เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 355
< < 219 > >
ลูซิเฟอร์แหงนหน้ามองท้องฟ้าซึ่งปกคลุมไปด้วยตัวอักษณสีทอง เจ้าตัวใช้ดวงตาปราดมองทุกตัวอักษร และถึงกับหลุดออกมา
“นี่มันประวัติของข้า ..โดนถ้ำมองจนได้ ไม่สิ โดนเล่นงานเข้าจนได้เข้าท่ากว่า ท่านอาเธียน่า กับท่านเคียวยะ ดวงตาของพวกท่านมันช่างน่าอัศจรรย์ เสมือนกับ ..คิดไม่ออกแล้ว”
โครินอาศัยจังหวะที่ลูซิเฟอร์เผลอ รีบบินหนีไปหาเคียวยะตามคำสั่ง ลูซิเฟอร์ใช้หางตามอง และใช้นิ้วชี้เล็งตูดโคริน
“[อาร์มาเกดอน]”
แสงสีดำผุดขึ้นเป็นประกาย และพุ่งตามหลังโครินไป–ราวกับเห็นอนาคต โครอินหมุนตัวหลบ และเร่งความเร็วลงพื้นหนี ลูซิเฟอร์จนพ้น
“..ถูกอ่านออกแล้วจริงๆด้วย ..เห็นไปไกลขนาดไหนกันนะท่านเคียวยะ” ลูซิเฟอร์จ้องมองตัวอักษณที่ผ่านตาไปมาอย่างผ่อนคลาย “มีแต่เรื่องน่าอับอายทั้งนั้นเลยนะ ประวัติของข้า”
****
‘เคียวยะ!’
“ยังไม่ตายสินะ”
‘ทำไมพูดเหมือนอยากให้ตายอะ!?’
“ไม่ได้พูดเหมือน”
‘เอ๋ หมายความว่าไงละนั่น’
ดูไปได้หลายทางอย่างไรไม่รู้
เคียวยะทำเมินโคริน เจ้าตัวเดินถอยหลังราวสามเก้า ตามที่คาดเอาไว้ ลูซิเฟอร์พุ่งลงมาอยู่ตรงหน้าเคียวยะ พร้อมกับสยายปีกสีดำทั้งสิบสองข้างโชว์อย่างผ่าเผย
“เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมากเลยละท่าน แม้ว่ามันจะเป็นการแสดงประวัติข้า สร้างความอับอายให้แก่ข้าต่อหน้าฝูงชน”
“ก็มีแค่ฉันกับโครินแค่นั้นแหละที่เห็น”
“นั่น ..ก็ยังน่าอับอายอยู่ดีแหละนะ หวังว่าจะเข้าใจ”
“อ่า โทษทีละกัน”
เคียวยะพูดอย่างนั้นก็จริง แต่ไม่ได้มีสีหน้าที่สลดอะไรเลย กลับกัน น้ำเสียงกลับแข็งกร้าวขึ้นมา
“ ‘อาซาเซล’ เป็นเพื่อนที่ดีสินะ คนทรยศ”
“ดีสิ คนที่ข้าเรียกว่าเพื่อนแท้ได้ บนโลกใบนี้อาจจะมีเพียงแค่เขาคนเดียว”
“ครั้งแรกคือการทรยศแก่ผู้สร้าง ครั้งสองคือการทรยศแก่เพื่อนแท้ของตัวเอง และครั้งที่สาม–คือการทรยศนายเหนือหัวของตัวเอง เหอะ ไอคนไร้สัจจะเอ้ย ทำเป็นพล่ามเรื่องสวยหรูมาตลอด แต่ที่แท้ก็เป็นแค่จอมทรยศไม่ใช่รึไง”
…..
