็นแถวไหน
ตัวผมบินจอดลงสู่พื้นฝั่งของเผ่าพันธุ์บนสวรรค์ พร้อมกับเบลลามี ดิลุค และแอสโมเดียส
สภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นหลังจากการระเบิดครั้งใหญ่นั้นย่ำแย่กว่าที่คิด คาดเดาว่าภูมิประเทศบริเวณนี้มันน่าจะเปลี่ยนไปอีกนานแสนนานเลยละนะ ..แม้แต่ผมยังแอบตกใจเองเลย
ว่ากันตามตรง เวทมนตร์ที่ใช้นี้ผมใช้เป็นครั้งแรก จากการสอนปากเปล่าของดิลุค เธอบอกว่าผมมีการาวิเทียที่ควบคุมแรงโน้มถ่วงได้อยู่ มันจะทำให้ผมสามารถใช้ [เมเธโอเบิร์ส] เวทมนตร์ขั้นบรรลุในตำนานโดย ซึ่งนี่ถือว่าเป็นหนึ่งในเวทมนตร์ธาตุพิเศษที่แตกต่างกับปกติ เพราะมันมีส่วนผสมระหว่างดินกับเพลิงอยู่ แล้วก็ไม่ใช้อีกสี่ธาตุที่แยกมาอย่าง น้ำแข็ง,สายฟ้า,แสง,ความืด อีกด้วย
เอาเป็นว่าสุดยอดจริงๆและภูมิความรู้ของดิลุคเนี่ย ผมนึกชื่นชมดิลุคในใจพลางยืดเส้นยืดสายของตัวเอง
“ท่านเรเซอร์ ไม่จัดหนักไปหน่อยเหรอครับนั่น”
“ช่วยไม่ได้นี่ ดิลุคบอกให้ทำ”
“อย่าโยนให้เราสิ คนที่ตัดสินใจในท้ายที่สุดคือตัวเรเซอร์เองไม่ใช่รึ?”
จะว่าอย่างนั้นก็ใช่แฮะ ..หืม?
เสียงตบมือดังขึ้นแทรกการสนทนาของพวกผม พวกเราหันไปมองตามทิศทางของเสียงนั้นและพบเข้ากับคนคุ้นหน้า
“อ๊ะ…เอเธอร์”
“สุดยอดเลยนะครับ”
‘เอเธอร์’ โผล่มาข้างหลังโดยที่ผมไม่รู้สึกตัว อาจจะเป็นเพราะพึ่งจัดชุดใหญ่ไป ทำให้การรับรู้ของผมมันผิดเพี้ยนเข้ากระมัง?
ไม่ใช่แค่เอเธอร์ ราวกับนัดกันมา
‘ยูจิ’ เองก็โผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง แต่มาคนละทางกับเอเธอร์นะ นอกจากยูจิยังมี ‘มิคาเอล’ ที่บินมาเหนือหัวพวกผมด้วย เธอมองเหยียดจอมมารทั้งสามเบื้องล่างอย่างเห็นได้ชัด
“ในที่สุดก็รวมกลุ่มกันจนได้นะคะ พวกจอมมารเหม็นกลิ่นสาป”
“เงียบไปเถอะ พวกทูตสวรรค์ไม่อาบน้ำ เก่งแต่จะอ้างความชอบธรรมถึงความบริสุทธิ์ของตัวเอง” ดิลุคสวนกลับอย่างรุนแรง
“ต่อให้ไม่ต้องอาบน้ำ สิ่งสกปรกบนโลกก็ไม่มีผลกับพวกเราค่ะ คิดว่าฉลาดพอจะทราบได้ แล้วก็ไหนๆก็ไหนๆแล้ว อุตส่าห์มารวมตัวกันอย่างนี้ ให้ลงมือฆ่าทิ้งในทีเดียวเลยจะดีรึเปล่าคะ?”
