< < Sec 2 > >
เมื่อคุยธุระกับบลาซเสร็จผมก็รีบตรงดิ่งมาห้องเรียน …น่าแปลกที่พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องเลย
ผมเกาศีรษะตัวเองเล็กน้อยและเดินไปดูตรงตารางสอน
“แบบนี้นี่เอง”
อนึ่งสาขาภาคปฏิบัติแบบพวกเราเนี่ยจะมีภาคปฏิบัติแน่นอน ในเทอมแรกจะมีแค่อาทิตย์ละคราวสองครั้ง แต่พอขึ้นไปเทอมสอง หรือปี 2 ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่ากันว่าปี 3 คือนรกดีๆ สำหรับเด็กสาขานี้เลยละ
ก็นะ ในโลกที่การฆ่าหรือสู้รบกันเป็นเรื่องปกติ ทุกอย่างย่อมโหดตามไปด้วย สถานการณ์ตอนนี้ในโลกใบนี้คงเปรียบเหมือนทหารในสมัยก่อนที่มีหน้าที่สู้รบโดยแท้จริง แต่ต่างไปหน่อยที่โลกแห่งนี้มันแฟนตาซีจนทรัพยากรบุคคลสำคัญกว่า
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่และหันซ้ายหันขวาหันไปมาในห้องเรียนที่ไร้ผู้คน
“ก่อนจะไปเรียนคาบปฏิบัติต้องเปลี่ยนชุดก่อน …ถ้าไปห้องน้ำก็จะเสียเวลามาก จากที่ทันแบบฉิวเฉียดคงจะกลายเป็นสายแหง”
ผมคิดไตร่ตรองอย่างดี และได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว
“แต่งตัวมันซะที่นี่เลยดีกว่า!” ผมนำกำปั้นทุบฝ่ามืออย่างเข้าใจ
ไม่รอช้าผมรีบเปิดกระเป๋าของตัวเองค้นเสื้อยูนิฟอร์มพละขึ้นมา และถกกางเกงออก ปลดกระดุมเสื้อทีละนิด ทีละนิด
หวา สยิวชะมัดแต่งตัวในห้องเรียนที่ไร้ผู้คนเนี่ย—–ถ้ามีคนมาเห็นเข้าผมคงช็อกตายแหง
แต่ทั้งหมดไตร่ตรองอย่างดีแล้วอะนะ ทุกคนคงจะแต่งตัวและลงไปซ้อมเป็นที่เรียบร้อย ผมไม่คิดว่าจะมีใครเผลอลืมของหรืออะไรหรอก เพราะพวกที่เข้าเรียนมันก็เอาจริงเอาจังกันหมดแหละ แล้วกับคาบปฏิบัติแรกอันน่าตื่นเต้น
ไม่มีใครเผลอลืมหรอก
คิดเช่นนั้นนับว่าประมาทอย่างเห็นได้ชัด—————-ประตูห้องเปิดออกอย่างรวดเร็ว
ในจังหวะที่ผมถกกางเกงออกจนเหลือแต่บ็อคเซอร์คู่ใจ และกำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตละนะ
…
“…เอ่อ”
ซ้ำร้ายคนที่เปิดประตูก็เป็นหญิงสาวนามว่า ‘โซเฟีย’
พึ่งทะเลาะกันไปหมาดๆ แท้ๆ
โซเฟียทันทีที่เห็นเรือนร่างของผมก็เกิดหน้าแดงก่ำขึ้นมา—ผิดบทมาก ผู้ชายควรจะเป็นฝ่ายเปิดประตูมาเห็นแท้ๆ โลกเราเปลี่ยนไปจงข้อจำกัดทางเพศมันไม่สามารถกีดกันได้แล้วกระมัง …ถึงอารยธรรมกับศีลธรรมในโลกนี้มันจะอยู่ในสภาพย้อนหลังก็ตาม
“ทะ ทำอะไรของนายน่ะ”
….
“…เปลี่ยนเสื้อ”
โซเฟียลุกลี้ลุกลนลง ส่งสายตามาที่ท่อนล่างอย่างไม่วางตา …
“…คือว่า”
“!!”
โซเฟียรู้สึกตัวได้ก็เอามือมาปิดตาของตัวเองทันที น่ารักเหลือเกิน
“อย่ามาทำเรื่องไม่ดีไม่งามในห้องเรียนอันศักดิ์สิทธิ์นะ!”
“มันเหตุสุขนิสัยน่ะ …คือ…มันเสียเวลาน่ะถ้าไปเปลี่ยนตัวในห้องน้ำ”
“แต่อย่างนั้นก็ต้องทำถูกกฎนะ!”
