เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 35: เพื่อน (1)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 35: เพื่อน (1)
< < 29 > >
‘ไอริส’ หญิงสาวแสนงดงามแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ หนึ่งในตัวละครสำคัญของเรื่องราวนิยายแห่งยุค เธอเดินตามทางระเบียงด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม พร้อมไปด้วยมารยาทและความสูงส่งสมฐานะตัวเอง
ต้องบอกว่าถูกสอนมาดีเสียมากกว่า สำหรับไอริสแล้วละนะ
เธอพึ่งจะคุยธุระกับเคียวยะเสร็จก่อนจะเริ่มโฮมรูม ขณะนี้เธอจึงกำลังจะกลับไปห้องเรียนตามปกติ เพียงแต่บุคคลตรงหน้าทำให้เธอต้องหยุดก้าวเท้าลง และจ้องมองไปราวกับดูเชิง
“สมกับเป็นเธอเลยนะ”
หญิงสาวพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา—-หญิงสาวเยาว์วัยผู้มีเส้นผมสีขาวโทนเหลืองล่องลอย ยาวสลวยเป็นเอกลักษณ์ ดวงตาสีเหลืองคล้ายกับสัตว์นักล่าสูงสุดของโลก …คล้ายกับมังกร ผิวเป็นสีขาวประกายราวกับหลุดมาจากภาพสลักโบราณ หุ่นดีสมส่วนเกินกว่าเด็กทั่วไปมาก
กล่าวได้ว่าผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ (รูปร่าง) อยู่ตรงหน้าแล้วมันไม่เกินจริงเลย
“ท่าน ‘หนิง’ สินะคะ?”
ไอริสเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง—เธอตรงหน้า ‘หนิง’ เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์ ผู้สืบทอดเชื้อสายจากราชวงศ์โดยตรง คนสำคัญของอาณาจักรยิ่งกว่าใครหน้าไหน ทั้งหมดเพราะเธอคือผู้สืบทอดเลือดของฟัฟนิร์ ผู้ถือครองพลังเก้าส่วนของมหามังกรเพลิงในตำนานถึงเก้าส่วน … ‘อาวุธลับของอาณาจักร’
“ไม่ได้เจอกันนานนะ”
หนิงเร่งพูดต่อโดยไม่สนใจอะไร เธอพยายามจะชวนไอริสคุยด้วยไม่ผิดแน่
“นั่นสินะคะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากนั่งจิบชาพลางชมวิวสักครู่กับท่านเช่นกัน เพียงแต่จะเริ่มคาบเรียนแล้วนะคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง คาบเรียนอาจารย์ยกเลิกแล้วเพราะมีธุระด่วน ห้องของดิฉันก็ด้วย”
—อย่างกับว่าวางแผนไว้แล้ว ไอริสคิดเช่นนั้นก่อนจะส่งยิ้มเบาหวิวให้
“บังเอิญจริงนะคะ”
“นั่นสินะ …ไอริส” หนิงโพ่งขึ้นมาและจ้องเธอเขม็ง
ไอริสเงียบลง และรับฟังสิ่งที่หนิงจะพูดต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ไอริสคุณคิดจะทำอะไรรึ?”
“…ก็ไม่ได้อะไรมากหรอกค่ะ เพียงแค่ฉันต้องการจะปฏิรูปโรงเรียนเราใหม่ให้ได้”
คงหมายถึงเรื่องที่ขุนนางไม่สนกฎกันมากจนเกินไปจนสร้างปัญหาให้ตระกูลขุนนางหลักกัน แล้วก็สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านใกล้ๆ ด้วย เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกาะติดโรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้มานานแล้ว—เพราะขุนนางมีอำนาจเหนือชาวบ้าน
“ฉันไม่คิดว่าตลอดหนึ่งปีที่คุณดำรงตำแหน่งมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในสิบปีให้หลัง หรือยี่สิบปีให้หลังเลยนะ อย่าว่าแต่หนึ่งปีเลย …แน่นอนว่าฉันไม่คิดจะสงสัยในความสามารถของคุณ เพียงแต่ความสามารถอันดีเลิศนั่นถ้าถูกนำมาใช้ในทางที่ไม่ดีมันจะแย่เอานะ”
หนิงพูดไม่ไว้หน้าไอริส เธอรู้ทุกอย่างหมดว่าไอริสเป็นคนยังไง และต้องการอะไร
อย่างที่ว่าไว้ ไอริสไม่ใช่คนที่จะนำความสงบสุขมาสู่โรงเรียน แต่เป็นคนที่จะกอบโกยผลประโยชน์ในโรงเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอไม่ได้โง่จนพัฒนาโรงเรียนไม่ไหว แค่มันไม่ใช่ทางเลือกของเธอเท่านั้น
“…ปกติไม่เห็นจะมีเรื่องกันเลยนะคะท่านหนิง ทำไมวันนี้มาแปลกจริงค่ะ”
