เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 360
< < 223 Sec1 > >
(มุมมองของ ดิลุค)
“เป็นการแลกเปลี่ยน เรากับเรเซอร์ ..เรากับทุกคน จะแสดงให้เห็นเอง”
..เป็นการโน้มน้าวที่ห่วยแตก แสดงความจริงใจออกมามากเกินไป ปราศจากคำหลอกล่อ ในฐานะนักต้มตุ๋นหรือเจ้าลัทธิแล้วสอบตก
ถึงป่านนี้แล้วจะมาแสดงสิ่งใดให้เห็นกัน สิ่งใดจะเปลี่ยนใจตัวเราที่ผ่านโลกใบนี้มานับล้านปีได้กัน มีด้วยรึสิ่งที่ทำให้ตัวเราซึ่งสูญเสียหลายสิ่ง เลือกจะทิ้งอุดมการณ์ของตัวเองได้ลงคอ มีด้วยรึ?
อาจจะเพราะสงสัย เราจึง ..พยักหน้ารับไป
แค่สงสัยเท่านั้น สุดท้ายทุกอย่างก็อยู่ในกำมือของเราตั้งแต่แรก หากต้องการ คำเกลี่ยกล้อม และชีวิตที่เอามาเป็นเดิมพันจะกลายเป็นของเรา เราจะกลายเป็นผู้ชนะในทันทีที่เห็นว่ามันไร้สาระ
“ปัญญาชนอย่างตัวเรา แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธการรับฟัง”
“ขอบคุณ ..”
“ทว่า ตัวเราบนโลกเพลิงสีทองคำขาวจะยังเคลื่อนไหวอยู่”
“สุดยอดเลย ต่อให้ไม่มีสติก็ขยับได้สินะ”
“แน่นอนสิ ต่อให้หลับหรือโดนควบคุมจิตใจ ร่างกายก็จะขยับไปตามสมควร แน่นอนว่าตามสมควรในสถานการณ์นี้ก็คือการฆ่า ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ ตัวเราที่ไร้ซึ่งสติน่าจะทำงานได้ดีกว่าตัวเราที่มีสติแน่นอน สำหรับเรื่องนี้”
เบลลามีพยักหน้าเห็นด้วย
“เข้าใจนะ พอมองหน้าเรเซอร์ก็จะเผลอใจอ่อนตลอด ทั้งๆที่เรเซอร์เป็นผู้ชายกระหล่อนที่เราไม่ชอบเลยสักนิดในนิยาย แต่โดนจ้องหน้าเหมือนอยากจะขออะไรสักอย่าง เราก็รู้สึกอยากตามใจตลอดเลย”
“น่าสนใจดี สำหรับเรา จุดนั้นมันชวนให้ตื่นเต้นดี ถ้าหากสยบม้าพยศได้มันก็หมายความว่าตัวเราคือมาสเตอร์ในด้านนี้”
“ในหนังสือเขาว่ากันว่าผู้หญิงที่คิดแบบนั้นจุดจบมักจะไม่สวย”
วลีที่ว่า ‘ฉันจะเปลี่ยนเขา’ แต่ ‘เขาทำลายฉัน’ นั่นเอง เป็นบทสรุปที่พบอยู่บ่อยๆบนโลกความเป็นจริง แม้ในยุคโบราณจะไม่ค่อยได้เห็น แต่ได้ยินมาว่ายุคหลังสงครามของผู้กล้าและจอมมารไป เมื่อโลกเข้าใกล้ความสงบสุข วลีนี้ก็ผุดขึ้นในชีวิตจริงเป็นดอกเห็ด
คิดเสียว่าเป็นเรื่องบันเทิงก็คงได้ สำหรับมนุษย์การบันเทิงกับอะไรพวกนี้นั้นค่อนข้างน่ากลัวก็จริง แต่ ..
“อย่าเอาผู้หญิงธรรมดามาเทียบกับพวกเราสิ ตัวเราเบลลามี”
ดูเป็นการแถที่ดี เราคิดในใจเงียบๆ และตามน้ำตัวเธออีกฝั่งหนึ่งไป
“นั่นสินะ พวกเราห่างไกลคำว่าธรรมดาไปไกลเลย”
“..เนื้อหาที่พูดคุยไม่ไร้สาระไปหน่อยรึ?”
“ไม่ชอบเหรอเรื่องอย่างนี้ ถ้าเป็นคนอื่นที่เรารู้จัก ..เหมือนจะชอบคุยเรื่องพวกนี้กันมากๆ”
“ก็ว่าอะไร คิดจะทำให้ใจอ่อนด้วยเรื่องความรักนั้นเหรอ มีแต่พวกอีตัวเท่านั้นแหละที่จะยอมส่ายตูดให้ง่ายๆกับเรื่องแค่นี้น่ะ คิดว่าเป้าหมายของเราราคาถูกขนาดนั้นเชียว?”