นั่นสินะ
ผมส่งยิ้มอ่อนโยนให้โซเฟีย
“เธอนี่รักในความถูกต้องจริงนะ ฉันผิดเองแหละ”
แต่
“บอกว่าฉันผิดแท้ๆ ดันจ้องไม่หยุดนี่นะ”
ผมหัวเราะ ‘หึ’ และยิ้มมุมปาก
“—–อึก!”
สมกับเป็นสาวซึนเดเระ โซเฟียเธอเอามือมาปิดหน้าตัวเองและเปิดช่องให้เห็นด้วย———
“——อย่ามาใส่ความกันนะ!!!!!”
พูดจบเจ้าหล่อนก็ปิดประตูดังปั้ง และวิ่งไปทันทีรู้ได้จากเสียงฝีเท้า …
….ความเงียบกลับมาอีกครั้ง
ถึงผมจะไม่มีปัญหาอะไรกับการโดนผู้หญิงเห็นเรือนร่างก็ตาม แต่กลับอีกฝ่ายผู้เป็นลูกคุณหนูผู้ดีคงจะคนละกรณีละมั้ง คนที่อายควรเป็นผมแท้ๆ …เอาเถอะ
ผมรีบแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนจะลงไปที่การสอนภาคปฏิบัติ
******
การเรียนการสอนภาคปฏิบัติจะจัดอยู่ที่สนามกีฬาโรงเรียน ที่แห่งนั้นมันกว้างมากทำให้ปลอดภัยแก่การใช้เวทมนตร์กัน
ที่สำคัญมันยังสามารถฟื้นฟูสภาพตัวเองได้เรื่อยๆ ด้วยเพราะเป็นพื้นที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วย เวทมนตร์ปกปักรักษารูปแบบพื้นที่ ก็ประมาณว่าถ้าที่แห่งนี้แตกสลายไปเมื่อวานวันต่อมาก็จะกลับมาเป็นปกตินั่นแหละ
ว่ากันว่าการสร้างเจ้าสิ่งนี้มากินพลังเวทย์ระดับที่มากเป็นสิบๆ ปีเลย …ให้เทียบก็มานาของยูจิหรือเบลลามีกระมัง? คงจะประมาณนั้น สองคนนั้นถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องวงจรเวทย์ก็สามารถใช้เวทย์ส่วนสิบปีได้สบายเลย ไม่นับมานาที่รีตลอดอีก เป็นพวกอัศจรรย์บนโลกใบนี้
ดีเหลือเกินที่มานามันไม่สามารถปรากฏออกมาได้ตอนวัดปริมาณมานา ไม่อย่างนั้นทั้งสองคงถูกจับไปทดลองร่างกายแล้วละ
ผมเดินตรงสนามที่ภาคเรียนปฏิบัติ และพบกับกลุ่มคนนับ 30 คนกำลังนั่งอยู่และมีคนร่างกายล่ำหนึ่งคนยืนอยู่ เมื่อเห็นก็รีบตรงดิ่งเลย เพราะนั่นน่าจะเป็นห้องเรียนของผม
อาจารย์เห็นผมจากที่ไกลได้
“รีบเข้าแถวด้วยครับคุณเรเซอร์”
ผมพยักหน้ารับและลงไปนั่งข้างเคียวยะซึ่งนั่งหลังสุด
“เขาสอนถึงไหนแล้วรึ?” ผมถามไป
“เหมือนว่าจะให้ลองใช้เวทมนตร์ที่ถนัดที่สุดใส่ตัวมันน่ะ มันจะได้แนะนำการปรับปรุงเวทมนตร์ต่างๆ ให้ …เป็นคนที่มั่นหน้าน่าดู จะซัดให้ล่วงเลยคอยดู” พูดจบเคียวยะก็หัวเราะพึมพำกับตัวเอง
…อันตรายชะมัดหมอนี่
“เพลาๆ หน่อยละกัน แล้วก็อย่าแทนตัวอาจารย์ว่า ‘มัน’ ด้วย จะเป็นคณะกรรมการนักเรียนก็ต้องสนิทกับคณะอาจารย์ให้มาก”
“รู้น่า ฉันรู้ลิมิตดี”
แน่นะนั่น?
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะส่งสายตาไปทางโซเฟีย เพราะสังเกตได้ว่าเธอแอบมองผมเป็นระยะ ระยะ …ติดใจเรื่องเมื่อตะกี้สินะ?
