เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 358
< < 222 Sec1 > >
เบลลามีถีบประตูงานแต่งด้วยแรงที่มากพอสมควร ทำเอาสงสัยเลยว่าไปเอาแรงขนาดนี้มาจากไหน-ไม่สิๆ
“นั่นบทฉันนะ”
“เราแค่อยากจะลองทำเหมือนในนิยาย”
“เรื่องนั้นฉันก็เหมือนกัน”
“นั้นเหรอ ขอโทษนะ บทของเรเซอร์สินะ อือ โทษทีนะ ไว้ครั้งหน้า”
ช่วยอย่าพูดเป็นลางได้รึเปล่านะ ..เอาเถอะ
“ขออนุญาติมาชิงตัวเจ้าสาวครับ! ล่มๆไปซะงานแต่งห่วยๆพรรค์นี้”
“ขอเรียกร้องสิทธิ์ในการควบคุมตัวของเราไม่ให้ก่อเรื่อง”
“ทะ ทั้งสองคนครับ!”
ผมกับเบลลามีช่วยกันแหกปากอยู่หน้าปากทางเข้า และตามอย่างที่เบลลามีพูดเอาไว้ อยู่ข้างในนั้นกันจริงด้วย
จอมมาร ‘ดิลุค’ ยืนอยู่ตรงนั้นในชุดเจ้าสาว พร้อมกับเด็กหน้าตาดีอายุราวๆมัธยมต้นในชุดเจ้าบ่าว น่าจะเป็น ‘แมมม่อน’ ปีศาจมหาบาปแห่งความโลภ
ทันทีที่ผมโผล่มา ผมก็สบตากับแมมม่อนก่อนเลย แน่นอนว่าสายตาที่พวกเราจ้องกันมันและกันนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นขั้นสุด
ใครวะไอหมอนี่? เดี่ยวเจอสักหมัด ในหัวคิดเลวๆเหมือนกันไม่ผิดแน่
“มากันเร็วจริงๆนะ ลูกน้องของเรามีแต่พวกไม่เอาถ่ายหรือไงกัน”
ดิลุคหันกลับมาพูดด้วยทั้งรอยยิ้ม ดูเป็นคนที่ยิ้มมีอารมณ์ผิดกับเบลลามีคนละโลก ภาพจำยังเหมือนเดิม ไม่ได้แตกต่างอะไรกับดิลุคตอนเรื่องบนเกาะวาเรอร์เลยสักนิด รู้สึกเหมือนพึ่งผ่านไปไม่กี่วันด้วยซ้ำ .. เบลลามีก้าวเท้าไปข้างหน้า และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่หรอก ลูกน้องของเราวิเศษกันทุกคน แค่พวกพ้องของเราสุดยอดกว่า”
“บอกว่าคนที่มาทีหลังดีกว่าแบบนี้ ทุกคนจะเสียน้ำตาเอานะ ตัวเราเบลลามี”
“คิดว่าตัวเราดิลุคคงไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว”
“โหดร้ายจริง ไม่คิดไว้หน้ากันหน่อยรึ?”