“เพราะมันขวางทานฉันน่ะสิ”
ไอริสไม่สามารถเมินคำพูดตะกี้ได้
“ฉันมีปัญหาต้องเคลียร์กับชายที่ชื่อ ‘เรเซอร์’”
“นั้นหรือคะ … เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะไม่ยุ่งกับเรเซอร์แน่นอน”
“รู้สึกยินดีอย่างมาก”
หนิงหันหลังและเดินกลับไป เธอคงจะหมดธุระกับไอริสแล้ว …หนิงเดินหายไปได้ไม่นาน ไอริสจึงถอนหายใจออกมา
“…เป็นเจ้าหญิงที่เอาแต่ใจจริงเชียวคะ—-แต่ก็นะ”
ไอริสมีสีหน้าจริงจังกึ่งโมโหเป็นครั้งแรก เธอมองไปที่บางสิ่งบางอย่าง สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดในสายตาของเธอ—– ‘โชคชะตา’
“เพราะโชคชะตากำหนดไว้ให้เธอคนนั้นจะตายในอีกไม่กี่ปีอยู่แล้ว จะเอาแต่ใจสักหน่อยก็คงไม่มีใครมีปัญหาหรอก …ว่าแล้วเชียว” เธอขบฟันกรามแน่น “พวกผู้ใหญ่นี่มันน่ารังเกียจจริงๆ”
เธอพูดเรื่องเข้าใจยากออกมา เรื่องที่มีแต่ผู้คนวงในเท่านั้นที่รู้กัน …สายเลือดมหามังกรเพลิง ‘ฟัฟก็ร์’ มันจะส่งต่อกันไปเรื่อยๆ โดยที่ผู้ถือครองอายุจะไม่มีทางเกิน 20 ปี กล่าวอีกอย่างคือต้องมีลูกก่อนจะอายุ 20 ปีเพื่อสืบทอดและตายจากไปเพราะรับผลกระทบพลังของฟัฟนิร์ไม่ไหว …นั่นคือชะตากรรมของหนิง
ในมุมของไอริส ไม่มีใครช่วยหนิงได้ทั้งนั้น เธอจะต้องตายไม่ช้าก็เร็ว นั่นแหละคือสิ่งที่เธอรังเกียจที่สุด ชะตากรรมที่พวกผู้ใหญ่นำมายัดให้เด็กโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ในหัวของคนพวกนั้นมีเพียงแค่ ‘ผลประโยชน์’ เกมแห่งผลประโยชน์ …ถ้าอยากจะทำลายพวกผู้ใหญ่ทิ้งก็ต้องเล่นในเกมแห่งผลประโยชน์เดียวกันเท่านั้น
กล่าวอีกอย่างคือ—–ไอริสคิดจะทำลายระบบอันเน่าเฟะเหล่านั้น ด้วยเกมโกงที่ไม่ยุติธรรมเดียวกับคนเหล่านั้น นั่นก็คือหนึ่งในชะตาที่ไม่มีทางเลี่ยง เธอจำเป็นต้องใช้สิ่งที่เกลียดที่สุดในการต่อกร
เพราะแต่ไหนแต่ไร โลกใบนี้ไม่ได้อ่อนโยนถึงขนาดที่เราจะเลือกอนาคตได้โดยไม่แปดเปื้อนอยู่แล้ว
*****
ตามคาด ถูกรังเกียจละ
ผมเดินเอ้อระเหยในช่วงพักเที่ยงโดยไร้จุดหมาย—-อือ ไร้จุดหมาย ไม่รู้จะไปไหนดี ไปที่ที่คนอยู่ก็รังแต่จะโดนส่งสายตาไม่เป็นมิตรใส่ เป็นไปได้ไม่อยากมีเรื่องกับใครเลยเพราะห้องปกครองนั้นน่ากลัว
สุดท้ายถึงท้ายที่สุดก็มาจบที่ห้องสมุดตามเดิม ผมโผล่เข้าไปในห้องสมุด …และหยุดลงหาที่แอบและดักฟังโดยด่วน
ตรงหน้าผมที่นั่งโต๊ะสำหรับนั่งราว 5 คน ขณะนี้เบลลามีนั่งอ่านหนังสืออยู่เหมือนทุกที เพียงแต่เคียวยะ—-ไอหนุ่มหัวรุนแรง เคียวยะคนนั้นกำลังนั่งคุยกับเบลลามีอยู่
…เหวอ เคียวยะเนี่ยนะนั่งคุยกับคนอื่น หายากแฮะ
ผมแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ เขยิบเข้าไปเงี่ยหูฟัง ทันทีที่ได้ยินก็เจอแจ็ตพอตเลย
“—ฉันจะเข้าคณะกรรมการนักเรียนเพื่อคุมกะลาหัวให้ไอเรเซอร์” เคียวยะว่าอย่างนั้นอย่างจริงจัง
….จะว่าไงดีละ เขินจริง ว่าแต่อีท่าไหนละนั่นถึงไปเข้ากับคณะกรรมการนักเรียน..ได้? …อา ไอริสนี่เอง ยัยนั่น
ผมแอบหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะพอรู้แล้วว่าหล่อนคิดจะทำอะไร
ใช้ประโยชน์กันซะเต็มที่เลย
เบลลามีกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะตบมือให้
“สุดยอด เคียวยะเก่งมาก”
…น่ารัก เบลลามีน่ารักแท้ๆ นางฟ้ามาโปรดชัดๆ กับคนหัวรุนแรงอย่างนั้นก็คุยอย่างนอบน้อมด้วยเนี่ย
เคียวยะเงียบลงก่อนแก้มแดงหน่อยๆ คงจะดีใจที่โดนชม น่ารักจริงเชียว
“เหอะ! ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก ระดับฉันงานของคณะกรรมการนักเรียนมันสบายอยู่แล้ว” เคียวยะกอดอกราวกับซึนเดเระ “…แต่ที่หนักใจมันเรื่องอื่นต่างหาก”
“…เรื่องของเรเซอร์หรือ?”