มิคาเอลดึงเอา ‘ดาบแห่งดวงดารา’ ‘อัสโตรเฟย์’ ออกมา พร้อมกับปีกที่กางออก ร่างของเธอห่อหุ้มด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อำนาจแห่งสวรรค์
ทูตสวรรค์ มิคาเอล ทูตสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุด ตัวตนผู้ถือครองสมบัติของราชาผู้พิชิต ..เอาเป็นว่าอะไรหลายๆอย่างนั้นยากจะคาดเดา เลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยงแฮะ ไอผมไม่ใช่พวกบ้าพลังที่เดี่ยวได้กับทุกคนด้วยสิ กลัวจะเป็นเหมือนตอนสู้กับเอเธอร์ที่จู่ๆก็โดนดับเครื่องเสียดื้อๆ
เลี่ยงได้ก็เลี่ยง ..
“เราจัดการเอง”
“ดิลุค?”
ดิลุคยกขาขึ้น และกระแทกพื้นหนึ่งที เปลวเพลิงสีขาวพุ่งไปตามคำสั่งของเธอ–มิคาเอลบินหลบ ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์มากมายรวมอยู่ข้างหน้าเธอ ทุกอย่างรวมเป็นจุดๆเดียวและพุ่งออกไปประหนึ่งแสง ดิลุคแสยะยิ้ม พร้อมด้วยเพลิงสีขาวจำนวนมหาศาลที่โอบอุ้มเธอ จากนั้นการต่อสู้ของทั้งสองก็เริ่มขึ้น
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
พลังทำลายล้างที่เว่อรวังค์นั่นทำให้ทุกชีวิตแถวๆนี้ปลิวไปคนละทิศคนละทาง—
รู้ตัวอีกที แอสโมเดียสก็หายไป เหลือแค่เบลลามีที่น่าจะโชคดีปลิวมาทางเดียวกับผม เธอปกป้องตัวเองด้วยเพลิงสีดำ และตัวสั่นอย่างกับลูกกวางพึ่งตื่น
“สุดยอดเลย อย่างกับขึ้นรถไฟเหาะ”
“เปรียบเทียบอย่างนั้นจะดีเรอะ ..ว่าแต่ บังเอิญจริงๆนะ”
ปลิวมาทางไหนไม่ปลิว ดันปลิวมาเจอกับ-
“ผู้กล้าแอสทอเรียสสินะ”
ผู้กล้าซะได้
แอสทอเรียสอยู่ในสภาพที่ดูซึมๆ เขานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น และใบหน้าก็ซีดเผือกทันทีที่เห็นผม
“..เรเซอร์ ดราแคล์ ..ทำไมถึง”
“ลืมไปแล้วรึไงว่าผมก็เข้าร่วมสงครามนี้เหมือนกัน แล้วก็ตามที่ได้ยินประกาศเมื่อสักครู่นี้ด้วย ..ว่าแต่นั่งทำอะไรอยู่เหรอครับ ไม่ทำอะไรเลยจะดีรึ”
“…ไม่ใช่เรื่องต้องใส่ใจหรอกครับ”
เพราะคำพูดของผมทำให้แอสทอเรียสลุกขึ้นยืน และชักดาบแห่งผู้กล้า ‘จัสติสเทีย’ ออกมาอีกครั้ง ออร่าแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวรวมเป็นหนึ่งเดียวที่ปลายดาบ แอสทอเรียสวิ่งเข้าใส่ผมทันทีที่รวบรวมอำนาจเสร็จสิ้น
หวนคืนทุกสิ่งสู่ความยุติธรรม—นั่นคือพลังโดยง่ายของดาบแห่งผู้กล้า เป็นดาบที่สามารถพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ด้วยการตวัดดาบครั้งเดียว เป็นพลังที่น่าเหลือเชื่อแหละนะ
ทว่า
“ฝากทีนะ เบลลามี”
“อือ”
พวกเรายืนอยู่เฉยๆ รอให้แอสทอเรียสวิ่งมาถึง และเหวี่ยงดาบเข้าใส่ ทันทีที่พลังศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้ามา เบลลามีก็เรียกเพลิงสีดำเข้ามากลืนกิน ผมอาศัยช่วงที่แอสทอเรียสเผยช่องว่าง ชี้ปลายเรลันดาฟที่ลำตัวของแอสทอเรียส และอัดเปลวเพลิงเข้าใส่จากบนหัว
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แน่นอนว่าหมอนี่เก่งพอจะหมุนตัวปัดการโจมตีได้ เห็นดังนั้นผมก็-เข้าไปประชิด และอัดซ้ำอีกรอบ
ตู้ม!!!!!!!!!!!
