เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 361
< < 223 Sec2 > >
บนโลกจิตใต้สำนึก สองคนนั้น เบลลามี-เบลามี เบลลามี-ดิลุค คงกำลังพูดคุยเป็นการส่วนตัวกันโดยไม่มีผมไปเกี่ยวข้องด้วยอยู่ แต่ว่าทางนี้นั้นเดือดอย่างกับอยู่ในนรก
ดิลุคที่ไร้สติดันเคลื่อนไหวในระดับเดียวกับดิลุคตอนมีสติ แถมยังเร่งมือคิดจะฆ่าผมทิ้งโดยไม่คิดเจรจาอะไรอีก บอกตามตรงว่างานหยาบ
ทุกจังหวะที่เพลิงสีขาวพุ่งเข้ามา ผมจำเป็นต้องแลกอวัยวะบางส่วนในร่างกายของตัวเองเพื่อหลบหนี และไปรักษาทีหลังด้วยวิหคอมตะ ให้สรุปก็คือผมอยู่ในสถานตั้งรับ และดิลุคเป็นฝ่ายลุก เธอเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาด แม้ว่าจะไม่มีสติก็ตาม
สมชื่อตัวตนที่ทรงปัญญาที่สุดบนโลก
“[เฟลมบาสเตอร์]!!!”
“….”
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ผมบินหนีด้วยพลังของการาวิเทีย—ดิลุคบินตามมาติดๆ พร้อมกับใช้ดาบเพลิงสีขาวตวัดใส่ ยากจะคาดเดา มันเหวี่ยงไปมาราวกับแส้ ทั้งยังยืดหดได้ ทุกจังหวะในการหลบ ผมจำเป็นต้องใช้ [มิติกระจก] ช่วยให้พ้นการโจมตี
แต่เหมือนว่าดิลุคจะคาดเดาได้อยู่แล้ว จู่ๆผมก็โดนดูดลงพื้นด้วยหลุมดำ จากนั้นก็โดนเพลิวสีขาวอัดเข้ากลางร่างจังๆ
“อึก!!!”
ผมใช้วิหคอมตะรักษาตัวเองสวนกลับการเผาผลาญจากเพลิงสีขาว ผลคือรอดหวุดหวิด
ผมกลิ้งไปมาตามพื้น ก่อนจะควบคุมให้ตัวเองกลับมายืนได้หลังจากหัวชนพื้นราวสองรอบ
‘จอมมารตอนเอาจริงแข็งแกร่งสุดๆไปเลยนะคะ’
“นั่นสินะ ดูทรงแล้วก่อนหน้านี้น่าจะไม่เอาจริง”
‘เคยคิดอยู่นะคะว่าตัวเองตอนมีชีวิตน่าจะประมือกับจอมมารได้สูสี แต่ว่า ..นั่นสินะคะ คงจะอยู่ในระดับที่เป็นคู่มือให้ได้เพียงแค่นั้นกระมังคะ”
แม้แต่ยูนายังว่าอย่างนั้น
“เอาเป็นว่า–เอาแค่อย่าตายก็แล้วกันเนอะ!”
ยังไงซะหน้าที่ผมก็มีแค่ถ่วงเวลารอเบลลามีเท่านั้น
‘คิดว่าไหว ระดับมาสเตอร์แล้ว’
โยนขี้ให้กันดื้อๆเลยเรอะนั่น!?
‘เชื่อใจต่างหากค่ะ’
“ขอบใจละกันถ้านั้นก็— [ไฟเยอร์] [ไฟเยอร์] [ไฟเยอร์] [ไฟเยอร์] [ไฟเยอร์] [ไฟเยอร์] แน่จริงก็เข้ามา [ไฟเยอร์] !!! จ๊ากกกกกก!!!! ฟะ [ไฟเยอร์] !!!!”