ก็นะวัยกำลังอยากรู้อยากเห็นไม่แปลกหรอก แต่สำหรับผมผู้เป็นคนอายุรวมกันตั้งสี่สิบเศษๆ มันชวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย …ถ้าพรากผู้เยาว์ขึ้นมานี่ดูไม่จืดเลยนะ
ผมพยายามข่มกลั้นความอึดอัดไว้และฟังคำสอนของอาจารย์ต่อ
โดยสรุปเขาจะให้ใช้เวทย์ที่ดีที่สุดอัดใส่โดยที่เขาจะป้องกันและบอกถึงข้อดีข้อเสียให้ …คิดว่าเป็นการสอนที่ดีนะ แต่ค่อนข้างเสี่ยง
เด็กที่เก่งเกินอาจารย์ในโรงเรียนเรามีไม่กี่คนหรอก หนึ่งในนั้นคือ เคียวยะ
ถ้าเคียวยะกะอัดเต็มแรงจริงๆ เจ้านั่นแค่ใช้ดวงตามหาปราชญ์วิเคราะห์เวทย์ป้องกันอีกฝ่าย และปรับเวทย์ตัวเองให้ชนะทาง แค่นั้นอาจารย์ก็ตัวปลิวแล้ว …ช่วยไม่ได้ เคียวยะในฐานะจอมเวทมันมาตรฐานสูงเกินไป คนที่สอนมันได้มีแต่พวกระดับบลาซหรือต่ำกว่าหน่อยเท่านั้น
อาจารย์ที่บึกบึนพูดจบแล้วเขาก็ตะโกน
“ใครจะมาคนแรก!”
“ฉัน!!” เคียวยะยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผมจับแขนไว้ก่อน
“เพลาๆ หน่อยเข้าใจมั้ย เอาเป็นแค่เรียนรู้ก็พอไม่ต้องไปอะไรมาก”
“เออๆ” เคียวยะคันไม้คันมือมาก เขารีบวิ่งไปทันที
—–และใช้เวทย์เพลิงบอลเพลิงจู่โจมที่ไร้ที่ติออกมา
“…”
“…เป็นไงบ้าง!?”
“…ก็ดี คนต่อไป”
อาจารย์ไม่รู้จะติอะไรเคียวยะ …หมอนี่มันไม่ได้อยู่ในช่วงที่ต้องพัฒนาเวทมนตร์แล้ว ที่ต้องพัฒนาคือปัจจัยอื่นในการสู้ต่างหาก หรือถ้าจะสอนต้องระดับนักเวทย์ขั้นบรรลุเท่านั้น
“ฟินเป็นบ้า แกเองก็ลองบ้างสิ” เคียวยะชวนผม
“ไม่ละ ฉันจะใช้เวทย์ที่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ของตัวเองยิงออกไป จะได้ข้อติไปพัฒนา”
ผมไม่ได้มีดวงตามหาปราชญ์อย่างเคียวยะ การพัฒนาตัวเองจึงต้องอาศัยในการจับจุดและความพยายามมากกว่า ถ้าจับจุดให้ถูกที่ถูกทางไม่ได้ผมก็ไม่สามารถพัฒนาอะไรได้เลยนอกจากความชำนาญในการใช้งาน
ถึงจะมียูนาก็ตาม แต่มันก็กรณีเดียวกับที่เคียวยะมีดวงตามหาปราชญ์ ถ้าตัวผู้ใช้อ่อนแอมันก็ไม่ไหว
“เชอะ! ทำแต่อะไรน่าเบื่อ” เคียวยะบ่นผม
พูดบ่นผมเสร็จก็ลงมานั่งที่เดิม
“..คนต่อไป!”
อาจารย์เรียกต่อ การแนะแนวเลยดำเนินไปอย่างไม่ติดขัดอะไรเพราะส่วนใหญ่ก็ได้คำแนะนำที่ดีกลับมา
สักพัก
ตรงหน้าผมกอรี่หันหลังกลับมา แต่ไม่ได้มองที่ผมเขามองไปที่เคียวยะ
“แกเคียวยะสินะ?”
“อ่า”
“สมกับเป็นคนที่เล่นงานเรเซอร์ได้ แกแข็งแกร่งดีนะ เป็นคนดีด้วย”
“…แกเนี่ยไม่มีมารยาทสินะ?” เคียวะพูดอย่างหงุดหงิด นั่นทำให้กอรี่อึ้งไป
“…ฉันไม่คิดว่าการทำตัวไม่ดีใส่คนชั่วจะเป็นเรื่องที่ถูกหรอกนะ”
“ถ้านั้นคนที่ชั่วมันก็แกนั่นแหละ ชื่ออะไรหะแกน่ะ ลืมแล้ว”
กอรี่หงุดหงิดเล็กน้อย เคียวยะเองก็พร้อมจะกัดทุกเมื่อ
“ฉันชื่อกอรี่ เป็นคนดี”
“ไปส่องกระจกซะนะกอรี่ แค่หน้าแกก็ไม่ผ่านแล้ว”
“–แก!”
