เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 364
< < 224 Sec2 > >
ภายในสนามรบระหว่างทูตสวรรค์ และกองทัพจอมมาร
หนึ่งในผู้นำของทูตสวรรค์ ‘ราฟาเอล’ สังเกตุถึงความผิดปกติบนท้องฟ้า เธอหยุดการต่อสู้ลงกระทันหัน พลางชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า
“แสงสีม่วงท่าทางน่าสงสัย? ..เหมือนว่าจะกำลังตรงมาทางนี้นะคะ ลิเวียธาน”
“หา? ใช่เรื่องที่ต้องสนใจด้วยรึไง”
“นั่นสินะคะ ตอนนี้เป็นเวลาส่วนตัวของพวกเร—-”
เพลิงทำลายล้างตรงมาด้วยความเร็วประหนึ่งเวทย์แสง
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ร่างเล็กๆพร้อมด้วยปีกถูกเผาทิ้งง่ายดายราวกับไม่ใช่ทูตสวรรค์
พริบตาเดียวราฟาเอลก็ลอยไปกับเวทย์เพลิงแสนบ้าคลั่ง และกลายเป็นเศษเนื้อไหม้ ราวกับสัญญาณเตรียมการณ์ประกาศอะไรบางอย่าง ลิเวียธานหันหน้าไปทางผู้ส่งสาส์นบนฟ้า
ชายหนุ่มผู้มีผมสีเลือง ดวงตาสีแดง สวมเสื้อสีดำรัดรูปเผยให้เห็นกล้ามเนื้อ และกางเกงสีน้ำตาลยาว เขาลอยอยู่เหนือพื้นดินโดยการขี่คทาเวทย์เรลันดาฟ คทาเวทย์ที่จะดีเยี่ยมที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต
การปรากฏตัวของเด็กหนุ่มทำให้ทั่วทั้งสนามรบหยุดลงชั่วขณะ
“…ดิลุค?”
ลิเวียธานหลุดออกมาเมื่อพบว่ามีอีกสามคนที่เกาะพื้นลอยตามหลังชายหนุ่มมา
จอมมารผมสีดำ และผมสีขาว กับบริวารปีศาจมหาบาป ‘แอสโมเดียส’
“..เรื่องอะไรกันคะนั่น”
ราฟาเอลก่อร่างขึ้นมาใหม่อีกครั้งช้าๆ บาดแผลทั้งหมดเลือนหายไปจากร่างของเธอ เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับกระพรือปีกในชุดสีขาวบริสุทธิ์ได้ตามเดิม
“เสร็จพิธีกรรมแล้วหรือคะ?”
“….”
ไม่ใช่ ตอนนี้น่าจะยังไม่ถึงเวลา แล้วทำไมจอมมารดิลุคถึงปรากฏตัวได้ละ แถมยังมาพร้อมกับจอมมารสีดำ และแอสโมเดียสคนทรยศอีก ..แมมม่อนหายไปไหน? เรื่องอะไรกันแน่–หรือว่าแผนการณ์จะล้มเหลวไปแล้ว?
ลิเวียธานกัดฟันกรามแน่น และเดินตรงไปทางที่ดิลุคยืนอยู่ โดยไม่สนใจราฟาเอลที่ลอยอยู่ใกล้ๆ
“..เอาเถอะค่ะ” ราฟาเอลยอมลามือไม่ทำอะไรต่อ เพราะตอนนี้เธอเองก็สงสัยเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทูตสวรรค์ ‘มิคาเอล’ แหงนหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เธอยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะ-
“โผล่หัวมาสักทีนะ จอมมาร !!!!”
มิคาเอลแหกปากเสียงดังลั่นกลางสนามรบ บัดนี้ เวลานี้ภาพลักษณ์สูงส่งของผู้นำทูตสวรรค์ได้ป่นปี้เป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากว่าสันดานจริงๆออกมาจนหมด โดยที่ตรงหน้าของเธอมีสองชีวิตที่บาดเจ็บสาหัสเป็นพยานให้
“ถามหน่อยสิ นายท่านจอมมารของพวกเธอตั้งใจจะทำอะไรหรือ?”
“จอมมารของพวกฉัน? ใครละนั่น”
“เรเซอร์ ดราแคล์ คนนั้นไง หวานใจของท่านจอมมาร แล้วก็–จอมมารอีกคนใช่มั้ยล่ะ?”