การต่อสู้ที่คล้านเวียนว่ายตายเกิดของผมจึงดำเนินต่อไป ตราบจนถึงจุดสิ้นสุดของโลกในจิตใต้สำนึก-
****
(มุมมอง ดิลุค)
ขณะเดียวกัน อีกโลกใบหนึ่ง ..อะไรของตัวเรากันนะ
เราตั้งคำถามอย่างสูญเปล่า ขณะที่เดินตามตัวเราเบลลามีไป เราก็พลางมองสิ่งแวดล้อมโดยรอบไปด้วย
ทุ่งหญ้าสีเขียวขจี กำแพงเมืองหินขนาดใหญ่ แล้วก็ประสาทลอยฟ้าที่บินอยู่เหนือทุกสิ่ง
โลกใบนี้ อืม โลกในจิตใต้สำนึก เป็นโลกที่จำลองขึ้นมาจากโลกจริงๆ และตอนนี้เราน่าจะยืนอยู่ที่ ‘อาณาจักรฟัฟนิร์’ ไม่ผิดแน่ จากประสบการณ์ที่อาศัยอยู่ภายในจิตใจของตัวเราเบลลามีมาโดยตลอด
ทว่าโลกใบนี้นั้นเป็นความว่างเปล่า สุดจะเปล่าเปลี่ยว ไร้ซึ่งผู้คน ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ทั้งยังไร้ซึ่งธรรมชาติ-สัมผัสได้จากสายลมที่ไม่พัดผ่านมา ลมเย็นที่ควรจะมีเองก็ไม่มีเช่นเดียวกัน มันจึงสุดจะเปล่าเปลี่ยว
สำหรับโลกใบนี้ คงบอกได้เพียงแค่ว่า–
“สมกับเป็นโลกในจิตใต้สำนึกของตัวเราเองดี”
ช่างว่างเปล่า
ตัวเราเบลลามีได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ถ้าเราอยู่คนเดียว ทุกอย่างก็คงจะเป็นแบบนี้ ..ตัวเราดิลุค จำเรื่องเมื่อสมัยเด็กได้อยู่รึเปล่านะ”
“เรื่องไหนล่ะ”
“เรารู้สึกว่าตัวเองอยู่คนละโลกกับทุกๆคน”
“อ่อ เรื่องที่ใช้อ่อยเรเซอร์นั่นน่ะรึ”
“..ไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นนะ”
ตัวเราเบลลามีเป็นผู้หญิงที่ไร้กาจ ถึงไม่น่าเชื่อ เพราะดูโง่เขลาผิดกับเรา แต่ส่วนที่คล้ายกับเราก็พอมีบ้าง และขอยอมรับจากใจจริงถึงเรื่องนั้น
“ตอนนั้นเราไม่ได้เข้าใจอะไรเลย จนกระทั่งได้มาพบกับเรเซอร์ จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นได้มาพบกับทุกๆคนถึงได้เข้าใจอะไรมากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับโลกใบนี้ ราวกับว่าเราพึ่งได้เริ่มใช้ชีวิตบนโลกใบนี้เป็นครั้งแรก เรื่องง่ายๆมากมาย เราไม่สามารถเข้าใจได้เลย ..ทำไมกันนะ”
“…”
ตัวเรา ถือกำเนิดมาอย่างน่าพิศวง ที่มาไม่แน่ชัด แม้แต่เราเองก็ไม่รู้ แต่ว่ารู้ตัวอีกทีก็เกิดมาบนโลกใบนี้ และถูกทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าโดยใครสักคน
แน่นอนว่าพ่อหรือแม่ผู้ให้กำเนิดล้วนไม่ใช่สิ่งสำคัญ ต่อให้มีสายเลือดของใคร ตัวเราก็ยังเป็นตัวเรา มีเชื้อสายเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว สามารถบอกได้เต็มปากว่าเราทำการแย่งสิทธิ์การกำเนิดของเด็กคนหนึ่ง เพื่อที่จะเกิดใหม่
ไม่ว่าตัวเราเบลลามี หรือตัวเราเอง ก็ล้วนเป็น ‘จอมมาร’ หรือ ‘บุตรแห่งพระเจ้า’ ‘โซโลม่อน’ เหมือนๆกัน จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจ เพราะสายสัมพันธ์อะไรพวกนั้นไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ว่านั่นสินะ เหตุใดจึงไม่สามารถเข้าใจอะไรได้กัน
เรื่องนั้นเราเองก็ไม่มีคำตอบเหมือนกัน
เอาเป็นว่า–เราเลือกจะไม่ตอบคำถามใดๆให้ตัวเราเองทั้งสิ้น
“ไม่รู้สิ”
จึงตอบกลับไปง่ายๆ
“อยากจะรู้จังเลยนะ”
“ถ้าแม้แต่ตัวของตัวเองยังไม่รู้ มันก็คงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”
“ไม่หรอก ..บางทีสิ่งสำคัญ มันก็หลงลืมกันได้ ..อาจจะง่ายมากๆด้วย เลยอยากจะรู้”
“เพื่ออะไรกัน? ในเมื่อมันง่ายที่จะลืม ในไม่ช้าก็เร็ว เธอก็จะลืมมันเอง”
“เราหวังว่าครั้งหน้าจะไม่ลืม เลยอยากจะลองรับรู้มันใหม่อีกครั้งน่ะ”
……
การคุยกับตัวเองมันคือเรื่องน่าพิศวง
ทำไมกันนะ อยากจะรู้นั้นเหรอ ..จะรู้ไปทำไมกัน ยังไงเสียมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี—-เอ๊ะ
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ที่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่หมายถึงเรื่องอะไรกันนะ
“ตัวเราดิลุครู้รึเปล่า พวกเราพ่ายแพ้มาหลายครั้งแล้วนะ ให้แก่ศัตรูของพวกเราเอง”
….
