เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 350
< < 216 > >
“อะไรกัน ..ฝันไปหรอกเหรอ”
เอเธอร์ลืมตาตื่นขึ้นยามค่ำคืน เจ้าตัวหันซ้ายขวาไปมาด้วยความสงสัยอันนิ่งเงียบ ก่อนที่จะไปสะดุดตาเข้ากับ ‘ทูตสวรรค์’ ผู้ดูนุ่มนิ่มผิดกับมิคาเอลคนละโลก
“ได้สติแล้วหรือคะ? ท่านเอเธอร์”
“ครับ ว่าแต่ตัวผมหมดสติไปสินะครับ ‘ราฟาเอล’ ”
หญิงสาวทูตสวรรค์ผู้มีเอกลักษณ์ที่แก้มและผิวหนังนุ่มนิ่มสีขาว มีนามว่า ‘ราฟาเอล’ เป็นหนึ่งในนักรบสูงสุดของสวรรค์ครั้งทวยเทพยังปกครองโลกใบนี้
“เหมือนจะใช่ค่ะ ได้ยินว่าผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมา”
“การต่อสู้ที่ดุเดือด ..จะว่าไปก็ใช่นะครับ เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ลิ้มลองมาตลอดหลายหมื่นปี”
ครั้งล่าสุดที่เรียกว่าพอจะดุเดือดได้ก็คงเป็นศึกระหว่างเอเธอร์และดิลุค ในฐานะผู้กล้าและจอมมาร ผลลัพธ์จบลงที่เอเธอร์เป็นฝ่ายชนะ ถึงจะเป็นเพราะดาบแห่งผู้กล้ามีส่วนสำคัญในการปิดฉาก แต่ต่อให้ไม่มีมันนี่ก็คือการต่อสู้ที่ดุเดือดสำหรับเอเธอร์อยู่ดี เพียงแต่ผลลัพธ์อาจจะลงเอยที่ความพ่ายแพ้มากกว่าชนะ
“เรเซอร์ ดราแคล์ เป็นตัวตนที่ควรระวังไม่ได้น้อยไปกว่า ‘ผลงานที่ล้มเหลวของทวยเทพ’ อย่าง ‘ยูจิ’ เลยสินะคะ”
“คงจะอย่างนั้นครับ ถ้าเกิดต้องเผชิญหน้ากับสองคนนั้นตรงๆ ผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงจนกว่าผมหรือมิคาเอลจะมาดีกว่า”
ไม่ใช่แค่ เรเซอร์ ดราแคล์ ที่สามารถเผชิญหน้ากับเอเธอร์ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อเท่านั้นที่อันตราย แต่ผลงานที่ล้มเหลวของเทพแห่งวัฐจักร ซึ่งแต่เดิมควรจะอยู่ฝ่ายเดียวกับทูตสวรรค์เองก็อยู่ในลำดับที่ต้องระวังในระดับที่ทัดเทียมกัน
ความแข็งแกร่งอันเป็นจุดสูงสุดของโลกในทุกๆด้าน และการผูกโชคชะตาที่ถูกกำหนดให้ผลงานชิ้นนี้ไม่อาจพ่ายแพ้ต่อจอมมารได้อย่างแน่นอน ทั้งนอกจากผู้ถือครองอำนาจของทวยเทพแล้วก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถคร่าชีวิตของยูจิได้โดยสมบูรณ์ เป็นอีกตัวตนที่นอกจากเอเธอร์ และมิคาเอล ก็ไม่น่าจะมีใครรับมือไหว
“จะนำสารนี้ไปแจ้งให้ ‘กาเบรียล’ ทราบโดยเร็วนะคะ”
“จะว่าไป ทางราฟาเอลเองก็ลำบากไม่ใช่น้อยเลยนะครับ”
เอเธอร์หรี่ตามองพร้อมดวงตามหาปราชญ์ที่ส่องประกาย
“..เรื่องนั้นหรือคะ? อืม เผอิญว่าเจอมนุษย์ผู้ถือครอง ‘HOPE’ คนปัจจุบัน แล้วก็อดีตคนรับใช้ของเรนเข้าน่ะค่ะ การต่อสู้ไม่ได้มีปัญหาอะไรก็จริง แต่เหมือนจะโดนขโมยข้อมูลไปจนหมด เพราะเทพแห่งจิตวิญญาณอานิม่า” ราฟาเอลครุ่นคิดอย่างนุ่มนิ่ม “ก็ค่อนข้างเป็นปัญหาเหมือนกันนะคะนั่น”
“นั่นสินะครับ เช่นนั้นผมคงต้องขอตัวไปเตรียมการณ์สำหรับงานแต่งน้องสาวตัวเองเสียหน่อยแล้ว”
“ถึงปากจะพูดเตรียมการณ์สำหรับงานแต่ง แต่เตรียมการณ์ที่ว่าหมายถึงไปถล่มงานแต่งไม่ใช่หรือคะ?”