ปีศาจมหาบาปแห่งความเกียจคร้าน ‘อังเฟกอร์’ ตอบคำถามพลางร่ายเวทย์ [ฮิล] เข้าใส่ร่างเล็กๆของตังเอง ข้างตัวเธอ เจ้าหญิงมังกร ‘หนิง’ เองก็ใช้เพลิงมหามังกรฟื้นฟูแขน และขาที่โดนเล่นจนเละด้วยเช่นกัน
จากผลลัพธ์ที่ปรากฏทำให้ทราบได้ว่าการต่อสู้กับมิคาเอลแบบ 2-1 นั้นแค่ช่วยให้ทั้งสองคนไม่ตายเร็วเกินไปก็เท่านั้น
“แหวะ เรเซอร์ไม่ใช่นายท่านของฉันสักหน่อย อย่ามาพูดบ้าๆนะ ฉายาจอมมารอะไนนั่นด้วยเห่ยเป็นบ้า ตกยุคไปนานแล้วย่ะ เปลี่ยนฉายาให้เรเซอร์ด้วยซะนะ แล้วก็ ..”
หนิงมองภาพที่เรเซอร์ยิ้มแย้มแจ่มใสบนท้องฟ้า โดยที่มีเบลลามีกับดิลุคเกาะอยู่ข้างหลัง ตามด้วยตัวประกอบที่หนิงจำชื่อไม่ได้หนึ่งคน ..เห็นอย่างนั้นเธอก็เผลอยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว
“เหมือนว่าพวกฉันจะเป็นฝ่ายชนะนะ อังเฟกอร์”
“…ฟังดูค่อนข้างแย่เลยนะเนี่ย แต่ก็นะ” อังเฟกอร์สังเกตุสีหน้าของผู้เป็นนายแล้วก็ถอนหายใจออกมา “สีหน้าของท่านหญิงไม่ได้แย่อะไรด้วยสิ ไม่มีปัญหา”
ชินเก็บดาบเข้าฝัก ฟัฟนิร์สลายเพลิงมหามังกรทั้งหมดทิ้ง ทั้งสองยืนยิ้มอย่างมีความสุข—เรย์ที่อยู่ไม่ไกลจากนั้นทิ้งตัวลงไปนอนกับพื้น
“ฮะๆๆๆๆ เร็วกว่าที่คิดนะนั่น”
“สมกับเป็นต้าวเรเซอร์แหละนะ”
ผู้กล้าแอสทอเรียสแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า เจ้าตัวเก็บดาบเข้าฝัก และทรุดลงไปนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ท่ามกลางซากศพของอาร์คเดม่อนมากมาย
“……”
ใบหน้าเปื้อนไปด้วยเลือด ความเป็นผู้กล้าของเขาได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น–
ภายในอาณาจักรแห่งสายน้ำของยูจิซึ่งแยกออกจากโลกแห่งความเป็นจริง—-ปีศาจมหาบาปแห่งโทสะ ‘ซาตาน’ ได้เข้าสู่ [เฟซสาม] เป็นที่เรียบร้อย เธอหายใจเป็นไอร้อนรุนแรง พร้อมกับดาบทลายโลกาที่ทวีคูณความร้อนขึ้นเรื่อยๆ และสัตว์อสูรมอนสเตอร์มากมายที่ผุดมาตามพื้นซึ่งมีออร่าของดาบทลายโลกาปกคลุม
ณ ตอนนี้โลกแห่งอาณาจักรสายน้ำได้ถูกแบ่งอีกซีกด้วยดาบทลายโลกา และฝูงมอนสเตอร์มากมาย
“คิดถูกสินะครับที่ลากมาโลกนี้แทนที่จะสู้กันข้างนอก”
ด้านตรงข้าม– ‘ยูจิ’ ตวัด [ดาบวารี] บนแขนเทียมที่ทำมาจากน้ำ สังหารมอนสเตอร์มากมายด้วยการลงดาบครั้งเดียว เขาเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆพร้อมผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อในทุกๆจังหวะ การก้าวเท้าสั้นๆและออกดาบทั่วไปด้วยความเร็วทัดเทียมดาบประกายสูง เป็นทักษะระดับปรากฏการณ์ที่โลก ณ ปัจจุบันนี้น่าจะมีเพียง ‘เทพดาบ’ และ ‘เอเธอร์’ เท่านั้นที่ทำได้
“ย๊ากกกกก!!!”
