เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 347
< < 214 > >
ภายในอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง โลกอีกใบที่ผมสร้างขึ้น–ใครจะคิดละว่าผมจะต้องมาสู้กับเอเธอร์อีกครั้ง
“[เฟรมบาสเตอร์]!”
เสียงร้องของผมนั้นดังลั่นเสมือนกับเพลิงที่กำลังแผดเผาร่างกายตัวผมเองอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น—ก็แอบคิดมาโดยตลอดว่าผมกับเอเธอร์จะไม่ต้องสู้กันอีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเพราะแอบไว้ใจ้คนๆนี้ หรือคนๆนี้จะแข็งแกร่งเกินไป ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่เคยคิดอยากจะสู้กับเอเธอร์เลยสักนิด
เอเธอร์กระซากเพลิงทำลายล้างทิ้งง่ายๆ และวิ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าผมหลายเท่าตัว
เพื่อที่จะตอบโต้กับความเร็วนั้นได้ ผมจึงต้อง
“[เสริมพลังกาย] [เสริมโชค] [เสริมสติปัญญา] [เสริมประสาทสัมผัส] [เสริมระยะมองเห็น] [เสริมความเร็ว] [เสริมความเร็วการร่ายเวทย์] [เสริมการลงดาบ] [เสริมการวิ่งหนี] [เสริมการวิ่งเข้าใส่] [เสริมกล้ามเนื้อ] [เสริมการลอยตัว] [เสริมการเดิน] [เสริมการเกาะผืนดิน] [เสริมกระปีนไต่] [เสริมการทรงตัว] ”
ผมยกระดับตัวเองด้วยพรแห่งจอมมาร จบท้ายด้วย–
“[ตัดมิติถลายขีดจำกัด]!”
การทวีคูณพลังของตัวเองขึ้นไปอีกขั้น
ตัวผมในตอนนี้สามารถอ่านการเคลื่อนไหวของเอเธอร์ได้
แต่ก็นะ
เอเธอร์มาใกล้ซะขนาดนี้แล้วจะหลบยังไงให้ทันหว่า
ผมไม่ได้เร็วกว่าเอเธอร์สักหน่อย ช้ากว่ามากเลยด้วยซ้ำ–
พร้วดดดดดด!!!!!! ผมปลิวไปกับแรงหมัดเขวี้ยงควายของเอเธอร์ หัวของผมหมุนสามร้อยหกสิบองศาวงไปมาได้สิบรอบได้ แต่ก่อนที่มันจะหลุดออก วิหคอมตะจากอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงก็เยียวยาตัวผมขึ้นมาใหม่ได้ทัน
กระนั้นร่างก็ปลิวไปตามแรงกระแทก เอเธอร์วิ่งไล่มาอย่างโหดเหี้ยม
“มีดีแค่ตายยากเหรอครับ?”
“หนวกหูเว้ย!!”