“จะเอาหรือไงวะ!?”
—-การทะเลาะกันของวัยรุ่นชั่งรุนแรงและน่ากลัวเกินจะไปห้ามจริงๆ
“เดี่ยวๆๆ” ผมพยายามไปปรามทั้งสองที่พร้อมต่อยกันให้ตายไปข้าง
“อะไรเล่า!? ไอ้หน้าโจรนั่นมันพยายามจะดูถูกแกนะ!” เคียวยะพล่ามไม่หยุด “แล้วยังมาพูดต่อหน้าต่อตากันอีก คนดีบ้านใครมันทำอย่างนั้นวะ ทุเรศเป็นบ้า”
..ก็จริงอยู่แหละ ที่กอรี่ก็เป็นคนห่ามๆ มาตั้งแต่ภายนอกแล้วก็จริง ภายในก็อาจจะใช่ไปด้วย…
“แต่จะไปตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เชียวนะ”
“แกสอนฉันสินะ?”
กลายเป็นว่าเคียวยะจะซัดหน้าผมไปด้วยพร้อมกับกอรี่ซะนั้น
“เดี่ยวสิ”
“…เออ รู้น่า” เคียวยะถอนหายใจเฮือก
กอรี่ยืนงง ก่อนจะหันหลังกลับไปแบบงงๆ
ความสัมพันธ์กับกอรี่เข้าขั้นลำบาก
*******
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ผมกับเคียวยะคุยกับถูกคอทีเดียวในรูปแบบของตัวชงกับตัวตบมุกอะนะ อาทิเช่น
‘ไอเชี่ยนั่นน่าหมั่นไส้วะ ไปตบมันปะ?’
‘หยุดเลยๆ เอ็งเป็นว่าที่คณะกรรมการนักเรียนนะ’
‘เชอะ! น่าเบื่อ นั้นมาเจอกันตัวๆ เองดีกว่า’
‘หยุดเลย เมื่อเช้าตูพึ่งหลังหักไปเพราะเอ็งแท้ๆ’
ประมาณนี้แหละ เป็นความสัมพันธ์แสนจะวุ่นวายสุดๆ
ผมนั่งเท้าคางตัวเองยาวจนกระทั่งเวลาเรียนของวันนี้ได้จบลงในเวลา ‘15:30’
เสียงกริ่งดังขึ้นพร้อมกับการบอกลาของอาจารย์ …ทุกคนเร่งเก็บของเก็บกระเป๋าและทยอยออกจากห้องกัน
เคียวยะลุกขึ้นยืนและทุบโต๊ะผม
“…วันนี้ไปคาเฟ่กัน”
ว่ามาอย่างนั้นด้วยท่าทางดูอึดอัด
นั่นสินะ พูดถึงเพื่อนในช่วงแรกอาจจะต้องไปไหนมาไหนด้วยกันหลังเลิกเรียนบ่อยหน่อย ที่ต่างโลกก็มีแบบนี้เหมือนกันแฮะ
ถ้าเกิดว่าผมกับกอรี่แล้วก็โซเฟียยังไม่ทะเลาะกัน เวลานี้อาจจะกำลังไปเที่ยวที่ไหนสักที่กันจนกลับดึกแหง ..ตอนนั้นน่าจะหาเวลาว่างสักวันไปเที่ยวกันก่อนที่จะเกิดเหตุทะเลาะ ทำอย่างนั้นได้จะดีมากเลยละ
ผมยิ้มกับตัวเอง
“เข้าใจแล้ว ไปตอนนี้เลยมั้ย?”
“เออ เดี่ยววิ่งไปถามเบลลามีก่อน”
“อ่า”
พูดจบเคียวยะก็วิ่งไปหาเบลลามี …ผมนั่งเงียบๆ เท้าคางตัวเอง
ตอนนั้นกอรี่ก็เข้ามา
“เรเซอร์”
“เอ่อ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” ผมโบกมือลากอรี่โดยพยายามให้เป็นกันเองที่สุด
“แกไปทำอีท่าไหนถึงสนิทกับเคียวยะได้ ไม่ใช่ว่าทะเลาะกันอยู่หรือไงกัน”
กอรี่ถามด้วยน้ำเสียงกึ่งข่มกัน ดูเกเรสุดๆ ไม่เหมือนที่ลั่นวาจาว่าจะเป็นคนดีไว้เลยสักนิด
“พวกเราเป็นคนที่คล้ายกันน่ะ”
“เหรอ …อยากรู้จริงๆ ว่าแกเป็นคนยังไงกันแน่ เป็นคนดีหรือเลว บอกฉันทีสิ”
จู่ๆ กอรี่ก็โพ่งคำถามพิลึกออกมา แต่แววตาของเขาดูจริงจังมาก
ทำไมถึงยึดติดกับคนดีหรือเลวขนาดนั้นกันนะ ผมไม่ทราบหรอกเพราะกอรี่ในนิยายเป็นแค่ตัวประกอบที่ผ่านมาผ่านไปเท่านั้น …แต่ในโลกใบนี้มันไม่ใช่
ในโลกใบนี้ ในมุมมองของผม กอรี่คือมนุษย์คนหนึ่งที่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน และผมยังคิดว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีอยู่เสมอ
“ทำไมนายถึงดูยึดติดกับความดีความเลวขนาดนั้นกัน”
“เพราะมันคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจนี้ไว้ไงละ ถ้าฉันไม่รับรู้ถึงมันฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า …ไร้ค่ามาตลอดนั่นแหละจนเมื่อไม่นานมานี้พึ่งจะมาแก้ตัวอีกครั้ง”
“นั้นเหรอ”
ความหมายในการมีชีวิตของกอรี่สินะ การเป็นคนดีให้ได้น่ะ
ผมอมยิ้มเล็กน้อย
“ฉันน่ะเคยแอบนินทาคน แล้วก็เคยขโมยของคนอื่นด้วยที่ไม่ใช่กางเกงใน”
อันหลังผมไม่ได้ทำสักหน่อย
“แล้วฉันเองยังเคยทำร้ายคนอื่นด้วย เคยต่อว่าและดูถูกคนอื่น เคยตบตีสาวใช้จนเลือดตกยางออก เคยไปจับปาร์ตี้กับใครสักคนแล้วโบ้ยความผิดให้ใครสักคนเพื่อให้ตัวเองไม่ผิด เคยโยนภาระอันหนักอึ้งไปให้เพื่อนร่วมปาร์ตี้ ล่าสุดนี้ก็เคยทำให้เพื่อนแตกแยกกัน เคยทำไม่ดีหลายอย่างเลยละ”
“สรุปแล้วแกนิสัยเสียสินะ?”
ผมหยักไหล่ให้
“กลับกันฉันเองก็เคยช่วยใครหลายคน เร็วๆ นี้ก็เช่นกัน ฉันช่วยเด็กไม่มีตังค์ ฉันช่วยเด็กก้าวร้าวมีปัญหา เมื่ออดีตก็เคยเปลี่ยนให้เด็กนิสัยเสียดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา”
“…สรุปแล้วยังไงกันแน่”
“สรุปก็คือฉันไม่มีดีหรือเลวยังไงละ”
ผมชี้นิ้วใส่กอรี่
“นายเองก็ด้วยกอรี่”
“หมายความว่ายังไง?”
“นายช่วยคนแก่ตลอด มีใครมีปัญหาก็จะตรงดิ่งไปช่วย แต่นายก็ทำร้ายคนอื่นมากเช่นกัน นายมันเกเร แต่ทั้งๆ ที่เกเรก็ช่วยคนอื่นมากมาย …นายก็เหมือนกับฉัน คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน”
กอรี่ทำหน้าแขยงอย่างออกรส ผมยิ้มให้
“คำตอบก็ประมาณนั้น ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่าทำไมนายถึงดูยึดติดกับเรื่องพวกนี้น่ะ แต่ที่ยึดติดอยู่มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอกเพียงแต่คนเรามันตัดสินกันด้วยขาวดำไม่ได้ ไม่คิดนั้นหรือไง?”