พอพูดอย่างนั้นเพื่อนหลายคนก็ผุดเข้ามาในหัวเบลลามี ก่อนที่เธอจะสะบัดหน้าสลัดเอาหน้าทุกคนออกไป
“แรงไปหน่อยนะ ไม่เห็นด้วย”
“เหรอ”
“อือ ..เรื่องของเรเซอร์ไม่ไหวสินะ”
เราทำท่าหยักไหล่แบบหน่ายใจ ก่อนลงไปนั่งชันเข่ากับพื้น เบลลามีเห็นก็นั่งตาม แต่เธอนั่งในท่าพับเพียบตามแบบฉบับค่านิยมกุลสตรี ช่างแตกต่างกับเรา จนชวนให้ฉุกคิดว่าคนๆเดียวกันจริงหรือเนี่ย แม้แต่ตัวเราเองยังแปลกใจ
“ไม่ใช่สาวน้อยที่หลงใหลกับความรักถึงขนาดทิ้งทุกอย่างเสียหน่อย ..ใช่มั้ยล่ะ ตัวเราเบลลามี ตอบให้ชื่นใจหน่อยสิว่าเธอไม่ได้ตกลงทำตามใจเรเซอร์ เพียงเพราะว่าพวกเรารักกันน่ะ ถ้าเรารู้ว่าตัวเองเป็นพวกหลงผู้ชายเข้าขั้นหน้ามืด เราคงจะช็อตจนอยากตายไปสักสามวันเลยละนะ”
“เรื่องนั้นเราก็พูดได้ไม่เต็มปากนะ ทุกครั้งที่เรเซอร์ดีใจที่เรายอมทำตาม มันทำให้เราดีใจ บางครั้งก็สับสนเหมือนกันว่าที่เรากำลังทำอยู่ เป็นเพราะเราปารถนา หรือเพราะเรเซอร์ปารถนา”
“สอบตกนะที่จะมาโน้มน้าวกัน แค่เจตจำนงศ์ของตัวเองยังไม่ใช่ พูดอะไรไปก็ไม่น่าฟังหรอกนะ”
“นั่นคือส่วนที่เราไม่แน่ใจ แต่ส่วนที่เราแน่ใจเองก็มีนะ”
สงสัยจริงๆนะ
“ว่ามาสิ”
“เราอยากจะแก่ตาย”
แก่ตายเหรอ?
ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ ก็ตัวเราน่ะเป็นอมตะ ไม่มีอายุขัยหรือว่าขีดจำกัดใดๆทั้งสิ้น เรื่องความตายเลยดูห่างไกลเป็นพิเศษ แต่ตัวเราเบลลามีกลับสนใจในเรื่องๆนี้ ค่อนข้างน่าสนใจ
ทำไมกันนะ? เป็นเพราะแรกเริ่มเธอกำเนิดในฐานะมนุษย์ธรรมดาหรือเปล่า? อืม น่าสนใจจริงๆ
“เราคิดว่าการที่มีชีวิตจนถึงวันสุดท้ายได้ มันวิเศษมากๆเลย ..น่าจะเป็นช่วงเวลาที่บรรลุทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต”
“หรือไม่ก็ล้มเหลวจนคิดอยากกลับไปแก้ไข ..ตัวเราเบลลามีอ่านนิยายมากเกินไปนะ คิดจริงๆรึว่าโลกจะมอบตอนจบที่สวยงามขนาดนั้นให้ ยิ่งในฐานะจอมมาร”
“..อือ เพราะอย่างนั้นเอง การร่วมมือกับเรเซอร์จะทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ด้วยหัวคิดที่ก้าวไกล เอ่อ อือ เพียงแค่ติดต่อมาทางช่องทางนี้ 059-”
“ทำไมต้องทำน้ำเสียงเหมือนพวกต้มตุ๋นด้วยกัน ตัวเราเบลลามีเป็นพวกติดตลกรึ?”
เห็นว่าจะไร้สาระเข้าไปใหญ่เลยพูดขัดก่อน
“ทำไมเหรอ? มันอธิบายยาก คิดว่าอธิบายแบบนี้จะเข้าใจกันได้”
“นี่เรา ..กำลังฟังเรื่องอะไรอยู่กันนะ?”
แค่ฟังก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาแล้ว
ถามจริงเถอะ …ตัวเราโง่ขนาดนี้จริงๆรึ?
