< < 224 Sec1 > >
สำเร็จแล้ว? ..หมายถึงการโน้มน้าวใจจอมมารดิลุคน่ะเหรอ?
‘ใจง่ายกว่าที่คิดนะคะ’
“งะ ง่ายจริงด้วย!”
“อือ ตัวเราง่ายมาก”
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้ง่าย”
“ง่ายกว่าที่คิดละกัน”
“อือ ง่ายกว่าที่คิดมาก”
“เปลี่ยนใจแล้ว จะทำลายโลกใบนี้ทิ้งเสียตอนนี้นี่แหละ”
เหมือนจะเล่นมากเกินไปแฮะ–ผมปรับอารมณ์หันไปยิ้มให้ดิลุค และเดินไปยื่นมือให้เธอ
“ฝากตัวด้วยนะ เอ่อ เรียกว่ายังไงดี”
“ดิลุคก็ได้ ให้เรียกว่าเบลลามีขาว เบลลามีดำก็คงจะแปลกๆ”
“นั่นสินะ ..สารภาพว่าทีแรกจะเรียกว่าเบลลามีขาวนั่นแหละนะ”
“อืม สมกับเป็นเรเซอร์ดี ไม่ค่อยใช้หัวคิดกับเรื่องพวกนี้เสียเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีปัญหา อาจจะรวดเร็วเสียจนยากจะปรับอารมณ์ไปหน่อย แต่ก็นั่นสินะ” ดิลุคยิ้มตอบ “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยเหมือนกัน เส้นทางต่อจากนี้เราเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเหมือนกัน ที่ตอบตกลงนี่อาจจะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบก็ได้ ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”
ผมกับดิลุคจับมือกับ แม้ที่พูดจะมีเรื่องที่ไม่น่าฟังอยู่บ้าง แต่ใบหน้าของเธอที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มซึ่งดูสมจริงนี้มีหรือที่จะทำให้ผมหวาดกลัวได้ คิดเสียว่าเป็นคำขู่ไว้ข่มเล่นๆสำหรับเธอก็พอ
จะว่าไปดิลุคแตกต่างกับเบลลามีค่อนข้างมาก อย่างที่เบลลามีได้บอกเอาไว้เลยว่าพวกเธอมีบุคลิกที่แตกต่างกัน
“เอาเถอะ สำหรับผู้ชายง่ายๆอย่างเรเซอร์ ไม่ว่าอะไรก็ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้วนี่นะ”
ถึงแทบทุกถ้อยคำที่พูดออกมาจะโดนแซะก็เถอะ แต่ตอนนี้รู้สึกดีสุดๆไปเลย จะมองข้ามอะไรไปบ้างก็ไม่ใช่ปัญหา อีกอย่างโดนด่าบ่อยๆก็ไม่เลวเหมือนกัน
เบลลามีเดินมาอยู่ข้างๆผม เธอมีท่าทางเหนื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงดีดนิ้วใช้วิหคอมตะฟื้นฟูพลังกายให้แก่เธอ
“ขอบใจนะ”
“ทางนี้ต่างหาก ขอบคุณที่เหนื่อยยากนะ”
ผมหยิบผ้าเช็ดหน้ามาจากกระเป๋าเวทมนตร์ และใช้มันเช็ดหน้าให้เบลลามี
“อือว .ขอบ..จัย”
เธอออกเสียงแปลกๆเมื่อผมเอาผ้าไปถูหน้า เอาเป็นว่าก็ดูน่าเอ็นดูดี ผมจะบันทึกภาพนี้เก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจละกันนะ
ขอบคุณสำหรับอาหารทางใจขอรับ
‘น่ากลัวเหลือเกินค่ะ มาสเตอร์ของฉัน’
อย่าไปคิดมากเลยยูนา มันเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมน่ะ—
“แบบนี้นี่เอง…หืม..หืม”
ดิลุคยืนกอดอกจ้องเขม็ง ผมได้แต่เอียงคอฉงนกับท่าทางชวนให้ตั้งคำถามของเธอ
“มีอะไรเหรอ?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก”
“เหรอ ..ว่าแต่ว่า”
ว่าจะเปลี่ยนเรื่องคุย แต่สีหน้าของดิลุคก็ดูเลวร้ายขึ้นมา ชวนให้ครุ่นคิดว่าตัวผมกำลังทำอะไรบางอย่างผิดพลาดเข้าให้ แล้วเรื่องที่พลาดมันอะไรกันหว่า?
