เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 357
< < 221 > >
ณ อาณาจักรเนลยอน บริเวณใต้มหาสมุทร พื้นที่ความลับของสภาโลก อันเป็นที่ตั้งโรงประชุมยักษ์ของสมาคมโลกได้เกิดการประชุมระหว่างผู้นำอาณาจักร ประเทศ และจักรวรรดิขึ้นอย่างกระทันหัน โดยที่ในครานี้ผู้เข้าร่วมนั้นมีน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับครั้งก่อน จะด้วยเหตุผลอะไร มันก็กระทันหันเกินไปในหลายๆเรื่อง หลายแห่งจึงเลือกจะเตรียมตัวมากกว่าการมานั่งประชุมหาลืออย่างสันติ อาทิเช่น สถานที่ที่ซึ่งสูญเสียผู้นำอย่างกระทันหัน
แน่นอนว่าในช่วงเวลานี้ หลายๆแห่งก็เกิดการต่อสู้กันเองขึ้น โดยไม่มีสภาโลกมาคอยควบคุมเหมือนเมื่อก่อน—ห้าผู้นำของสภาโลกตอนนี้เองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย
อาณาจักรฟัฟนิร์ สูญเสียกองกำลังส่วนใหญ่ และเสาหลักแทบจะทั้งหมด
อาณาจักรแซร์อิซ สูญเสียกองกำลังแทบจะทั้งหมด และสูญเสียผู้นำ
อาณาจักรเกรล สูญเสียกองกำลังแทบจะทั้งหมด สูญเสียผู้นำ และเกิดการแย่งชิงอำนาจจากภายใน
อาณาจักรเนลยอน สูญเสียกองกำลังส่วนใหญ่ และเสาหลักหลายส่วน
สุดท้าย จักรวรรดิราชามังกรได้สูญเสียกองกำลังมากมาย รวมถึงสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่าง ‘ผู้นำ’ ไป
การตายของสามผู้นำสูงสุดจากสามแห่งได้รับการยืนยันแล้วสองคน ได้แก่ ราชามังกร ‘กลอเลียส’ และ ราชาแห่งเกรล ‘จูเลียส’ คนสุดท้ายอย่าง ‘การันเต้’ ราชาแห่งแซร์อิซ แม้จะยังไม่ได้รับการยืนยันสถานภาพชัดเจน แต่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ตายไปแล้ว’ จากการต่อสู้กับ ‘เอเธอร์’
ด้วยเหตุนี้เอง การประชุมฉุกเฉินจึงได้เริ่มขึ้น โดยขาดสองจากห้าผู้นำสูงสุด
ผู้นำสูงสุดในที่แห่งนี้จึงเหลือเพียงแค่
‘อัลเบโด้’ ราชาแห่งฟัฟนิร์ และ ‘ฮิโรชิ’ รัฐมนตรีแห่งเนลยอน มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นจากกลุ่มผู้นำสูงสุด
และหัวข้อที่ทำให้ต้องเริ่มการประชุมขึ้นก็มีอยู่หลากหลาย—-
‘ภัยพิบัติแห่งโลกเรน’
ศัตรูของโลกซึ่งถูกกำจัดทิ้งไปแล้ว เพียงแต่ ..
‘คนจากบนฟ้า’
ตัวตนปริศนาที่บุกถล่มอาณาจักรฟัฟนิร์ และออกอาละวาดอีกในหลายๆสถานที่
‘แดนนรกกินคน’
การพังทลายของคัลเซเรม และปริศนาการหายตัวไปของอีสเตอร์
‘โศกนาฏกรรมที่จักรวรรดิราชามังกร’
ต้นเหตุการสูญเสียมากมาย โดยเฉพาะกับการสูญเสียสองผู้นำสูงสุดในครั้งเดียว และสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องที่ ‘เอเธอร์’ ตัดสินใจทรยศ และไปเข้าร่วมกับพวกคนบนฟ้า
นอกจากนั้นก็มีรายงานการหายตัวไปของ ‘ผู้กล้าลำดับที่ 100’ และร่างเจ้าหญิงนิทราของ ‘เทพธิดาผู้สร้าง’
‘การถือกำเนิดของจอมมาร’
ตำนานที่เกิดขึ้นจริงอีกครั้ง เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของโศกนาฏกรรมที่จักรวรรดิราชามังกร และต่อมาทางการก็ได้ส่ง ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ ไปหยุดเอาไว้ แต่ก็พลาดท่าถูกจอมมารสังหารลงไปตามรายงานจากลูกเรือที่ติดตามเธอไป ..
เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ต้องมีการประชุมฉุกเฉินอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆที่พึ่งจัดการประชุมไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยที่ในโอกาสนี้ อาณาจักรเนลยอนซึ่งมีสภาพดีที่สุดจากทั้งหมดห้าแห่งจะเป็นเจ้าภาพเอง
การประชุมดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และพิถีพิถัน ทุกคนในที่แห่งนี้ตั้งใจจะจบมันให้เร็วที่สุด ..ต่อจากนี้อีกไม่กี่ชั่วโมง เกือบทุกข้อมูลที่ได้รับ ความจริงของเกือบทุกเหตุการณ์ได้เผยแพร่ไปสู่ทั่วทั้งโลก
การประชุมเริ่มขึ้นในตอนเช้า และจบลงในตอนบ่ายของวัน
บทสรุปที่ได้รับคือ ..
“ ‘วันสิ้นโลก’ ตามตำนานกำลังจะมาถึงสินะคะ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่”
หญิงโสดผู้มีอายุเข้าใกล้เลขสามสิบขึ้นไปทุกที ‘แองเจลิน่า ดราแคล์’ พึมพำขึ้นขณะที่ในมือถือเอกสารไว้มากมาย
เธอนั่งอยู่บนเรือสำราญขนาดยักษ์ ข้างซ้ายและขวาของตัวเธอมีสุดยอดพ่อบ้าน ‘เซบาสเตียน’ และอดีตนักฆ่า ‘คริสตีน่า’ คอยทำหน้าที่อารักขา
บนเรือขนาดยักษ์ที่แองเจลิน่านั่งก็มีเมดสองคนวิ่งวุ่นจัดเตรียมหลายๆอย่างไปมา พวกเธอคือ ‘เรเซล’ และ ‘อันนา’ สองเมดว่าที่ภรรยาของ เรเซอร์ ดราแคล์
ทั้งตรงหน้าของแองเจลิน่าก็คือ– ‘เจมิลี่ ดราแคล์’ แม่แท้ๆของเธอ และน้องชายสุดที่รัก เธอเองก็มาเข้าร่วมการประชุมฉุกเฉินคราวนี้พร้อมกันกับแองเจลิน่า
“หวังว่าเรเซอร์จะไม่ไปพัวพันกับปัญหาเข้านะ”
“…”
ไม่ทันแล้วค่ะ น้องชายคนนั้นเล่นไปเป็นหนึ่งในตัวหลักเลยด้วยซ้ำ-แองเจลิน่าอยากจะบ่นออกมา แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ก่อน เธอเก็กหน้านิ่งไร้อารมณ์กับแม่แท้ๆของตัวเองด้วยความตั้งใจ เธอไม่คิดอยากเสวนากับแม่ตัวเอง ตั้งใจไว้อย่างนั้น ..
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรเซอร์หรอกค่ะ เด็กคนนั้นว่าไงดี ..อือ ไม่น่าตายง่ายๆหรอก”
“ประโยคพูดทีว่า มองอีกมุมคือไม่น่าตายดีก็ได้นะ”
“วิเคราะห์ตามเจตนาละกันค่ะ ฉลาดไม่ใช่เหรอคะ?”
“…เฮ้อ”
“….”
สนทนากันแค่นิดเดียว บรรยากาศมาคุก็ลอยมาอีกครั้ง อันนาซึ่งมองมาจากข้างล่างทำสีหน้าหน้า ‘เอาอีกแล้ว’ ออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ทั้งสองมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ เวลาคุยธุระอะไรก็แล้วแต่ บทสนามักจะนำไปสู่การทะเลาะวิวาทโดยที่แองเจลิน่าเป็นฝ่ายเริ่มตลอด ไม่ว่าเรื่องที่คุยจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม นั่นเป็นหนึ่งในเรื่องปวดหัวที่เหล่าพ่อบ้าน และเมดๆต้องปวดขมับทุกทีที่เจ้านายแสนฉลาดของตนมักจะประสาทแดกตอนอยู่กับครอบครัว ไม่สิ ตอนอยู่กับพ่อแม่มากกว่า คำว่าครอบครัวสำหรับแองเจลิน่าไม่น่าจะมีสองตัวตนข้างต้นอยู่ เป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก
“เด็กคนนั้นน่าเป็นห่วง”
“มาห่วง เรเซอร์ ตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว จะห่วงก็ไปห่วงตอนเด็กๆดีกว่าค่ะ เฮ้อ ..เอาเป็นว่าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนดีกว่า เรื่องของเรเซอร์เดี่ยวฉันเป็นคนจัดการเอง ไม่ต้องยุ่งค่ะ เรื่องก็แค่นั้น”
“ในฐานะผู้ปกครอง เป็นห่วงผิดด้วยเหรอ”
“ฐานะผู้ปกครอง? น่าจะฉันมากกว่านะคะ ฉันเป็นผู้ปกครองของเรเซอร์ค่ะ ไม่ใช่คุณ”
โดยเฉพาะกับตอนที่พูดเรื่องของเรเซอร์ เป้าการด่าของแองเจลิน่าจะมุ่งมาที่ตัวเจมิลี่ตรงๆไม่อ้อมค้อมเลย ทั้งยังไม่คิดจะเรียกแม่ของตัวเองว่าแม่ด้วย แถมยังจงใจเรียกแบบห่างเหินอีก
“……”
“…..”