“ทำไมถึงหักหลังล่ะ”
“..ไม่จำเป็นต้องถามก็ได้ ท่านน่าจะทราบคำตอบอยู่แล้ว”
“ฉันรู้แค่สิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกข้างในลึกๆไม่มีทางมองได้ด้วยตาตัวเองหรอก ..ความรู้สึกมันเข้าใจยาก
“ถ้าเกิดเข้าใจความรู้สึกตัวเองได้ตั้งแต่แรก ..ฉันคงไปเดินผิดทางเป็นเวลากว่าสิบปีหรอก เพราะมันเข้าใจยากด้วยนี่แหละ มันถึงได้มีคุณค่าในตอนที่ตระหนักรู้ถึงมัน ความรู้สึกนั้นมีค่าเสมอ ต่อให้เป็นความรู้สึกของจอมทรยศอย่างลูซิเฟอร์ก็ตาม”
เคียวยะสัมผัสหัวใจของตัวเองด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย ผิดกับปกติที่มีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา
“..ท่านไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ไม่สิ ข้าไม่อยากจะให้ใครรู้ น่าจะถูกกว่า”
“คงจะอย่างนั้น ดูไม่ออกเลยว่ากำลังโกหก”
“ถ้าไม่ใช่เพื่อทรยศ ข้าโกหกไม่เป็นหรอก”
ลูซิเฟอร์บินขึ้นฟ้า—และพุ่งเข้าใส่เคียวยะ
“ [เกลียวมรณะ] ”
เคียวยะสลาย KY HOPE ของตัวเอง พร้อมกับปล่อยหมัดไปข้างหน้า และโพล่งออกมาเหมือนดั่งลูซิเฟอร์
“ [เกลียวมรณะ] ”
****
(มุมมอง ลูซิเฟอร์)
ตัวข้าก่อนที่จะเป็นปีศาจมหาบาป ดำรงอยู่ในฐานะ ‘นักรบสูงสุดของทวยเทพ’ อาทิเช่นพวกทูตสวรรค์นั่นแหละ ซึ่งมีจำนวนอยู่สิบกว่าตนได้ แต่ในหมู่ทูตสวรรค์ ข้าจัดอยู่ในฐานะนักรบทูตสวรรค์ระดับสูงสุด เช่นเดียวกับทูตสวรรค์อีกสองตน
‘มิคาเอล’ เป็นหญิงสาวปากเสียที่นานๆทีจะเกี่ยวข้องด้วย กับท่านมิคาเอล ข้าไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรด้วยมากมาย นอกจากที่เวลามีงานใหญ่ๆพวกเราจะต้องร่วมมือกัน
หากให้พูดถึงคนที่ข้ามีความสัมพันธ์ที่พิเศษด้วยกันก็หนีไม่พ้น .. ‘อาซาเซล’ ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกัน
อาซาเซล ไม่ทราบเพศ เป็นคนที่จะมองว่าหล่อก็ได้ จะสวยก็ได้เหมือนกันอีก ข้าเองก็ไม่นิยมทางเพศสภาพคนอื่นด้วยเลยช่างเรื่องนั้นไป ยังไงมันก็ไม่ได้สำคัญกับข้าอยู่แล้ว คิดอย่างนั้น รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็น เพื่อนแท้? กับอาซาเซล ถึงขนาดที่คนๆนี้เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกที่ข้าไม่นิยมเรียกนำหน้าว่า ‘ท่าน’
“นี่ ลูซิเฟอร์”
“ว่าไง อาซาเซล”
“ได้ข่าวว่าเด็กสาวคนนั้นหลุดจากหอคอยไปแล้วด้วยนะ”
เด็กสาวคนนั้นที่อาซาเซลพูดถึง น่าจะหมายถึงเด็กสาวผู้ถูกทดลองโดยท่านออโรโบรอส ให้กลายเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับพระเจ้าสูงสุด แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว และโดนจับยัดไว้ใต้สุดของหอคอย ..น่าสนใจ
“เร็วๆนี้คงจะได้งานใหม่สินะ”
