< < 215 Sec2 > >
วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของผม คิดว่าต่อจากนี้ไปนี่ก็คงจะเป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งตลอดกาล
“..เบลลามี”
“เรเซอร์ ..”
“วันนี้สวยมากเลย สวยเป็นพิเศษ สวยกว่าวันไหนๆ น่ารักมากๆด้วย”
“เพราะว่าโซเฟียช่วยแต่งหน้าให้ ..แล้วก็ชุดแต่งงานมันสวยดีด้วย”
เพราะว่าเบลลามีอยู่ในชุดเจ้าสาว และผมก็อยู่ในชุดเจ้าบ่าว ใช่ นี่คืองานแต่งแสนสำคัญของผมกับเธอ มันจึงเป็นวันที่วิเศษที่สุด
“เบลลามี” ผมสัมผัสแก้มของเจ้าสาว “ฉันขอสาบาน ..”
“เราเองก็ ..ด้วย”
พวกเราเคลื่อนตัวเข้าหากัน และยื่นหน้าเข้าไปเพื่อประทับคำสัญญาไว้บนริมฝีปากของกันและกัน—ทว่า
ตู้ม!!!!!!!
ก่อนที่คำสัญญาจะบรรลุ ประตูหน้าโบสถ์งานแต่งก็ถูกทุบจนเละ ชายผู้สวมสูทสีขาวเดินเข้ามาภายในงานแต่งด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“..เอ๊ะ?
เอเธอร์โผล่มา และเผลอแปปเดียว ร่างของผมก็โดนเอเธอร์เตะจนขาดเป็นสองส่วน
“เรเซอร์!!”
“อั้ก-”
ผมกระอักเลือดออกมา พยายามจะใช้วิหคอมตะรักษาตัวเองแต่ก็ไม่เป็นผล ..รักษาตัวเองไม่ได้เลย ยูนาก็ใช้ไม่ได้ เวทย์ฮิลก็ใช้ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย พูดถึงเรื่องที่ทำได้ก็มีแค่การจ้องหน้าเอเธอร์ที่ยืนมองต่ำลงมาที่ผม
“เรเซอร์เป็นคนที่ผมสนใจก็จริง แต่ว่า”
เป็นครั้งแรกที่ดวงตาของเอเธอร์แข็งกร้าวจนน่ากลัว คนๆนี้แสดงอารมณ์แบบนี้เป็นด้วยเหรอ—
“ยังห่างไกลครับ ไม่คู่ควรกับเบลลามี ..กับน้องสาวของผมเลยสักนิด แค่เอาชนะผมยังทำไม่ได้ จะไปมีปัญญาปกป้องเบลลามีได้ยังไงกันครับ?”
เอเธอร์ยกขาขึ้นเหนือบนศรีษะของผม และ
“คำสัญญาที่ว่าจะปกป้อง มันล้มเหลวตั้งแต่เริ่มแล้วละครับ”
กล่าวจบ เอเธอร์ก็ใช้เท้าขยี้หัวผมจนระเบิด—
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!”
……
“..เอ๊ะ ..เอ๋..เรื่องอะไรเนี่ย”
……
“ที่นี่โบสถ์? เหมือนกับในฝันแต่สภาพเละสุดๆเลยแฮะ ประตูยังพังเหมือนในฝันดีเลย”
ผมสัมผัสใบหน้าของตัวเอง จากนั้นก็ขยี้มันจนมีรอย
“ค่อยยังชั่วที่อันนี้ไม่ได้ฝัน”
ตั้งสติได้ ผมก็มองไปรอบๆเพื่อสำรวจ
เหมือนว่า ผมจะหมดสติไปหลังจากสู้กับเอเธอร์ แล้วก็ตื่นที่โบสถ์ร้างแห่งนี้เข้าให้แหละนะ ถึงจะเพราะพึ่งตื่นเลยยังจำเรื่องต่างๆได้แค่รางๆก็เถอะ
ยูนา อยู่รึเปล่า
….ไม่ตอบ แปลว่าตอนนี้น่าจะเลยเที่ยงวันไปแล้ว ซึ่งหมดเวลาการสนทนาระหว่างผมกับยูนาแล้วละนะ
ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ไม้ยาว พร้อมกันนั้นก็มีคนๆหนึ่งเดินเข้ามา
“โอ๊ะ หวานใจของท่านจอมมารตื่นแล้วสินะครับเนี่ย”
“นายมัน ..แอสโมเดียส?”