ผมชี้เรลันดาฟ ยิงเวทย์เพลิงสวนกลับ แม้ว่าทั้งหมดจะโดนเอเธอร์เตะจนปลิวไป หรือบีบจนเละ แต่ก็ช่วยย่นเวลาได้มาก
ผมตั้งหลักใหม่อีกครั้ง วิเคราะห์สถานการณ์ทุกอย่างในชั่วอึดใจเดียว
“[อินเฟอร์นอร์ฟิลด์]”
ฟิลด์เพลิงปกคลุมทับอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง—-เวทมนตร์ขั้นบรรลุที่จะเคลื่อนย้ายตัวเองไปตามเปลวเพลิงได้ เมื่อนำไปรวมกับอาณาจักรเปลวเพลิงก็จะเท่ากับว่าตัวผมสามารถไปที่ไหนก็ได้ ต่อให้เป็นเอเธอร์ บนโลกใบนี้หมอนั่นก็ไม่มีสิทธิ์เหนือกว่าผม
เอเธอร์พุ่งเข้ามา และตามผมไม่ทัน ผมเคลื่อนย้ายตัวเองด้วยอินเฟอร์นอร์ฟิลด์ จากนั้นก็ยิงเวทย์เพลิงสวนกลับ—
“[ศรเปลวเพลิง]”
ลูกศรเพลิงยักษ์ปรากฏขึ้นพร้อมกันสิบจุด ผมสั่งยิง—พร้อมกับใช้อินเฟอร์นอร์ฟิลด์ที่ซ้อนกับอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง
มันไม่ใช่การโจมตีที่เร็วเทียบเท่าแสง หรือว่าเร็วประหนึ่งอนันต์ หากแต่เป็นการโจมตีที่ผมสามารถจับวางได้ตามใจชอบ
วินาทีที่ศรเปลวเพลิงปรากฏ ทั้งหมดก็จะหายไป แล้วโผล่อีกทีที่ร่างกายของเอเธอร์
ตามที่บอกเอาไว้ ผมคือผู้ควบคุมทุกสิ่งบนโลกใบนี้!
“ไม่เลวครับ”
ปากพูดอย่างนั้นก็จริง แต่ศรเพลิงทั้งสิบของผมถูกหักเอาดื้อๆ–แม้ว่าจะวาร์ปเข้าไปประชิดตัวเอเธอรืได้ทันทีเลย แต่สิ่งที่เอเธอร์ทำก็แค่หักล้างเวทมนตร์ของผมโดยการวิเคราะห์ด้วยดวงตามหาปราชญ์ ให้พูดเอเธอร์ยกเลิกการโจมตีของผมด้วยเวลาที่ยังไม่ได้เริ่มนับด้วยซ้ำ
ใช้เวลาแค่ 0.00 วิ ในการหยุดทุกอย่าง
ไอวิธีบ้าๆพรรค์นี้ที่ไม่น่ามีมนุษย์ตัวไหนบนโลกใบนี้ทำได้ เอเธอร์ดันทำมันได้ง่ายๆเลย
‘เพราะเป็นเอเธอร์กระมังคะ? จึงทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ง่ายๆ’
สมกับเป็นเอเธอร์ดี ต้องพูดอย่างนี้สินะ!?
‘ยากจะยอมรับแต่ก็ใช่เลยค่ะ คนๆนั้นพิเศษ’
ผมบินด้วยผลึกของการาวิเทียภายในเรลันดาฟ—พร้อมกับตั้งเรลันดาฟขึ้นฟ้า
วงแหวนเวทย์สิบจุดปรากฏขึ้นที่หลังของผม ความสามารถพิเศษของเรลันดาฟ ‘ฟอร์มคทาเวทย์’ ก็คือการที่ตัวผมร่ายเวทย์ได้พร้อมกันสิบบทด้วยคุณภาพที่ทัดเทียมกัน หากเป็นปกติ มานาของผมควรจะหมดเอาหมดเอา แต่ตัวผมมีวิหคอมตะ ทั้งยังมีอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงที่ยกระดับอำนาจของวิหคอมตะขึ้นไปจนแทบไร้ขีดจำกัด
กล่าวก็คือ–มานาของผมในโลกใบนี้ จะไม่มีวันหายไปแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
เวทมนตร์สิบบท–
“[เฟรมบาสเตอร์]”
ผมเลือกเวทมนตร์ธาตุไฟขั้นบรรลุที่รุนแรงที่สุดทั้งสิบบท
ทุกอย่างผุดขึ้นด้วยความรวดเร็ว หากเป็นจอมเวทย์ปกติ อาจจะต้องใช้เวลาหลายวินาที อาจจะเกือบสามสิบวิได้ แต่บนโลกใบนี้ ผมเรียกมาได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวิด้วยซ้ำ นี่แหละคือขีดจำกัดที่ถูกดันขึ้นจนคล้ายกับไร้ขีดจำกัด
“รับไปซะ!!!”