“ไม่อยากทำงานนั้นเลยนะ ก็เด็กคนนั้นแข็งแกร่งเป็นบ้า พลาดขึ้นมาได้ตายแน่ๆ”
“บางทีก็ชอบพูดอะไรตลกๆออกมานะ อาซาเซล”
เห็นว่าตลก ข้าเลยหัวเราะออกมา
“มันจะมีอะไรไปมีค่ามากกว่าการตายเพื่อท่านเทพกัน เรื่องแค่นี้เจ้าก็ไม่รู้รึ”
“โทษทีละกันที่ไม่รู้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่ ..พระเจ้าสร้างพวกเรามาให้มีจิตใจเอง”
เวลานั้นข้าไม่เข้าใจว่าอาซาเซลกำลังพูดอะไรออกมา ….จิตใจเหรอ ขอพรรค์นั้นกับทูตสวรรค์—มันมีอยู่จริง
“จงฟังเราเสีย ทูตสวรรค์ผู้ถูกพ่ายแพ้”
ข้าพ่ายแพ้ พ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้แก่ ..หญิงสาว ไม่ ไม่ใช่ เธอสูงส่งเกินกว่าจะเรียกว่าหญิงสาว
หัวใจดวงน้อยๆของข้าเต้นระรัว ไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ที่สง่างามของเธอแต่อย่างใด แต่เป็น เพราะข้ากำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ประเชิญ
การต่อสู้ที่ดุเดือด แผดเผาทั่วทั้งร่างกาย และจิตวิญญาณ ผลลัพธ์ที่ดึงทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจากร่างจนเหลือเพียงแค่วิญญาณ ตัวข้ายืนอยู่ปลายประตูที่ชื่อว่าความตาย มันไม่มีทางเป็นนรก เพราะข้าเป็นทูตสวรรค์ แต่ถ้าหวาดกลัวมันเหลือเกิน ..ความตายต่างหากละคือนรก
ไม่อยากจะตาย
หัวใจของข้าสั่นสะเทือนไม่หยุด
เธอผู้นั้นยื่นมือมาให้ข้า
วินาทีนั้นข้าจึงได้ทรยศต่อผู้สร้าง และจับมือของจอมมารผู้ทำลายล้างทวยเทพเอาไว้แน่น
สิ่งแรกที่ข้าทำเพื่อจอมมาร ..คือการทรยศเพื่อนแท้ของตัวเอง
“..ลูซิเฟอร์”
ข้าใช้แขนขวาแทงทะลุหัวใจของอาซาเซล ใช้แสงของตัวเองหักล้างกับแสงของอาซาเซล ด้วยความที่อาซาเซลเสียเปรียบ ทำให้ข้าชนะในที่สุด ..อาซาเซลทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากตายจากโลกใบนี้ไป มันคือเรื่องที่ข้า และท่านผู้นั้นได้กำหนดเอาไว้
“อภัยให้ข้าด้วย อาซาเซล ..นี่คือสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ เพื่อท่านผู้นั้น”
นอกจากการสังหารอาซาเซล ข้าก็ออกอุบายหลอกลวงทวยเทพมาสังหารเรียงคนในคราเดียว เป็นการร่วมมือกันที่แสนวิเศษ รวมถึงเป็นการทรยศที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย
วินาทีนั้น สวรรค์ได้ล่วงลงสู่พื้น โลกใบนี้ในที่สุดก็ได้รับรู้เสียทีว่าการคิดจะพรากมนุษย์ไปจากท่านผู้นั้น มันหมายถึงจุดจบของโลก ..กระนั้นคนทรยศก็น่ารังเกียจ
“ช่วยไม่ได้ละเนอะ ..ก็พระเจ้าสร้างพวกเรามาให้มีจิตใจก็เท่านั้นเอง”
ข้าหวังว่าจะได้รับคำด่า ทว่าผิดคาด ไม่มีคำด่าหรือสายตาที่เยียดหยามมาจากอาซาเซลเลย กลับกัน มีแต่ความเห็นใจ และเศร้าหมองจากคนๆนี้
“อาซาเซล ..อาซาเซล”