ซาตานวิ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วเหนือเสียง–เธอเหวี่ยงดาบทลายโลกาสุดแรงเกิด ออร่าของมันทำให้ระยะโจมตีจริงๆของดาบทลายโลกามากกว่าที่มองเห็น ยูจิคาดเดาถึงระยะพลังทำลายล้าง และเอียงตัวหลบในช่องว่างหนึ่งเซนติเมตร จากนั้นก็ [เคลือบ] ดาบวารีด้วยเทคนิคมานาอย่างเดียวกับเอเธอร์ ขยายส่วนของดาบ และฟันสวนเข้าไป ในพริบตาที่ดาบเกือบจะเข้าปะทะก็เปลี่ยนแรงตัดให้กลายเป็นแรงกระแทก ส่งซาตานปลิวไปกับพื้นหลายตลบ ในสภาพที่ไม่ได้สร้างความเสียดายใดๆให้ทั้งนั้น
เหล่าฝูงมอนสเตอร์กระโจนใส่ยูจิตามผู้เป็นนาย และทั้งหมดก็โดนกวาดทิ้งด้วยจังหวะดาบไม่กี่จังหวะในชั่วอึดใจเดียว
“ไอขี้ขลาดเอ้ย! จะสู้ด้วยวิธีแบบนี้ไปถึงไหนกัน!!?”
“ขอโทษด้วยนะครับ แต่มันจำเป็นน่ะครับ”
การต่อสู้ที่ไม่มีผลลัพธ์ใดๆนอกจากทั้งสองเว้นระยะห่างกันเกิดขึ้นเช่นนี้มาตั้งแต่เริ่ม ยูจิจงใจไม่สร้างบาดแผลให้ซาตาน ไม่อย่างนั้นทุกการโจมตีจะถูกเปลี่ยนไปเป็นมานาให้เธอไปถึง [เฟซ5] ได้เร็วขึ้น ซึ่งการไปถึงเฟซนั้นได้อาจจะหมายถึงความพ่ายแพ้ของยูจิเป็นกลายๆ
หน้าที่ของยูจิมีเพียงถ่วงเวลาซาตาน กำลังรบของจอมมารอันดับหนึ่งให้ได้เท่านั้น เขาเลยจงใจใช้วิธีนี้เพื่อรับมือศัตรูระดับซาตาน แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่ยูจิไม่มีทางทำได้
“….หืม?”
อะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่โลกภายนอก
ยูจิหันหน้าไปทางอื่น ซาตานอาศัยจังหวะนั้นพุ่งเข้ามาเหวี่ยงดาบทลายโลกาอีกครั้ง
“มองไปทางไหนกัน!!?”
“ข้างนอกเหมือนจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นน่ะ-ครับ..!”
ยูจิใช้ขาหยุดวิถีดาบเอาไว้ แลกกับการที่ผิวหนังบริเวณขาถูกแผดเผา ยูจิยันตัวดาบ และพุ่งตัวหนีออกมา พร้อมกับร่าย [ฮิล] เพื่อรักษาขาของตัวเอง
ยูจิมองออกไปที่โลกภายนอก ไม่นานก็ผุดยิ้มสดใสออกมา ..
“อย่าคิดว่าจะหนีพ้—น!!!!!!!!!!!”
“ขอตัวก่อนนะครับ”
กล่าวจบ อาณาจักรแห่งสายน้ำก็เลือนหายไปพร้อมกับร่างของยูจิที่ไม่ได้อยู่ภายในโบสถ์งานแต่งอีกแล้ว
“…หา?”
ซาตานยืนงง ..ไม่นานเสียงจากสนามรบก็ดังผ่านหูเธอ เสียงนั่นทำให้เธอไม่สามารถอยู่เฉยๆได้อีก เธอออกวิ่งตรงไปทางทิศทางของเสียงๆนั้น
“เสียงของท่านจอมมาร?”
****
จอมมารดิลุคยืนอยู่เคียงข้าง
“เอาเป็นว่า—ความคิดที่จะทำลายโลกไม่เอาแล้ว!!”
……….
…….
….
หา??????