เอเธอร์ยิ้มตอบ
“แน่นอนสิครับ แล้วก็คิดว่าไม่น่ามีแค่พวกเราด้วยนะครับที่จะไปกัน ..งานวันแต่งคงจะวุ่นวายทีเดียว”
****
ไม่ใกล้มาไกลจากที่พักชั่วคราวของทูตสวรรค์ ภายในป่าที่มีแสงจากผืนหญ้ารูปแบบพิเศษสาดส่อง
ผู้กล้าลำดับที่ 100 ‘แอสทอเรียส’ และเจ้าหญิงมรกต ‘อาเบล’ ทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างกันในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง
“พักผ่อนอยู่ที่พักจะดีกว่านะครับ ท่านอาเบล”
“ถ้าดิฉันเอาแต่อยู่ที่พัก คงจะไม่มีโอกาสได้คุยกับท่านพอดีสิ”
“….”
“รังเกียจใช่มั้ยละคะ? ที่ต้องร่วมมือกับคนเหล่านั้น”
เหตุผลที่ผู้กล้าไม่ยอมไปอยู่เคียงข้างอาเบลภายในที่พักนั้นเป็นเพราะเขาไม่อยากจะเสวนา หรือใกล้ชิดกับพวกทูตสวรรค์ จึงผละตัวออกมาจากทุกคน
“ไม่หรอกครับ ยังไงมันก็คือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ..ในฐานะ ..”
ไม่ใช่ในฐานะผู้กล้า ผู้กล้าไม่มีทางร่วมมือกับตัวตนที่สังหารผู้คนมากมายไปอย่างไร้ความหมาย มันไม่มีทางเป็นหน้าที่ของผู้กล้าอย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นแอสทอเรียสจึงไม่อาจพูดออกมาได้
สถานะ ‘ผู้กล้า’ ของเขา มันจบตั้งแต่หันดาบเข้าหาโลกใบนี้แล้ว เขารู้ดีแก่ใจ ..จึงเจ็บปวดกับทางเลือกนี้
ทั้งๆที่นี่คือสิ้งสุดท้ายที่น้องสาวเหลือไว้ให้ ..แต่เขากลับ
“เพื่อลูกในท้องของท่านอาเบล ผมจำเป็นต้องทำ”
“..นั่นสินะคะ เพื่อความปลอดภัยของลูกของพวกเรา”
“เพราะอย่างนั้นนั่นแหละครับ ท่านอาเบล โปรดกลับไปนอนที่เตียงนุ่มๆ มีความอบอุ่นจากกองไฟ แล้วก็มีผ้าห่มดีๆจะดีต่อเด็กมากกว่าการมายืนรับลมเย็นกับผมมากเลยนะครับ”
“จะว่าไปก็ใช่นะคะ”
อาเบลยิ้มออกมาอย่างน่ารัก
“เช่นนั้นช่วยไปส่งดิฉันเป็นเพื่อนหน่อยจะได้หรือเปล่าคะ?”
“..ได้สิครับ”
แม้จะคลื่นไส้ทุกครั้งที่เข้าใกล้ตัวตนพวกนั้น แต่คนรักของตัวเองย่อมสำคัญกว่า
ผู้กล้าจำใจไปส่งอาเบล ระหว่างทางทั้งสองก็สนทนากันไปพลาง จนกระทั่งหมดเรื่องสนทนา บรรยากาศยามค่ำคืนจึงเต็มไปด้วยความเงียบ ..อาเบลมองแผ่นหลังของผู้กล้า และแสยะยิ้มออกมา ..
ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องโกหก ตัวเองไม่ได้ท้องจริงๆตามอย่างที่เขาเข้าใจ
เป็นแค่การหลอกลวง เพื่อให้ผู้กล้าทำตามที่ใจของเธอปารถนาเท่านั้น
เพราะรู้ว่าคนๆนี้ให้ความสำคัญกับคนสำคัญมากกว่า ถึงตลอดมาจะยึดมั่นในหน้าที่ของผู้กล้ามากแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็แค่ปลอมเปลือกที่สร้างขึ้นจากความโศกเศร้าในอดีต
สุดท้าย ‘ตัวเอง’ ก็สำคัญที่สุด จึงได้ยอมทิ้งศักดิ์ศรีของผู้กล้า และร่วมมือกับผู้หญิงน่ารังเกียจอย่างอาเบล เพื่อความถึงพอใจของตัวเอง
ผู้กล้าแอสทอเรียส หรือชื่อเดิม ‘ชุน’ เป็นตัวตนที่น่าสนุก เป็นของเล่นชิ้นโปรดที่เล่นเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใสซื่อบริสุทธิ์ สามารถกรอกความคิดความรู้สึกเข้าไปภายในหัวสมองได้ง่ายดาย เหมือนกับเด็กไม่รู้จักโตที่ไร้ความคิดเป็นของตัวเอง การเล่นกับของเล่นชิ้นนี้เป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดไปเลย
ทุกครั้งที่เห็นของเล่นชิ้นนี้ตกต่ำหรือขึ้นสูง เธอรู้สึกมีความสุขเสมอมา ..อยากจะเห็นใบหน้าที่แหลกสลายในบทสรุป
ทั้งหมดที่ทำมันก็แค่นั้น ไม่ได้มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ หรือความยุติธรรมของตัวเอง สำหรับเจ้าหญิงมรกตผู้บิดเบี้ยวคนนี้ เธอหวังเพียงแค่ตัวเองจะเสพความสุขจากของเล่นชิ้นนี้ได้มากแค่ไหนก็แค่นั้น
อย่าพึ่งพังไปเสียก่อนละ ..เธอภาวนาเช่นนั้นในใจ ยามค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง
……
…..
“….”
‘ผมจะทำทุกอย่างเพื่อท่านอาเบล และลูกของพวกเราครับ’
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ผู้กล้าจะสละศักดิ์ศรีของตัวเองตามคำเรียกร้องของอาเบล ..ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้อาเบลนึกถึงคำพูดนี้
นึกๆดูแล้วก็น่าตลกดีจริงๆนะ ชายคนนี้
บางทีความใสซื่อนั้นก็น่าหวาดกลัว กว่าที่เจ้าหญิงมรกตจะเข้าใจถึงเรื่องนี้ มันก็อาจจะสายไปแล้วก็เป็นได้
****
จอมมาร ‘ดิลุค’ หรือ ‘โซโลม่อน’ ยืนอยู่บนผืนหญ้ายามค่ำคืน
เธอแหงนหน้ามองพระจันทร์เต็มดวง
“อารมณ์ไหนเหรอครับ คุณดิลุค”
“อะไรกัน แมมม่อนเองเหรอ? นึกว่าหลับแล้วเสียอีก”
“ในช่วงเดือนนี้จะหลับแม้แต่วันเดียวไม่ได้หรอกครับ”
ดิลุคได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะพึมพำขึ้นมาในลำคอ
“ขอเหตุผลหน่อยสิ”
“เพราะผมนั้นพิเศษ ผมสามารถจัดลำดับความคิด ความรู้สึกบนหัวสมองของตัวเองได้ แน่นอนว่ารวมถึงความเหนื่อยล้าก็ด้วย การนอนจึงไม่จำเป็นสำหรับผมครับ”
“เป็นเหตุผลที่ดี แต่ได้แค่หกเต็มสิบ”
“ทำไมกันครับ?”
“เพราะการนอนมันรู้สึกดี จึงควรค่าแก่การนอน การไม่นอนเลยเป็นเรื่องที่ผิดเสมอ”
ได้ยินอย่างนั้น แมมม่อนก็หัวเราะเบาหวิวตอบกลับ
“..ถ้าหากคุณดิลุคอยากให้ผมนอนขนาดนั้น ผมมีวิธีดีๆมานำเสนอนะครับ”
“โห๋ จั่วหัวมาแบบนี้ แปลว่าคิดจะท้าทายตัวเรานั้นรึ? บอกมาซะสิ เราจะทำให้เรื่องนั้นบรรลุเอง แล้วก็อย่าคิดจะถอนตัวภายหลังซะละ”
“เก็บไว้บอกตัวเองดีกว่านะครับ คุณดิลุค”
แมมม่อนชี้นิ้ว และโพล่งขึ้น
“ถ้าคืนนี้ร่วมหลับนอนกับผม ผมอาจจะยอมหลับแต่โดยดีก็เป็นไปได้นะครับ”
…..
“ว่าไงครับ? คุณดิลุคผู้เกลียดความพ่ายแพ้”
“ก็เอาสิ ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
ผิดคาด? เกินคาด?