และแน่นอนว่าหมอนี่ถึกทนสุดๆ ผมเลยถีบมัน และใช้วิธีเดิมอีกครั้ง
ตู้ม!!!!!!!!!!
ตู้ม!!!!!!!!!!
และ ตู้ม!!!!!!!! ผมให้เบลลามีใช้เพลิงสีดำป้องกันแสงศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็ระเบิดร่างกายด้วยเวทมนตร์ของผม ร่างกายของแอสทอเรียสย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ สงผลให้รวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ทัน ตรงตามที่ผมต้องการทุกอย่าง
ใช้วิธีเดิมวนซ้ำไปมา การต่อสู้รึเปล่านะ? ดำเนินไปไม่กี่นาทีก็มาถึงบทสรุปที่ผู้กล้าแอสทอเรียสที่เขาว่ากันว่าเป็นผู้กล้าที่แกร่งเทียบเท่ารุ่นแรกนอนทรุดลงกับพื้น ด้วยสภาพที่แค่ยกดาบยังไม่น่าจะไหว
“เห้ยๆ มีดีแค่นี้รึไงวะ ท่านผู้กล้า!”
“อ๊ากกก–อึก ย๊ากกก—”
เพราะแอสทอเรียสทำท่าจะพุ่งใช้ผม ผมก็เลย ตู้ม!!!!!! อีกครั้ง
แอสทอเรียสปลิวไปกับระเบิดเพลิงทำลายล้าง ร่างกายเต็มไปด้วยแผลเพลิงไหม้ ชุดเกราะถูกทลายทิ้งจนเหลือแค่ไม่กี่ส่วน แอสทอเรียสหายใจหอบอย่างรุนแรง ร่างกายตอนนี้แม้แต่ดาบก็ยกไม่น่าไหว กระนั้นก็ยังจับดาบไว้แน่น
“จิตใจเข้มแข็งสมกับเป็นผู้กล้าเลยนะ ..นึกว่าจะดิ้นรนจนน่าสมเพซมากกว่านี้ซะอีก ไม่สนุกเลยสักนิด”
ในทีแรก ผมเคยคิดจะโค่นผู้กล้าอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ก็ล้มเลิกความคิดไปหลังจากพบว่าชินไม่ได้ตาย เพราะผู้กล้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกือบไม่รอด เพราะผู้กล้า คงจะด้วยเหตุผลนี้ทำให้ในใจของผมเต็มไปด้วยความเคียดแค้นต่อผู้กล้า
จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีนะ ที่จู่ๆผู้กล้าก็ดันหักหลังมนุษยชาติ เหตุผลนี้แหละเลยทำให้ผมมีความชอบทำในการขยี้ผู้กล้าให้เละเทะได้ตามใจชอบ แต่ก็ผิดคาด เพราะทรมานคนอื่นมันไม่ได้สนุกสนานอย่างที่เคยคิดเอาไว้
อาจจะเป็นเพราะผมระเบิดร่างผู้กล้าเล่นจนพอใจแล้วก็เป็นได้
“ [ไฟเยอร์] ”
“อ๊ากกกกก!!!”