“รู้สิ นับครั้งไม่ถ้วน ..นี่คือเรื่องที่หลงลืมไปรึเปล่านะ?”
“ไม่ใช่หรอก จำกันได้แล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องเกี่ยวกับโลกใบนี้ และความพ่ายแพ้ของพวกเรา” เบลลามียิ้มจางๆ “ที่จะพูด เราหมายถึงเรื่องที่กำลังหลงลืมตอนนี้อยู่ต่างหาก”
ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ความคิดของตัวเองนั้นยากที่จะตรวจสอบ เพราะโดนแบ่งครึ่ง สติปัญญาเลยลดลง? ไม่ใช่ ความทรงจำขาดหาย? ไม่ใช่ ความรู้สึกเปลี่ยนไป? ก็ไม่ใช่ จะอย่างไรก็แล้วแต่
“บอกอยู่นะว่าอยากจะฟังเรื่องตลก”
ตัดบทไว้ก่อนดีกว่า
“เรื่องตลก ..อือ จำได้รึเปล่า ตอนเด็กที่เราโดนเด็กในที่ที่เดียวกันขโมย กกน. ”
“เป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย และน่าสมเพซ นึกดูแล้วว่างๆก็น่าจะกลับไปแก้แค้นบ้างนะ เจ้าพวกเด็กเปรตพวกนั้นน่ะ”
“ไว้หลังจบเรื่องทุกอย่าง ไปหากันนะ”
“อืม หลังจบงานนี้ เราจะเลือกที่นั่นเป็นที่ที่ต้องทำลายล้างที่แรกเลย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสิ”
“ต้องอย่างนี้นี่แหละ ตัวเราเบลลามีโลกสวยเกินไป ความพ่ายแพ้นับล้านที่เคยแบกรับไม่ได้ช่วยให้ลืมตาตื่นขึ้นเลย”
…..
“คิดอย่างนั้นเหรอ?”
“อืม คิดอย่างนี้แหละ–แล้วก็อยากจะฟังเรื่องตลกด้วย ไม่ใช่ความทรงจำเลวร้ายสมัยเด็ก”
จู่ๆก็หัวร้อนขึ้นมา เราเลยเตะเศษหินแถวๆนั้นเล่น
“เรื่องก่อนที่จะไปสอบชิงทุน แล้วได้เข้าวิทยาลัยเวทมนตร์ ..เพราะตอนนั้นไม่มีตังค์ แม้แต่จะเข้าเมืองไปสอบ เราเลยต้องทำงานหาเงิน แต่ก็โดนพี่สาวกับพี่ชายที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาขโมยตังค์ไปทุกที จนเกือบจะมีตังค์ไม่พอไปสอบ”
“ไม่ผ่าน”
“..ตอนก่อนจะออกเดินทางมา อาณาจักรฟัฟนิร์ แล้วซวยโดนมอนสเตอร์ไล่”
“นึกดูแล้วตัวเราก็ซวยเหลือเกินนะ อาณาจักรฟัฟนิร์แทบไม่มีมอนสเตอร์แท้ๆ แต่ดันมีมอนสเตอร์โผล่มาซะได้นี่”
คงเป็นการกลั่นแกล้งเล็กๆน้อยๆจากพวกไม่ปารถนาดีสักคน ..เอาเป็นว่า
“ไม่เห็นจะตลกตรงไหน อีกอย่างมันตลกยังไง เป็นเหยื่อการกลั่นแกล้งจนเพี้ยนไปแล้วรึ?”