เผลอคิดขึ้นมาจนได้ อุตส่าห์เก็บเงียบไว้ในส่วนลึกของจิตใจแล้วแท้ๆเชียว
ใบหน้าของตัวเราเบลลามีเหมือนกับเราเป๊ะ ต่างกันแค่สีผมเท่านั้น ต่างกันแค่นั้นแต่ดูท่าความฉลาดจะไม่เท่ากัน
ไม่สิ คิดๆดูแล้ว ผู้หญิงมึนๆแบบนี้เนี่ยนะตัวเรา? เริ่มสับสนในตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะตัวเราดูโง่เกินไป
“ตัวเราดิลุค แอบด่าในใจเหรอ?”
“ใช่แล้วละ กำลังคิดอยู่เลยว่าทำไมตัวเรามันถึงไร้สติปัญญาได้ขนาดนี้”
“เพราะโดนแบ่งครึ่ง?”
“ไม่น่าจะใช่ ถ้าครึ่งต่อครึ่ง สัดส่วนมันไม่น่าผิดเพี้ยนได้ขนาดนี้ ..”
สงสัยจริงๆ ..เราเท้าคาง ครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจัง เผลอคิดไปว่าครั้งล่าสุดที่คิดจริงจังขนาดนี้น่าจะเป็นตอนเผชิญหน้ากับเอเธอร์ในมาดของผู้กล้ากระมัง? อะไรกัน จริงจังกับอะไรแบบนี้ ..ไร้สาระพอกันเลยนี่นา
รู้สึกตัวได้ทัน เราก็เลิกคิดทุกอย่างที่ไร้สาระ แล้วก็มั่นใจได้แล้วว่ายังไงคุยไปก็ไม่น่าได้อะไร
ไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนสิ่งที่เราตัดสินใจไปแล้วได้ เป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่อดีตแล้ว
“มีอะไรจะพูดอีกรึเปล่า”
“มีสิ ..เอ่อ เรื่องที่อยากให้ตัวเราดิลุครู้มีอีกมากมาย ต่อจากนี้จะเข้าเรื่องแล้ว”
“ไม่ต้องเข้าเรื่องก็ได้ ยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องอุดมการณ์ แล้วคำพูดกลวงๆที่ว่าเชื่อใจในทุกคนสิอยู่แล้ว”
“อือ ประมาณนั้นเลย”
“แทนที่จะพูดเรื่องน่าเบื่อ ..นั่นสินะ เล่าเรื่องตลกให้ฟังหน่อยสิ”
ให้เราได้ฆ่าเวลาสักหน่อย ก่อนที่จะกลับไปดำเนินตามแผนการณ์ต่อ
บนโลกภายในจิตใจแห่งนี้ เวลาไม่ได้เดินมากมายด้วย เหมาะแก่การพักผ่อนดี
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
“ขอฟังหน่อยสิ เรื่องของตัวเราอีกคน”
……….
…..
****
ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ !! เสียงการปะทะกันดังสนั่นไปทั่วทั้งโบสถ์
แมมม่อนในชุดเจ้าบ่าวเข้าต่อสู้กับแอสโมเดียสด้วยหมัดเปล่าๆ
“ไม่ได้เปลี่ยนไปจริงๆด้วยสินะครับ–ยังชักช้าเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”
แม้จะใช้หอกที่มีความคล่องแคล้วสูง แอสโมเดียสก็ยังช้ากว่าแมมม่อนหลายขุม การต่อสู้ของทั้งสองราวกับการเล่นตลกของฝ่ายๆเดียว
แมมม่อนเหนือกว่าอย่างท่วมท้น พริบตาเดียวร่างของแอสโมเดียสก็ปลิวไปชนกับกำแพง และไถลลงพื้นในสภาพไม่น่าดู
“อั้ก ..แฮก แฮก เห็นว่ายังแข็งแรงดี ผมก็สบายใจแหละนะ ฮะ ฮะ-อั้ก!” แอสโมเดียสกระอักเลือด “โธ่เว้ย ฟันน่าจะหลุดสองสามซีกเห็นได้นะเนี่ย”
“เปราะบางสมกับเป็นเผ่ามนุษย์ดีนะครับ”
“ฮะๆๆๆ ..นั่นสิเนอะ”
มนุษย์อ่อนแอ ยิ่งเทียบกับอสูรโลหิตแล้วยิ่งอ่อนแอเข้าไปใหญ่
เข้าใจดีอยู่แล้วละเรื่องพวกนี้น่ะ-แอสโมเดียสกำหอกไว้แน่น และวิ่งเข้าใส่อีกครั้ง
“ย๊ากก!!”