“เอ๊ะ จะดีเหรอ ..ครับ?”
แมมม่อนดีใจจนหน้าแดงชั่วพริบตาหนึ่ง ทว่าความเขินอายปนความดีใจก็เลือนหายไปทันทีที่สังเกตุสีหน้าของดิลุค
ไร้ซึ่งความรู้สึกอะไร นอกจากเอ็นดู ..ใบหน้าของดิลุคไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย
“แต่ก่อนก็นอนด้วยกันบ่อยจะตายไป การกล่อมนายให้หลับเป็นหน้าที่ของเราด้วยซ้ำ เรียกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อประจำวันก็ยังได้”
ไม่ได้ต่างอะไรกับวิธีที่พี่สาวปฏิบัติกับน้องชายเลย ไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปกว่าความรู้สึกนั้น ไม่ได้แตกต่างกับครั้งตอนที่พบกันครั้งแรก
สำหรับดิลุค ตัวตนของแมมม่อนก็แค่น้องชายที่น่าเอ็นดู
ร่วมหลับนอนด้วยกัน ในความเข้าใจของดิลุคมันก็แค่การกล่อมน้องชายเข้านอนเท่านั้น
“นึกว่าจะพูดอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ซะอีก น่าผิดหวังจริงๆนะ แมมม่อน”
แม้ว่าในอีกไม่กี่วันถัดจากนี้ พวกเราจะต้องแต่งงานกันก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมอีกนั้นเหรอ? ถึงการแต่งงานครั้งนี้มันจะเพื่อเป้าหมาย ไม่ได้มีความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง แต่ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลยจริงๆเหรอ? กับแมมม่อน ดิลุคไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลยเหรอ?
“..ผม ..”
ครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มเคยบอก ‘ชอบ’ คนๆนี้มาแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะคิดว่าตัวเองตอนนั้นไม่ตั้งใจพูด แต่ว่าแมมม่อนไม่ได้คิดอย่างนั้น ตั้งแต่ตอนนั้น ประโยคพูดนั้นก็คือความจริงมาโดยตลอด ..
‘ชอบคุณ’
‘พูดผิด?’
‘วะ หวา นี่มันเจอกันแปปเดียวก็บอกรักกันแล้ว’
‘แมมม่อน เล็งของสูงเกินไปแล้วครับ’
ดิลุคยิ้มแล้วพูดสอนแมมม่อน ..
‘แล้วเธอตอนนี้ก็คงไม่ได้เข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่ เช่นเดียวกับเรา แต่รู้ไว้ด้วยนะว่ามันไม่ใช่คำที่ใช้พูดเล่น’
ไม่ได้พูดเล่นสักหน่อย เข้าใจความหมายของมันดีแล้วด้วย เพราะอย่างนั้น–
“ผมรักคุณครับ”
“..”
ดิลุคหยุดเดินกระทันหัน และหันมามอง
“พูดผิดรึเปล่า?”
“ใจจริงครับ”
“เหรอ น่าสนใจดีนะ” ดิลุคหรี่ตามอง “ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด พวกเรายังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่ารักกันสักเท่าไหร่ ทั้งเรา และแมมม่อน แล้วตอนนี้นายเข้าใจมันดีหรือยังนะ?”
“เข้าใจแล้วครับ ถึงได้บอกว่า ‘รัก’ แทน ‘ชอบ’ ในเวลาแบบนี้ยังไงละครับ”
“แน่วแน่ดี เติบโตมาได้สง่างามตามที่เราคาดเอาไว้เลย”
แมมม่อนส่งสายตาที่จริงจังมา ทำให้ดิลุคมีแต่ต้องตอบกลับด้วยใจของตัวเอง
“เราเองก็เข้าใจแล้วนะ คำว่า ‘รัก’ น่ะ”
“ครับ”
“เพราะอย่างนั้นเลยรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกที่ความรักของแมมม่อนจะสมหวัง ตลอดมาแมมม่อนก็แค่เด็กที่เก็บมาได้โดยบังเอิญ หากให้พูดถึงความเติบโตทางความสัมพันธ์ ก็น่าจะมีแค่สุนัขที่เก็บมาได้สู่น้องชายที่น่าเอ็นดูเท่านั้น ไม่มีมากหรือน้อยไปกว่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้”
“..จริงเหรอครับ?”