“แล้วก็คิดว่าคำพูดแค่นี้ไม่สามารถทำลายสายสัมพันธ์นับล้านปีของพวกเราได้ ถ้าแค่นี้ทำได้ ทุกคนน่าจะทิ้งตัวเราดิลุคไปนานแล้วด้วยนิสัยแบบนี้”
“รู้แล้ว รู้แล้วละ ตัวเราไม่ว่าจะคนไหนก็พูดแก้ตัวน้ำขุ่นเอาดีเข้าตัวเก่ง เรื่องนี้รู้นานแล้ว”
“เราแก้ตัวไม่เก่งหรอกนะ ไม่เชื่อลองถามเรเซอร์ดูได้ เราพูดเป็นแค่ความจริงเท่านั้น”
น้ำเสียง และใบหน้าที่เหมือนกันทำให้ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆเวลาฟังสองคนนี้เถียงกันยาวเยียด หากไม่มีสีผม และสีหน้ามาช่วยแยก คงเป็นการแยกจะบอกว่าใครเป็นใคร ไม่สิ แต่เดิมก็คนๆเดียวกันอยู่แล้ว ถือครองรูปร่าง ความรู้สึก จิตวิญญาณเดียวกัน แค่แสดงออกต่างกัน
“แต่บางทีความจริงก็อาจโหดร้ายกับตัวเราในด้านที่อ่อนไหว”
“ต่อล้อต่อเถียงเก่งขึ้นจากเมื่อก่อนนะ พอแยกทางกันแล้วก็ไปเรียนวิธีพูดมารึ? ทั้งยังมาหาว่าเราเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวอีก ช่างกล้าพูดจริงๆนะตัวเราเบลลามี”
“ขอเหตุผลประกอบด้วยนะว่าทำไมตัวเราดิลุคจึงไม่ได้อ่อนไหวดังที่ว่า ..”
“น่าสนใจ หัวข้อนี้ไว้คุยกันหลังจากจบเรื่องทุกอย่างดีกว่า แต่ขอสั้นๆจบในสามสิบวินะ สำหรับวาระสุดท้าย เวลาในการสั่งเสียสามสิบวิถือว่าดีเลย”
“ไม่จำเป็น เราไม่มีอะไรจะสั่งเสียกับตัวเราอีกคนหรอก ถ้าจะสั่งเสียก็อาจขอเวลาพูดกับคนข้างๆแค่สองวิพอ”
จอมมารดิลุคหันมามองผม และเบือนหน้าหนีอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“สองวิเองรึ จะพูดอะไรบ้างล่ะ”
“ ‘ขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่ รักนะ’ น่ะ ”
“อืม ยอมรับก็ได้ว่าตัวเรานั้นอ่อนไหว ประโยคพูดไร้ยางอายลูกผู้หญิงอย่างนั้นเราพูดไม่ไหว เรื่องนี้ปล่อยให้ตัวเราหน้าด้านเป็นคนพูดท่าจะดี”
“หลักฐานความอ่อนไหวชิ้นที่หนึ่งคือตัวเราดิลุคไม่กล้าแม้แต่จะบอกรัก เป็นจอมมารที่อ่อนไหวราววัยแรกแย้มไม่เข้ากับอายุจิต ซึ่งกล่าวว่าเป็นคุณยายยังน้อยไปหลายร้อยเท่าตัว” เบลลามีพูดต่อรัวๆ “ทั้งที่เข้าหาเก่งตอนบนเกาะวาเรอร์ เพราะยืมลักษณะนิสัยของเราไปใช้อย่างเดียวอีก ตัวเราดิลุคเป็นได้แค่คนไร้น้ำยาที่ไม่กล้าพูดความในใจ หากไม่ได้หลบหลังคนอื่นแล้วพูด ..น่าสงสารตัวเราเหลือเกิน”
“..ปากดีขึ้นจริงๆด้วย ไม่ได้คิดไปเองสินะ น่าสนใจดี”
เปลวเพลิงสีขาวพวยพุ่งออกมาจากข้างหลัง ยังดีที่เธอดับมันลงทันทีที่คุมอารมณ์ได้ แมมม่อนที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับสะดุ้งเลยละ แอสโมเดียสเองก็ยืนปากสั่นทำอะไรไม่ถูก น่าจะมีแค่ผมที่คุมสติตัวเองดีอยู่ตรงกลาง
“เข้าเรื่องๆ”
ผมตบมือปรับบรรยากาศ เปลี่ยนสถานการณ์ และเข้าเรื่อง
“ตามที่จั่วหัวไว้นะ ยกเลิกงานแต่งซะ”
“..ถ้าไม่ทำ จะทำอะไรรึ?”