กระนั้นมนุษย์อย่างฉันก็ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ..เรื่องที่ทำได้มันก็ต้องมีบ้างไม่ใช่รึไง?
“ฮึบ”
“ย๊—อ๊ากก!”
จังหวะปะทะสามจังหวะ หอกเหวี่ยงไปถูกหยุดโดยมือเปล่า โดนดึง และโดนซัดกลับที่หน้าท้อง เสียงกระดูกดังกึกก้องภายในร่างกาย แอสโมเดียสกลับฟันกรามแน่น หมุนตัวสวนกลับด้วยปลายหอก
“เวรแท้ๆ”
อย่าว่าแต่ได้สู้ แค่สร้างบาดแผลให้แมมม่อนมันก็ยากเกินไปสำหรับแอสโมเดียส ลำพังปลายหอกมีคมไม่สามารถสร้างความเสียหายให้ร่างกายเหมือนเด็กตรงหน้าได้
หากจะโทษสิ่งใดก็โทษได้แค่ ‘ความแตกต่างทางเผ่าพันธ์ุ’
แมมม่อนถีบแอสโมเดียสจนปลิว จากนั้นก็ดีดนิ้ว ยิงกระสุนโลหิตเข้าใส่—แอสโมเดียสหมุนหอกปัดป้องการโจมตีทั้งหมด แต่ไม่ได้มีเร็วพอจะปัดทุกการโจมตีได้หมด สุดท้ายก็มีแผลจางๆตามร่างกายราวสี่ห้าจุด
“แฮก ..แฮก ..ไม่ไหวแฮะแบบนี้ ยังไงก็ไม่ไหว”
“อ่อนแอเกินไปแล้วครับ แค่ถ่วงเวลายังไม่น่าจะทำได้ ผมสงสัยจริงๆว่าคุณดิลุคคิดอะไรอยู่ถึงได้เลือก แอสโมเดียสมาเป็นปีศาจมหาบาปเช่นเดียวกับพวกผมกัน”
เรื่องนั้นทางนี้ก็สงสัยเหมือนกันละโว้ย–แอสโมเดียสยิ้มสู้สถานการณ์
“แค่โชคดีรอดเหลือเจ็ดคนสุดท้ายไม่ใช่รึไง? บังเอิญว่านายเองก็เหมือนกันละนะ แมมม่อน”
“นั่นสินะครับ เพียงแต่-ถ้าคนที่รอดชีวิตไม่ใช่พวกอ่อนแออย่างพวกคุณสองคน ชีวิตของคุณดิลุคคงจะสบายกว่านี้”
“อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องลำบากมาช่วยแบกลูกน้องอ่อนแอสองคนสินะ ที่พูดเนี่ยหมายถึงฉัน แล้วก็ ‘บิลเซบับ’ สินะ”
“..จะด้วยโชคชะตาหรืออะไร พวกคุณก็กลายเป็นตราบาปของคุณดิลุคไปแล้ว หากยังสำนึกต่อคุณดิลุคอยู่ก็ช่วยตายไปแต่โดยดีด้วยเถอะ หรือถ้าไม่อยากจะตาย ก็ช่วยอย่ามาทางขวางผมแทนเป็นอย่างน้อย”
แอสโมเดียสถอนหายใจอย่างยากลำบาก พลางควงหอกเรียกสัญชาตญาณไปด้วย
“ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็โชคช่วยรอดชีวิตมาได้แล้ว จะให้ตายไปโดยไม่ได้ทำอะไรมันได้ที่ไหน”
“คิดมาตั้งแต่อดีตแล้วละครับว่าพวกคุณไม่คู่ควรจะเป็นมือขวาให้แก่คุณดิลุค”
“คงนั้น แต่แล้วมันทำไม ก็เป็นไปแล้วก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า ..อย่างน้อยๆ สิ่งที่ฉันและเธอคนนั้นทำก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อดีต ในเมื่อรอดมาแล้วก็จะทำมันต่อให้ถึงที่สุด ให้ตายไปโดยไม่ได้ทำอะไรมันได้ที่ไหน อีกอย่างนะ” แอสโมเดียสขยิบตาให้ “พวกฉันก็ไม่เหมือนกับพวกนายด้วย ที่ลืมความตั้งใจแรกเริ่มไปซะหมดแล้ว”
“..จะบอกว่าผมไม่ได้ทำเพื่อคุณดิลุคนั้นเหรอ?”
“เออสิ ..หน้าที่ของพวกเราคือการพาท่านจอมมารไปสู่ปลายทางของความสุข—-ที่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ก็เพื่อสิ่งนี้!!”