“แล้วคิดจะทำยังไงต่อ ในฐานะผู้นำตระกูล”
“แน่นอนว่าต้องเอาคนไปสนับสนุนที่อาณาจักรฟัฟนิร์ก่อนค่ะ เพื่อปกป้องราชวงส์ แล้วก็ ..การจราจลจากคนต่างแดนที่อาจจะเกิดขึ้น สถานการณ์โลกตอนนี้ จะอะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้ อาณาจักรมหาอำนาจอาจจะโดนบุกโจมตีเพื่อยึดครอง หรือไม่ก็–สงครามขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นไปทั่วทั้งโลกก็เป็นไปได้ทั้งนั้นค่ะ” แองเจลิน่าหรี่ตาลง “นอกเหนือจากนั้นก็ต้องรับมือแต่ละเรื่องไปตามสถานการณ์ รอให้ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกระทันหันได้รับการแก้ไขก่อน การต่อสู้ทางการเมืองของจริงคงจะเริ่มหลังจากนั้น”
และนั่นแหละคืองานหนักสำหรับเธอ ผู้เป็นแม่ได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้นก็ทำหน้าตึงเครียดแปลกๆขึ้นมา
“การลอบสังหาร”
คีย์เวิร์ดแค่นั้นทำให้คริสตีน่าสะดุ้ง เพราะเป็นคนที่เคยมีคดีกับแองเจลิน่ามาก่อน ถ้าเกิดเรื่องนี้หลุดไปโลกภายนอก คริสตีน่าไม่รอดโดนจับแขวนคอแน่นอน
“ถ้าถึงตอนนั้นก็น่าจะมีอีกนะคะ”
“ระวังตัวเองไว้ด้วย”
“ในฐานะผู้นำตระกูลสินะคะ เข้าใจแล้วค่ะ ครั้งนี้จะไม่ประมาท เรื่องเมื่อตอนนั้นเป็นเพราะยังเยาว์วัยไปด้วยค่ะ เลยบกพร่องในหน้าที่ไปหน่อย ครั้งหน้าจะไม่พลาดอีกแล้วค่ะ”
“..ดีแล้วละ”
….