พอโดนทำสีหน้าอย่างนั้นใส่ ผมก็เริ่มระวังตัว ไม่พูดอะไรมากเกินจำเป็น แล้วคิดไตร่ตรองถึงต้นเหตุของปัญหาให้ได้ก่อนจะเกิดเรื่อง ถ้าทะเลาะขึ้นมาต้องไม่ดีแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมก็ทุ่มสมาธิสุดตัวกับการหาสาเหตุ
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องคิดมากหรอก แล้วจะคุยเรื่องอะไร”
ทว่า ดิลุคกลับตัดบทเอาเสียดื้อๆ
“มีอะไรก็บอกได้นะ ฮะ ฮะ ฮะ”
“จะเกร็งอะไรขนาดนั้น ก็บอกว่าไม่มีอะไรไง”
แต่ว่า ..นะ ไอแบบนี้มันชวนให้คิดนี่นะ
ผมหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือกับเบลลามี แต่เธอกลับเบือนหน้าหนีไม่ตอบ
นี่ผมโดนพระเจ้าทอดทิ้งแล้วสินะ?
“เอ่อ”
“รีบๆพูดธุระมาได้แล้ว เรเซอณ์ ดราแคล์ เวลามีจำกัดไม่ใช่รึ”
ดะ โดนเรียกชื่อเต็มจนได้!? ผมทำอะไรผิดลงไปแหงๆเลย แต่แล้วมันเรื่องอะไรกันฟร้ะ!?
“เอ่อ ..อ๋อ! เดี่ยวเช็ดหน้าให้นะ ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะอาดด้วย เพราะฉันเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้สี่ผืนในทีเดียวเลย เผื่อในกรณีที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าไปแล้ว”
เพราะปกติเบลลามีเป็นคนรักสะอาดมากๆ เธอจะไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ใช้ไปแล้วเลยด้วยซ้ำ ผมเลยเตรียมการณ์ไว้เสร็จสรรพ–
“มีธุระอะไรก็ว่ามา”
….คำตอบที่ถูกต้องคืออะไรกันแน่นอน
“แค่อยากถามน่ะว่าต่อจากนี้จะทำยังไงกับพิธีกรรมต่อ อย่างที่เห็นพวกเรายืนอยู่บนอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงทองคำขาวที่เหมือนกับมิติอื่นกันอยู่เลย”
“แน่นอนว่าเราคิดจะหยุดพิธีทุกอย่าง รวมถึงสงครามข้างนอกด้วย ..ไหนๆก็เข้าร่วมกับพวกเรเซอร์แล้ว น่าจะไล่ถล่มกลุ่มทูตสวรรค์ไม่ยาก แต่ปัญหาก็คือ-”
“เอเธอร์ หมอนั่นเก่งบัดซบ”
“อืม ประมาณนั้น ถ้ารุมอาจจะไหว แต่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ นั่นสินะ ก่อนอื่นขอเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่า”
ว่าแล้ว ดิลุคก็ดีดนิ้วใช้เพลิงสีขาวเผาชุดแต่งงานของตัวเอง ชั่วพริบตาเดียวผมก็เห็นเลือนร่างของเธอเข้าจนได้
ไม่เคยเห็นของเบลลามีตรงๆเลยไม่รู้ แต่คาดว่าน่าจะเหมือนๆกันนี่แหละ …ดิลุคเบิกตาโพงกว้างเหมือนพึ่งจะรู้ตัว ในพริบตาแรกใบหน้าของเธอย้อมด้วยสีแดง ก่อนที่สีแดงจะเลือนหายไปทันทีที่ตั้งสติได้