“จะตั้งใจรับไว้เลยละ”
เฟรมบาสเตอร์สิบบทที่ถูกยกระดับความรุนแรงด้วยเรลันดาฟพุ่งออกไป—-เพราะเป็นเวทมนตร์ขั้นบรรลุที่ลึกในโครงสร้าง ผิดกับ [ศรเปลวเพลิง] จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยกเลิกเวทมนตร์นี้ได้ มีแต่ต้องตั้งรับตรงๆ และนั่นแหละคือจุดอ่อนที่เผยให้ผมได้เห็น
ด้วยอินเฟอร์นอร์ฟิลด์ เฟรมบาสเตอร์สิบบท ที่มีเพียงแค่บทเดียวก็มีอาณุภาพพอจะถล่มกองทัพทั้งกองทัพได้ ทั้งหมดก็อัดเข้าใส่ร่างของเอเธอร์
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
…..
เอเธอร์พุ่งออกมาจากแรงระเบิด
ไม่ได้ผลนั้นเหรอ? วินาทีก่อนที่ผมจะคิดอย่างนั้น
“ถุ้ย!”
เอเธอร์ถุยน้ำลายสีเลือดออกมา พลางวิ่งออกข้างแล้วปล่อยให้แขนที่ไหม้ยาวไปจนถึงลำคอของตัวเองไว้อย่างนั้น
ได้ผล—ผมใช้วิธีเดิมอีกรอบ ด้วยเวลาแค่วินาทีเดียว [เฟรมบาสเตอร์] อีกสิบบทก็พุ่งเข้าใส่
“[อินเฟอร์นอร์ฟิลด์]”
เอเธอร์ร่ายเวทมนตร์ซ้ำกับผม ฟิลด์แห่งเปลวเพลิงของเอเธอร์เข้าซ้อนทับอีกครั้ง
เฟรมบาสเตอร์ที่ควรจะวาร์ปเข้าใส่ร่างของเอเธอร์ก็ถูกหยุดลงกระทันหัน การเคลื่อนย้ายเวทมนตร์ของผมไม่เป็นผล เพราะว่าถูกเอเธอร์ใช้อินเฟอร์นอร์ฟิลด์ยับยั้งไว้ได้
เห็นว่าวางใจได้เปราะหนึ่ง เอเธอร์ก็หยุดวิ่ง และยกมือขึ้นมาร่าย [ฮิล] รักษาบาดเพลิงไม้บนตัวของตัวเอง
“ใช้วิธีนี้ได้ทำไมไม่ใช้ตั้งแต่แรกล่ะ? อ่อนให้กันนั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย คงเห็นแล้วละมั้งว่าอ่อนให้ไม่ได้แล้วน่ะ”
“ผมแค่ตัดสินใจตามสมควรเท่านั้น”
“ฟังไม่ขึ้นเลยแฮะ”
เอเธอร์ยิ้มให้ผมด้วยสีหน้าที่เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ไอแบบนี้จะให้คิดว่าเอาจริงได้ก็กระไรอยู่
“อย่าลืมสิครับว่าเทียบกับสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไป ผมมีมานาไม่ได้มากมายอะไร ..อินเฟอร์นอร์ฟิลด์เป็นเวทมนตร์ขั้นบรรลุที่กินมานามหาศาล ต่อให้วงจรเวทย์ของผมจะดีเลิศขนาดไหนมันก็ยังกินในปริมาณที่มากเกินพอดีอยู่ดี สำหรับผม การตัดสินใจซ้อนทับอินเฟอร์นอร์ฟิลด์บนโลกของเรเซอร์ก็ไม่ต่างอะไรกับฟางเส้นสุดท้าย” เอเธอร์หุบยิ้ม และหรี่ตามอง “ถ้าไม่ตัดสินใจทำเรื่องที่เสียเปรียบก็หมายความว่า–ผมจะเป็นฝ่ายแพ้ในที่สุดแทนยังไงละ พอจะเข้าใจบ้างหรือยังครับ?”