ก่อนที่ข้าจะได้ถามเพื่อไขข้อสงสัย อาซาเซลก็ได้สลายไป เหลือแต่เพียงปีกนกสีขาวที่ไร้มลทิลมาโดยตลอด ..เวลาเดียวกับที่อาซาเซลได้ตายจากไป ปีกของข้าก็ได้ถูกย้อมเป็นสีดำ ‘เทวดาตกสวรรค์’ เป็นชื่อที่ข้าตั้งให้กับตัวเอง ไม่ใช่ใครอื่น
นับตั้งแต่นั้นข้าก็เริ่มมีนิสัยชอบพูดอะไรแปลกๆที่มันดูเท่ออกมา ..อาจจะเพื่อปกปิดความอับอายในใจของข้าก็ได้ ชื่อเทวดาตกสวรรค์ออกจะเท่ตั้งขนาดนี้ ไม่เห็นต้องเศร้าเลย ต่อให้ต้องแลกกับการทรยศอาซาเซลก็ตาม แต่ข้าก็ ..เท่ระเบิด
“นามของข้าคือ ‘ลูซิเฟอร์’ ‘ปีศาจมหาบาป’ ‘ตัวแทนแห่งความเย่อหยิ่ง’ แล้วก็ ใช่ ข้าคือ ‘เทวดาตกสวรรค์’ ผู้ล่วงหล่นจากสวรรค์ชั้นบนสุด ลงมาสู่โลก และจักนำพาโลกนี้ไปสู่จุดจบพร้อมกับท่านผู้นั้น ฮ่าๆๆๆๆๆ”
ข้าคือจอมทรยศ ข้าตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้จริงๆก็หลังจากที่เวียนว่ายตายเกิดร่วมกับท่านผู้นั้นมาหลายต่อหลายครั้ง และสันดานของคนทรยศมันก็ไม่ได้ลดลงเลย
แผ่นหลังของท่านผู้นั้นมันเล็กลงไปเรื่อยๆ ..จนข้าคิดอยากจะปกป้อง มากกว่าเดินตาม
ในที่สุดการทรยศรอบล่าสุดก็เริ่มขึ้น ข้าร่วมมือกับแมมม่อนเพื่อหว่านล้อมปีศาจมหาบาปตนอื่นๆ แล้วก็หลอกใช้ท่านจอมมาร
ปลายทางของมันคือการปลดทุกข์ให้แก่ท่านจอมมาร แต่ว่าข้าก็รู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการจากใจจริง กระนั้นข้าก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ วินาทีที่ท่านจอมมารไม่ใช่ผู้จะทำลายล้างโลก หากแต่เป็นหญิงสาวผู้ถูกโลกทำร้าย ตั้งแต่วินาทีนั้น ..ข้าก็ไม่อาจเดินตามไปต่อได้ไหว
จึงได้เป็นคนทรยศอีกครั้ง สร้างความอับอายในจิตใจของตัวเองอีกครั้ง และหากมีโอกาส ครั้งถัดๆไปก็คงจะมาถึง ..
เว้นเสียแต่ว่าความตายจะมาถึงก่อน
ครือ …..
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เบื้องหน้าข้าคือผู้ถูกเลือก เป็นตัวตนที่แสนวิเศษ—เป็นเด็กหนุ่มผู้ที่จะก้าวข้ามข้าในตอนสุดท้าย นี่คือบทละครที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ใช่โดยพระเจ้า หรือเทพองค์ไหน แต่มันถูกกำหนดไว้โดยผู้ขีดเขียนเรื่องราว อย่างวีรบุรุษตรงหน้าข้า
สว่านมรณะ ทักษะเวทมนตร์ที่ข้าถนัดที่สุดเข้าปะทะกัน
ข้าไม่คิดจะใช้ [อาร์มาเกดอน] อีกต่อไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมีสิ่งใดที่ข้าใช้แล้วจะสามารถเอาชนะท่านเคียวยะได้ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าเชื่อมั่นได้ นอกจาก ‘อำนาจมหาบาป’ ที่ท่านผู้นั้นมอบให้แก่ข้า
ตามที่คาดเอาไว้ สว่านมรณะของท่านเคียวยะยอดเยี่ยมมาก เพียงแค่พริบตาเดียว มันก็พัฒนาจนเหนือกว่าข้า—วินาทีที่ข้ากำลังจะแพ้ ข้าได้พลิกสถานการณ์ด้วยอำนาจมหาบาป ข้าเหนือกว่า!
ทว่า
….