“หลังจากนี้อาจจะมีเรื่องสำคัญทำให้ต้องแต่งงานเพื่อตระกูลด้วย ยินดีด้วยที่ในอนาคตมีโอกาสจะได้แต่งงานอีก”
เพราะเป็นช่วงสงครามกลางเมืองเลยอาจจะต้องทำสัญญาแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ร่วมเข้าให้
“ใช่เรื่องน่ายินดีที่ไหนกันคะ? สุดท้ายเจ้าชายในฝันก็ไม่โผล่ โลกความจริงในปัจจุบันมันโหดร้ายดีนะคะ ผิดกับยุคของพวกคุณที่แสนสบาย”
“ก่อนหน้านี้แค่สองปีโลกก็ไม่ได้วุ่นวายขนาดนี้นะ แต่แองเจลิน่าก็ยังหาไม่ได้”
“จะตำหนิฉันที่ไม่มีปัญหาหาเหรอคะ? ฉันแค่ไม่เอาหรอกนะคะจะบอกให้ มีคนส่งจดหมายเสนอมาไม่ต่ำกว่าเดือนละสิบยี่สิบคนด้วยซ้ำค่ะ”
แม้ว่าส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกลุงๆไม่ก็พวกประวัติเสียๆหายๆ ก็เถอะ ….ในช่วงแรกแองเจลิน่าเนื้อหอมในวงกว้างอย่างคุณภาพ คือความจริง แต่พอเริ่มอายุมากขึ้น คุณภาพก็โดนลดลง จนตอนนี้ยากจะหาคนดีๆมาเป็นคู่ชีวิตด้วยได้ แถมสงครามกลางเมืองก็กำลังจะเริ่มอีก ชะตากรรมของแองเจลิน่าคงจะไม่แคล้วต้องยอมคลุมถุงชนตัวเอง
“..เหมือนเคยได้ยินว่าแองเจลิน่าสนิทกับเอเธอร์”
“อ๋อค่ะ มาแล้วค่ะคำถามนี้ มีข่าวลือบ่อยๆนะคะ เพียงแค่ฉันคุยกับคุณเอเธอร์สองต่อสอง รู้สึกเหมือนโดนดูถูกเลยค่ะ ประมาณว่าเพราะปกติไม่คุยกับพวกผู้ชาย พอคุยด้วยหน่อยก็ยากจะเชื่อ ฮะ ฮะ น่าตกลดีนะคะ”
“นั้นเหรอ”
“ค่ะ อีกอย่าง ต่อให้เป็นแบบที่ลือกันจริงๆ ฉันก็คิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีในการเลือกแต่งงานด้วย เป็นตัวเลือกในการสมรสที่ดีค่ะ ความแข็งแกร่งของคนๆนั้นคืออำนาจขนาดใหญ่ที่สำคัญ แต่ด้วยสภาพปัจจุบันจะให้แต่งงานกับคนทรยศนี่ฉันน่าจะกลายเป็นคนทรยศตามกันไปติดๆเอานะคะ ตระกูลดราแคล์จบสิ้นกันพอดีค่ะ”
เจมิลี่พยักหน้ารับ เธอไม่ได้คิดให้แองเจลิน่ามีสามีในมุมของตระกูลหรืออะไร แค่มองในฐานะแม่คนหนึ่ง แต่ก็ปล่อยให้เข้าใจกันผิดไป เพราะทักษะการสื่อสารที่เลวร้ายของเธอ
“แต่ว่าเรื่องของคุณเอเธอร์ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอกนะคะ ดูไม่ใช่คนที่จะมีผลประโยชน์เป็นของตัวเองได้ ..เขาแค่อยากจะตามหาน้องสาวของตัวเองให้พบ” แองเจลิน่านึกถึงเรื่องที่เรเซอร์เล่าให้ฟัง และเรื่องที่เคยคุยกับเอเธอร์เมื่อมีโอกาส “แล้วเป็นพี่ชายที่ดีให้ได้สักครั้งเองแท้ๆ”
ใครจะคิดละว่าความจริงของพี่ชายที่คิดอย่างนั้น จะมีเป้าหมายในการฆ่าน้องสาวของตัวเองเอาได้
“..สนิทกันขนาดนั้นเลยสินะ”
“แค่บังเอิญเห็นแง่มุมประหลาดของเขามากเป็นพิเศษค่ะ”
ความบังเอิญบางทีก็น่ากลัว เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่อยากจะให้เกิดขึ้นตามใจแองเจลิน่า เลือกได้แองเจลิน่าก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องของเอเธอร์มากนักหรอก หรือถ้ารู้ ก็อยากจะรู้ในฐานะที่เป็นพี่ๆของน้องๆที่กำลังคบหาดูใจกันเองก็แค่นั้น
แองเจลิน่าเท้าคาง แหงนหน้ามองท้องฟ้า
แต่เพราะรู้แง่มุมอีกมุมของเอเธอร์ไปแล้ว จึงช่วยไม่ได้-
“ถ้าได้คุยปรับความเข้าใจกันอีกสักครั้งก็คงจะดี คิดแค่นี้ค่ะ”
ไม่ใช่เพราะเป็นพี่ของอีกฝ่ายที่คบหากับน้องชาย แต่เป็นในฐานะ ‘เอเธอร์’ ละนะ
****
(มุมมอง เรเซอร์)
ผมบินบนท้องฟ้าด้วยเรลันดาฟ โดยการให้เบลลามีเกาะเอวผมไว้ และใช้ความสามารถของการาวิเทียดึง แอสโมเดียส ให้ลอยตามหลังมา
“ยะ อย่าเผลอปลดพลังนะครับ!”
ถ้าปล่อยไป แอสโมเดียสได้จมน้ำตายแน่ๆ เห็นว่าง่ายน้ำไม่เป็นด้วย ..