ผมขยี้ซ้ำแม้ว่าแอสทอเรียสจะหมดสภาพแล้ว
ผู้กล้าที่เคยคิดว่าแข็งแกร่งสุดๆ ตอนนี้กลับไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก เป็นเพราะเบลลามีช่วยผมลุมด้วยกระมัง อย่างน้อยๆถ้าไม่มีเบลลามี ผมก็อาจจะลำบากกว่านี้นิดนึงแหละนะ
เมื่อขยี้ผู้กล้าเล่นจนพอใจแล้ว ผมก็หยุดมือ แต่ยังคงชี้ปลายคทาเวทย์เข้าใส่ผู้กล้าต่อ
เพราะใช้ความชอบธรรมที่ผู้กล้าทรยศ ลงมือเล่นงานผู้กล้า อย่างน้อยๆผมก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะศาลเตี้ยให้เรียบร้อยด้วยแหละนะ
“ทำไมถึงทรยศอาณาจักรแซร์อิซ ไม่สิ ทำไมถึงทรยศมนุษยชาติกัน ผู้กล้า”
“….ย๊าก”
ตู้ม!!!!!! เพียงแค่ออกเสียงไม่ตรงกับที่ผมต้องการ แอสทอเรียสก็ถูกระเบิดซ้ำ
“ตอบให้ตรงคำถามด้วยครับ”
“..นี่ผมโดยเกลียดจริงๆสินะครับ ก็นึกสงสัยมาตั้งแต่ตอนที่เจอกันล่าสุดแล้ว”
สมกับเป็นผู้กล้า เข้าใจหัวจิตหัวใจของคนอื่นได้ดีจริงๆ
“ผมไปทำอะไรให้กันล่ะ ..ตอนนั้นจำได้ว่ายังไม่ได้ทรยศมนุษยชาติหรอกนะครับ”
“จำเหตุการณ์ ‘สงคราม’ เมื่อราวห้าปีก่อนได้รึเปล่าครับ?”
“..แบบนี้นี่เอง ..คนสำคัญของคุณตายเพราะผมสินะ”
ก็ไม่เชิง ทีแรกเข้าใจผิดว่าตายไปแล้ว แต่ปรากฏว่ารอดเฉยเลย แต่นั่นสินะ ความแค้นมันก็ยังอยู่ในใจ เพราะผมนึกมาตลอดหลายปีว่าชินตายไปผู้กล้า
“ละมั้งนะ”
“นั้นเหรอ ..ช่วยไม่ได้ถ้าคิดแค้นผมจนอยากจะฆ่าทิ้ง แต่ว่าได้โปรด ..ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วยเถอะครับ”
เอ๊ะ?
ผู้กล้าฝืนขยับร่างกายที่พังของตัวเอง—เขานั่งในท่าคุกเข่า จากนั้นก็ก้มกราบผม ศักดิ์ศรีหรือว่าทิฐิในฐานะผู้กล้าเองก็ปลิวหายไปด้วยเช่นเดียวกัน
“ขอร้องละครับ ไม่ว่ายังไงผมก็ยังตายไม่ได้ ..จะตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาดครับ”
เรื่องอะไรฟร้ะเนี่ย เบลลามีเองก็ตกใจจนเผลอทำเสียง “เอ๋” ออกมาเลย ถึงจะดูเหมือนแกล้งทำก็เหอะ
“คือว่านะ ต่อให้ไม่ใช่ในสถานะคนที่อยากจะฆ่าทิ้ง แต่คุณก็เป็นคนทรยศตัวใหญ่เลยนะ จะปล่อยให้รอดชีวิตไปไม่ได้หรอก”
“คนรักของผมกำลังท้องลูกของผมอยู่ ..ไม่ว่าอย่างไรก็จะตายไม่ได้ ได้โปรดละครับ ได้โปรด ..ผมยอมทำทุกอย่าง จะให้ทรยศทูตสวรรค์ก็ได้ จะให้ทำอะไรก็ได้”
เหวอ เจอเรื่องสุดช็อคเข้าจนได้แฮะ
ช็อคแรกผู้กล้าแอสทอเรียสทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองแล้วก้มกราบร้องขอชีวิต
ช็อคสองคือผู้กล้าแอสทอเรียสมีคนรักที่กำลังท้องอยู่ และช็อคสามคือเขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อคนรักของตัวเอง
หากให้สันนิฐานจากความจริงที่ปรากฏ ดูท่าแอสทอเรียสจะทรยศมนุษยชาติเพื่อคนรักของตัวเอง ยอมถึงขนาดทิ้งศักดิ์ศรีในฐานะผู้กล้าได้ลงคอขนาดนี้นี่นะ
“ขอร้องละ ได้โปรด..”