“อ๊ะ ..หืม ….จ้องตาเป็นวาวเลยนะ” ดิลุคพึมพำ
“มะ ไม่ใช่ คือว่า”
รู้สึกตัวแล้วผมก็รีบปิดหน้าหนี
“เขินใหญ่เลยนะ”
“เข้าใจผิดแล้ว ตัวเราเบลลามี อาการเขินอายไม่มีผลกับตัวเราผู้เป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่สุดหรอกนะ”
“สุดยอดไปเลยนะตัวเรา”
หลังจากที่สัมผัสได้ว่าเพลิงสีขาวได้หายไปแล้วผมก็เปิดตาอีกครั้ง ทำให้เห็นดิลุคในชุดวันพีซกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ที่ดูเล็ก และสั้น ดูจะโชว์ผิวตัวมหาศาล โดยเฉพาะบริเวณหลังที่เปิดโล่งเลย
ว่าไงดี ..สวยมากแม่+ อุ้ยตายว๊ายกรี๊ดเลยค่า!! ตะ แต่เปิดผิวเยอะไปหน่อยนะ ชุดแบบนี้ไว้ใส่ตอนไปทะเล ไม่สิ ใส่ในพื้นที่ส่วนตัวกันน่าจะดีกว่า
“ชุดนั้นจะดีเหรอ”
“ไม่ถูกใจรึ ถ้านั้นชอบสไตล์ไหนล่ะ”
“ไม่ได้หมายความอย่างนั้นสิ”
“ถ้าหมายถึงเรื่องความสะดวกไม่มีปัญหา เราใช้ชุดนี้สังหารเทพมังกรด้วยซ้ำ นับว่าเป็นชุดออกศึกเลยก็ว่าได้ แล้วก็เป็นชุดแห่งความทรงจำที่สหายของเราเลือกซื้อให้”
“เอ่อ ..แต่งตามที่อยากได้เลยครับ”
แบบว่าโดนพูดอย่างนั้นใส่ก็ไม่กล้าห้ามเลยแฮะ ของในความทรงจำนี่นะ อือ ถ้านั้นก็ช่วยไม่ได้เนอะ ถึงจะรู้สึกหวงๆก็เถอะ
“ตัวเราเบลลามีสนใจจะใส่ด้วยมั้ยล่ะ”
“ไม่ดีกว่า เราว่าเปิดผิวหนังมากเกินไป”
“ไม่ต้องกลัวพวกหนอนแมลงหรอก แค่ใช้เพลิงเผาทิ้งก็สิ้นเรื่อง เธอเองก็ใช้อำนาจตะกละกลืนกินเพลิงสีดำของเราไปแล้วด้วย ไม่ถึงกับป้องกันตัวไม่ได้เสียหน่อย”
“จะว่าไปก็ใช่ แต่ไม่เอาดีกว่า”
“น่าเสียดายนะ”
เป็นถึงของสำคัญในความทรงจำแท้ๆ แต่เบลลามีไม่ยักจะเล่นด้วยแฮะ
‘เธอคนนั้นโกหกมาสเตอร์รึเปล่าคะ? เพราะรู้ว่า-พูดยังไงให้มาสเตอร์ไม่ห้าม จึงจงใจพูดอย่างนั้น’
ถ้าอย่างนั้น ..ก็ชอบอยู่ดีอ่ะ! เริศมากแม่!
‘ได้ทั้งบงการณ์ และโดนบงการณ์สินะคะ ..วิตรถารเอ้ย’
BDSM เป็นรสนิยมทางเพศนะ ไม่ได้วิตถาร ถอนคำพูดซะ
‘ศัพท์บนโลกใบเก่าไม่รู้จักหรอกค่ะ ที่แน่ๆมาสเตอร์ตอนนี้ทวีคูณความน่าขนลุกจนแอบน่ากลัวแล้วก็เท่านั้น’
เห้ยๆ ทำไมพูดเหมือนฉันเป็นโรคจิตจริงๆละนั่น—
“ “เรเซอร์ ” ”
ทั้งสองคนผสานเสียงเรียกผมจากการสนทนากับยูนา
“ได้เวลาไปกันแล้วนะ”
“เกิดไม่รีบสลายเวทย์ตระกูลอาณาจักรเร็วๆ แอสโมเดียสอาจจะโดนแมมม่อนฆ่าตายแล้วก็เป็นได้นะใครจะรู้ ยิ่งให้ความรู้สึกว่าตายง่ายๆอยู่ด้วยสิ”
พูดถึงลูกน้องคนสำคัญแบบนั้นจะดีเหรอครับแม่คุณ ..
“ถ้านั้นก็—”
ผมยกเรลันดาฟขึ้นฟ้า ทำการสลายอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง
สิ่งแรกที่เห็นเมื่อกลับคืนสู่โลกความเป็นจริงก็คือ ‘แอสโมเดียส’ ซึ่งนอนจมกองเลือด ต่อมาก็คือแมมม่อนที่ยืนหายใจฮอบแรงอยู่เหนือร่างคู่ต่อสู้
ตรงตามที่ดิลุคว่าเลยแฮะ
“..คุณดิลุค?”
“..ช่วย..ช่วยด้วยคร้าบ ใครก็ได้”
สภาพย่ำแย่สุดๆ ผมถือวิสาสะเดินไปรักษาแอสโมเดียสด้วยวิหคอมตะ โชคดีที่แมมม่อนงงๆกับดิลุคอยู่เลยไม่ได้เข้ามาทำร้ายผม ถือว่าช่วยเซฟเวลาไปได้เยอะเลย
“อธิบายโดยง่าย เราเลิกคิดจะทำลายล้างโลกแล้วละ ยินดีด้วย ยินดีด้วย”
“….หา? เรื่องอะไรกันครับ แล้วงานแต่งงานนี่จะเอายังไงต่อเหรอครับ”
“มีแต่ต้องยกเลิกละนะ สงครามข้างนอกเองก็ด้วย พูดแล้วก็รีบไปยกเลิกทุกอย่างกันดีกว่า”
“หา?? คุณดิลุค ..ผมไม่ยอมรับหรอกนะ เรื่องอะไรจะมาเปลี่ยนการตัดสินใจง่ายๆกัน โดนล้างสมองเข้ารึไงกันครับ!?”
“สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกมันยากจะอธิบายนะ”
แมมม่อนกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรบ้าๆ
ดวงตาคู่นั้นเลืองแสงขึ้นมา แมมม่อนยื่นมือไปทางดิลุค ตั้งใจจะใช้อำนาจมหาบาปบางอย่างกับเธอ ผมรีบยกเรลันดาฟชี้ไปทางแมมม่อน ก่อนจะได้ทำอะไร ดิลุคก็ตวัดเพลิงสีขาวใช้ตัดแขนของแมมม่อน จากนั้นก็ดึงร่างแมมม่อนเข้ามาใกล้ และซัดลงไปนอนกองกับพื้น เพียงแค่นั้นไม่พอ ยังกดแมมม่อนลงพื้นด้วย [หลุมดำ] ลูกเล็กอีก
“อ๊าก!!”
“ใจเย็นก่อนดีกว่านะ แมมม่อน”
“คุณดิลุคทำไมกัน!? ทั้งๆที่โลกใบนี้ทอดทิ้งคุณแท้ๆ ทำไมถึงได้–”
“จะไม่โทษว่าเป็นความผิดของนายหรอกนะ จิตใจของเรามันอ่อนแอเอง โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองหรอก เพราะอย่างนั้นจะยกโทษให้หรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของนายเลย จะยอมเดินตามนายเหนือหัวผู้อ่อนไหวง่ายคนนี้ต่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของนายเช่นเดียวกัน ช่วยเลือกทีนะ”
แมมม่อนถูกดิลุคกดด้วยขาข้างหนึ่ง เธอคงจะอยู่ในท่านี้จนกว่าจะได้คำตอบจากแมมม่อน
“ยังไงผมก็ไม่ยอมรับเด็ดขาด!! มันไม่ใช่เรื่องที่คุณดิลุคจะต้องไปลำบากมากไปกว่านี้เพื่อพวกลิงชั้นต่ำ มันไม่ใช่ปัญหาของคุณ คุณควรที่จะพักได้แล้ว!”
“ขอบใจสำหรับความหวังดี แต่น่าเสียดายเวลานี้มันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เราจะไปต่อ”
ดิลุคเก็บ [หลุมดำ] ปล่อยแมมม่อนจากพันธนาการ
เธอเดินมายืนอยู่ข้างๆผม พลางดึงแอสโมเดียสขึ้นมายืนใหม่อีกครั้ง
“เอ่อ ..ท่านจอมมาร?”