“วางใจได้”
“เรากับเรเซอร์ว่ายน้ำเป็น”
“อันที่จริงไม่ต้องว่ายน้ำตามไปเก็บก็ได้ ใช้เวทมนตร์แบกขึ้นมาเอาง่ายๆก็ได้ จะไปกลัวอะไร”
“ผมกลัวน้ำน่ะครับ คือแค่จมสักสองหรือสามวิ ผมก็จะช็อตถึงตายได้เลย”
หนักอยู่นะนั่น
“เอาเป็นว่าวางใจได้ ฉันจะเป็นตาซ้าย เบลลามีจะเป็นตาขวา พวกเราสองคนรวมกันคือความสมบูรณ์แบบ ไม่มีคำว่าผิดพลาด AKA เพราะรักจึงสมบูรณ์แบบ”
“..น่าอายไปหน่อย แต่ใช่”
“จู่ๆก็หวานกันออกหน้าแบบนี้ ..แอบน่ารำคาญหน่อยๆนะครับนั่น”
ผมทำเมินคำบ่นเชิงโวยวายของแอสโมเดียสไป เพราะหมอนี่มักจะบ่นอะไรสักเรื่องมันซะทุกๆห้านาทีอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเก็บมาใส่ใจมากนัก ..โอ๊ะ เหมือนจะถึงแล้ว
ตรงหน้าผมไม่ไกลกันมากมีเกาะขนาดเล็กซึ่งมีโบสถ์งานแต่งอีกแห่งจัดขึ้น คิดว่าอันนี้น่าจะของจริงแล้วละ ถามว่าผมรู้ได้ไง ผมเดาเอาครับ ถ้าอยู่ที่อื่นไม่ใช่ที่นี้มันจะลำบากหาอีก เพราะนั้นขอให้เป็นที่นี้นี่แหละ ขอเถอะนะ
“ที่นี่แหละ เราสัมผัสได้ถึงมานาของตัวเอง”
“ไม่ไกลมากก็เป็นเรื่องดี ..แปลกๆไปหน่อย แต่พวกเรากำลังจะเข้างานแต่งของดิลุคกัน หรือก็คืออีกครึ่งของเบลลามี งานแต่งของเบลลามีกลายๆนั่นแหละนะ”
“ทำไมเหรอ ..อ๊ะ ไม่ต้องหึงนะ”
“ไอหึงก็หึงอยู่หรอกที่คนควงเบลลามีชุดเจ้าสาวคนแรกไม่ใช่ฉัน แต่ว่านอกเหนือสิ่งอื่นใด เราเข้าร่วมในฐานะแขก ก็ต้องเตรียมประโยคพูดในฐานะแขกเพื่อทักทาย เอาเป็นอะไรดีนะ”
“เรื่องนั้นก็เป็นปัญหา ทำไมเรเซอร์ไม่บอกให้คิดเร็วกว่านี้เหรอ”
“พึ่งคิดได้น่ะโทษที”
“ช่วยไม่ได้นะ”
“ถามจริงคุยกันเรื่องนี้เนี่ยนะครับ ..นี่เราอยู่กันในสงครามนะครับ สงครามใหญ่มากๆด้วย”
อาจจะเข้าขั้นมหาสงครามเลยก็ได้นะ ถ้าเกิดมันกระจายไปมากๆน่ะ เพราะแต่ละคนที่เข้าร่วมก็ตัวบิ๊กทั้งนั้น แต่ก็นั่นแหละนะ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจขนาดนั้น ..ผมสนใจแค่เรื่องของตัวเอง ผมเป็นคนอย่างนั้นแหละ
ผมแค่กำลังจะเข้าร่วมงานแต่งของเบลลามีกับเบลลามี
ในหัวน่าจะมีแค่นี้–ใช้เวลาไม่นาน พวกผมก็ลงจอดหน้าโบสถ์โดยที่ยังคิดคำทักทายไม่ได้
“แต่ว่านะ”
“ว่าไงเหรอ”
“ถ้าเกิดเรเซอร์ทักทายตามประสาเพื่อนร่วมงานแต่งก็แปลว่าเรเซอร์ยอมให้เราแต่งงานนะ หมายความว่าหลังจากนี้ต่อให้ยกเลิกไปได้ เราก็มีสภาพไม่ต่างกับ ‘แม่ม้าย’ ..ในอนาคตอาจจะต้องคบหากับคนที่เป็นแม่ม้ายอย่างเรา ดีแล้ว?”