“ขอโทษด้วยนะครับ เรื่องนั้นยังไงก็สนองให้ไม่ได้”
ผู้กล้าแอสทอเรียสล้ำเส้นมากเกินไป—ต่อให้เป็นคนที่ผมอยากจะฆ่ามากแค่ไหน แต่ชินก็ไม่ได้ตายจริง นอกจากนั้นเขาก็เป็นคนสำคัญของโลก สุดท้ายถ้าผมมีโอกาสเล่นงานเขา ผมก็อาจจะใส่สุดแรง แต่ก็ไม่มีทางเอาถึงตายเด็ดขาด ทว่ากับสถานะคนทรยศต่อมนุษยชาติมันก็นะ จะให้ทำเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้นมันได้ที่ไหน
ตัวตนของผู้กล้า และดาบเล่มนั้นก็ใช่ว่าจะเมินเฉยไปได้ คนๆนี้มีพลังพอที่จะฆ่าคนสำคัญของผมได้ และเป็นมนุษย์ที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อคนรักของตัวเอง เหตุผลเพียงแค่นี้ก็มากพอจะทำให้ผมกลัวแอสทอเรียส จนตัดสินใจฆ่าทิ้งตอนที่ยังมีโอกาสอย่างแน่นอน
เพราะอย่างนั้น ปล่อยไว้ไม่ได้หรอก
ใบหน้าของแอสทอเรียสซีกเผือก กัดฟันกรามแน่น และก้มหน้าลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง
“แต่วางใจได้ เด็กที่เกิดมาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ..สัญญาว่าจะไม่ไปยุ่งด้วย แล้วถ้าจำเป็นจริงๆจะช่วยปกป้องด้วยอีกแรง” ผมยิ้มให้ “ช่วยบอกชื่อของเธอมาหน่อยจะได้รึเปล่าครับ?”
คนทรยศไม่ได้มีแค่แอสทอเรียส แต่ยังมีคนรักของหมอนี่อีกคนหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ข้อมูลก็เป็นสิ่งจำเป็น อยากจะรู้แรงจูงใจทั้งหมดด้วย แอบรู้สึกผิดที่เอาลูกของคนอื่นมาเป็นตัวล่อ แต่ก็ไม่มีทางเลือกแหละนะ เรื่องที่จะช่วยปกป้องเด็กในท้องให้ผมก็คิดจริงทำจริงด้วย
“..จะ ..เจ้าหญิงมรกต ‘อาเบล’ ”
…เธอคนนั้นน่ะเหรอ?
บนโลกนี้มีผู้หญิงที่ดีและไม่ดีปนกัน จุดสูงสุดของผู้หญิงที่ดีแน่นอนว่าคือคนรักของผม และแองเจลิน่า แต่จุดสูงสุดของผู้หญิงไม่ดีเองก็มีเหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือ ‘เจ้าหญิงมรกต’ ‘อาเบล’ ไม่ผิดแน่
ผมกระพริบตาปริบๆ ไม่นานก็หัวเราะออกมา
“..เอ๊ะ?”