“ก็ต้องถล่มสิ”
“ชอบทำอะไรตามใจตัวเองตลอดเลยนะ เรเซอร์ อืม บางทีเราก็นึกสงสัยนะว่าเราชอบคนอย่างนี้ไปได้อย่างไร ..หรือว่าจะเป็น เพราะได้รับอิทธิพลจากสภาพจิตใจของตัวเราเบลลามีมากเกินไปกันนะ”
ชอบไปได้ไง ..ชอบไปได้ไง ….อ๊ะ แบบว่าอยากจะร้องไห้
“ตัวเราดิลุคเป็นจอมโกหก เรเซอร์ไม่ควรเชื่อสิ่งที่ออกจากปากเธอนะ”
“แต่ว่า ..เบลลามีอีกคน ..ดิลุคบอกว่าไม่ชอบฉันเลยนะ”
“มองอีกแง่ก็ดีแล้วนะ จะได้ตัดหางปล่อยวัดได้โดยง่าย ไม่ต้องสนใจตัวเราขี้โกหก มาสนใจตัวเราที่มีแต่ใจจริงคนเดียวดีกว่า ..จะได้ประหยัดเวลา เรเซอร์ด้วย เราเองก็ไม่อยากให้เรเซอร์เห็นด้านที่งี่เง่าของเรามากนัก เพราะมันคือส่วนที่ไม่จำเป็—”
พูดไม่ทันจะจบ บอลเพลิงเล็กๆก็พุ่งเข้าใส่เบลลามี ยังดีที่เบลลามีกระโดดหลบ เพราะไหวตัวทัน พวกเธอสองคนที่เกือบลงมือฆ่ากันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้แตกตื่นอะไรเลย
“…..”
“…..”
แววตาที่เคียดแค้นจากดิลุค และดวงตาที่ว่างเปล่าจากเบลลามี ให้ความรู้สึกเหมือนหญิงสาวสองคนที่กำลังจิกกัดกัน
แปลกๆยังไงไม่รู้แฮะ ถึงจะเป็นคนๆเดียวกัน แต่ก็รู้สึกเหมือนคนละคนกัน คงไม่ใช่ว่าสองคนนี้ จริงๆแล้ว ..จะนับว่าเป็นคนละคนก็ได้กัน?
“สุดยอดเลยนะครับ ท่านจอมมารร่างท่านเบลลามีเล่นพูดจี้จุดท่านจอมมารดิลุคได้ด้วย ..ผมนึกว่าคนๆนั้นสามารถเปิดปิด ควบคุมความรู้สึกตัวเองได้ตามใจชอบแล้วซะอีก”
“เพราะเป็นคนๆเดียวกันมั้ง เลยเข้าใจเรื่องเดียวกันได้ ..แต่เบลลามีพอด่าตัวเองแล้งปากจัดเป็นบ้าเลยนะ ดูท่าจะแค้นไม่ใช่น้อย”
“ก็ท่านจอมมารร่างท่านดิลุค สร้างความเดือดร้อนไว้เยอะสุดๆเลยนี่ครับ”
จะว่าไปก็ ..เยอะจริงๆแหละนะ
จอมมารดิลุคมองมาทางผมอีกครั้ง และเธอก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นซ้ำเดิม เธอส่งสายตาไปมารอบๆก่อนเปิดปากพูด
“พูดตรงๆ เราก็ไม่ได้อยากจะแต่งงานกับแมมม่อนหรอก”
“..คุณดิลุค”
ถึงจะเป็นศัตรูหัวใจกัน แต่โดนพูดแบบนั้นใส่แล้วเจ็บแทนเลยแฮะ
“แต่มันมีเหตุผลจำเป็นอยู่ และเป็นเหตุผลที่เราคิดว่ามันคุ้มที่จะฝืนใจตัวเอง ..เราไม่คิดจะชวนทะเลาะโดยที่ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก ให้เลือก ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ต้องคุยกันก่อน จริงรึเปล่า?” ดิลุคพูดเองเออเอง “ด้วยเหตุนั้นเอง จะยอมบอกเป้าหมายให้ฟัง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ยังไงก็เก็บไปพิจารณาแล้วคิดดูอีกทีละกัน หากตกลงให้ลงตัวกันไม่ได้ พวกเราก็แค่เปิดฉากสู้กันตามที่ควร จะถล่มงานแต่งหรือทำอะไรก็เชิญเลย ผู้ชนะบนโลกใบนี้มีสิทธิ์ทุกอย่าง มันคือกฏ”
ดิลุคเริ่มอธิบายทันทีที่พูดจบ เพราะเวลาของพวกเราไม่ได้มีมากมายอะไร
“เราจะทำลายโลกใบนี้ และสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา โดยการให้กำเนิดพระเจ้าที่แท้จริงผ่านพิธีกรรมหลังจากนี้ เรื่องรายละเอียดไม่ได้สำคัญอะไร แต่ที่สำคัญคือผลลัพธ์ที่จะได้รับ–กฏของทวยเทพบนโลกใบนี้จะพังทลายในที่สุด”
“สิ่งที่ต้องแลกล่ะ”
“..อืม คงจะเป็นโลกทั้งใบ”
….