ข้ารับใช้ของจอมมาร ปีศาจมหาบาปแห่งราคะนั่นเอง จำได้อยู่ว่าหมอนี่มาป้วนเปี้ยนก่อนผมจะสลบอยู่
“แล้วที่นี่ที่ไหนรึ? แล้วฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้ว”
“โบสถ์ที่เมืองนี้นี่แหละครับ ถึงสภาพจะไม่ค่อยดีก็เถอะ แต่ก็พอให้หวานใจของท่านจอมมารนอนได้อยู่ แล้วก็น่าจะหลบไปเกือบๆหกชั่วโมงได้มั้งครับ ทางผมก็เดินมาดูพอดีว่าตื่นหรือยัง เห็นว่ายังสบายดีแล้วก็โล่งใจเลยครับ” แอสโมเดียสถอนหายใจ “พอท่านหลับไปได้สามชั่วโมง ท่านจอมมารก็ดันวิตกกังวล จนจะฆ่าผมทิ้ง แล้วมาบอกว่าเดี่ยวชุบทีหลัง จากนั้นก็จะทำการณ์ใหญ่สร้างมานามากมาย เพื่อเรียกดาบโซโลม่อนมาเรียกสติของท่าน บอกตามตรงว่ากลัวแทบแย่เลยครับ ถ้าไม่มีพวกท่านยูจิกับท่านชินมาคอยห้าม ผมคงตายได้สองรอบแล้ว”
“ละ ลำบากแย่เลยนะ”
“ใช่เลยครับ คนๆนี้โหดร้ายที่สุดเลย ..อ๊ะ เอ่อ ไม่ถือว่าทำผิดอะไรนะครับ คือว่าถ้ายังไงก็ช่วยไปกระซิบบอกท่านจอมมารหน่อยได้หรือเปล่าครับ-ว่าช่วยอ่อนโยนกับผมหน่อย ถือว่าขอร้องละครับ!”
แอสโมเดียสโค้งศรีษะให้อย่างสวยงาม ปีศาจมหาบาปผู้ยิ่งใหญ่ร้องขอสวัสดิการดีๆเป็นด้วยสินะเนี่ย น่าประทับใจจริงๆ
“ถึงจะมาบอกฉันก็เถอะนะ แต่ฉันไม่ได้มีอำนาจอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”
“เป็นถึงคนรักเลยนะครับ อภิสิทธิ์พิเศาเพียบเลยนะครับ!”
“ถามหน่อยเถอะว่าาตลอดมาเบลลามีทำอะไรกับพวกนายบ้างเนี่ย ..อ๊ะ”
จะว่าไปก็เคยเห็นแล้วนี่นะ เรื่องสมัยยุคโบราณน่ะ ที่อานิม่าสร้างภาพความทรงจำให้ผมดูตอนนั้น จะว่าโดนปฏิบัติอย่างย่ำแย่ก็คงได้แหละ
“จะว่าไป ‘บิลเซบับ’ ล่ะ?”
พูดถึงแอสโมเดียสก็ต้องอยู่กับบิลเซบับตลอดนี่นะ เห็นตัวติดกันตลอดตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว กล่าวได้ว่าเป็นสองลูกไล่ของจอมมารมาตั้งแต่ยุคตั้งต้นเลยก็ว่าได้
“..หืม?”
ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันนะ
แอสโมเดียสมีสีหน้าเศร้าๆ เจ้าตัวหัวเราะพึมพำก่อนตอบข้อสงสัยของผม
“ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้กลับดาวเก่าไปแล้วน่ะครับ”
..แบบนี้นี่เอง น่าตกใจใช่เล่นเลย ทางฝั่งเบลลามีมันเกิดอะไรขึ้นบ้างกันนะ
“นั้นเหรอ ..พูดติดตลกอย่างนั้นจะดีรึ เรื่องนี้”
“ฮะ ฮะ ให้ผมพูดอะไรเศร้าๆมันก็ไม่เข้ากับเบ้าหน้าด้วยสิ ที่จริงแล้วผมเป็นคนตลกน่ะครับ แล้วก็เป็นอย่างนั้นมาโดยตลอดด้วย ฮ่าๆๆๆ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
“ลำบากแย่เลยนะ”
“ไม่เลยครับ ไม่เลย น่าอายนิดๆ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่หรอก”
ผมถอนหายใจ และยื่นมือไปจับศรีษะแอสโมเดียส
“เอ่อ?”