“…แบบนี้นี่เอง”
วิหคอมตะที่ช่วยให้ผมอยู่ในสภาพที่ดีเสมอ พรแห่งจอมมารที่มอบคำอวยพรให้แก่ตัวผมเอง การตัดมิติที่ยกระดับและสร้างความหลากหลายให้แก่ผม มณีอัคคี และอาณาจักรแห่งเปลวเพลิงที่เพิ่มประสิทธิภาพของเปลวเพลิง สุดท้ายเรลันดาฟซึ่งยกระดับตัวผมขึ้นอย่างกับคนละคน
ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้ผมสู้กับเอเธอร์ได้สินะ?
ผมมองไปที่เอเธอร์ซึ่งทำให้ผมแพ้ไม่ได้ และมองตัวผมที่ยังทำให้เอเธอร์แพ้ไม่ได้
นี่คือผลลัพธ์จากการต่อสู้กันได้สักพักหนึ่งของพวกเรา ..สูสีนั้นเหรอ?
ผมกระพริบตารัวๆ ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
‘..มาสเตอร์’
ยูนา ..
“ด้วยสภาพแวดล้อมที่เรเซอร์ได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียว กับความจริงที่ว่าไร้หนทางปิดฉากเรเซอร์ นั่นสร้างความลำบากให้ผมมากเลยละ”
“เรื่องนั้นไม่เห็นต้องบอกกันเลยก็ได้นี่ ปล่อยให้ฉันเป็นไอโง่ต่อไปจะไม่ดีกว่ารึ?”
“ต่อให้บอกหรือไม่บอกผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนหรอกครับ ต่อให้ในใจยังหวาดกลัวผม แต่ก็ทุ่มสุดตัวอยู่ดีไม่ใช่หรือ ..เรเซอร์ ดราแคล์”
เอเธอร์ยิ้มให้ผมอีกครั้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นรอยยิ้มที่ไม่จริงใจเอาซะเลย
“ภายในหนึ่งนาทีจะเป็นบทสรุปครับ”
บทสรุปนั้นเหรอ—
‘ไปกันเถอะค่ะ มาสเตอร์’
“อ่า พวกเราจะชนะ”
นี่เองก็เป็นบทสรุปที่ผมได้มาเหมือนกัน
“ [อาณาจักรแห่งแสง] ” เอเธอร์โพล่งขึ้น
อาณาจักรแห่งแสงโผล่ขึ้นมาแบ่งครึ่งกับอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง
ข้อได้เปรียบกว่าครึ่งถูกโต้กลับให้มาอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมตามเดิม แลกกับมานาที่ไหลออกจากร่างกายของเอเธอร์อย่างมหาศาล ทั้งอินเฟอร์นอร์ฟิลด์ และอาณาจักรแห่งแสงก็ล้วนเป็นเวทมนตร์ขั้นบรรลุประเภทกินมานาตลอดเวลา จะบอกว่าเป็นรูปแบบเวทมนตร์ที่กินมานามากที่สุดแล้วก็เป็นไปได้
หนึ่งนาทีคือขีดจำกัด สำหรับคนที่มีมานาน้อยนิดอย่างเอเธอร์
ได้เวลานับถอยหลังแล้ว— 1 วิ
ผมอัดเฟรมบาสเตอร์เข้าใส่เอเธอร์ เอเธอร์เลือกที่จะหลบด้วยพลังกายที่เหลือล้น
การโจมตีจับวางของผมใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว ทั้งผมและเอเธอร์ก็ต่างอยู่ในสถานะที่ใช้งานอินเฟอร์นอร์ฟิลด์ไม่ได้ แต่ก็ต้องร่ายค้างไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เปรียบตัวเอง
ต่อจากนี้จะเป็นการปะทะกันตรงๆ–ต้องเน้นที่ความเร็วไว้ก่อน
“[ทวนสายฟ้า]”
ทวนสายฟ้าปรากฏขึ้นพร้อมกันสิบบท ผมจับทั้งสิบบทโยนเข้าใส่เอเธอร์
ผ่านไป 5 วิ
“[ออโรร่า]” เอเธอร์พึมพำขึ้น
ร่างของเอเธอร์ถูกห่อหุ้มด้วยเวทมนตร์ขั้นบรรลุเฉพาะของธาตุแสง [ออโรร่า] คือการเพิ่มความสามารถทางกายอย่างมหาศาล เป็นเวทมนตร์ที่กินมานาเยอะไม่ต่างอะไรกับสองเวทมนตร์ขั้นบรรลุที่เอเธอร์ใช้ก่อนหน้านี้เลย
ด้วยพลังกายที่ยกระดับขึ้นมา เอเธอร์จึงวิ่งหลบทวนสายฟ้าทั้งหมดของผมได้
ผ่านไป 10 วิ
ผิดสังเกตุ–ทำไมเลือกจะวิ่งหลบแทนที่จะใช้มือจับโยนเอาดื้อๆกันเหมือนทุกที
เหตุผล-เพราะมันจำเป็นต้องใช้มานาน้อยนิด ในทุกๆครั้งที่เอเธอร์ขยี้เวทมนตร์ หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมานาชาวบ้าน เอเธอร์จะต้องใช้มานาเคลือบมือของตัวเองเพื่อให้แตะต้องได้ เป็นเทคนิคพิเศษที่น้อยคนจะทำได้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะทำได้ เทคนิคนี้ใกล้เคียงกับ ‘มานาบริสุทธิ์’ ที่สุดแล้ว
ทำไมต้องกลัวจะเสียมานา–เพราะมีมานาเหลืออยู่น้อยนิด
ทั้งๆที่บอกทุ่มสุดตัวแล้ว ทำไมไม่หาวิธีเข้าประชิดผมแล้วเล่นงานผมให้เร็วที่สุด–อาจจะมีความเป็นไปได้ที่เอเธอร์ต้องเก็บมานาเอาไว้อีกต่อหนึ่ง
หมายความว่า–วิธีชนะคือการไม่ให้เอเธอร์เข้าใกล้ แล้วปล่อยให้เวลานับถอยหลังมันจบลง
ผมกระหน่ำเวทมนตร์ใส่เอเธอร์ เน้นการโจมตีที่ยังไงๆก็หลบไม่ได้—เป็นไปตามที่คาดเอาไว้
เอเธอร์พุ่งผ่านเวทมนตร์โดยตรง เพราะหลบไม่ได้เลยรับไว้ แลกกับการรักษามานาที่เหลืออยู่ของตัวเอง
ผ่านไป 20 วิ
ร่างของเอเธอร์เปื้อนไปด้วยแผลไม้ รอยเลือด บาดแผลสาหัสมากมายหลายจุด
แต่ว่าก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว
แค่นี้ไม่มีทางหยุดเอเธอร์ได้
ต้องทำลายเวทีที่ทำให้เอเธอร์ขึ้นมาเท่าเทียมกับผมทิ้ง
“.. [เรลันดาฟ]-[สว่าน]”