“หลังจากเสร็จพิธีกรรม เราก็จะต้องรวบรวมมานามาให้แก่พระเจ้าองค์ใหม่ ซึ่งวิธีรวบรวมมานาก็คือการไล่ทำลายล้างโลก เก็บเศษซากของวิญญาณ และมานาให้มากพอถึงขนาดพอจะสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาได้ เมื่อเก็บจนครบแล้วก็ขั้นตอนสุดท้าย คือการใช้ตัวเรา และท่านพี่หวนคืนสู่จุดเริ่มต้นของพระเจ้า ..คาดว่าโลกใบนี้จะเหลือประชากรอยู่ราวๆห้าเปอร์เซ็นต์จากพิธีกรรมนี้”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ได้คำตอบในใจทันที ไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรไปมากกว่านี้ ดิลุคน่าจะสัมผัสเจตนาของผมจากสีหน้าได้แล้ว กระนั้นเธอก็ยังเลือกจถามกลับ
“จริงๆแล้วนอกจากรวบรวมเงื่อนไขให้ครบก็ต้องไปเคลียร์ปัญหากับทูตสวรรค์ แล้วก็กับเรนที่กลายเป็นเทพมังกรไปแล้วเหมือนกัน และถ้าได้แรงของพวกพ้อง คิดว่าอะไรๆมันก็จะผ่านไปได้ง่ายยิ่งยวด คิดเห็นอย่างไรบ้างรึกับเรื่องนี้?”
ผมไม่ครุ่นคิด ตอบกลับแทนอีกสองคนข้างหลังในทันที
“ไม่ไหวแฮะ เล่นสละคนบนโลกมากมายตั้งขนาดนั้น”
“จะเหลือพื้นที่ห้าเปอร์เซ็นต์ให้คนสำคัญของเรเซอร์ก็ไม่ว่านะ”
“ดิลุค ..นั่นใช่สิ่งที่เธอต้อการจริงๆเหรอ ที่กำลังจะทำมันไม่ได้ต่างอะไรกับการสร้างโลกใบเดิมซ้ำอีกครั้ง”
“จะบอกว่าคิดน้อยเกินไป? เจ็บปวดนะพูดแบบนี้ใส่เรา”
ดิลุคฉลาดในการใช้สมองมากกว่าเบลลามี เธอชอบพูดจี้จุดผม เหมือนกับตอนบนเกาะวาเรอร์ที่พูดจี้ผมด้วยน้ำเสียงกึ่งๆอ้อนกึ่งๆตำหนิจนทำผมใจอ่อนได้ซะทุกครั้ง น่าเจ็บใจ แต่ผมเป็นผู้ชายห่วยๆที่ถ้าไม่คุมสติตัวเองให้ดี ก็อาจจะเดินตามสาวแบบลืมคิดไตร่ตรอง ..โชคดีที่ผมมีภูมิคุ้มกันเรื่องหญิงสาวอยู่บ้าง ทำให้ปลอดภัยหายห่วง
ยังยึดมั่นในตัวเองได้อยู่ ผมจึงพูดตอบกลับ
“คิดผิดต่างหาก”
ผมเชื่อในสิ่งที่ผมคิดอยู่ตอนนี้
“โลกที่เธอต้องการมันมีรูปร่างแบบไหนกัน”
“…น่าจะรู้อยู่แล้วนะ”
“ถึงได้ถามไง เผื่อว่าเธอจะลืมมันไปหมดแล้ว”
ดิลุคทำเสียง “หืม” ลากยาวอย่างเย้ายวล
“อุตส่าห์คิดหาวิธีที่คนโลภมากอย่างเรเซอร์จะยอมรับให้แล้วนะ ..โลกที่ปราศจากกฏของทวยเทพอันน่าชิงชัง ทั้งยังได้อยู่พร้อมหน้ากับคนสำคัญ ไม่น่าจะมีตรงไหนที่ผิดพลาด”