แอสโมเดียสวิ่งเข้าใส่อีกครั้ง
“พี่สาว— ‘บิลเซบับ’ น่ะ แม้จะยังไม่บรรลุเป้าหมายนั้น แต่เธอก็สละชีวิตตัวเองเพื่อเป้าหมายสูงสุดของพวกเรา ทำถึงขนาดนั้นแล้วยังจะเรียกว่าไม่คู่ควรอีกรึไง—ต้องทำขนาดไหนกันวะถึงจะคู่ควร!! ”
ปลายหอกเข้าปะทะกับมือเปล่าหลายจังหวะ แอสโมเดียสทุ่มทักษะทั้งหมดเข้ากับการจู่โจม
“ลำพังแค่ฉันจะด่ายังไงก็ได้ ไอฉันมันไม่ได้มีศักดิ์ศรีในฐานะขี้ข้าอะไรขนาดนั้นหรอก แค่ตามๆเขามาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ความนับถือในตัวตนของท่านจอมมารไม่ได้มากมายอะไรหรอก เห็นเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งด้วยซ้ำเอาจริงๆ แต่เพราะอย่างนั้นนี่แหละ ถึงยิ่งยอมให้นายมาดูถูกไม่ได้!! ไม่ว่าจะสถานะอะไร สิ่งๆนี้มันก็สำคัญกับพวกเราเสมอมา!!!!”
“–อยู่ๆก็”
หอกเร็วยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่นั้นยังคมขึ้นอีก
“นายไม่มีสิทธิ์มาบอกว่าเธอไม่คู่ควรกับท่านผู้นั้น! เป็นแค่ลิ่วล้อ ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกมือขวาของจอมมารคนนั้น!!”
“ชิ!! เสียงของหมาขี้แพ้ดังเป็นพิเศษนะครับ วันนี้”
แมมม่อนกระโดดถอยหลัง เมื่อเว้นระยะสำเร็จ ดวงตาของเจ้าตัวก็เลืองแสง ‘อำนาจมหาบาป’ ถูกเปิดใช้งาน แอสโมเดียสหน้าซีดเผือก—แมมม่อนยื่นมือมาข้างหน้า จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่แอสโมเดียสต่อ
วิถีการจู่โจมของหอกช้าลงกระทันหัน ผิดกับก่อนหน้านี้ ทักษะทั้งหมดหายวับไปราวกับก่อนหน้านี้โกหก
“หะ หา!!?”
“ ‘ขโมย’ ทักษะหอกมาได้สินะ”
อำนาจมหาบาปแห่งความโลภคือการขโมย แมมม่อนสามารถสุ่มขโมยพลังหรือทักษะอย่างหนึ่งของอีกฝ่ายได้โดยการสุ่ม
กล่าวจบ แมมม่อนก็เสกหอกโลหิตออกมา และใช้ทักษะที่ขโมยมาเล่นงานแอสโมเดียสจนหัวหลุดออกจากบ่า—
ทว่าร่างกลับยืนอยู่เฉยๆ ไม่ล้มลงกับพื้น หัวเองก็ลอยอยู่ข้างบนค้างไว้เฉยๆ ..แมมม่อนเบิกตาโพงกว้าง พึ่งจะรู้สึกตัว
“ภาพลวงตา—ราคะ?”
“ติดกับแล้วโว้ย!!!”
แอสโมเดียสพุ่งมาจากข้างหลัง แทนที่จะใช้ทักษะหอกที่มีของตัวเองในการจู่โจม แต่เนื่องจากถูกขโมยไป หมอนี่เลยทุ่มแรงพุ่งเข้ากระแทกแบบโง่ๆ โดยการอัดมานาทั้งหมดเข้าที่ปลายหอกแทน—อย่างน้อยๆก็จะสร้างรูโบ๋ตรงท้องให้ดู!
“ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!”
“คึก—ลูกไม้ตื้นๆ”
“ย๊ากกก—แอ้ก!!”
แมมม่อนซัดแอสโมเดียสลงไปกองกับพื้น บริเวณหน้าท้องที่มีรูโบ๋ขนาดใหญ่หลอมรวมกลับมาเหมือนเก่า ผลจากการทุ่มสุดตัวไม่มีอะไรเลย
ผลลัพธ์นี้ทำให้แอสโมเดียสหน้าซีดเผือก
“..จะ จะชนะยังไงหว่า”
“จะไปรู้เรอะ!?”
จากนี้ชีวิตของแอสโมเดียสคงจะบันเทิงทีเดียว .. ?