“..รู้น่า แต่…คนที่ไร้ค่าอย่างฉันก็อยากจะเป็นคนมีค่าบ้างเหมือนกัน”
กอรี่กัดฟันกรามตัวเองแน่น เขาทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้
“ถ้าไม่ใช่คนดี…ฉันก็ไร้ค่าสิ…ถ้าไม่ใช่คนดี…ฉันก็เป็นได้แค่สวะไม่ใช่หรือไง”
เขาโพ่งออกมาอย่างเศร้าใจ
**********
(มุมมองของกอรี่)
รู้ตัวอีกทีฉันก็กลายเป็นนักเลงหัวไม้
ในวัย 13 ปีฉันไล่ตระเวนเกเรไปทั่ว ต่อยตีทะเลาะเบาะแว้งกับเด็กเกเรคนอื่นๆ ยกพวกตีกันเป็นว่าเล่น บางทีกะเอาถึงตายด้วยซ้ำ แต่โชคดีที่ไม่มีใครตาย
ฉันพยายามอย่างไม่รู้หยุดในการก่อเรื่องทะเลาะกับพ่อและแม่ แม้แต่เพื่อนที่ร่วมเกเรด้วยกันก็ยังถีบหัวราวกับเป็นแค่ลูกน้อง
ใช่ พวกนั้นมันไม่ใช่เพื่อน ฉันเข้าใจผิดไปตั้งแต่แรก พวกเรามีความสัมพันธุ์แบบนายบ่าวกัน เพียงแต่รูปแบบฉันมันจะเป็นเชิงกดขี่ข่มเหง
ทำร้ายทุกๆ คนรอบตัว ไม่เว้นกระทั่งมิตรสหาย นั่นแหละตัวฉันในช่วงเวลานั้น ความเลวของชายที่ชื่อ ‘กอรี่’
แล้วเลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่ออายุขึ้น 14 ปีก็เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม …จริงๆ มันก็เริ่มมานานแล้วเพียงแต่จะพึ่งมาเริ่มคลั่งก็ช่วงนี้ ไม่นานก็ได้สละซิงจากการไปขโมยแฟนคนอื่นมา
ในตอนที่รู้จักการมี ‘เซ็กต์’ อย่างลึกซึ้ง ฉันก็เที่ยวไปต่อยตีแย่งผู้หญิงคนอื่นเป็นว่าเล่น กระทั่งขืนใจสาวบริการก็ทำมาแล้ว ทำไปเพราะคิดว่าพวกนั้นเป็นพวกติดเซ็กต์อยู่แล้วด้วย
เป็นความคิดที่ดูถูกมนุษย์อย่างแท้จริง
เคยคิดถึงขั้นเปิดบ่อนบริการทางเพศเลยละ แต่ก็ล้มเลิกไป…เมื่อได้เจอกับคนคนหนึ่ง
หญิงสาวผู้สวมชุดเมดแสนจะงดงาม เธอมีความน่าสนใจอย่างมาก ใบหน้าสวย ผิวสีขาวเนียน เส้นผมสีน้ำตาลมัดผมก็ด์ทวินเทล มีร่างกายที่เซ็กซี่แบบหุ่นสเลนเดอร์ เธอดูราวกับ .. ‘สาวน้อยในฝัน’ ของฉัน
ทันทีที่เห็นเธอคนนั้นฉันก็ตกอยู่ในห้วงเวลาพิลึกที่เหมือนกับหยุดหายใจลงอย่างไรอย่างนั้น แต่ไม่ทรมานสักนิด …โคตรมีความสุขเลย
เมื่อเห็นก็ไม่รอช้า ยกพวกไปกะจะลักพาตัวมาทำอย่างว่าเหมือนทุกที…แต่ก็ได้พ่ายลงทั้งกลุ่ม
พวกเราถูกเมดคนนั้นหลอกล่อไปป้อมตำรวจแบบไม่รู้ตัว และโดนรวบยอดจับส่งคุก มันใช้การยั่วยวนทางคำพูดหลอกล่อ …น่าค้นหายิ่งนัก!
โชคดีที่เมดคนนั้นแวะเวียนที่เมืองนี้บ่อยๆ เหมือนว่าเจ้านายจะมาศึกษาที่โรงเรียนเวทมนตร์เลยเตรียมความพร้อมสถานที่ให้ ฉันเลยอาศัยจังหวะนั้นไปเยือนหลายครั้งและพลาดท่าในทุกๆ คราว
บ้างก็โดนยั่วจนยอมทำอะไรสักอย่าง และหมดเนื้อหมดตัว บ้างก็เผลอทำพลาดโดนตำรวจไล่จับ บ้างก็บ้างก็บ้างก็หลายต่อหลายอย่างจนกระทั่ง ..รู้ตัวอีกทีก็ไม่มีใครอยู่ข้างหลังฉันอีกแล้ว
พวกขี้ข้ามันหายไปหมดแล้ว เหลือแค่ฉันคนเดียวที่วิ่งไล่จับผู้หญิงคนนั้นต่อ พยายามหลายสิบครั้งจนได้รู้ชื่อของเธอ
เธอชื่อว่า ‘อันนา’ เป็นยัยแมวร้าย ..เจ้านายของเธอว่ามาอย่างนั้น
ฉันพยายามตีสนิทเธอด้วยสารพัดวิธี ถึงขั้นยอมใช้วิธีดีๆ ที่ไม่ชอบใช้ทำให้ได้คุยกันเรื่อยมา แต่ก็จับเข้าสลัมไปข่มขืนไม่ได้เพราะหล่อนเว้นระยะห่างได้ดีมาก
ทั้งหงุดหงิดและเซ็ง …ตอนนั้นเองเลยลองตั้งเป้าหมายเป็นอย่างอื่นดู
ทำไมไม่ลองชวนคุยดีๆ ดูละ?