“เธอจะต้องหายไป”
“สร้างเราขึ้นมาใหม่ก็พอ”
“นั่นไม่ใช่เธอ เป็นได้แค่ตัวตนที่เหมือนกับเธอ”
“พูดเสียดิบดี แต่หากมีจริงๆก็น่าจะตกหลุมรักเหมือนเดิมนะ คนหลายใจ”
โดนสวนกลับอย่างนั้นก็เล่นเอาผมสะอึกไปเลย
“กะ ก็จริงนะ ก็จริงก็เถอะ แต่ว่าถ้าเลือกได้ ฉันอยากจะอยู่กับเธอที่เป็นเธอ และบังเอิญว่าตอนนี้ฉันยังเลือกได้ มันเลยไม่จำเป็นที่จะมีตัวตนที่เหมือนกับเธอ”
“นอกเหนือสิ่งอื่นใด จะยอมให้มันจบแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ..ทั้งเธอในอารมณ์ดิลุค และเธอในอารมณ์เบลลามี ฉันจะไม่ยอมให้มันจบอย่างหมดสิ้นหนทาฝ”
ดิลุคตัดสินใจเลือกตอนจบแบบนี้ เพราะไม่มีทางเลือก เพราะเธอสู้มาตลอดหลายล้านปี แต่มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไป นับวันที่ลืมตาตื่นขึ้นมาใหม่ก็เข้าใกล้การถูกกลืนกินโดยทวยเทพขึ้นเรื่อยๆ ..เอาเข้าจริงๆ โลกใบนี้ถูกกลืนกินโดยสมบูรณ์ไปแล้วด้วยซ้ำ จอมมารแพ้ไปแล้ว แค่ยูจิที่เป็นฝ่ายนั้นดันรีเซ็ทโลกใบนี้ซ้ำไปมา จนผมปรากฏตัวอีกครั้งนี่แหละ ความเปลี่ยนแปลงจึงมาถึง
ในฐานะจอมมาร เธอฉลาดพอจะเข้าใจสถานการณ์ได้โดยไม่ต้องมีคนมาบอก คงจะรู้ว่าถ้าไม่ทำให้มันเด็ดขาด ..พวกเธอจะต้องแพ้อีกครั้ง
แต่ว่านะ ..ถ้าอย่างนั้นผมมาที่นี่เพื่ออะไรกัน? ตัวตนของผมมันจะไปมีควาหมายอะไรถ้าปล่อยให้มันจบลงอย่างนี้
ผมน่ะ—มาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลง
ผมเป็นเพียงจิกซอว์เล็กๆในกลไกของโลกใบนี้ เป็นแค่คนธรรมดาที่ได้รักกับจอมมาร จนถูกโลกใบนี้ลงโทษ และกลับมาใหม่อีกครั้งด้วยคำว่า ‘ข้อผิดพลาดของโลก’ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร หากเทียบกับบุตรแห่งพระเจ้า หรือตัวตนที่ถูกรังสรรค์โดยทวยเทพ
กระนั้นผมก็มาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลง อาจจะไม่สามารถพลิกทุกอย่างได้ด้วยมือของตัวเอง ซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว แค่สองมือของเรามันทำได้แค่ยกสิ่งของ อย่างมากก็ยกตึกได้ตึกหนึ่ง แต่ยกทั้งโลกไม่ไหวหรอก ทุกๆคนก็เหมือนกัน