“อืม เจ้านั่นมันยังไงกันแน่ ไม่เข้าใจเลย”
เบลลามีนั่งคิดสักพัก
“เราคิดว่าคราวนี้เรเซอร์น่าจะยอมให้ช่วยเหลือแล้วนะ”
“…จริงเรอะ?”
“อือ วันก่อนเราลองเตือนไปแล้วน่ะ”
เคียวยะกอดอกและหลับตาลง …
“เอาเป็นว่าฉันจะไม่บอกละกัน”
เบลลามีเอียงคอฉงน
“ทำไมละ? ไม่อยากสนิทกันหรือ?”
“…”
“เคียวยะไม่ถูกใจอะไรเรเซอร์หรือ?”
“…อือ”
“เคียวยะ…ขนาดกางเกงในยังชอบเลย แล้วทำไมกับเรเซอร์ถึงไม่ชอบล—-”
“—-ตูไม่ได้ชอบกางเกงในเฟ้ย!! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อฟร้ะยัยเด็กมึนนี่!”
เบลลามีผงะไปเล็กน้อย
“…เด็กมึน?”
“เออดิ! ให้ตายเถอะ ไม่รู้ตัวเองเอาซะเลย”
“เคียวยะ”
“อะไร”
เคียวยะเอาขามาก่ายโต๊ะทำท่าสมกับเป็นนักเลง
“…นายไม่ได้รู้จักเราดีหรอกนะ”
“…เอ่อ”
บรรยากาศเงียบลง ผมและเคียวยะเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ บรรยากาศถึงตึง—-แต่กับเบลลามีแล้วไม่ใช่ สกิลอ่านบรรยากาศของเธอมันเข้าขั้นติดลบและติดพิษไม่มีหยุด เป็นเด็กที่…ดูมึนๆ อย่างสมบูรณ์
ไม่เข้าใจหรอกว่าพูดอะไรดูไม่เป็นมิตรไปน่ะ
“…ฉันลามปามไป?”
เบลลามีเอียงคอฉงนอีกแล้ว
“ไม่นะ เมื่อกี้…คุยกันเฮฮานี่”
“…ไม่เข้าใจเลย”
เคียวยะก่ายหน้าผากตัวเองและแอ่นหลังเต็มที่—–นั่นสินา ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดหล่อนเท่าไหร่เหมือนกัน
ผมอมยิ้มเล็กน้อยและนั่งลงกับพื้น
‘รู้สึกยังไงบ้างละคะ?’
เสียงของวิญญาณระดับเทพที่เคารพรักกันหวานขึ้นในหัว …นั่นสินะ
บอกตามตรง รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลย วันแรกของวันนี้เลยที่ไม่มีคนรังเกียจเนี่ย …แต่เรื่องที่ว่าพวกเขาเหล่านั้นคือตัวละครสมมุติที่รักหรือว่าคนคนหนึ่งนั่น …ฉันไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้มันคงจะผสมๆ กันไปกระมัง
‘ผสมกันไปหรือคะ?’
เพราะฉันเห็นเป็นทั้งตัวละครสมมุติที่อยากปกป้อง และคนคนหนึ่งที่เป็นเพื่อน …คิดว่านะ กับกอรี่ โซเฟีย และคนอื่นๆ ก็คงเหมือนกัน น่าจะเป็นความรู้สึกที่ผสมกันลงไปอย่างลงตัวไม่ผิดแน่—-ดูคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยก็ขอโทษด้วยนะ
‘ไม่หรอกค่ะ ว่ากันตามตรงฉันพอใจมาก’
…ยูนาขอบคุณจริงๆ
ระหว่างผมกับยูนา ต่อให้มีคำขอบคุณเป็นล้านๆ มันก็ไม่เพียงพอหรอก เธอจะหยุดผมที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง และสั่งสอนผมบางครั้งบางคราว ต้องขอบคุณเธอมากๆ สำหรับทุกสิ่ง…สมกับเป็นคุณยายเลย
‘ปากเสียค่ะ’
ผมทำเมินเธอ และยิ้มอย่างปล่อยวาง ลุกขึ้นยืนพลางบิดขี้เกียจ ไม่รอช้ารีบก้าวเท้าไปหาทั้งสองที่คุยกันเรื่องของผมอย่างจริงจัง
ดูเหมือนกับเคียวยะ จะเริ่มสนิทกันแล้วนะ คิดว่า
******
หลังกริ่งเตือนว่าหมดเวลาพักเที่ยงดังขึ้น ผม เคียวยะ และเบลลามี ก็พากันทยอยออกจากห้องสมุด และกลับไปยันห้องเรียนเหมือนเดิม
ผมลงไปนั่งที่เดิมเหมือนทุกที และ—-เคียวยะก็มานั่งข้างผม
….นั่นทำให้ทั้งห้องต่างจ้องมาที่พวกผม
ควรคิดยังไงดีกันนะ? อย่างกับพวกคนดังสองคนในโรงเรียนพึ่งคบกันแล้วมานั่งข้างกันไม่มีผิด—–เดี่ยวนะ
ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“เดี๋ยวจะนั่งข้างแกเอง ไม่ต้องห่วง” เคียวยะหันหน้ามาทางผมและพูดโดยไร้ซึ่งความลังเล—–เหวอ รู้สึกแปลกแฮะๆ ..
“คะ เคียวยะ นี่นายไม่ได้เล็งใครสักคนไว้สินะ”
“เล็ง? ถ้าเมื่อก่อนก็มีเล็งว่าจะขโมยของใครอยู่หรอก แต่ตอนนี้ไม่แล้วละ …เหมือนได้รับการเติมเต็มแล้ว”
แย่กว่าเก่าอีกแบบนี้
ผมหน้าซีดเผือดและครุ่นคิดอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“ถึงจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าแกมีคนที่ดีหมดเนื้อหมดตัวเพื่อน)อย่างเบลลามีอยู่แล้ว แต่…ฉันมาอยู่ตรงนี้ คงไม่เป็นการทางขวางแกสินะ(แบบเพื่อน) ไม่ได้คิดจะแย่งหรอกนะบอกก่อน(แบบเพื่อน) ”
——ขอโทษนะเคียวยะ
“ฉันชอบผู้หญิงน่ะเคียวยะ โทษที”
“…”
…
“พล่ามอะไรของแกวะ?”
ซะนั้น ..
เคียวลุกลี้ลุกลนจู่ๆ ก็เบิกตาโพงกว้าง—น่าจะเบิกดวงตามหาปราชญ์มาใช้กระมัง ก่อนที่จากนั้นก็ระเบิดลงยับๆ
“…คิดว่าตูเป็นตัวตลกรึไงหะ?”
“เปล่านะ …นายคือเพื่อนคนสำคัญต่างหาก” ผมแสยะยิ้มทำตาเป็นประกายให้
เคียวยะลุกขึ้นมาและจะพุ่งมาต่อยผมทันทีซะอย่างนั้น จะรออะไรละ? ผมรีบวิ่งหนีกระโดดขึ้นที่สูงทันที
ทั้งห้องต่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็เห็นกับเคียวยะวิ่งไล่จับผมอย่างสนุกสนานเช่นนี้ แต่คนที่ดูตกใจที่สุดก็ไม่พ้นสองคนอย่าง กอรี่ กับโซเฟีย
“ไอสารเลว! ตูจะกระทืบให้ยับเลยคอยดู!” เคียวยะร้องลั่นห้อง “พ่อจะเอาให้จมดินเลยไอ้ตัวตุ่นเครื่องเกม!”
หมายถึงพวกกวนตีนกระมัง ใช้คำเปรียบโคตรเห่ย.. ว่าแต่ผมทำผิดถึงขนาดควรโดนกระทืบเลยงั้นรึ ไม่ยักจะใช่ เฮ้อ เคียวบางทีนี่ทั้งหัวรุนแรงและใจร้ายจริงๆ ถ้าเกิดสนิทมาหน่อยอาจจะเรียกว่าขี้บ่นมั้ง
เอาเป็นว่าถึงจะเป็นมิตรแล้วก็ยังเป็นคนอันตรายอยู่ดี เคียวยะเนี่ย
ผมคิดเช่นนั้นขณะนั่งท่างอตูดบนที่สูง ราวกับหนีหมดเนื้อหมดตัวคลั่งอย่างเคียวยะ
บรรยากาศเงียบไปก่อนที่เสียงระเบิดหัวเราะของใครสักคนจะดังขึ้น เพราะคับขันถึงไม่ได้หันไปมองก็ตาม แต่เสียงนั่นไม่ผิดแน่ ผู้ขำคือ ‘กอรี่’ …หลังจากเขาขำได้ไม่กี่วินาทีก็เงียบลง ทำเป็นกระแอ่มเบาๆ ไม่ทำอะไรต่อทั้งนั้นเชิดหน้าหลบด้วย
เจ้าหมอนี่ก็ซึนเดเระนั้นรึ? ผมคิดเช่นนั้นอย่างงงนวย กว่าจะได้สติก็ถูกเคียวยะทุ่มลงพื้นเสียแล้ว
*****
โอ๊ยๆ ยังเจ็บอยู่เลยแฮะ เจ้าเคียวยะนี่มันจริงๆ เลย เล่นแรงเหลือเกิน
ผมยิ้มอ่อนล้าให้ตัวเองขณะเดินออกจากห้องพยาบาล—เพราะหลังจากที่โดนเคียวยะทุ่มลงพื้นก็เหมือนถูกจุดกับแผ่นหลังผมพอดี ตอนนี้เลยเจ็บสุดๆ และช่วยไม่ได้จึงต้องไปพักรักษาตัวในห้องพยาบาลเลยทีเดียว
ทั้งน่าแปลกใจ และน่าดีใจเลย ที่เคียวเวทมนตร์ทำผมหมดสภาพได้ในพริบตาเดียว ถึงจะลูกฟลุ๊คก็ตาม ตามเดิมผมไม่ควรหมดท่าง่ายๆ หรอก อือ …แต่ก็หมดท่าไปแล้วอะนะ
ผมบิดขี้เกียจตัวเองและหัวเราะเหยาะแหยะ
เวลานี้น่าจะพึ่งจบคาบแรกบ่ายไปแล้วกระมัง หวังว่าเคียวยะจะนั่งรู้สึกผิดนะ—–อ๊ะ
ตรงหน้าผมมีชายราวสามคนที่แต่งชุดนักเรียนไม่เรียบร้อยอยู่ ทั้งสามกำลังยืนพิงกำแพงตรงระเบียงทางเดิน บ้างก็ล้วงกระเป๋า บ้างก็กอดอก ดูปราดเดียวก็รับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าพวกนี้มันจิ๊กโก๋
เอาเป็นว่าอย่าไปมีเรื่องกับพวกนั้นจะดีกว่า เพราะการมีเรื่องทะเลาะวิวาทไม่จบแค่ฉาก ฉากเดียวหรอก
ทว่าพอจะเดินผ่านไปแบบง่ายๆ ก็ดันโดนเล็งสกัดขาเนียนๆ ซะนั้น
เพราะทีเผลอจึงเผลอสวนกลับโดยการก้าวเท้าหลบและทำทีพลาดเหยียบเท้าอีกฝ่าย แน่นอนว่าแบบเบาๆ
“อึก!!”
เจ้าคนที่หมายจะเหยียบเท้าผมร้องออกมา ส่วนผมก็ตีมึนใส่
“…โทษที” ผมผายมือแสดงความเป็นมิตร แต่อีกฝ่ายกลับถุยน้ำลายลงพื้น
“เมื่อกี้แกตั้งใจใช่มั้ย?”
อา นั่นสินะ ดันเหยียบเท้าพี่แกไปนี่นะ
ผมได้แต่ยิ้มตอบ
“คือ ฉันน่าจะไม่ตั้งใจน่ะ”
“ตั้งใจเห็นๆ อย่ามาโกหกหน่อยเลย คิดว่าเป็นลูกขุนนางแล้วจะทำอะไรก็ได้รึไงหะ”
ไอ้หมอนี่มันเริ่มก่อนไม่ใช่เรอะ? อีกอย่างเอ็งก็ลูกขุนนางเหมือนกันแหละเฟ้ย
“อะไร มองแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
ว่าแล้วก็กระชากคอเสื้อผมขึ้นมา
“…เฮ้ ทำแบบนี้กับฉันจะดีเหรอ?”
“ไอเฮงซวยแบบแกสมควรโดนแล้ว”
…แม้จะดูกันตามเนื้อผ้า ผมก็ไม่คิดว่าตัวผมที่คนอื่นเห็นควรจะโดนรังแกหรอกนะ แล้วไม่คิดว่าจะมีคนทำด้วย เพราะผมลูกคนใหญ่คนโต
คงเป็นแค่พวกโง่นั่นแหละ เหมือนกับผมไง ตัวร้ายโหลยๆ
“บอกชื่อมาสิ”
“การ์ป แกมีปัญหาอะไร?”
ที่ต้องถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่ามันผมต่างหาก เจ้าบ้านี่ ชื่อการ์ปด้วย ดุด่าได้ง่อยชอบกล เล่นเอานึกถึงผมในเนื้อเรื่องต้นฉบับเลย
ผมปัดมือที่กระชากคอเสื้อผมอยู่ออก และจ้องเขม็งใส่อีกฝ่าย
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกการ์ป แค่ฉันได้รับวัฒนธรรมมาจากทวีปแซร์อิซเล็กน้อยละนะ ว่าเวลามีเรื่องต้องประกาศชื่อตัวเองกับอีกฝ่ายก่อน เป็นธรรมเนียมปฏิบัติพื้นฐานเลย …เขาเห็นว่าการทะเลาะวิวาทเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งน่ะ ต้องมีเรื่องกันอย่างมีศิลปะละนะ”
การ์ปทำหน้าเหวอเล็กน้อย คงไม่คิดว่าผมจะเอาจริง
“การ์ป ถ้าจะทะเลาะกันก็ปาถุงมือใส่สิ ทวีปเรามักจะดวลกันโดยการปาถุงมือใส่กันนี่ ผนวกกับฉันที่ได้วัฒนธรรมจากทวีปอื่นพอดี” ผมจ้องอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “จะทำให้งานศิลปะหรือการทะเลาะวิวาทมันดูแย่ไม่ได้ เข้าใจนะ?”
ผมพูดจริงจัง—-จะว่ากรณีของการ์ปผมต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูก็ได้ ดูทรงแล้วหลังจากนี้ผมคงมีพวกเลือดร้อนไม่เอางานเอาการมาหาเรื่องอีกตรึม และไม่ว่างจะมีปัญหาด้วย
เพราะฉะนั้นการจะจัดการการ์ปโชว์คนอื่นไปก็ไม่เลว
บรรยากาศตึงเครียดแบบฉับพลันถึงที่สุด การ์ปทำท่าจะดึงถุงมือออกด้วย ทว่า—–
“เดี่ยวก่อนสิครับ!”
เสียงหวานๆ ของคนดีศรีเมืองดังขึ้น
ชายหนุ่มร่างเล็กผมสีน้ำเงิน และดวงตาสีน้ำเงินดำโผล่ออกมาขวางกั้นผมกับการ์ปไว้
‘ยูจิ’ พระเอกตัวจริงนั่นเอง เขาโผล่มาห้ามการทะเลาะวิวาทฉบับพระเอกด้วยละ
“…ยะ อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ”
“โทษทีนะยูจิ คนชื่อการ์ปมมันคิดจะเหยียบเท้าฉันน่ะ เลยกะเหยียบคืน”
“ตั้งใจจริงๆ ด้วยสินะ!!”
สำหรับผมถ้าอีกฝ่ายคิดจะดวลด้วยย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เพราะผมไม่ผิดด้วยละส่วนหนึ่ง
ยูจิมีสีหน้าลำบากใจสุดๆ ตอนนี้
“เอาเป็นว่าคุณการ์ปใจเย็นๆ ก่อนนะครับ”
การ์ปมองระหว่างผมกับยูจิสลับกัน
“มีแต่พวกเด็กติ๋ม”
พูดอย่างนั้นจบก็ทำเสียง ‘เชอะ’ เดินหายไป ยูจิเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจโล่งอก
“การ์ปคนนั้นนายพอรู้ประวัติรึเปล่ายูจิ” ผมถามออกไป ยูจิพยักหน้ารับ
“เป็นเด็กห้องสายทฤษฎีเหมือนกับผมน่ะครับ …แต่เกเรเล็กน้อย”
“ยังจะสอบผ่านมาได้อีกนะเจ้านั่น ยัดเงินมาแหง” ผมหัวเราะขึ้นจมูก
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ มันไม่ดีกับคุณการ์ปนะ” ยูจิชูนิ้วชี้คล้ายจะสอนมารยาทผม
เพราะตัวเล็ก กับหน้าตาค่อนข้างน่ารัก การทำท่าจะสอนของยูจิเลยทรงสเน่ห์สุดๆ โดยรวมจัดว่าน่ารัก…ผมยาวอีกนิดคงดีแฮะ ฮะๆ ว่าไปนั่น ยูจิโดนคุณนางเอกจองไว้แล้วต่างหาก
เรย์ผู้แพ็คคู่กับยูจิเสมอก็โผล่ออกมาเกาะไหล่ผม
“แก๊งการ์ปมันชอบหาเรื่องไปทั่วแบบนี้แหละ กับคนที่ดูท่าจะตกต่ำแล้วแบบนายมันยิ่งได้ใจน่ะ”
ดูเหมือนว่าเรย์จะเข้ามาเสริมให้ผม ต้องขอบคุณจริงๆ
“ฉันดูตกต่ำขนาดนั้นเลยสินะ?”
“ระดับหนึ่งเลยมั้ง นายไม่ได้ทำทีก้าวร้าวต่อด้วยคนเลยวางใจจะหาเรื่องนายกัน ระวังหน่อยก็ดีนา” เรย์ตบไหล่ผมเบาๆ แล้วไปยืนข้างยูจิ ก่อนไปเรย์โบกมือให้ผมพร้อมกับยูจิด้วย
เหมือนว่าทั้งสองคนจะไม่คิดมากเรื่องผม …เรย์น่ะรู้อยู่แล้ว แต่กับยูจินี่สิ ไม่ได้รู้แท้ๆ ว่าผมไม่ใช่โจรวิตถารยังมาทำดีด้วย
อ๊ะ ลืมไป จะเอามาตรฐานความคิดคนปกติไปเปรียบกับนางฟ้าไม่ได้นี่น่า ใช่ ยูจิคือนางฟ้า เขาเป็นคนดีระดับนั้นเลยละ
ผมยิ้มเจื่อนๆ
“ลืมไปครับ คุณเรเซอร์” ยูจิหันกลับมาทางผมด้วยรอยยิ้ม
“มีอะไรรึ?”
“คืองี้ๆ นะครับ”
ทำไมต้อง ‘คืองี้ๆ’ ด้วยฟร้ะ? น่ารักฉิบ อันตรายนะเว้ยทำแบบนี้น่ะ
“อ่า”
“อาจารย์บลาซ เจ้าของชมรมวิจัยเวทมนตร์อยากจะพบคุณเรเซอร์หน่อยน่ะครับ”
ชื่อคนสำคัญในเนื้อเรื่องมาอีกแล้ว—– ‘บลาซ’ ตัวละครอาจารย์ของยูจิ เป็นคนที่เก่งด้านเวทมนตร์มากๆ โดยเฉพาะเวทย์แห่งแสง กล่าวได้ว่าเขาบรรลุศาสตร์เวทมนตร์เท่าที่มนุษย์ทั่วไปจะไปถึงได้แล้วละ ใช่ เท่าที่มนุษย์ทั่วไปจะถึงละนะ ไม่นับไอ้สัตว์ประหลาดที่แกร่งสุดในโลกนี้
แต่ยังไงซะ ‘บลาซ’ ก็แข็งแกร่งยากจะหาใครมางัดได้อยู่ดี ในอาณาจักรก็นิก็ถ้าไม่นับชายที่แกร่งสุดในโลกคนปัจจุบัน เขาเป็นจอมเวทผู้เก่งเป็นอันดับต้นๆเลยละ
“อาจารย์บลาซที่เนื้อหอมคนนั้นน่ะเหรอ?”
“ฮะๆ ใช่ครับ เขาค่อนข้างสนใจคุณเรเซอร์พอตัวเลย ถ้าเป็นไปได้ก็ไปพบกับเค้าได้นะครับ เวลาว่างๆ”
“อยากโดดเรียนพอดี เดี่ยวไปพบตอนนี้เลยละกัน”
“ฮะๆ อย่าละเลยการเรียนมากนะครับ” ยูจิพูดเตือนหวังดูจบก็เดินไป
…เอาละ น่าสนใจดีแฮะว่า บลาซ คนนั้นมีอะไรจะคุยกับผม
*********
‘บลาซ’—ชายหนุ่มวัยกลางคน รูปหล่อสไตล์ขุนนางมาดเข้ม ตัวสูงถึง 190 ซ.ม. และมีร่างกายที่แข็งแรง และวิชาดาบบรรลุไปถึงขั้นกลาง ถึงอย่างนั้นก็ตามเขาเป็นนักเวทย์ของแท้ เป็นชายที่ได้รับฉายาจากทั่วโลกว่า ‘แสงแห่งพระเจ้า’ เพราะเป็นนักเวทย์ขั้นบรรลุอย่างเป็นทางการจึงมีฉายาตามไปด้วย เฉกเช่นนักดาบ
กล่าวได้ว่าตัวตนของบลาซคือหนึ่งในสิ่งล้ำค่าของโลกทีเดียว อีกหน่อยเดียวเขาก็แทบจะโดนเรียกกันมหาปราชญ์แล้ว เนื่องจากมีผลงานโดดเด่นมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือการมีลูกศิษย์เป็นชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก นาม ‘เอเธอร์’
ในวงการเวทมนตร์ บลาซเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลไม่แพ้ใคร และเป็นตัวเต็งว่าที่ประธานคณะกรรมการเวทมนตร์แห่งฟัฟนิร์อีกด้วย
และเหนือสิ่งอื่นใด ในอนาคตบลาซจะกลายเป็นอาจารย์คนสำคัญที่สุดของยูจิ—-คือผู้ที่จะปั้นให้ยูจิกลายเป็นผู้กู้โลกคนสำคัญ เขาอยู่เบื้องหลังเรื่องราววีรบุรุษนั่น
ผมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้บานใหญ่และเคาะมันเบาหวิว
ตอนนี้ผมกำลังจะเจอกับบลาซคนนั้น หนึ่งในตัวละครสุดเท่ประจำเรื่อง แม้แต่ตอนนี้ผมยังจำวีรกรรมของเขาได้มากมาย รู้ซึ้งถึงความโหดพี่แกดีเลย ไม่สิ เรียกว่าลุงคงได้มั้ง?
คิดแบบนั้นคงเสียมารยาท …ถึงเจ้าตัวจะไม่ใช่คนคิดมากเรื่องพวกนั้นก็ตาม
ไม่นานเสียงตอบกลับก็ดังขึ้น
“เชิญ”
แค่เสียงก็ดูเข้มแล้ว ผมกลืนน้ำลายตัวเองและเปิดประตูเข้าไปพบกับบลาซ
ทันทีที่เข้าไปก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอึดอัดเลย …ดวงตาของบลาซคนนั้นราวกับเหยี่ยวแหนะ
เขาสวมเสื้อเชิ้ตยับๆ และหลุดลุ่ย สวมกางเกงขายาว แต่งตัวหมดเนื้อหมดตัว ที่สำคัญเช็ตผมอย่างกับพวกมาเฟีย
ขณะนี้บลาซกำลังนั่งเอาเท้าวางบนโต๊ะพิงหลังเต็มที่ใส่เก้าอี้ …ดูชิลดีแฮะคนคนนี้ อีกนัยหนึ่งก็ดูเครียดชอบกลด้วย ปนกันหลายอารมณ์ดีจริง
“..นักเรียนชื่อ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ สินะ?”
เขาชอบแทนตัวนักเรียนว่านักเรียน เป็นอาจารย์ที่เคารพรักของใครหลายคน
“ครับ ยินดีที่รู้จักครับ คุณบลาซ”
“เช่นกัน”
…บลาซเช็ตผมตัวเองด้วยท่าทางจริงจัง
“ที่เรียกมาวันนี้มีอะไรรึเปล่าครับ?”
บลาซพยักหน้ารับ และเลิกเช็ตผม
“อยากจะคุยกับนักเรียนหน่อยน่ะนะ เกี่ยวกับเรื่องราวการเยือนต่างทวีปตั้งแต่เด็ก”
“เรื่องนั้นน่ะครับ …ให้เล่าประมาณไหนหรือครับ?”
“ขอแค่รูปแบบเวทมนตร์ที่คนหลายๆ ทวีปเขาใช้กันก็พอแล้ว เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ไอ้ฉันที่หมกตัวอยู่แต่กับอาณาจักรเฮงซวยนี่เลยตกข่าวไปมาก ถ้าไม่พัฒนาเวทมนตร์ไว้เดี๋ยวจะแพ้ที่อื่นเอาได้”
ได้ยินอย่างนั้นผมจึงหัวเราะเบาหวิวกลับ
“ช่วยทีนะ นักเรียน” บลาซยิ้มให้ขัดกับใบหน้าแบบมาเฟีย
ผมกระแอมเบาๆ
“…ไม่ได้ยอนะครับ แต่ผมคิดว่าระดับอาจารย์บลาซเนี่ยไม่มีทางล้าหลังคนอื่นเรื่องเวทมนตร์หรอกครับ คุณน่ะทั้งคิดค้นเวทมนตร์มากมาย และเก่งเรื่องเวทมนตร์อย่างหาได้ยาก ไม่มีใครจะตามคุณทันหรอกครับในสมัยนี้ พูดตามตรงทวีปอื่นต่างหากละครับที่กำลังศึกษาเวทมนต์ของทวีปเรา ของอาจารย์น่ะ”
ผมพูดไปตามตรงแต่บลาซดันตอบกลับอย่างนุ่มนวล
“ไม่หรอก ตัวอย่างที่มีให้เห็นก็เธอไงละ”
….
“อายุแค่นี้แต่ได้ข่าวว่าบรรลุเวทมนตร์ขั้นสูงทุกธาตุเลยนี่? นี่ไงละเหตุผลที่ฉันต้องพัฒนาเสมอ ไม่นั้นจะตามเด็กรุ่นใหม่ไม่ทันเอา”
พูดเป็นเล่าน่า บลาซน่ะเก่งกว่าผมอย่างเทียบไม่ติดแน่นอน ถ้าไม่นับยูนาเข้ามา ผมมั่นใจได้เลยว่าผมแพ้เขา เพราะบลาซน่าจะสู้ชนะเซบาสเตียนด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เป็นนักเวทย์
“เข้าใจแล้วครับ”
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้ามบลาซ
“เริ่มจากที่ไหนก่อนดีครับ?”
“ทวีปแซร์อิซละกัน”
…ผมเริ่มเล่าให้เขาฟังโดยย่อ
ทวีปแซร์อิซ-ไม่ได้มีวิชาเวทมนตร์ที่โดดเด่นมาก แต่ประยุกต์ใช้กันได้เก่ง โดยเฉพาะกับเทคนิคแทรกแซงการควบคุมของเวทมนตร์ แต่โดยรวมขาดซึ่งพลังแต่เปี่ยมด้วยคุณภาพในการฆ่าคนมาก
ทวีปเนลยอน-อ่อนเวทมนตร์แต่ประยุกต์ใช้กับวิชาไสยศาสตร์กันได้ดีแทบทุกคน เดาทางได้ยากมากเพราะมีวิชาไสยศาสตร์มาเกี่ยวด้วย
ทวีปลุกลี้ลุกลนรล-ถนัดเรื่องกักตุนเวทมนตร์มาก และไม่รู้อะไรนอกจากนี้เลย เพราะเป็นทวีปที่ผมอาศัยอยู่แค่ 2 เดือน
…ประมาณนั้นแหละ
ผมเล่าให้บลาซฟังจบเรียบร้อย เขานั่งคิดกับตัวเองสักพักก่อนจะถอนหายใจ
“ขอบใจมาก”
พูดจบบลาซก็บิดขี้เกียจทันที
“ถ้านั้นขอตัวนะครับ”
“เดี่ยวสิ อีกเรื่อง”
“ครับ?”
“สนใจเข้าชมรมวิจัยเวทมนตร์มั้ย?”
ชมรมอันดับหนึ่งของโรงเรียนเวทมนตร์—–ผมได้รับคำชวนให้เข้ามัน
“นักเรียนน่าสนใจนะ รู้ตัวมั้ย?”
“….โทษทีนะครับ ผมอยากกลับบ้านไปนอนเร็วๆ น่ะ”
ผมก้มหัวให้และเดินออกจากห้องไป ปฏิเสธทันควันเลยละ บลาซเขาดูตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้หวือหวามาก