คำประกาศ—ประกาศิตทำให้ทั่วทั้งสนามรบมีเครื่องหมาย “ ? ” พร้อมเพรียงกัน
“จะกลับบ้านไปนอนแล้ว ไม่จัดแล้วพิธีกรรมบ้าบออะไร ไม่เอาละการระเบิดโลกแล้วสร้างโลกใบใหม่ อยู่โลกเดิมมันต่อไปนี่แหละ แค่นี้ แยกย้าย”
………………..
……
กระทั่งอาร์คเดม่อนซึ่งเป็นพวกเดียวกันก็มีสีหน้าไปในทิศทางเดียวกันหมด
ท่านจอมมารพูดอะไรของเขา?
“อืม หลายคนอาจจะสงสัยว่าใช่เราจริงๆรึไม่ เช่นนั้นดูนะ” จอมมารดีดนิ้วเรียกเพลิงสีขาวออกมาโชว์ “ตัวจริงเสียงจริง”
…….
………
“อย่ามาพูดบ้าๆนะย่ะ!!!!”
เสียงตะโกนจากพวกพ้อง ลิเวียธานแหกปากเสียงดังลั่นให้แก่จอมมารผู้เปรียบเสมือนนายเหนือหัว ใช่ แค่เปรียบเสมือนเท่านั้นสำหรับเธอ
“ไม่ได้พูดเล่นหรอกนะ”
“ไปตายซะร้อยรอบไป!!”
จอมมารดิลุคทำเมินเสียงเรียกร้องของบริวาร จากนั้นเธอก็ประกาศย้ำอีกครั้ง
“สรุปก็คือยกเลิกแผนการณ์ทำลายล้างโลกแล้ว ต่อจากนี้จะไปร่วมมือกับอีกคนหนึ่งแทน ซึ่งไม่มีทางเป็นพวกทูตสวรรค์เหม็นสาปอย่างแน่นอน” ดิลุคหันมามองเรเซอร์ “เชิญ”
เรเซอร์ ดราแคล์ก้าวมาข้างหน้าบนคทาเวทย์เรลันดาฟ จากนั้นก็โพล่งออกมา
“ผะ ผะ ผะ ผม ผม เรเซอร์ ดราแคล์ อายุ 17 ปี!! จากนี้จะรับหน้าที่เป็นหัวหน้าของจอมมารดิลุคเองครับ แล้วก็ใช่ๆ ผมคือจอมมารคนใหม่ ..ชื่อนั้นก็คือ.. ‘จอมมารแห่งจุดสิ้นสุด’ ! ฮ่าๆๆๆๆ! เตรียมใจเอาไว้ให้ดีพวกทูตสวรรค์! พวกแกทุกตัวได้โดนฉันตามคิดบัญชีแน่!!”
……….
จู่ๆก็มีคนที่ไหนมารู้โผล่มาพล่ามอะไรข้างๆจอมมาร แถมเนื้อความที่โพล่งออกมาก็ดูจะสำคัญผิดกับท่าทางเขินๆอายๆของชายหนุ่มอีก ..
“ขี้อายจริงๆนะ” ดิลุคพูด
“โทษทีเถอะน่า ให้มาพูดต่อหน้าคนเป็นพันๆคนแบบนี้ ยังไงๆมันน่าอายนี่หว่า” เรเซอร์ตอบกลับ
“ไม่เป็นไรนะ เรเซอร์ทำได้” เบลลามีสนับสนุน
แอสโมเดียสปิดหน้าปิดตาตัวเองอยู่ข้างหลัง
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?? ไม่ว่าจะฝั่งทูตสวรรค์ หรือฝั่งกองทัพจอมมารล้วนคิดเหมือนๆกัน มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ใจตรงกัน
ที่สำคัญนอกจากการวางมือทำลายล้างโลกของจอมมารก็คือ ‘จอมมารแห่งจุดสิ้นสุด’ ที่ว่ามันคืออะไรกัน? เกี่ยวข้องยังไงกับโลกใบนี้ แล้วก็มีเป้าหมายอะไรกันแน่ การที่จอมมารแห่งจุดสิ้นสุดร่วมมือกับจอมมารดิลุคมันหมายความว่ายังไง ..นี่มันไม่ใช่เรื่องตลก
ทันทีที่เข้าใจถึงเรื่องนี้ได้– ‘ราฟาเอล’ ก็สยายปีกบินตรงไปทางที่ผู้ประกาศตนเป็นจอมมารแห่งจุดสิ้นสุดปรากฏ พร้อมกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกไปตามใจปารถนา
เรเซอร์ ดราแคล์ควบคุมเรลันดาฟขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นก็คว้ามันเอาไว้ ร่างของทั้งสี่ดิ่งลงจากท้องฟ้า ระหว่างที่ลอยอยู่บนอากาศ เรเซอร์ตวัดคทาเวทย์หนึ่งครั้ง เพียงแค่นั้นอากาศก็เกิดการสั่นสะเทือน ตามมาด้วยท้องฟ้าที่ดำมืดในพริบตาเดียว
“.. [การาวิเทีย]-[ควบคุมสุดแรงเกิด]”
สิ้นสุดเสียงพึมพำเบาหวิว พื้นดินก็ถูกยกขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยการวิ ร่างของทั้งสี่ถูกรับด้วยพื้นดินเพียงเล็กน้อยจากทั้งหมด
“..โลกกำลังโดนยก?”