“ถ้าเล่าให้เรเซอร์ฟัง เรเซอร์จะหัวเราะตอบนะ”
“หัวเราะแห้งๆสิไม่ว่า แล้วถ้ามีผู้ชายมาขำกับเรื่องแบบนี้ใส่ ทิ้งๆไปเถอะนะตัวเรา”
“เรเซอร์ปารถนาดี เราสัมผัสได้”
“คุยกับพวก ‘หลงผู้ชาย’ ไปก็ไม่ได้อะไร เลิกน่าจะดีกว่า”
เราทิ้งตัวเราที่คลั่งรักจนหน้ามืดไป ..ชอบไปได้ยังไงกันนะ ผู้ชายพรรค์นั้น ทั้งยังชอบตั้งแต่ชาติปานก่อนอีก
ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
“..พูดถึงเรื่องตลก”
“ตัวเราดิลุคนึกอะไรดีๆได้เหรอ?”
“คงจะใช่ เพราะฉลาดกว่ามากเลยนึกเรื่องที่น่าตลกจริงๆออกได้” เราลูบคาง ครุ่นคิด นึกย้อนกลับไป “ตอนที่เจอกับเรเซอร์ครั้งแรก ทำเรื่องไม่ดีสุดๆลงไปด้วยสินะ”
………
…..
ตัวเราเบลลามีหลังจากนึกอะไรได้ก็หน้าซีด อืม ดูออกยากก็จริง แต่ตัวเราของตัวเราเองย่อมดูออก
“เป็นวันวานที่ดีนะ”
“แค่จับมือด้วย จำเป็นต้องรังเกียจขนาดนั้นเลยรึ?”
“..อือ”
“ตอนนั้นเรเซอร์ทำหน้าจะร้องไห้ด้วยนะ”
…..
“คิดว่ามันไม่ดีถ้าเกิดมีเชื้อโรค ..ไม่สิ เราไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำเรื่องไม่ดีกับเรเซอร์”
อย่างที่รู้ ตัวเราเบลลามีเกียจสิ่งสกปรก เช่นเดียวกัน เราเองก็ไม่ชอบ พวกเราต่างไม่ชอบเรื่องสกปรกตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดรักษาความสะอาดให้ตัวเอง หลังจากจับมือกันคนอื่นไปมาดๆ แบบนั้นน่ะเสียมารยาท
ถึงส่วนหนึ่งจะเป็น เพราะไม่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น แต่ว่าก็มีส่วนใหญ่โตอีกส่วน
“ถูกบอกมาโดยตลอดว่าสกปรกน่ะ เราเลยอยากทำตัวให้สะอาดมากยิ่งขึ้น ตอนนั้นไม่ทันฉุกคิดอะไรหลายๆอย่าง ก็เลย ..อือ ทำเรเซอร์เสียน้ำตาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันจนได้”
เพราะมีแผลใจ ..อะไรบางอย่างกำลังทำให้เรานึกบางเรื่องออก แม้จะไม่ได้ขอหรือไม่อยากได้ขนาดไหน แต่สมองมันก็ทำงานของมันเอง
อีกนิดเดียวก็จะนึกออกแล้ว–
“แต่สุดท้ายเรเซอร์ก็ไม่รังเกียจเรา ทั้งยังเข้าหาเราเรื่อยๆอีก เป็นคนที่ใจดี และเท่ที่สุด แบบนี้จะไม่ให้ชอบมันก็ยากไปหน่อยปะ”
โชคช่วยที่มีคนพูดขัดด้วยท่าทางแปลกๆขึ้นมาก่อน ทำให้เรื่องที่กำลังจะนึกออกก็ผล็อยหายไปด้วย
ตัวเราเบลลามีพูดพลางทำท่ากอดอกเชิดหน้า ซึ่งท่าทางเชิดๆอย่างนั้นไปคนละทางกับสีหน้าที่เรียบเฉย ทำให้รู้สึกแปลกตาจนอยากจะ ..ลงไปม้วนไปมากับพื้น เหตุใดถึงต้องทำตัวน่าอับอายขนาดนี้ด้วยกัน
“เราละเกียจวิธีพูดที่สวนทางกับหน้าตาแบบนั้นจริงๆ ไปฝึกทำสีหน้าตรงหน้ากระจกหน่อยก็ดีนะตัวเรา”