คิดอย่างนั้นจึงลองดูและสำเร็จผล
ทำให้ได้ข้อสรุปว่า…หากอยากเข้าใกล้ผู้หญิงคนนี้ต้องทำตัวให้ดี
ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเอง พยายามเกเรให้น้อยลง และนั่นทำให้เมดสาวอันนามาสนใจฉันบ้าง แต่ในเชิงคนคุยข้างทางเท่านั้น
นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองได้รับการเติมเต็ม ตลอดมาว่างเปล่ามาตลอดแท้ๆ แต่…เปลี่ยนไปแล้ว
วันหนึ่งอันนาได้ชวนคุย แต่ไม่ใช่เรื่องของฉัน…เป็นเรื่องของเจ้านายของเธอ คนที่เธอรักนั่นแหละ
เธอเล่าอย่างสนุกสนามและมีความสุข ไม่เคยเห็นเมดที่พูดถึงเจ้านายตัวเองได้ออกรสขนาดนี้เลย…น่าอิจฉาชะมัด
ทันใดนั้นความคิดชั่วร้ายก็กลับเข้ามาในหัว แต่มันก็ดับไปเองได้ด้วยตัวเองพอเห็นรอยยิ้มของเธอคนนั้น
หลังจากนั้นจึงรักษาความสัมพันธ์ในระดับนี้เพื่อรอโอกาสที่เธอจะหันมารับรักฉัน …ความรักระหว่างเมดกับเจ้านายน่ะมันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ยกเว้นในกรณีของเมียเก็บเมียน้อย เพียงแต่คนที่มักมากแบบเธอต้องไม่ยอมแน่ จะใช้จังหวะนั้นในการซื้อใจให้ได้…พอคิดอย่างนั้นก็ผ่านมาเป็นปีและเธอก็บอกลา เพราะต้องย้ายงานไปทำที่อื่นแล้ว
ตอนนั้นเองฉันจึงสารภาพรักไป และถูกปฏิเสธในทันที
‘เพราะมีคนที่รักอยู่แล้วจึงตอบตกลงไม่ได้’ เธอว่ามาอย่างนั้นและจากไปทั้งรอยยิ้มเหมือนทุกที …ทำให้ฉันร้องไห้จะเป็นจะตายแล้วจากไปเนี่ยนะ
ฉันคิดว่าทุกอย่างมันจบสิ้น ตรงดิ่งกลับบ้านมาเจอหน้ากับคนในครอบครัว กะจะตวาดทำชั่วใส่เหมือนทุกทีแต่—–เบื้องหน้าก็ได้สว่างจ้า
ใบหน้าของพวกเขาแตกต่างกับเมื่อก่อนขนาดนี้เชียวหรือ? ช่วงเวลาที่ฉันทำตัวดีมาตลอดมันเปลี่ยนแปลงความคิดกับคนในครอบครัวกับฉันมากขนาดนี้เลยหรือ? …คิดอย่างนั้นได้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะตะโกน
นั่นเลยทำให้รู้ว่า ‘การเป็นคนดี=การสร้างคุณค่าให้ตัวเอง’
เพราะฉะนั้นฉันจะเป็นคนดีให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะมีคุณค่ามากกว่าเดิมและเพื่อที่จะมีค่ากว่าเจ้านายของเธอคนนั้นให้ได้ในสักวัน
******
“แกไม่มีวันเข้าใจหรอก…การเป็นคนดีมันเป็นทุกอย่างของฉัน ถ้าฉันไม่ใช่คนดีผู้หญิงที่ฉันชอบก็จะไม่คุยกับฉันเลยแม้แต่นิดเดียว คนอื่นๆ ก็ด้วย คนในครอบครัวก็ด้วย ถ้าฉันไม่พยายามเป็นคนดีก็จะเป็นแค่เศษสวะไร้ค่าเท่านั้น”
….ไร้สาระ ก็จริงอยู่หรอกที่การเป็นคนดีน่ะมันดีกว่าอยู่แล้ว แต่–
“อย่าให้ค่าตัวเองน้อยหน่อยเลย”
ผมพึมพำด้วยความเดือดดาล
“…หา?”
“นายไม่ได้มีค่าแค่นั้นสักหน่อย ไม่อย่างนั้นผู้หญิงที่แอบชอบคนนั้นคงไม่คุยกับนายจนถึงเร็วๆ นี้หรอก นายมีค่ามากกว่าการเป็นแค่คนดีนะ”
กอรี่กำหมัดแน่นจ้องเขม็งใส่ผม
“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าแกจะไปเข้าใจอะไร!”