“ ‘พวกฉันจะทำลายสวรรค์และนรก’ จะทำให้โลกใบนี้ไปสู่ ‘จุดจบ’ ด้วยน้ำมือของทุกคน ชะตากรรมของโลกจะไม่ยอมให้เป็นแค่ของใครแต่เพียงผู้เดียว ทิ้งเป้าหมายพรรค์นั้น แล้วมาร่วมมือกับฉันดีกว่า” ผมยื่นมือไปให้ “นี่ต่างหากไม่ใช่รึไง โลกที่เธอปารถนาในวันแรกที่ปารถนาในอิสรภาพน่ะ”
“..ดูท่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องนะ”
“น่าเสียดาย”
การเจรจาจบลงที่ล้มเหลว—-แมมม่อนพุ่งเข้ามาทันทีที่ทุกอย่างมันล้มเหลว ร่างของเขาย้อมไปด้วยเลือดสีแดง เป็นขีดจำกัดสายเลือดของเผ่าอสูรโลหิต ร่างที่พลังกายเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนั่นคงตั้งใจจะขยี้ผมให้เละในคราเดียว แน่นอนว่าหลบไม่น่าทันแฮะ เห็นอย่างนั้นผมก็-
ฝากทีนะ ยูนา
‘รับทราบค่ะ’
ตัดมิติพุ่งผ่านอากาศ เกิดรอยกระจกแตกขึ้น พร้อมกับร่างของแมมม่อนที่พุ่งผ่านผมไป
“[มิติกระจก] แล้วก็” ผมชี้เรลันดาฟไปที่หลังของแมมม่อน “[ไฟเยอร์]”
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แมมม่อนลอยไปกับประกายเพลิงทำลายล้างจากปลายเรลันดาฟ ..ผมไม่สนใจอาการของแมม่อนต่อจากนี้ และหันมาเผชิญหน้ากับดิลุคแทน ใช้สมาธิทั้งหมดทุ่มเข้าใส่เธอตรงหน้าที่ผมหลงรัก
“ย้ำอีกครั้ง ว่าจะขอชิงตัวเจ้าสาว”
“แม้ว่าเราจะปฏิเสธ?”
“ช่วงเวลาตระหนักรู้มักจะเริ่มจากการปฏิเสธความจริง—เอาละ ดิลุค ต่อจากนี้จะไม่ใช่งานแต่งของเธออีกต่อไป”
ทางผมเองก็โดนเหมารวมว่าคิดเองเออเองได้เหมือนกัน เพียงแต่
“แอสโมเดียส ฝากแมมม่อนด้วย”
ในมือถือหอกคู่ใจ แอสโมเดียสพยักหน้ารับ ถึงจะน่าเป็นห่วงไปนิด แต่ก็เป็นหนึ่งในคนที่เบลลามีไว้ใจที่สุด ผมเองก็จะเชื่อใจเขาเหมือนกัน และจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ยูนา พร้อมนะ
‘ตามที่มาสเตอร์ปารถนา’
ผมพยักหน้ารับ และหันไปถามเบลลามี
.“เบลลามีพร้อมนะ?”
“อือ พร้อม”
“ถ้านั้นก็”
ผมกระแทกปลายเรลันดาฟเข้าพื้น พร้อมกันเปลวเพลิงสีทองที่ปะทุขึ้นตามพื้น
“นี่คือคำอวยพรจากฉัน—- [อาณาจักรแห่งเปลวเพลิง]-[ทองคำขาว] !!!”
เพลิงสีทองพวยพุ่งเข้าโอบกอดพวกเราทั้งสามคน นำพาพวกเราไปสู่โลกแห่งเปลวเพลิงทองคำขาว