“เลิกเรียกเราว่าท่านจอมมารได้แล้ว เรียกด้วย ‘ชื่อ’ ทีเถอะ มันแยกกันจากเพราะมีตัวเราเบลลามีเหมือนกัน”
“เข้าใจแล้วครับ ..อ๊ะ มะ แมมม่อนมันเล่นผมซะยับเลยครับ ทำแค่นี้จะดีจริงๆเหรอครับ!? เป็นเพื่อนร่วมงานแท้ๆแต่ดันอัดผมซะอย่างกับอะไร”
“อ่อนแอเองช่วยไม่ได้”
“ไหงนั้นล่ะ ท่านดิลุค!!!?”
ดิลุคหัวเราะพึมพำในลำคอ ก่อนหันหน้ามาหาผมและเบลลามี
“รีบไปกันเถอะ มีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ”
ผมพยักหน้ารับ พร้อมกันนั้นผลึกของการาวิเทียก็เลืองแสงออกมาตามที่ใจผมปารถนา–
“ไม่ยอมรับ ..ยังไงผมก็ไม่ยอมรับเด็ดขาด”
แมมม่อนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ดิลุคเหลือบตามอง
“ขอล่าวจากใจจริงว่าเราพร้อมจะอ้าแขนต้อนรับเสมอ”
“..ไม่จำเป็นครับ ..ไม่จำเป็น”
“..นั้นเหรอ เช่นนั้นก็—สักวันจะมารับนะ แมมม่อน”
เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มของดิลุคที่เธอมอบให้แก่ผู้เปรียบเสมือนน้องชาย
แสงสีม่วงปกคลุมทั่วพื้นที่ อำนาจของการาวิเทียส่องประกายไปตามปริมาณมานาที่ใส่เข้าไป ทั้งสี่ชีวิตที่ผมควบคุมได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และทยานกลับ ณ สนามรบเดิม—
“ปล่อยไว้เฉยๆจะดีเหรอ?”
“ยังไงก็คงได้เจอกันอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก”
….จะใช่อย่างนั้นจริงๆเรอะ แต่ก็นะ เรื่องที่ให้คิดต่อจากนี้มีอีกมากมาย ระดับที่เรื่องของแมมม่อนไม่น่าใช่ปัญหาใหญ่อะไร
“เบลลามี ดิลุค แอสโมเดียส ..ไปหยุดสงครามกันเถอะ”
ประโยคพูดราวกับพระเอก–ชวนให้ผมจั๊กจี๊หัวใจมิใช่น้อย
“ผมขอเป็นตัวประกอบอยู่ข้างหลังพอนะครับ”
“จะพยายาม”
“ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
ได้ยินอย่างนั้นก็โล่งใจขึ้นเยอะเลย—
****
ป่าบริเวณใกล้เคียงกับสงครามระหว่างทูตสวรรค์ และกองทัพจอมมาร
เอเธอร์นั่งอยู่บนท่อนไม้แถวๆนั้น รอบตัวเต็มไปด้วยเศษซากต้นไม้ที่ล้มลงจากการต่อสู้อันดุเดือด ในขณะที่ข้างๆคือร่างของลูซิเฟอร์ที่สลบอยู่ และไกลออกไปไม่มากนักคือร่างของเคียวยะที่นอนคากับพื้น พร้อมเศษเหล็กที่ติดตามร่างกายไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
จากการต่อสู้เมื่อไม่นานมานี้ เคียวยะเป็นฝ่ายแพ้เป็นที่แน่ชัด จากสภาพที่เละเทะ กลับกัน สภาพของเอเธอร์มีเพียงแค่รอยแผลอะไรบางอย่างบาดเล็กๆตรงแก้มเท่านั้น
หากให้มองในแง่ดีก็อาจกล่าวชมเคียวยะเก่งพอจะสร้างบาดแผลให้เอเธอร์ได้?
“..รวดเร็วกันดีจริงๆนะครับ”
เอเธอร์แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มีแสงสีม่วงกำลังตรงมาที่สนามรบ
“ต้องไปทักทายสักหน่อยแล้วสิ”
กล่าวจบ เอเธอร์ก็ลุกขึ้นยืน และตรงไปที่ที่เกิดการต่อสู้ขึ้นทันที
MANGA DISCUSSION