เรลันดาฟเปลี่ยนฟอร์มไปเป็น [ฟอร์มสว่าน] ผมอัดเวทมนตร์เข้าใส่เอเธอร์ด้วยแขนอีกข้าง แน่นอนว่าเอเธอร์สามารถหลบได้ง่ายๆ ร่ายเวทมนตร์พร้อมกันสิบบทไม่ได้ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างความเสียหายให้เอเธอร์ได้
ผมเลือกจะแลกเปลี่ยน–และใช้สว่านแทงไปที่พื้นดิน
“[ทะลวง]-[คัดลอก] .. [อาณาจักรแห่งแสง]”
[ฟอร์มสว่าน] มีความสามารถในการวิเคราะห์สิ่งที่ทะลวงออกมาเป็นสูตร และสั่งให้ทำงานได้ทันที ผมใช้วิธีนี้สร้างอาณาจักรแห่งแสงทับอาณาจักรแห่งแสงของเอเธอร์ ส่งผลให้เกิดการหักล้างกันด้วยเวทย์สูตรเดียวกัน
ข้อได้เปรียบของเอเธอร์ถูกลบไปหนึ่งอย่าง
ด้วยเหตุนั้นโลกจึงเหลือแค่อาณาจักรแห่งเปลวเพลิงของผม [ออโรร่า] ที่ถูกยกระดับด้วยอาณาจักรแห่งแสงประสิทธิภาพของมันลดลงกระทันหัน ผมอาศัยช่วงเวลานั้นเปลี่ยนเรลันดาฟกลับมาเป็น [ฟอร์มคทาเวทย์] และกระหน่ำยิงเพลิงใส่เอเธอร์
ผ่านไป 40 วิ
“—”
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
…การต่อสู้ครั้งนี้ ผมจะต้องเป็นผู้ชนะให้ได้ เพื่อไปต่อ ผมจะต้อง—-เอเธอร์แหวกห่ากระสุนเพลิงเข้ามา
แขนข้างซ้ายที่ยื่นมาหาผมมีสภาพคล้ายกับเศษเนื้อที่มีกระดูกโผล่ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเข้าขั้นปางตาย กระนั้นร่างกายก็ยังขยับได้ต่อ
ผมกระโดดถอยหลัง เร่งความเร็วด้วยการควบคุมแรงโน้มถ่วง—
“[จังหวะแตะแสงดาว]”
วิชาดาบของเทพดาบ!!?
‘มาสเตอร์!!!!’
เอเธอร์พุ่งมาประชิดตัวผม แขนข้างซ้ายจับที่ข้อมือ กระซากร่างผมเข้าไปใกล้ และใช้แขนขวากระซวกเข้าไปภายในร่างกาย
ด้วยแรงของเอเธอร์มันคงเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนปลอกกล้วยที่จะฆ่าผมให้ตาย เพียงแต่–ผมไม่ยอมต่ายง่ายๆหรอก
วิหคอมตะพวยพุ่งโอบทั้งร่าง วี่แววของความตายไม่มีวันปรากฏภายใต้เพลิงสีทองอันอบอุ่บนี่
ผมคือผู้ชนะ—ผมคิดเช่นนั้นตลอด จนกระทั่งเวลาผ่านไปเพียงวินาทีเดียว
“เหมือนว่าทางนี้จะชนะนะครับ”
“หา—”
ผมล้มลงไปกองกับพื้นกระทันหัน เช่นเดียวกับเอเธอร์ พวกเราปลิวห่างกันราวสามเมตร ..จากนั้นภาพก็ได้ตัด
ไปสู่โลกความจริง
ทั้งอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง ทั้งอินเฟอร์นอร์ฟิลด์ ทุกอย่างถูกสลาย
‘..จบลงแล้วหรือคะ?’
ยัง ..ยังไม่จบ
….ผมสัมผัสวงจรเวทย์ของตัวเองอย่างใจเย็นก่อนจะได้บทสรุป
“..มานาเป็นศูนย์?”