“ทะ โทษทีครับๆ ถ้าเป็นเธอคนนั้น นั่นสินะ อืม โทษทีนะครับ จะให้ปกป้องก็คงไม่ได้ ถ้ายังไงก็ช่วยตายไปทั้งแม่ทั้งลูกเลยละกัน”
ราวกับวิญญาณถูกดึงออกจากร่าง แอสทอเรียสมีสีนหน้าราวกับอย่างนั้น
“เรเซอร์ นิสัยไม่ดี ไม่ควรทำ พูดแบบนี้แย่มาก”
โดนเบลลามีตำหนิจนได้
“โทษทีๆ ช่วยไม่ได้นี่นา ก็อาเบลคนนั้นเลยนะ ..ฮะๆ”
คนอย่างอาเบลน่ะเหรอจะยอมท้องกับคนอื่น ผมนึกไม่ออก—เรื่องสันดานธาตุแท้ของเธอผมรู้ดีจากนิยายต้นฉบับ ให้พูด หล่อนคือหนึ่งในตัวร้ายของเรื่องด้วยซ้ำ นิสัยนี่สุดๆ ในฐานะมนุษย์เนี่ยถือว่าสอบตก เป็นคนประเภทเลวบริสุทธิ์ที่ถ้าตายไปโลกก็จะพ้นภัยไปอีกวันหนึ่งละนะ
เรื่องท้องอะไรนั่นก็น่าจะโกหกทั้งเพ แอสทอเรียสโดนปั่นหัวจากมารยาหญิงจนได้ ท่านผู้กล้าผู้สูงส่งดันโดนผู้หญิงเลวๆคนนี้ทำให้แปดเปื้อนเอาเสียได้ ผมละนึกเสียใจจริงๆแฮะ
แต่ว่าในนิยายต้นฉบับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแอสทอเรียส และอาเบลเลย เหตุผลก็เป็นเพราะเรื่องราวน่าจะโดนออโรโบรอสิบดเบือนเข้าให้ตอนเป็นนิยายต้นฉบับ จงใจให้ข้อมูลไม่ครบ แปลว่าเรื่องนี้เองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญเหมือนกันสินะ ..จะยังไงแอสทอเรียสก็เป็นผู้มีสายเลือดผู้กล้าดั่งเดียวกับยูจิละนะ อาจจะมีอะไรบางอย่างที่ต้องค้นหาเพิ่มก็เป็นได้
แล้วมันอะไรกันล่ะ? ตัวตนของแอสทอเรียสมีอะไรให้น่าค้นหากัน ….ไม่จริงน่า หรือว่า—อาเบลจะท้องจริงๆ!? เหตุผลที่จงใจให้เรื่องราวของสองคนนี้ไม่ได้บรรจบกัน มีความเป็นไปได้ที่ปริศนาจะอยู่ที่ ‘รุ่นลูก’
“ไม่จริงน่า เป็นไปไม่ได้ ผู้หญิงที่ถ้ามีลูกก็น่าจะคิดว่าเด็กนี่คือภาระ และน่าจะลงเอยที่จับลูกตัวเองกดน้ำคนนั้นเนี่ยนะ ไม่จริงๆ”
“……เรเซอร์ ..ดราแคล์”
แอสทอเรียสลุกขึ้นยืนด้วยแรงฮึด เสียงร้องดังสนั่น ดาบแห่งผู้กล้าถูกยกขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ยากจะดับมันลง
“เรเซอร์ ดราแคล์!!!!”
ไม่ได้โดนหลอกหรอกเหรอ—คำตอบคงจะอยู่ที่อาเบล ไว้ผมจะไปยืนยันอีกที
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะ เรื่องลูกขอคืนครับ สัญญาว่าจะช่วยปกป้องให้ แลกกับช่วยบอกที่อยู่ของอาเบลทีสิครับ”
“ย๊ากกกกก!!!”
แหงละ ใครมันจะไปบอก—ผมชี้เรลันดาฟเข้าใส่
ทว่า ก่อนที่จะเกิดการปะทะขึ้นอีกครั้ง
หมอกควันโดยรอบทั้งหมดถูกดูดขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้ทิวทัศน์โดยรอบกลับมาสดใสอีกครั้ง ….แสงอาทิตย์สาดส่องลงสู่พื้น ผมแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า และพบกับทูตสวรรค์มิคาเอลที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า พร้อมกับ– ‘ศร’ ที่ถูกง้านด้วยคันธนูสีทอง
ภาพลักษณ์นั้นงดงามสมชื่อ ..
“แย่แล้ว”
สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้ผมรีบไปหยุดมัน–ทว่า
ไม่ทัน—
MANGA DISCUSSION