“เรื่องอะไรฉันต้องไปเข้าใจแก้ด้วยฟร้ะ! ไร้สาระชะมัด!”
ผมผลักไหล่ของกอรี่จนถอยหลังไปสองสามก้าว และโพ่งอย่างหงุดหงิด—-เจ้าหมอนี่มันน่าโมโหจริงๆ เป็นพวกตรรกะวิบัติของแท้เลย
“สำหรับฉันหรือโซเฟียคนใดคนหนึ่งไม่ได้มองนายเป็นแค่คนดีคนหนึ่ง—-แต่มองนายเป็นเพื่อนที่ชื่อ ‘กอรี่’ ต่างหากเฟ้ย!!!!!!”
“…เพื่อนที่ชื่อกอรี่?”
“เออดิ ลืมชื่อตัวเองไปแล้วรึไงไอ้เบื้อก”
ผมใช้นิ้วดันหน้าผากกอรี่
“อย่างน้อยก็ฉันคนหนึ่งแล้วละ ที่ไม่ได้มองนายมีค่าแค่เรื่องไร้สาระนั่น คนอื่นก็เหมือนกันมีแค่นายนั่นแหละที่ตีตัวให้เหตุกับตัวเองไปเองน่ะ”
“…แล้วถ้าเกิดอยากยืนยันมันดู ไม่ลองหาโอกาสไปถามผู้หญิงคนนั้นอีกรอบดูละ”
ผมยิ้มให้
“…เธอไปทำงานที่อื่นแล้ว คงไม่ได้เจอกันอีก”
“ถ้านั้นเดี่ยวฉันจะช่วยเอง บอกข้อมูลมาสิเผื่อจะช่วยได้บ้างน่ะ”
กอรี่เงียบไปก่อนที่จะ….ร้องไห้
“อึก ฮือ…อึก นายนี่มัน…นายนี่เป็นคนดีจริงๆ ด้วย”
“ชื่อเรเซอร์เฟ้ย”
“เรเซอร์นายนี่มันคนดีจริงๆ”
…ไม่ขนาดนั้นหรอก
ผมเขินเล็กน้อยถึงขนาดเกาศรีษะตัวเองเบาหวิวแก้อาย
“กอดหน่อยสิ”
“ขอผ่านละ”
*******
(มุมมองของ โซเฟีย)
ฉันเดินอย่างเร่งรีบเข้าไปในห้องเรียน เปิดประตูออกสุดแรงเกิดด้วยความเร่งรีบ—————หะ?
ทันทีที่เปิดออกมาก็พบกับเรื่องแปลกประหลาดเข้า
ชายร่างยักษ์กับชายหุ่นดีสองคนกำลังนัวเนียกันใหญ่
คนที่ร่างยักษ์ชื่อ ‘กอรี่’ นิสัยดีแต่..ไปหน่อย อีกคนชื่อ ‘เรเซอร์’ นิสัยเสียเนื่องจากเป็นโจรแต่เด็กและเป็นพวกขี่โชว์
ทั้งสองกำลังนัวเนียกัน——-ฉันปิดปากของตัวเองและจ้องภาพนั้นไม่วางตา
“…อา…อา”
เผลอพึมพำเบาหวิวออกไปและไม่ส่งเสียงอะไรทั้งนั้น ใจจดใจจ่อกับภาพตรงหน้า
“…ไม่ได้ แบบนี้ไม่ดีแน่”
ฉันรวบรวมแรงไปที่ขาเพื่อลุกขึ้น และพยายามข่มตาหลับกับภาพที่เย้ายวนตรงหน้า
ว่ากันตามตรงมันน่าดูยิ่งกว่าเรื่องเมื่อตอนคาบปฏิบัติมาก ตอนนั้นได้เห็นของลับผู้ชาย…รู้สึกอายและตื่นเต้นมาก แต่ตอนนี้มันยิ่งกว่าร้อยเท่าได้
“ขอโทษนะคะคุณแม่ หนูขอโทษนะคะคุณพ่อ ที่ดันเผลอดูเรื่องลามกไป”
ฉันค่อยๆ ใช้ขาลากตัวเองออกจากระยะสายตา หมายจะไปห้องคุมวินัย————
“—–พวกนิสัยเสียมาสุมหัวทำเรื่องลามก พึ่งจะเลิกเรียนแท้ๆ แบบนี้ต้องแจ้งฝ่ายคุมวินัยให้ยับ คอยดูเถอะนะเรเซอร์”
MANGA DISCUSSION