“เข้าคู่กันเลยนะครับ ทางนี้เองมานาก็เหลือศูนย์เหมือนกัน แถมวงจรเวทย์ยังได้รับความเสียหายจนใช้ทักษะดาบไม่ไหวแล้วด้วยละ”
เอเธอร์ผู้ยืนอยู่ไม่ห่างไกลกัน ค่อยๆเดินเข้ามาหาผม ด้วยใบหน้าปั้นยิ้ม
“ฮะ..ฮะ..ฮ่าๆๆๆๆ”
ผมหัวเราะอร่อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ไม่นานผมก็หุบยิ้ม และเปลี่ยนฟอร์มของเรลันดาฟเป็น [ฟอร์มดาบ]
ต่อให้ไม่มีมานา ผมก็จะชนะ
ผมกับเอเธอร์เร่งฝีเท้า เข้าใส่กันในระยะที่ใกล้ชิด
“ย๊ากกกกก—อึก”
“อย่างไรซะ ร่างกายพวกเราก็แตกต่างกันเกินไปครับ”
แรงหมัดของเอเธอร์ที่วงจรเวทย์เสียหาย—ก็ยังหนักพอจะฆ่าคนได้อยู่ดี
ผ่านไปหนึ่งนาที ..จบการนับถอยหลัง
ผมโดนซัดจนปลิวไปชนกับซากปรักหักพังแถวๆนั้น แผ่นหลังโดนเสียบด้วยเศษหิน และเหล็กจนเลือดพุ่ง ….บัดซบเอ้ย ร่างกายมันแหลกจนขยับไม่ได้แล้ว
“ใช้วิธีอะไรกัน”
‘..ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ’
แม้แต่ยูนาก็ไม่รู้ ….
“เป็นเทคนิคพิเศษที่เรียนรู้มาจากน้องสาวน่ะครับ ..เป็นอะไรที่ใช้ได้ยาก และมีเงื่อนไขจำกัดมากมาย ไม่ว่าจะต้องมีมานาเหลือศูนย์พอดีในจังหวะที่สัมผัสวงจรเวทย์อีกฝ่าย หรือต้องมีความเข้าใจในมานาอย่างถ่องแท้”
เอเธอร์พูดค้างไว้ และเดินมาดึงคอเสื้อยกร่างผมขึ้นมา และเหวี่ยงไปชนกับเสาแถวๆนั้น เหล็กที่เสียบอยู่กับเสาทะลุผ่านเนื้อหนังของผมเข้ามาง่ายๆ และด้วยแรงของเอเธอร์ทั้งตัวผมและเสาก็ปลิวไปพร้อมกัน จนอยู่ในสภาพที่ผมนอนโดนเสาทับ และถูกเหล็กแทงทะลุเนื้อ ..
ร่างกายที่แหลกแทบเหลวอยู่แล้วก็หนักกว่าเดิม—
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”
“ยังพอมีแรงที่จะร้องสินะครับ”
เจ็บ รู้สึกเจ็บจนอยากจะตาย อยากจะดิ้นไปมา แต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ร้องแหกปากเสียงดังเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของตัวเอง
‘มาสเตอร์!! รีบๆใช้ฉันเถอะค่ะ รีบๆดึงดาบสะบั้นมิติออกมา!!!!!!’
ไม่ใช้โว้ยย ..แล้วก็ใช้ได้ที่-ไหนกัน! มานา ..ไม่..มีแล้วนะ
‘เรื่องนั้น ..ได้โปรด ได้โปรดช่วยฟื้นฟูมานาเร็วๆ แล้วก็ใช้วิหคอมตะ จากนั้นก็ใช้ดาบสะบั้นมิติ—’
นานๆทีแฮะที่จะได้เห็นยูนาอยู่ในสภาพตื่นตูมเนี่ย ..หา ..ดูได้..ยาก!
“อ๊ากกกก—!!”
‘มาสเตอร์!!!!!’
เมื่อได้รับความเจ็บปวดมากเกินไป น้ำตาไหลออกมาตามสัญชาตญาณ ใจอยากจะยกเสาบนตัวออกไป แต่ร่างกายที่ตอบสนองสิ่งที่ต้องการไม่ได้ มันยิ่งชวนให้เจ็บปวดและเจ็บใจเข้าไปใหญ่
ผมคือผู้แพ้—เป็นอีกครั้งที่พ่ายแพ้ให้แก่ เอเธอร์
“คึกก….!!!!”
ผมกัดฟันกรามแน่น เจ็บใจ เจ็บใจสุดๆ อีกแล้วเหรอวะ แพ้อีกแล้วเหรอวะ ผลลัพธ์ไม่ได้ต่างกันครั้งก่อนเลยไม่ใช่รึไง—ต้องทำยังไงถึงจะชนะได้กันวะ!!?
“เจ็บใจสินะครับ”
“…”
“ถึงจะแค่นานๆที แต่ผมก็เข้าใจอยู่”
เอเธอร์ถีบเสาออกจากร่างของผม จากนั้นก็ยืนมองผมด้วยมุมที่สูงกว่า ..ตัวผมตอนนี้ละอายใจจนไม่อยากแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
“เงยหน้าขึ้น แล้วก็ภูมิใจเถอะครับ มนุษย์ในยุคนี้ ไม่สิ อาจจะเป็นมนุษย์ที่รับมือยากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์แล้วก็เป็นไปได้ ตัวของเรเซอร์น่ะ นอกจากนั้นนี่ก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่แน่นอน หากแต่เป็นผลลัพธ์ที่ปรากฏในบทสรุปก็เท่านั้น การที่ผมหรือเรเซอร์จะพ่ายแพ้ ไม่ได้มีเรื่องให้น่าอับอายเลย”
ผมกับเอเธอร์สบตากัน ….อ่า จะว่าไป
สภาพเอเธอร์เองก็เยินไม่แพ้กันเลยแฮะ บาดแผลเพลิงไหม้ทั่วทั้งร่าง ตั้งแต่ท้องไปจนถึงปลายๆหู แขนซ้ายที่กระดูกโผล่ ขาสองข้างที่แค่เดินก็ลำบาก พูดถึงสิ่งที่ดูดีอยู่ก็น่าจะมีแค่แขนขวาซึ่งเอเธอร์จงใจให้เหลือเอาไว้ เพื่อใช้เล่นงานผมอย่างนี้
พลาดตรงไหนกัน ..อาจจะพลาดตรงที่คิดทำลายข้อได้เปรียบของเอเธอร์ หรือก่อนหน้านั้น? ไม่รู้สิ
“อย่างน้อยๆถ้าจะชมกันก็ช่วยยิ้มแบบจริงใจหน่อยนะ”
“เรื่องนั้นจะเก็บเอาไปคิดนะครับ ..เช่นนั้นก็”
เอเธอร์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ห่างกันราวหนึ่งเมตร นับจากนี้อีกไม่นาน ผมจะถูกเอเธอร์ฆ่าทิ้งจริงๆ ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่หมอนี่ออมมือให้ ..ผมหลับตาลง ยอมรับความพ่ายแพ้
ขอบคุณนะ ยูนา ..
‘…ขอโทษด้วยนะคะ’
จะขอโทษทำไมเล่า
‘ถ้าหากฉันทำตัวให้มีประโยชน์มากกว่านี้ได้ ..ฉัน..ไม่อยากแพ้ ไม่อยากให้มาสเตอร์ต้องตาย’
เหมือนกันแหละนะ
ไม่อยากตายเลยสักนิด คิดถึงจังเลยนะ ทุกๆคน …คิดถึงจังเลยนะ เบลลามี
……..
…….
ความตายไม่มาเยือนเสียที ผมจึงลมตาตื่น
สิ่งแรกที่เห็นคือเส้นผมสีดำม่วง—-เหมือนกับของเบลลามี
“อย่าพึ่งรีบจากเราไปสิ”
‘เบลลามี’ ยืนขวางระหว่างผมและเอเธอร์ เธอยิ้มให้กับผมด้วยใบหน้าที่ดูไร้ความรู้สึก แต่ตัวผมที่รักเธอสุดหัวใจ ย่อมคิดว่าใบหน้าของเธอมันแสนอ่อนโยนอยู่แล้ว