“พื้นดินมัน–”
“สัตว์ประหลาดชัดๆ!”
พื้นดินบนสงครามถูกลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง ทำให้หลายชีวิตต้องใช้ปีกของตัวเองบินขึ้นฟ้าอย่างช่วยไม่ได้
ทุกชีวิตมองไปที่พื้นดินซึ่งถูกลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ร่างกายของจอมมารแห่งจุดสิ้นสุดรุกด้วยเพลิงสีทอง มานาไม่มีวันหมด หากตั้งใจจะยกทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่ใช่งานยากอะไร ทว่า ..เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว
ดินจำนวนเข้ามาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันช้าๆ–ราฟาเอลบินตรงมาด้วยความรวดเร็ว อีกเพียงอึดใจเดียวก็จะไปถึงตัวจอมมารแห่งจุดสิ้นสุดแล้ว ทว่าพริบตาที่จะเอื้อมแขนไป แขนของเธอก็ถูกบิดไปคนละทาง พร้อมกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่โดนซัดจนปลิวไปคนละทิศคนละทางด้วยขาสองข้าง ยูจิปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เขาพุ่งไต่พื้นดินมาด้วยความเร็วที่เหนือกว่าการบินของราฟาเอล
“ขอโทษด้วยนะครับ แต่ห้ามผ่าน”
“คึก—ผลงานที่ล้มเหลว”
ยูจิยิ้มตอบ
“ต่อจากนี้คือการโชว์ของเพื่อนผมน่ะครับ ถ้ายังไงก็ช่วยรับชมจากข้างล่าง”
กล่าวจบยูจิก็หมุนตัวถีบร่างของราฟาเอล—-
ฟิ้ววววววววววววววววววววววววว ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! อึดใจเดียวก็ส่งร่างของราฟาเอลลงพื้นตามที่ปากว่าสำเร็จ
เรเซอร์ชำเลืองมองยูจิด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะโพล่งเสียงดัง เป็นอันใช้งานเวทมนตร์บทหนึ่ง
“ [เมเธโอเบิร์ส] !!!!!”
อุกาบาตขนาดใหญ่เทียบเท่าเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่ง ซึ่งถูกหุ้มด้วยเพลิงทำลายล้างพุ่งลงสู่พื้น และวินาทีที่ใกล้จะถึงพื้น มันก็ค่อยๆแยกตัวออกจากกันเป็นเศษเล็กเศษน้อย—-ทุกปฐพีดิ่งลงพื้น เพื่อทำลายปฐพี
อีกเพียงไม่กี่วินาที การโจมตีจากอุกาบาตทั้งหมดคงจะคร่าชีวิตไปมากมาย ทว่าหลายชีวิตกลับยืนนิ่งๆ และจ้องมองชายผู้ร่ายเวทย์บนฟ้า ร่างของเขาถูกหุ้มด้วยเพลิงอมตะสีทอง ..
“นี่น่ะเหรอจอมมารแห่งจุดสิ้นสุด?”
คำตอบของคำถามของพวกเขานั่นเอง—-
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
จอมมารแห่งจุดเริ่มต้น และจอมมารแห่งจุดสิ้นสุดได้เข้าร่วมสงคราม