“กำลังฝึกอยู่ แต่ยากไปนะ” เบลลามีหรี่ตามอง “พยายามเลียนแบบ ‘โซเฟีย’ น่ะ การแสดงอารมณ์ของเธอมันช่างน่าหลงใหล จึงอยากจะเรียนรู้ แต่เหมือนจะไม่ไหว”
แค่นึกภาพตัวเราเบลลามีทำตัวเหมือนโซเฟียคนนั้นก็สยองขวัญแล้ว โปรดได้อย่าคิดเลียนแบบอีกเลย
“เรื่องตลกอีกอย่างนึกออกแล้ว” เบลลามีพูด
“อะไรล่ะ”
“ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้ไม่ทันใด เราก็โดนขโมย กกน. อีกรอบเฉยเลย”
ตลกยังไงก่อนตัวเรา
“ฆ่าทิ้งไปให้จบๆก็ดีนะ เจ้าเคียวยะนั่นน่ะ”
“ไม่ดีหรอก เคียวยะนิสัยดีนะ แค่ปากไม่ตรงกับใจ”
“ตามมาตรฐานสังคม เคียวยะคือโรคจิตภัยสังคมไม่ผิดแน่ เหตุใดเราต้องให้ค่าคนที่อยู่จุดต่ำสุดในสังคมด้วยกัน เพียงแค่เป็นลูกแหง่ติดแม่ขั้นหนัก มันมีอะไรให้น่าเห็นใจตรงไหน”
“อือ ..ตัวเราดิลุค ใช่ตัวเราจริงๆรึเปล่านะ?”
…..
“จริงสิ ไม่มีความรู้สึกไหนที่ต่างกันหรอก”
เพียงแค่แสดงออกต่างกันเท่านั้น ..ใช่ เรื่องที่ตัวเราเบลลามีพูดใส่ ที่บอกว่าเราเป็นเพียงด้านที่งี่เง่า หรือไม่ก็หัวรุนแรง และทันโลกกว่าก็เท่านั้น
กับเคียวยะ เราเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรจริงๆหรอก รู้สึกเห็นว่าเป็นเพื่อนคนสำคัญไม่ต่างกัน เพียงแต่ในกรณีของตัวเราจะปฏิบัติเสมือนว่าคนๆนั้นคือหนอนแมลง ผิดกับตัวเราเบลลามีที่ปฏิบัติเหมือนเพื่อนสนิท เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ เพราะนิสัยต่างกัน การแสดงออกเลยต่างกัน และเป็นคนเดียวกัน เลยรู้สึกเหมือนกันก็เท่านั้น
“ไม่ตลกอีกแล้วเหรอ?”
“แน่นอนอยู่แล้วเรื่องนั้น”
“นึกดูแล้ว..ยูจิกับเรย์ สองคนนี้ไม่ค่อยมีเรื่องตลกเลยนะ”
“ยูจิน่ะว่าไปอย่าง เขาเป็นคนที่คู่ควรกับคำว่ามนุษย์ที่ดี ..ส่วนเรย์นั้น ให้เราพูดเรื่องตลกก็เยอะดีนะ เป็นมนุษย์ที่ล้มเหลวในฐานะมนุษย์เสียจนน่าตลก คนละประเภทกับเคียวยะที่ล้มเหลวในแง่ศีลธรรม แต่เรย์นั้นล้มเหลวในฐานะมนุษย์ทั่วๆไปเลยทีเดียว”
“หนิง–”
“พอๆกับเรย์เลยนะ”
“กอรี่”
“น่ารำคาญไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร แล้วก็ตัวติดเรเซอร์เกินไป”
“โซเฟีย”
“เป็นเด็กนิสัยดี คู่ควรกับคำว่ามนุษย์ที่สุดบนโลกแล้ว”
ตัวเราเบลลามีพยักหน้าเห็นด้วยรุนแรง
“โซเฟียเป็นคนดี”
“เป็นหนึ่งในไม่กี่หัวข้อที่เห็นด้วยนะ”
“อือ เริ่มตลกแล้วหรือยัง?”
“สังเกตุสีหน้าของคนอื่น แล้ววิเคราะห์เอา”
ไม่คิดเลยว่ามันจะถึงวันที่ตัวเราต้องมาสอนตัวเราเองอีกทีหนึ่ง—
“นี่ ตัวเราดิลุค” เบลลามีพูดทั้งรอยยิ้ม “จำได้หรือยังนะ? ความรู้สึกเหล่านี้”
…….
….
“ไม่เลยนะ”