ผมโค้งศรีษะให้
“ขอบคุณที่ช่วยปกป้องเบลลามีนะ ..แล้วก็ขอโทษด้วยนะที่มาช้าเกินไป”
ถ้ามาเร็วกว่านี้ ด้วยพลังของผมอาจจะรักษาชีวิตของบิลเซบับไว้ได้ ผมคิดอย่างนี้จากใจจริง จะบอกว่าหน้ามืดหลงตัวเองก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าตัวเองมีประโยชน์พอจะเปลี่ยนสถานกาณณ์บางอย่างได้
“…มันเป็นความตั้งใจดั้งเดิมของพวกเราอยู่แล้วน่ะครับ”
“ความตั้งใจดั้งเดิม?”
“ใช่ครับ เป้าหมายของพวกผมคือการ—ไปส่งท่านจอมมารสู่ปลายทางของความสุขครับ ก็แค่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะบอกว่ามันก็บรรลุจุดประสงค์มาโดยตลอดแล้วก็ได้ ไม่ใช่ความตายที่น่าเศร้าอะไรหรอกครับ โดยเฉพาะกับบิลเซบับ ..เธอยินดีที่จะมอบชีวิตให้ท่านจอมมารครับ”
ปลายทางของความสุขมันจะไปมีค่าอะไรถ้าคนสำคัญของตัวเองไม่ได้ยืนอยู่จุดนั้นด้วยกัน ..ผมเชื่อว่าในใจลึกๆของเบลลามีต้องคิดอย่างนี้
แต่ผมเลือกจะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะใบหน้าของแอสโมเดียสตอนนี้มันแปลกกว่าเดิมอีก เหมือนกั้นอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่ ถ้าถามมากกว่านี้ มันจะทำให้ภาพลักษณ์คนตลกที่แอสโมเดียสแต่งตั้งให้ตัวเองพังลงเอาได้
“อยากจะฟังเรื่องของฝั่งนายแบบละเอียดๆอยู่นะ”
“ท่านจอมมารรออยู่น่ะครับ เดี่ยวท่านจะเล่าให้ฟังทีละเรื่องเลย”
“ถ้านั้นก็ขอตัวก่อน”
“รับทราบครับ ยังไงก็เชิญไปก่อนเลยนะครับ ผมว่าจะนั่งเล่นอยู่แถวนี้อีกสักพัก”
ผมเดินผ่านไป แอสโมเดียสปล่อยตัวลงไปนั่งอยู่เก้าอี้แถวๆนั้น ..
ทันทีที่เดิมออกจากโบสถ์มา ผมก็พบว่าตัวผมยืนอยู่ใกล้ริมแม่น้ำ ห่างกันน่าจะสิบเมตรได้ แล้วก็ตรงริมแม่น้ำมีปาร์ตี้เนื้อย่างกันอยู่ ประกอบไปด้วย-
ฟัฟนิร์ กับหนิงที่ยัดเนื้อเข้าปากกันอย่างบ้าคลั่ง ยูจิกับชินค่อยๆกินอย่างผู้ดี เรย์ที่เอาแต่พล่ามอะไรไม่รู้ แล้วก็ ..เบลลามีที่กินไปหัวเราะไปกับคนอื่นๆ
ผมเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว และเดินเข้าไปร่วมวงด้วย
****
หลังจากที่ปาร์ตี้เนื้ิอย่างกันจบ พวกเราก็พูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยกันจนหมดเปลือก
พูดคุยกันจบก็แยกย้ายกันไปนอนพักผ่อน เพื่อที่จะเก็บแรงไว้ออกเดินทางยาวอีกทีในวันพรุ่งนี้ แต่อาจเป็นเพราะผมนอนจนอิ่มแล้ว ทำให้นอนไม่หลับ ช่วยไม่ได้เลยออกมาเดินเล่นตากลมเสียหน่อย
“..บังเอิญจริงๆนะ”
“นั่นสิ”
ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ออกมาเดินเล่น เบลลามีเองก็ด้วย
เบลลามียืนชมวิวอยู่ริมแม่น้ำ เห็นแล้วผมก็เดินไปพิงต้นไม้แถวๆนั้น ..พูดออกมาตรงๆไม่ได้ว่าแค่อยากหาเรื่องอยู่ใกล้ๆเบลลามีแค่นั้น
ดวงตาสีแดงที่ตัดกับความมืดได้เลย เบลลามียามค่ำคืนนั้นสวยเป็นพิเศษ นี่คือทัศนคติของผมต่อความสวยงามอย่างกับภาพวาดตรงหน้า ..โอ๊ะ หลุดไปไกลละๆ
“คือว่านะ เบลลามี”
“อะไรเหรอ?”