เบลลามีซ้อนตามองอย่างเศร้าๆ ท่าทางของเธอมันดูน่ารักจนอยากกอด นี่ถ้าไม่มีตัว กขค แบบแอสโมเดียสผมน่าจะดึงเธอเข้ามากอดแล้วละ
“ถ้าบนโลกนี้แม่ม้ายน่ารักขนาดนี้ ใครๆก็ยอมแหละนะ”
“พูดเอาใจอีกแล้ว”
โดนจับได้ซะแล้ว แต่ที่พูดก็ครึ่งต่อครึ่ง ถ้ามีแม่ม้ายที่น่ารักขนาดเบลลามีอยู่ ผมก็ไม่สนใจขี้ปากป้าข้างบ้านหรอก
“หึงแฮะ ไม่เอาละงานแต่งนี้”
“อือ เราเลยมีไอเดีย”
ผมพยักหน้ารับ เบลลามีพูดทั้งรอยยิ้มจางๆ
“เตะประตูเข้าไป แล้วอบกว่ามาชิงตัวเจ้าสาวแล้ว ถ้าทำทันเราจะไม่ใช่แม่ม้าย แล้วก็เป็นกลายๆด้วย เหมือนที่เราเคยอ่านในนิยาย เหมือนนิยายที่เรากับเรเซอร์เคยอ่านกัน”
“ขาดไม่ได้จริงๆสินะ ช่วงชิงตัวเจ้าสาวเอาไว้ให้จั๊กจี๊หัวใจเล่น”
“ถึงจะโหลยโท่ยไปหน่อย แต่ก็ดีต่อใจนะ”
“เคียวยะเคยบ่นด้วยนะว่ามันเป็นวิธีเขียนของพวกไม่มีหัวคิด”
“อือ ก็ใช่นะ ให้ความรู้สึกเหมือนคนแต่งไม่รู้จะทำอะไรให้มันดูน่าสนใจ เลยยัดอีเว้นท์งานแต่งเข้ามาเพื่อดำเนินเรื่อง เจ้าสาวที่แต่เดิมเจ้าบ่าวควรจะเป็นพระเอก แต่มันกลับไม่ใช่ น่าปวดใจ ความเจ็บปวดทำให้ตื่นรู้ในเรื่องสำคัญที่ว่า-”
“ ‘จริงๆแล้วฉันรักเขา’ ต้องเป็นคนๆนี้เท่านั้น”
“เป็นจุดสูงสุดของความรู้สึกมากมาย ..เรเซอร์รู้สึกยังไงบ้างเหรอ”
ถามผม เพราะอ้างอิงจากสถานการณ์ตอนนี้ก็เหมือนกับที่บ่นกันเป๊ะเลย
“เจ็บใจสิ แต่รู้อยู่แล้วละว่าเบลลามีน่ะ–อยู่ในกำมือของฉันแล้ว เลยไม่ต้องกลัวอะไร การตื่นรู้ในรักอะไรนั่นไม่จำเป็นต่อฉันเลยสักนิด”
“คิดเหมือนกัน เพราะเรารักเรเซอร์อยู่แล้ว นานแล้วด้วย แต่เรเซอร์พูดผิดไปอย่างหนึ่งนะ”
หืม?
“เรเซอร์ต่างหากที่อยู่ในกำมือของเรา ทั้งกาย และใจ ..อีเว้นท์ชิงตัวเจ้าบ่าวจะไม่มีทางเกิดขึ้น ผิดกับอีเว้นท์ชิงตัวเจ้าสาวที่มันดันเกิดขึ้นได้ เพราะเราไม่ได้อยู่ในกำมือของเรเซอร์จริงๆ เรเซอร์ทำให้ตัวเราอีกครึ่งตระหนักรู้ไม่ได้ ทั้งกายใจ”
“พูดอะไรออกมาเนี่ย …แล้วต้องทำแบบไหนถึงจะดีล่ะ”
“ทำให้ตัวเราตระหนักรู้—ว่างานแต่งพรรค์นี้ล่มๆไปได้ก็ดี”
กล่าวจบ เบลลามีก็ลงมือเป็นเจ้าภาพถีบประตูหน้างานแต่งเข้าไป และโพล่งออกมาด้วยการอ้าปากพูดธรรมดาแสนเบาหวิว
“มาชิงตัวเจ้าสาวแล้ว”
นั่นมันประโยคพูดของผมป่ะ?