ทุกครั้งที่ข้าเหนือกว่า ท่านเคียวยะก็จะเหนือกว่า เหนือกว่า ข้าเหนือกว่า ท่านเคียวยะเหนือกว่า ข้าเหนือกว่า ท่านเคียวยะเหนือกว่า ข้าเหนือกว่า ท่านเคียวยะเหนือกว่า ข้าเหนือกว่า ท่านเคียวยะเหนือกว่า ข้าเหนือกว่า ท่านเคียวยะเหนือกว่า ข้าเหนือกว่า ท่านเคียวยะเหนือกว่า ข้าเหนือกว่า ท่านเคียวยะเหนือกว่า—-การพัฒนาที่ไร้จุดสิ้นสุด
ดวงตามหาปราชญ์เปล่งประกาย ผิดกับดวงตามหาบาปที่คล้ายจะดับลงได้ตลอดเวลา แสงในดวงตาของข้ามันช่างลิบหรี่
เหนือกว่าแล้วยังไงกัน เพียงแค่หนึ่งวินาทีหลังจากนั้น คนที่อยู่ตรงหน้าข้าก็จะเหนือกว่าข้าอย่างท่วมท้น
“ฮะ ..ฮะ ฮะ”
เหตุใดข้าจึงชอบสว่านกัน? ทำไมถึงชอบเวทมนตร์ที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรขนาดนั้นกัน? ข้าตอบคำถามตัวเองได้ในทันที
เพราะว่าสว่านมันจะไปได้ไกลขึ้นเสมอ ระหว่างการใช้เวทมนตร์ มันสามารถเร่งประสิทธิภาพได้ตามต้องการ เวลาที่ได้ใช้เวทมนตร์นี้มันจะเหมือนกับ—ท่านผู้นั้นกำลังเดินนำข้าอยู่ตลอด
เพราะอย่างนั้นวินาทีที่ข้าสูญเสียความไว้ใจที่จะเดินตามหลัง ..เวทมนตร์บทนี้ของข้ามันก็ไร้ควาหมาย ยิ่งกับศัตรูผู้ที่ถือครองการวิวัฒนาการณ์ที่ไร้ขีดจำกัดไว้ในหัวใจ
สมกับเป็นเผ่าพันธุ์ที่ท่านผู้นั้นหลงรัก ..ยอดเยี่ยม—
สุดท้าย ดวงตาของข้าก็ได้ดับลง สว่านที่ได้แต่ไล่ตาม ไม่มีทางชนะสว่านที่มุ่งไปข้างหน้าได้
หากให้มองในแง่ดี ..ข้าก็ถูกหยุดไม่ให้ทรยศไปมากกว่านี้เข้าให้แล้ว
****
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ร่างถูกคว่ำลงกับพื้น และถูกสว่านมรณะทำลายล้าง
“ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก———————————————————–”
ปรี๊ด!!!!!— …..
……….
…….
เวทมนตร์บทนี้ได้สลายลงไปตามมานาที่หมดสิ้น เช่นเดียวกับร่างของลูซิเฟอร์ที่ถูกทำลายจนเละ
ลูซิเฟอร์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เคียวยะเหนือกว่าด้วยผลลัพธ์แห่งชัยชนะ
“..”
‘คิดถูกจริงๆด้วย ที่สละ KY HOPE แล้วทุ่มเทให้กับการโจมตีสุดท้ายอย่างเดียว’
เคียวยะพยักหน้ารับก่อนทิ้งตัวลงนอนกับพื้น ร่างกายไร้บาดแผลก็จริง แต่พลังกาย และมานาสูญเสียไปจนหมด
“..ฉันชนะ”
…..
“ใช่แล้ว ท่านเคียวยะเป็นผู้ชนะ มันควรจะเป็นอย่างนั้น”
…….
…..
เคียวยะฝืนลุกขึ้นยืน เบิกตาโพงกว้าง ให้กับสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่เหนือศพของตัวเอง ศพอันแห้งเหือดค่อยๆสลายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับลูซิเฟอร์
เลือนผมสีดำแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดวงตาสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้า และปีกสีดำได้แปรเปลี่ยนเป็นปีกสีขาว ทั้งหมดสิบสองปีกสยายออกอย่างสง่างาม เช่นเดียวกับภาพลักษณ์อันมืดมนของลูซิเฟอร์ที่ถูกสยายทิ้ง
บัดนี้ ตรงหน้าเคียวยะคือ ‘เทพบุตร’ ‘ทูตสวรรค์’ ตนหนึ่ง
“ท่านชนะข้าจากการวิเคราะห์ ส่วนข้าจะชนะท่าน จากการเดิมพัน ..ฟังดูดีเลยใช่รึไม่”