“แอสโมเดียสฝากบอกมาว่าให้ใช้งานกันเบาๆหน่อยน่ะ”
“ครั้งหน้าจะระวังนะ” เบลลามีหรี่ตาลง “เราแค่ให้พยายามในระดับที่ความสามารถของแอสโมเดียสถึงเองแท้ๆนะ เรื่องนี้กลายมาเป็นปัญหาได้ด้วยเหรอ?”
“ไม่รู้สินะ ฮะๆๆ”
ผมหัวเราะพึมพำ เพราะเบลลามีทำท่าเหมือนอยากบ่นมันดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
“จริงสิ .. เรเซอร์ เรื่องของวินเราก็ไม่ได้โกรธอะไรนะ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดก็ได้”
“จะไม่ให้รู้สึกผิดยังไง ถึงจะไม่ได้ทำอะไรเกินเลยถึงขั้นนั้นก็เหอะ แต่ยังไงก็นอกใจอยู่ดี ทางนี้นอกใจเลยนะ นอกใจน่ะ พฤติกรรมที่แย่ที่สุดของการมีความสัมพันธ์กับคนรัก คิดดูสิ พวกเธออุตส่าห์ยอมให้ฉันมีภรรยาถึงสามคนแล้วแท้ๆ แค่นั้นไม่พอ ยังพามาเพิ่มอีก แบบว่าไม่น่าโมโหเลยเหรอ?”
“เราแค่อยากอยู่ข้างๆเรเซอร์ ..สถานะคนรักมันออกจะใจดีกับเราเกินไปด้วยซ้ำนะ”
“ไม่จริงสักหน่อย!”
…..
“เอ๊ะ เอ่อ ที่เบลลามีกับฉันมีความสัมพันธ์แบบนี้กันมันไม่ใช่ เพราะว่าฉันใจดี แต่เป็นเพราะฉัน ..ชะ..ชะ ชะช่า! พูดไม่ได้ เอาเป็นว่าเบลลามีไม่จำเป็นต้องลดคุณค่าตัวเองขนาดนั้นก็ได้ ขอร้องละ ถือว่าฉันขอเลย”
ผมพนมมือไหว้ เบลลามีเห็นก็ทำหน้างงๆ
“..อีกอย่างเรากับเรเซอร์ก็ยังไม่ใช่คนรักด้วยนะ แค่ดูใจกันก่อนสามปี”
“เรื่องนั้นลืมไปเลย”
“เราก็เหมือนกัน คิดว่าต่อให้พ้นสามปีไปแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง”
เบลลามีอมยิ้ม เธอหันหน้ามาหาผม ก้าวเข้ามาประชิด และซ้อนตามองผม ด้วยส่วนสูงที่แตกต่างกันได้คืบใหญ่หนึ่งคืบ
“เอาอย่างนั้นก็ได้นะ เรเซอร์เป็นคนโลภที่มีคนรักหลายคน แถมยังไปปันใจให้คนอื่นในตอนที่พวกเราต้องห่างกันอีก แล้วก็ชอบพูดให้พวกเราเรียกร้องความรับผิดชอบ เพื่อปกปิดความรู้สึกผิดในใจตัวเอง ซึ่งเราคิดว่ามันคือวิธีที่ขี้ขลาดมากๆเลย ถ้าเป็นปกติ อย่างในนิยายที่เรากับเรเซอร์เคยอ่านกัน เวลาเกิดเรื่องแบบนี้ต้องทำอะไรกันนะ?”
…….
……
เอ๊ะ หรือว่าผมจะโดนบอกเลิกกัน? ถ้าเป็นตามปกตินางเอกนิยายต้องเบิกเลิกตัวเอก แล้วก็ไปมีรักใหม่ที่มั่นคง และซื่อสัตย์ ซะ ซวยแล้ว แบบว่าอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเลย ทำไงดี ทำไงดี ผมควรทำไงดี!!!!?
ผมหน้าซีดเผือก—-เบลลามีเขย่งตัว และแล้วริมฝีปากของพวกเราก็สัมผัสกันจนได้
“!!?”
จังหวะทีเผลอ
หัวใจผมแทบจะหยุดเต้น
รู้สึกร้อนที่ใบหน้าแบบที่นานๆทีจะเป็น
นี่คือการจูบที่เรียบง่าย เป็นแค่การสัมผัสริมฝีปากกันเบาๆ ..กระนั้นก็รุนแรงสำหรับตัวผมอย่างยิ่ง
ไม่ได้เวอร์จิ้นแล้วสักหน่อย ทั้งอย่างนั้นก็เก็บอาการไว้ไม่อยู่ ทันทีที่เบลลามีกับไปอยู่ในที่เดิมของตัวเอง ผมก็ทำอะไรไม่ถูก จะพูดก็พูดไม่ออก จะขยับตัวก็ขยับไม่ได้ แบบว่า ..เสียการควบคุม
ผมจับปากของตัวเอง ครางเสียงร้องออกมา และจ้องเบลลามีตาเป็นวาว ทั้งดีใจ ทั้งกลัว ปนกันไป นอกเหนือสิ่งอื่นใด ผมตกหลุมรักเบลลามีซ้ำอีกครั้งจนได้
“คนผิดต้องโดยขโมยจูบรึเปล่านะ?”
ในนิยายมีอีแบบนี้ที่ไหนกันเล่า!?
เบลลามียิ้มออกมาอย่างน่ารัก ใบหน้าของเธอไร้ซึ่งอาการเขินใดๆ ยกเว้นใบหูที่แดงแจ๋เห็นได้ชัด
“..ไม่รู้”
ของแบบนั้นให้พูดได้ที่ไหน
“เหรอ”
อย่างกับมีเสียง ‘จี๊’ ดังขึ้น เบลลามีจ้องตาผมอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอขยับมาข้างหน้า ทำให้ผมไม่มีตัวเลือก ต้องถอยหลังหนี เห็นอย่างนั้นไม่รู้เกิดได้ใจหรือยังไง เบลลามีก็เขยิบเข้าประชิดผมในทีเดียว ทำให้ผมเสียศูนย์จนล้มลงไปนอนพิงกับต้นไม้
เผลอแค่แปปเดียว ผมก็เตี้ยกว่าเบลลามีซะแล้ว–
“นอกจากเรื่องของวิน ยังมีเรื่องที่ทำผิดอีกรึเปล่า?”
“ไม่แน่ใจ แต่-”
ผมบอกเรื่องที่ได้เสียกับเรเซลและอันนาพร้อมกันแบบสั้นๆ
“เรื่องก็ประมาณนั้น”
“ผิดที่ไม่รอนะ อันนี้”
“..อืม”
ผมเบือนหน้าหนี
“รีบมีอะไรกันไม่รอเรา หนึ่งกระธง”
เบลลามีทิ้งตัวลงค่อมตัวผม เธอจับปลายคางผมที่หันไปทางอื่น กลับมามองเธอเหมือนเดิม และ ..จุ๊บอีกรอบ เธอจูบค้างไว้ราวสิบวิ ก่อนผละริมฝีปากออก และใช้หน้าผากตัวเองดันหน้าผากของผม ..วิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง
“มีอีกรึเปล่า?”
“..ไม่น่ามีนะ”
“ไม่น่าเหรอ? อือ อย่างไปมีความหลังกับผู้หญิงคนอื่น”
“บะ แบบนั้นนับด้วยเรอะ”
“นับสิ ..เราหงุดหงิดเหมือนกันนะที่เรเซอร์มีความทรงจำกับคนอื่น นอกเหนือจากเรา”
…..เอาจริงดิ
“สะ สองคน”
“คนหลายใจ”
เบลลามีลงมือละเลง จุ๊บผมอีกรอบ สิบวิ จากนั้นก็ผละออก และ จุ๊บอีกรอบ
“อืออออ..อือ”
ผมพยายามจะขัดขืน แต่เรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
จูบผมจนพอใจแล้ว เบลลามีก็เอาหน้ามาซุกอกผม และหายใจรดอยู่ใต้คอ ผมจับไหล่เธอ พยายามจะขยับไปนั่งข้างๆแทนนั่งบนตัวผม แต่ว่า
“อย่าขัดขืน”
“แต่ว่า”
“เรเซอร์ทำผิดมาไม่ใช่เหรอ?”
เบลลามีหรี่ตาลงอย่างเศร้าๆ พลางลูบคอผมไปด้วย
“นี่คือบทลงโทษของเรา ..ไม่ได้อยากว่าเรเซอร์ หรือตบตี เราแค่อยากทดแทนเวลาที่เสียไปเท่านั้นเอง ..ไม่ได้เหรอ?”
เบลลามีเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ
“เชิญเลยครับ นายหญิง”
“ขอบใจนะ”
เบลลามียกตัวขึ้นมาจุ๊บผมอีกรอบ
“เรเซอร์ ..เรเซอร์ ..ขอบคุณมากนะ เรเซอร์ ..รักนะ”
จากนั้นผมก็โดนเบลลามีสกิลซิพสุดใหญ่ ทั้งกอด ทั้งนัวเนียบนอกผม ทั้งจับผมมาจุ๊บแบบไม่ทราบสาเหตุ เธอทำเช่นนั้นวนไปมานับสิบนาทีได้ก่อนจะหยุดมือ
สภาพผมให้หลังการต่อสู้ คือบริเวณลำคอมีแผลรอยกัด และข่วน ทั้งกระดุมเสื้อยังโดนขโมยไปตั้งสองเม็ด
นี่ผมโดนขืนใจรึเปล่าเนี่ย? ไม่สิ ยินยอมนั่นแหละนะ
เบลลามีซ้อนตามองด้วยสายตาอันเคลิบเคลิ้ม
“..เบลลามี”
ทางนี้เองก็เริ่มมีอารมณ์แปลกๆแล้วด้วยสิ ร่างกายผมขยับไปเองตามสัญชาตญาณลูกผู้ชาย ผมจับเอวของเบลลามี และกำลังจะขยับไปสูงมากกว่านี้
ทว่า
“ไม่ได้”
เบลลามีจับมือผม หยุดไม่ให้ผมกระทำไปตามอารมณ์มากกว่านี้
“บทลงโทษ ..แล้วก็ ครั้งแรกของเราอยากให้เป็นที่ห้องนอน”
น่าเสียดายแฮะ แต่ถ้าเป็นบทลงโทษก็ช่วยไม่ได้
“รับทราบครับ นายหญิง”
เบลลามีทิ้งตัวนั่งบนตักผม เธอจับมือผมมาวางไว้บนไหล่ และนัวเนียทั้งรอยยิ้มที่ดูไร้ความรู้สึก
“เรเซอร์”
“ว่าไงเหรอ?”
“..ถ้าตัวเรามีสองคน เรเซอร์จะรักใครเหรอ?”