“ถ้าที่พูดโหดร้ายเกินไปก็ทำใจซะ ความรู้สึกของนายมันไม่ใช่ปัญหาของเรา”
“คุณดิลุคใจร้ายไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะครับ”
ดิลุคเห็นท่าทางที่หดหู่ของแมมม่อนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“บางทีมันอาจจะมีเหตุผลที่ง่ายดายกว่านั้น”
“…ขอทราบได้รึเปล่าครับ”
“ได้สิ เราก็แค่ตกหลุมรักคนๆหนึ่งอยู่เท่านั้น”
“เรเซอร์ ดราแคล์ เหรอครับ?”
จอมมารดิลุคผู้เย็นชา ตัวตนที่ใช้ชีวิตบนหลักของเหตุผล เป็นครั้งแรกที่เห็นใบหน้าสมกับเป็นหญิงสาวจากเธอ—
“บอกแล้วไงว่าไม่อยากได้ยินชื่อนั้น”
ดิลุคจับปากของตัวเอง เบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยใบหน้าที่ถูกย้อมด้วยสีมะเขือเทศ
“..ช่วยไม่ได้สินะครับ”
“ก็ใช่ แต่เราไม่ได้ห้ามให้รักหรอกนะ”
“ไม่ได้ห้าม? แต่ว่าคุณดิลุค–”
“เราเป็นผู้หญิงที่ทรงสเน่ห์ การจะมีผู้ชายมาติดสักสองหรือสามคนในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร และไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องใส่ใจกับเรื่องนี้ด้วย เพราะอย่างนั้นถ้าตกหลุมรักแล้วก็เชิญตามสบายเลย ไม่คิดบังคับให้เลิกหรอก ยังไงเสียมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น”
หลงตัวเองขั้นสุด หรือไม่ก็–แค่พูดความจริงเท่านั้น เพราะเธอมีคุณสมบัติตามที่บอก การพูดออกมาตรงๆเลยดูเหมือนหลงตัวเอง แค่นั้นเฉยๆรึเปล่านะ?
“..ช่วยไม่ได้นะครับ เช่นนั้นช่วยร่วมรักกับผมตามสัญญ—”
“ขอใช้อำนาจจอมมารอย่างไม่ชอบธรรมเพื่อยกเลิก”
“เอ๊ะ!? ทำไมกัน?”
“ถามว่าทำไม? ทำไมเราต้องหลับนอนกับคนที่ตกหลุมรักเราด้วยล่ะ? พอแมมม่อนมีความรู้สึกแบบนั้นกับเราแล้ว ความหมายของการร่วมหลับนอนมันเปลี่ยนทันทีเลยไมใช่หรือไง ออกจะฉลาดน่าจะเข้าใจดีนี่? เล่นตลกอยู่หรือไง”
“ก็จริงอย่างที่คุณดิลุคบอก แต่ว่านะครับ ผมไม่ได้หวังอะไรเกินตัวจากแต่ก่อนเลย”
“โกหกหน้าด้านๆเลยนะ ทีแรกที่พูดประโยคนี้มาน่าจะหมายความตามอย่างที่เราเข้าใจแท้ๆ จู่ๆก็เกิดเปลี่ยนใจ มักน้อยขึ้นมา?”
แมมม่อนหน้าซีด เพราะโดนจับได้
“ไม่ซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติที่ดีสำหรับอสูรตามนิทานก็จริง แต่ในฐานะข้ารับใช้แล้วสอบตกนะ”
“..อภัยให้ด้วยครับ”
“ไม่มีปัญหา เข้าใจแล้วก็จะช่วยกล่อมนอนให้ก็ได้”
“จริงเหรอครับ!?”
“ใช่ เพราะคืนนี้ดูๆแล้ว ‘ลิเวียธาน’ ก็น่าจะนอนไม่หลับเหมือนกัน เราจะมอบโชคดีที่สุดของวันให้ โดยการกล่อมพวกนายสองตัวเข้านอนเอง”
แมมม่อนถึงกับไหล่ตก อารมณ์ขึ้นลงๆอย่างกับลูกหมา
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“ว่านอนสอนง่าย ให้แปดเต็มสิบ ลบกับติดลบสามเมื่อครู่ เท่ากับห้าเต็มสิบ”
….แม้จะถูกปฏิเสธ และปฏิบัติอย่างไม่ใยดี แต่ความรู้สึกของแมมม่อนก็ไม่เคยเปลี่ยนไป รวมถึงความปารถนาที่อยากจะส่งเธอคนนี้ไปสู่ปลายทางของความสุขเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว เพื่อคนๆนี้ เขาพร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง