เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 348
< < 215 Sec1 > >
ตู้มๆๆๆๆๆๆๆ!!!
การระเบิดแลกกันของทั้งสองฝ่ายดังสนั่นไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ยูจิ และมิคาเอล เข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือดทั้งบนฟ้า และดิน สลับไปมาแทบจะวิต่อวิ
“คึก—ไอ้สัตว์ประหลาดเอ้ย!!”
เป็นอีกครั้งที่มิคาเอลถูกยูจิซัดจนปลิว และร่างก็แทบจะบิดไปคนละทาง มิคาเอลถูกซัดล่วงลงพื้นด้วยความรวดเร็ว และกลิ้งไปมาหลายตลบก่อนจะหยุดเอง
“ไปตายซะๆๆๆๆๆๆๆ!!!”
มิคาเอลแหกปาก หมดมาดสตรีปากจัดผู้เรียบร้อย ตอนนี้เป็นได้แค่คนหยาบคายขาดสติเท่านั้น หล่อนสะบัดมือไปมาเรียกแสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างยิ้งเข้าใส่ศัตรู ยูจิเดินผ่านใช้มือสะบัดทุกการโจมตีทุกแบบง่ายๆ
“ทำไมคนอย่างแกถึงใช้เทคนิคเดียวกับเอเธอร์แล้วก็จอมมารได้กัน!!? บัดซบเอ้ย บัดซบๆๆๆๆ!”
“เรื่องมันยาวเป็นพิเศษนะครับ ถ้าอยากฟังก็เล่าให้ฟังได้อยู่”
ลำแสงนัดสุดท้าย ยูจิเอียงคอหลบเอา
เทคนิคที่ใช้คือการเคลือบมานาเข้ากับร่างกาย ทำให้สามารถหยิบจับก้อนมานาได้โดยตรงได้ ขึ้นอยู่กับทักษะว่าจะใช้ได้ไกลถึงระดับไหน นี่คือรูปแบบเทคนิคระดับสูงสุดบนโลก ที่มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ใช้ได้ ทั้งใช้ได้ในระดับห่วยแตกหรือยอดเยี่ยมก็แตกต่างกันไปอีกขั้น แม้แต่ตัวตนระดับท็อปโลกด้วยกันเองโดยส่วนใหญ่ก็ไม่อาจใช้ได้ ซึ่งระดับของยูจิ–ก็แทบจะทัดเทียมกับเอเธอร์แล้ว
หรือก็คือ-จุดสูงสุดของโลกนั่นเอง
“เอาละครับ คุณมิคาเอล การต่อสู้จบลงแค่นี้แหละ”
“หุบปากไปซะ!! เอาสิ จะฆ่าแกที่นี่ให้ดู ต่อให้ต้องทุ่มทุกอย่างก็ตาม–”
พูดจบมิคาเอลก็ยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าเวทมนตร์ กำลังจะคว้าอะไรบางอย่างออกมา
ยูจิสัมผัสได้ถึงอันตราย จึงรีบพุ่งเข้าใส่—-ทว่า ทั้งสองก็หยุดลงมือกันกระทันหัน หลังจากได้ยินกระแสของมานาที่แล่นผ่านไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
การต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างคนสองคนที่ไหนสักแห่งได้จบลงแล้ว…
“เอเธอร์!?”
“คุณเรเซอร์”
มิคาเอลหน้าถอดสี
“เป็นไปไม่ได้ คนอย่างเอเธอร์เนี่ยนะจะหมดสภาพ–บัดซบ!”
มิคาเอลดีดนิ้วเรียกบังลังค์แห่งราชาผู้พิชิต และบินผ่านยูจิไปทันที
“เดี่ยวก่อนสิครับ—”
แม้จะพยายามคว้าไว้ให้ทัน แต่เพราะตกใจกับกระแสมานาที่เกิดขึ้นใกล้ๆ ทำให้คว้าน้ำเหลว มิคาเอลบินผ่านยูจิไปด้วยความรวดเร็ว
“…ต้องรีบไปแล้ว”
****
ดาบแห่งผู้กล้า ‘จัสติสเทีย’ เข้าปะทะกับดาบเวทมนตร์ ‘เซกเฟียร์’ จนเกิดประกายไฟขึ้นหลายจุด การแลกจังหวะดาบของทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยความสวยงาม และไร้ซึ่งความรุนแรงอย่างน่าประหลาดใจ กระนั้นแรงกระแทกแต่ละครั้งก็มากพอจะทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
อัศวินข้างกายแห่งเรเซอร์ ‘ชินดร้า คามาเลีย’ เข้าต่อสู้กับ ‘ผู้กล้าแอสทอเรียส’ อย่างสูสี เพียงแต่
ขณะเดียวกันน้องชายอย่างเรย์นั้นนั่งคุกเข่ากับพื้น พลางใช้มือจับบาดแผลขนาดใหญ่บนหน้าท้องตัวเองด้วยสีหน้าแสนเจ็บปวด
“อึก ..ขอโทษด้วยนะครับ พี่”
“พักก่อนเถอะครับ ที่เหลือให้พี่จัดการเอง–”
ประกายแสงดาบเข้าปะทะกันอีกครั้ง ทั้งสองปะทะกันจังหวะเดียว และกระโดดถอยหลังมา
“วัดแค่วิชาดาบอย่างเดียว เหมือนว่าผมจะเป็นฝ่ายแพ้สินะครับ”
หากวัดแค่เชิงดาบ ชินนั้นเหนือกว่าหลายขุม ทว่าแรงกายที่มหาศาลของผู้กล้าทำให้การต่อสู้แลกดาบนี้ดูจะสูสีเป็นอย่างมาก
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่มีฝีมือขนาดนี้ ทำไมถึงผ่านตาผมไปได้ ดูแล้ววัยของพวกเราก็ไม่ได้ไกลเกินกันด้วย”
“จริงๆเคยพบกันครั้งหนึ่งน่ะขอรับ เพียงแต่ตอนนั้นกระผมยังอ่อนประสบการณ์ จึงไม่อาจเป็นคู่มือที่คู่ควรแก่การจดจำได้ก็เท่านั้นขอรับ”
“ขอโทษด้วยนะครับ ไม่ทราบว่าเป็นสุภาพสตรีจากที่แห่งใดครับ?”
“อัศวินแห่งตระกูลดราแคล์ ข้ารับใช้แห่ง ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ .. ‘ชินดร้า คามาเลีย’ ขอรับ เป็นไปได้โปรดเรียกตัวผมว่า ‘ชิน’ แทนนะขอรับ”
ผู้กล้าพยักหน้ารับ ก่อนจะเปล่งประกายแสงสีขาวออกมาจากตัวดาบ
เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มต่อสู้ที่ผู้กล้าเริ่มจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของดาบออกมา—ของจริงมันต่อจากนี้ไป ชินตั้งท่าดาบตั้งรับอย่างใจเย็น
“จะจดจำชื่อนั้นไว้ ..ตัวผม ‘ผู้กล้าลำดับที่ 100’ ‘แอสทอเรียส’ เชิญเรียกได้ตามใจชอบเลยครับ”
ชินตอบรับการให้เกียรติของผู้กล้าโดยการเรียกเพลิงมหามังกรออกมาคลุมร่างกายตัวเอง ฉากถัดไปจักเป็นการสวมใส่อาภรณ์เทพมังกร—-ทว่า ทั้งสองหยุดปฏิกิริยาการเร่งมานาของตัวเอง และมองตามสายลมซึ่งมีกระแสมานาปั่นป่วนเกิดขึ้น
“…”
“..น่าเสียดายนะครับ ดูท่าผมคงต้องขอตัวก่อน”
“ทางนี้ก็เช่นกันขอรับ”
ผู้กล้าแอสทอเรียสเก็บดาบ และเดินผ่านชินไปอย่าง่ายดาย ระหว่างที่ผู้กล้าเดินผ่าน–หนิง กับฟัฟนิร์ก็วิ่งมาหาทั้งสองคนพอดี
“มาช้ากันจริงๆเลยนะ ..เฮ้อ”
ชินมองแผ่นหลังของผู้กล้าที่เดินจากไป พลางถอนหายใจเฮือกโตผิดลักษณะนิสัยของตัวเอง
“พี่?”
“โชคดีไปนะ เรย์ ที่ท่านผู้กล้ายอมลามือ” ชินหรี่ลง “ถ้าหากดึงดันจะสู้กันต่อ ตัวพี่คงจะตายในดาบเดียวเข้าให้น่ะครับ”
ต่อให้สวมใส่อาภรณ์เทพมังกรก็ตามนั้นเหรอ?
“การโจมตีแบบเอาจริงของท่านผู้กล้านั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง สมกับฉายาผู้กล้าเลยนะครับ ตัวตนที่เปลี่ยนดาบเดียวให้กลายเป็นชัยชนะได้”
แม้จะสูสีในทุกๆด้าน แต่ผู้กล้าคือตัวตนที่พิเศษ พวกเขาผู้ถือครองดาบแห่งผู้กล้า มีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีพลังทำลายล้างสูงอย่างน่าเหลือเชื่อ ชนิดที่พลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ อาจกล่าวได้ว่าคนที่จะเอาชนะผู้กล้าได้ต้องเป็นคนที่เหนือกว่าผู้กล้าชนิดทาบไม่ติดเท่านั้น หากมีฝีมือเท่ากันหรือด้อยกว่า ในบทสรุปก็จะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้จากประกายแสงดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี เป็นผลลัพธ์ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
“เช่นนั้นก็รีบไปกันเถอะครับ ดูเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่างเข้ากับท่านเรเซอร์”
พูดจบชินก็แบกเรย์ไปให้หนิงรักษา และตรงไปทางที่กระแสมานาปั่นป่วนทันที
****
เทพธิดามาโปรด?
“..เบลลามี?”
“มาช่วยแล้วนะ เรเซอร์”
เบลลามียิ้มให้ผมอีกรอบ ทันทีที่เห็นหน้าของคนรักอย่างเธอ ผมก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ โชคดีจริงๆที่อย่างน้อยก็ยังกลั้นไว้ได้ ..
ความรู้สึกก่อนที่จะตาย มันโหยหาความรักขนาดนี้เลยนี่เอง
“รู้สึกเหมือน ‘เดจาวู’ เลยนะครับ”
“ก็แค่คล้ายน่ะ แต่ผลลัพธ์มันแตกต่างไปจากเดิม”
“…หมายความว่ายังไงหรือ?”
“เอเธอร์แพ้แล้วละ ด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ไม่มีทางที่จะชนะ”
“ตามปกติก็ควรจะเป็นอย่างที่บอกครับ ต่อหน้าข้อผิดพลาดของโลก ยังไงตัวผมก็เสียเปรียบ แต่ว่า–เบลลามีตัวน้อยจะเอาอะไรมาสู้ผมได้กัน? ครึ่งหนึ่งที่ไร้พลังอำนาจจะไปทำอะไรได้นอกจากพูดกันครับ ต่อให้อยู่ในสภาพอย่างนี้ การดึงหัวคนธรรมดาคนหนึ่งออกจากร่าง สำหรับผมมันก็ง่ายไม่ต่างอะไรกับการฉีดใบไม้”
“เราไม่ใช่ใบไม้นะ”
เบลลามียิ้มประหนึ่งนางแมวร้ายออกมา รู้สึกว่ามันเป็นใบหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“เป็นน้องสาวของเอเธอร์ต่างหาก”
“…”
เอเธอร์เบิกตาโพงกว้าง และไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ หมอนั่นขยับเข้ามาใกล้เบลลามี และ—ออกแรงแรงแขนที่มหาศาลพุ่งเข้าใส่เบลลามี
ช้ากว่าเดิมหลายเท่าตัวก็จริง แต่ก็ยังเหนือกว่าระดับมนุษย์ธรรมดาอย่างเบลลามีอยู่ดี
“เบลลามี!!!”
“ไม่ต้องห่วงนะ–”
“ถ้าจะเข้าไปตรงๆก็ช่วยบอกกันก่อนสิครับ!!”
ชายหนุ่มรูปงามแสนคุ้นหน้า ผู้มีเอกลักษณ์อยู่ที่ต่างหูอันเป็นสัญลักษณ์ของบาปแห่งราคะ ‘แอสโมเดียส’ กระโดดเข้ามาขวาง พร้อมกับเหวี่ยงหอกทะลวงแขนของเอเธอร์จนแยกออกจากกันในพริบตาเดียว
“แล้วอีกฝ่ายก็เป็นถึง–เอเธอร์เชียวนะครับ!”
แอสโมเดียส ก้าวเท้าถอยหลังมา และพุ่งเข้าใส่ด้วยการแทง เอเธอร์เอียงตัวหลบ และเดินถอยหลังไปถึงสี่ก้าวเพื่อเว้นระยะห่าง เพราะเขารู้ว่าตัวเองในตอนนี้ไม่สามารถเอาชนะได้
ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เต็มร้อย ต่อให้พลังกายจะมากกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่ดี แต่มันก็ไม่ได้มากเท่ากับตอนที่ร่างกายสมบูรณ์ เรียกว่าตัวเองตอนนี้คือเอเธอร์ในฉบับอ่อนแอเลยก็ไม่เกินจริง เพราะอย่างนั้นคู่ต่อสู้ที่ในทีแรกเป็นแค่พวกระดับอ่อนแออย่าง แอสโมเดียส กับสถานการณ์ตอนนี้มันก็กลับกัน ตัวเองตอนนี้ไม่อาจเอาชนะกระทั่งแอสโมเดียสได้ด้วยซ้ำ
“ขอบใจนะ”
“เกือบไปแล้วมั้ยละครับ”
แอสโมเดียสหรี่ตามองเอเธอร์อย่างกล้าๆกลัวๆ
“ถ้าเป็นตอนนี้ชนะได้ครับ”
“…เอาแค่ให้สลบพอนะ”
“ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้วละครับ–”
พูดคุยกันจบ แอสโมเดียสก็ถีบตัวเองไปข้างหน้า เอเธอร์ไม่มีทางเลือกคิดจะสู้กลับทั้งๆที่รู้ผลลัพธ์
หอกถูกเหวี่ยงเฉือนเข้ากล้ามเนื้อของเอเธอร์ แอสโมเดียสเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือกว่า ใช้ปลายหอกกระแทกเข้าท้อง รอยแผลถูกทำให้เด่นชัดขึ้น จนเลือดระเบิดจากภายใน
“–อั้ก”
สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดกระอักเลือด และเดินถอยหลังหนีอย่างทุรักทุเร เลือดไหลออกจากร่างอย่างกับน้ำรั่ว แผลใหม่ที่ได้จากแอสโมเดียสไปกระตุ้นแผลเก่าจากการต่อสู้ จนตอนนี้เอเธอร์หมดสภาพอย่างสมบูรณ์
เอเธอร์ใช้แขนที่แยกเป็นสองข้างสัมผัสหน้าท้องของตัวเอง และยิ้ม
“ความรู้สึกที่เผลอเหยียบเข้ากับความพ่ายแพ้นี้ พบครั้งล่าสุดก็ตอนที่ถูกเธอถีบหัวส่งกระมังครับ ..เบลลามี”
“ขอโทษนะ เอเธอร์”
“ไม่จำเป็น—-!!!”
เลือดพุ่งออกจากปาก เอเธอร์ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น ..จบการต่อสู้กันได้แปปเดียว สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผู้ชนะอย่างเอเธอร์สภาพใกล้เคียงกับความตายมากกว่าผมเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าเกิดแข็งแกร่งมากพอ มันก็จะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ เรื่องมันก็แค่นั้นครับ”
“ไม่ใช่หรอกนะ”
“เรื่องนั้นก็แล้วแต่ตัวบุคคลครับ”
เอเธอร์หันมามองผมแทน
“ยินดีด้วยครับ คุณคือผู้ชนะ”
…..
ฟิววววววววววววววววววววววววว เสียงแหวกอากาศดังขึ้นกระทันหัน
เมื่อพวกเราหันไปมองก็พบกับบังลังค์ลอยฟ้าที่บินผ่านเอเธอร์ไปด้วยความรวดเร็ว ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะร่างกายตัวเองตอนนี้ย่ำแย่สุดๆจึงช่วยไม่ได้ที่จะมองไม่ทัน
แต่ที่รู้ๆหลังจากบังลังค์ลอยฟ้าบินผ่านไปแล้ว ร่างของสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเป็นผู้แพ้ก็ได้เลือนหายไปจากทิวทัศน์เบื้องหน้า เหลือไว้แค่กองเลือดบนพื้น
เบลลามีมองตามบังลังค์ลอยฟ้าที่หายจากระยะการมองเห็นไปแล้ว
“มิคาเอลอีกแล้วเหรอ” เบลลามีถอนหายใจ จากนั้นก็หันมาหาผมแทน “..ยังหายใจอยู่รึเปล่า?”
“หายใจอยู่ๆ แต่ไม่ได้กลิ่นเบลลามีเลย”
“เพราะอยู่ไกลเกินรึเปล่านะ?”
ว่าแล้ว เบลลามีก็เดินมานั่งยองข้างๆผม จากนั้นเธอได้จับปลายผมตัวเองมาวางไว้บนจมูกของผม
…..เอ๊ะ?
‘บะ …บัดสีบัดเถลิงที่สุดเลยค่ะ’
เป็นไม่กี่ครั้งที่ผมคิดตรงกับยูนา ถ้าเป็นตามปกติผมอาจจะสวนยูนากลับว่าสาวจิ้นทุกคนก็คิดอย่างนั้น แล้วยกตนข่ม เพราะว่าผมไม่ได้เวอร์จิ้นอีกต่อไปแล้ว แต่ก็นะ ..แทบไม่รู้สึกว่าตัวเองต่างอะไรเลยจากตอนยังเวอร์ชิ้นอยู่เลย
ไอที่ทำเนี่ยมันไม่ลามกไปหน่อยเรอะ
“ได้กลิ่นหรือยัง?”
“คือ ..แค่พูดล้อเล่นเฉยๆ ..เองนะ”
หอมสุดๆ ..
“เหรอ เรานึกว่าอยากได้กลิ่นเราซะอีก”
เบลลามีสัมผัสร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของผม และร่าย [ฮิล] ขึ้นมาอย่างช้าๆ บาดแผลสาหัสจึงถูกปิดลงทีละนิดๆ ไม่ถึงกับหายไปจนหมดในทีเดียวเลย เป็นความรู้สึกการถูกเยียวยาที่สุดยอดสุดๆ ..
“รักนะ เรเซอร์”
“….ยังกลางวันแสกๆอยู่เลย”
“พูดไม่ได้เหรอ? พูดได้แค่ตอนที่ทำอะไรสักอย่างตอนกลางคืนเท่านั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”
เบลลามียกหัวผมขึ้นมาวางไว้บนตักแสนนุ่มน่านอนของเธอ
ก่อนอื่นไปจำวิธีพูดขวางผ่าซากพวกนั้นมาจากไหนกันนั่น อยากจะถามออกไปตรงๆเหลือเกิน แบบว่าดูรุนแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยแฮะ เวลาแค่ไม่ถึงปีทำให้เบลลามีเปลี่ยนได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ไปเจออะไรมากันนะ ..
“เหนื่อยรึเปล่า?”
“สุดๆเลย สู้กับเอเธอร์ตัวคนเดียวเนี่ยนะ? อยากจะบ้าตาย ใครมันจะไปสู้ได้กันฟร้ะ ตัวขี้โกงพรรค์นั้น ..ทางนี้เล่นยัดของใส่ตัวตั้งไม่รู้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้น มีของที่อย่างน้อยก็อยู่ระดับเดียวกับเจ็ดสิบสองอาวุธทลายโลกาขั้นต่ำก็สามชิ้น แถมยังประกอบรวมกัน ใช้งานด้วยกันได้แบบดีเลิศกว่าเดิมตั้งไม่รู้กี่เท่า วิญญาณระดับเทพก็มี การแหกกฏเล็กๆน้อยๆในฐานะจอมมารก็มี แต่ก็ยังแพ้อยู่ดี ..”
ตัวผมแทบไม่ต่างอะไรกับพวกเติมทรูหนักๆเลยสักนิดไปแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังแพ้อยู่ดี
“แต่เอเธอร์บอกว่าเรเซอร์ชนะนะ”
“ก็แค่แพ้ แล้วมีคนมาช่วยได้ทันเอง ..ยังห่างไกลกับชัยชนะอีกเยอะ”
สำหรับผม นี่คือความพ่ายแพ้ที่ถูกหยิบยื่นชัยชนะมาให้มากกว่า ..เจ็บใจชะมัด ….แต่ก็ดีใจที่รอดจากความตายมาได้ ให้เลือกระหว่างศักดิ์ศรีกับชีวิต ผมเลือกอย่างหลังมากกว่าละนะ เกิดผมตายขึ้นมาก็จะไม่มีโอกาสได้นอนหนุนตักเบลลามีแบบนี้ เลยไม่อยากตาย
“..อา”
ความเหนื่อยล้าย้อนกลับเข้าร่างทันทีที่ผ่านพ้นการต่อสู้อันดุเดือดมาได้ เปลือกตาผมค่อยๆปิดเองตามสัญชาตญาณ
“ของีบหน่อยนะ ..ถ้ามีเรื่องอะไรช่วยปลุกด้วย”
ผมลืมทุกอย่างไปแล้ว ลืมเรื่องที่สั่งให้ฟัฟนิร์หนีจากเอเธอร์ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ผมลืมไปแล้ว คนอื่นๆล่ะ? ลืมไปหมดแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ผมแค่อยากจะนอนพักสักห้านาทีก็ยังดี
“ฝันดีนะ”
“..อ่า…”
****
“หลับไปแล้วนะครับ ..หวานใจของท่านจอมมาร”
“ใบหน้าตอนหลับ น่ารักมากๆเลยคิดอย่างนั้นรึเปล่า?”
เบลลามีพูดพลางใช้นิ้วชี้จิ้มแก้มของคนรักยามหลับใหล
“เอ่อ ผมไม่ได้มีรสนิยมอย่างนั้นจึงไม่อยากจะออกความเห็นเท่าไหร่น่ะครับ”
“การชมผู้ชายว่าน่ารักมันแปลกเหรอ?”
“สำหรับผู้ชายด้วยกันเอง มันจะรู้สึกเสียวๆคอน่ะครับ มันชวนให้คิดว่า เอ๊ะ หรือว่าเราอยากจะทำมิดีมิร้ายกับไอหมอนี่กัน อุหวา รู้สึกกลัวตัวเองขึ้นมาเลย อะไรมาณนี้ครับ”
เบลลามีทำเสียง “เห๋” อย่างสนอกสนใจ ในใจคิดไว้ว่าจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มทีหลัง
“จะว่าไป หวานใจของท่านจอมมารเนี่ยสุดยอดไปเลยนะครับ แบบว่าเล่นสวนกลับเอเธอร์ซะยับเยินได้ด้วย คนแบบนั้นบนโลกมีด้วยสินะเนี่ย นอกจากท่านจอมมารแล้วมีใครอีกกันนะ ผมนึกไม่ออกเลย”
แม้จะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ แต่ผลก็ใกล้เคียงกับคำว่าเสมอเป็นพิเศษ ต่างคนต่างหมดสภาพการต่อสู้ แค่พื้นฐานร่างกายเอเธอร์ดีกว่ามาก ทำให้ไล่ต้อนเรเซอร์หลังจากอยู่ในสภาพเดียวกันตัวเองได้ก็เท่านั้น
“ใช่แล้ว เรเซอร์น่ะสุดยอดที่สุดเลย”
“เถียงไม่ออกเลยละครับ ..โอ๊ะ เหมือนจะมีคนมากันแล้วนะครับ เพื่อนของท่านจอมมารรึเปล่า?”
“อือ เพื่อนของเราเอง”
เบลลามีหันไปทางที่มีคนเดินมา และยิ้ม
“เดี่ยวต้องเล่าเรื่องที่พวกเราไปเจอมาให้ฟังด้วย”
คนแรกที่โผล่มาก็คือยูจิที่มีข้างขวาเปื้อนเลือด แต่ดูๆแล้วไม่น่าใช่เลือดของยูจิ น่าจะเป็นเลือดของมิคาเอลมากกว่า
เบลลามีหรี่ตามอง นึกถึงเรื่องของยูจิได้ก็พึมพำขึ้นมา
“นอกจากเรากับเรเซอร์ น่าจะมียูจิด้วยนะ”
“ไม่หรอกครับๆ”
เบลลามีลุกขึ้นยืน และโบกมือทักทายยูจิ ..