….เรื่องนั้นเองเหรอ
เรื่องราวของฝั่งเบลลามี เรื่องแสนสำคัญที่ได้ยินจากปากเบลลามีก็คือ ..เธอโดนแมมม่อน จับแยกตัวตนเป็นสองส่วน
ครึ่งแรกคือตัวตนในฐานะ ‘ดิลุค’ มีเส้นผมสีขาว ถือพลังอำนาจทั้งหมด แต่ไร้ซึ่งสัญลักษณ์ของข้อผิดพลาดของโลก อย่าง ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’
อีกครึ่งคือตัวตนในฐานะ ‘เบลลามี’ มีเส้นผมสีดำม่วง เป็นด้านของข้อผิดพลาดของโลก เป็นผู้ถือครอง ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’
นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เห็นว่าหลังจากโดนแยกตัวตน พวกเบลลามีก็หนีหัวซุกหัวซุน พลางออกเดินทางทำสิ่งที่ต้องทำไปด้วย ทำให้มาจบลงที่ทวีปแซร์อิซ ที่พวกผมไปจะเอ๋เข้ากับทูตสวรรต์ และเอเธอร์เอาได้ ก็เป็นเพราะพวกนั้นก็มีเป้าหมายเดียวกับผม คือการค้นหาเบลลามีนั่นเอง
เบลลามีโดนแยกเป็นสองตัวตน เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสุดๆ
“คิดว่าคนไหนคือตัวจริงเหรอ?”
“..อย่าโกรธกันนะ”
“อือ”
“ทั้งคู่นั่นแหละ”
เบลลามีกระพริบตาปริบๆ
“หลายใจจริงๆด้วย”
“มะ ไม่ใช่นะ คือไม่ว่าจะตัวตนในฐานะเบลลามี หรือดิลุคก็เป็นเบลลามีเหมือนกัน เป็นดิลุคเหมือนกันหมด ..ไม่ว่าจะคนไหนก็เป็นตัวจริงกันทั้งนั้น”
“ใช้อะไรพิสูจน์เหรอ?”
“ความรู้สึก”
พูดแล้วผมก็อดเขินจนหัวเราะเอาเองไม่ได้
“เป็นเรื่องที่พึ่งได้เรียนรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนน่ะนะ มีไอบ้าสองตัวมาพล่ามเรื่องความรู้สึกซะยกใหญ่ให้คนสำคัญของตัวเอง ทำให้ทางฉันเองก็คล้อยตามแล้วคิดอย่างเดียวกันเข้าให้”
ผมหลับตาลง เอาหน้าซุกผมของเบลลามี ได้ทั้งสัมผัส และกลิ่นจากตัวของเบลลามี ดีสุดๆไปเลย
“เรารู้สึกกังวล เรากลัวว่าเราจะเป็นครึ่งหนึ่งที่ไม่จำเป็น ..ถ้าเราไม่ใช่จอมมารแล้วเราจะเป็นอะไรนอกเหนือจากนั้นได้”
ที่เบลลามีดูมีลูกอ้อนเยอะเป็นพิเศษ ทั้งจู่ๆก็รุกหนักขึ้นมา เป็นเพราะเหตุผลนี้ด้วยรึเปล่านะ? ให้ตายสิ ตัวผมช่างเป็นผู้ชายที่บาปหนาอะไรขนาดนี้ ถึงจะแค่นิดเดียว แต่ก็แอบดีใจที่เบลลามีเป็นแบบนี้ ..ทั้งๆที่เธอทุกข์ใจอยู่แท้ๆ
แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา ก็เบลลามีตอนนี้น่ารักสุดๆไปเลยนี่นา ..
“เบลลามีก็คือเบลลามี ..จอมมารคือชื่อเรียกของศัตรูของโลก–นั่นไม่มีทางเบลลามีหรอก อีกตัวตนที่แยกออกจากกันเองก็ด้วย”
“..ได้ยินอย่างนี้เราก็ดีใจนะ—แล้วก็เป็นโชคดีของเรเซอร์ด้วยนะ ที่จะได้ค้นหาเราแบบ ‘วันอินทรู(หนึ่งในสอง)’ ”
สลับกันซะเสียวลีเลื่องชื่อหมด
“นั่นสินะ ฉันเป็นผู้ชายที่โชคดีจริงๆนั่นแหละ”
“เรเซอร์ ..ขอจุ๊บอีกที”
“ครั้งสุดท้ายนะ”
….
แน่นอนว่าคำว่าครั้งสุดท้ายไม่มีจริง หลังจากนั้นเบลลามีก็จูบผมไปอีกสี่หรือห้าครั้งได้ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอน
MANGA DISCUSSION