< < 212 Sec2 > >
บนเรือรบของจอมมาร เหล่าปีศาจมหาบาปได้ยืนเรียงกันเฝ้ามองการต่อสู้ที่เหมือนกับเรื่องโกหก
ลูซิเฟอร์ ซาตาน และแมมม่อนยืนมองการปรากฏตัวของไททันอีกครั้งในรอบหลายแสนปี
“..ไปช่วยท่านจอมมารกันเถอะ”
ซาตานกล่าวขึ้น พร้อมกับเดินไปข้างหน้า แต่ก็ถูกแมมม่อนดึงปกคอเสื้อเอาไว้ก่อน
“ไม่จำเป็นหรอกครับ”
“หา!? ไม่เห็นหรือไงว่าท่านจอมมารโดนยัยนั่นเล่นขี้โกงเข้าให้แล้วน่ะ ไอแบบนี้ไม่ใช่การต่อสู้ที่แฟร์เลยสักนิด—”
“ต่อให้คุณดิลุคจะเหลือแค่ครึ่งร่าง มนุษย์ธรรดมาก็ไม่อาจทาบรัศมีของเธอคนนั้นได้ คุณดิลุคจะชนะเสมอ นี่คือความจริง”
“…แต่ว่า”
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ คุณดิลุคก็จะสร้างปรากฏการณ์ให้พวกเราเห็นเสมอ นี่ก็จะเป็นอีกหนึ่งโชว์ของเขาครับ”
แมมม่อนยิ้มออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ลูซิเฟอร์หรี่ตามองอย่างหน่ายใจ
“สมกับเป็น ‘คู่หมั้น’ ของท่านจอมมาร เชื่อมั่นในตัวว่าที่เจ้าสาวดีจริงๆนะท่าน”
“ผิดแล้วละครับ ลูซิเฟอร์ ตัวผมเชื่อมั่นคุณดิลุค ในฐานะ ‘จอมมาร’ ต่างหาก”
ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นไททัน หรือเทพมังกร จอมมารของพวกเขาก็จะไม่มีทางแพ้ ปีศาจมหาบาปแบกความรู้สึกอย่างนั้นมาตลอดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับจอมมาร
แน่นอนเรื่องนี้ไม่มีใครคิดในกลุ่มคิดจะแย้ง
****
“[เวลเดีย]-[จอมมาร]”
เกราะเพลิงสีขาวตรงหน้า ทำให้จอมมารอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ไม่ว่าจะพยายามจะเร่งเพลิงสีขาวออกมาใหม่มากเท่าไหร่ ก็ไม่เป็นผล เพราะ–ถูกหลอมรวมไปแล้ว เวลานี้ ชั่วขณะหนึ่งบนโลกใบนี้ เพลิงสีขาวได้ตกเป็นอำนาจของเบ็นจิโร่ไปแล้ว
“เป้าหมายที่แท้จริงคือสิ่งนี้นี่เอง แปลงตัวเองเป็นไททันเพื่อใช้ร่างนั้นกักเก็บเพลิงสีขาว และหลอมรวมกับมัน..จนกว่าจะหมดเวลา ตัวเราจะไม่สามารถใช้อำนาจของตัวเองได้อีก ไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวที่ถูกพรากสิ่งสำคัญไป หึๆ น่าสนใจจริงๆ”
“อัตลักษณ์ในฐานะจอมมารของแกไม่มีอีกแล้ว”
“แค่สูญเสียอำนาจส่วนหนึ่งไป ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ใช่จอมมารเสียหน่อย”
“….”
จอมมารก้าวมาข้างหน้าอย่างห้าวหาญ ไม่รู้จักเกรงกลัวแม้ว่าจะสูญเสียสัญลักษณ์สำคัญของตัวเองไป—
“แต่แรกเดิมที ตัวเราถูกเรียกขานว่า ‘จอมมาร’ ตั้งแต่ก่อนที่เปลวเพลิงสีขาวจะถือกำเนิดเสียอีก”
เท็งงุ เบ็นจิโร่ เห็นท่าไม่ดี เธอรีบง้างคันธนู และยิงศรเพลิงสีขาวเข้าใส่จอมมารตรงหน้า จอมมารตั้งรับด้วยการใช้เท้ากระแทกพื้น สร้างกำแพงน้ำขึ้นมา
ศรเพลิงสีขาวทั้งหมดสี่จุดพุ่งทะลุผ่านโล่น้ำเสมือนใบไม้—แขนซ้าย แขนขวา หน้าท้อง และหัวไหล่ขวา คือความเสียหายที่จอมมารได้รับเป็นครั้งแรก ศรเพลิงสีขาวทะลุผ่านผิวหนังของจอมมาร และเพลิงทำลายล้างก็เข้าทำลายร่างกายของเจ้าของตัวจริง
ทุกส่วนของร่างกายละลายด้วยเพลิงสีขาว จนแทบจะเห็นกระดูก แต่จอมมารก็ใช้ [ฮิล] รักษาร่างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก่อนสลักเอาเพลิงสีขาวทั้งหมดออกมาได้
“สุดยอดเลยนะ”
จอมมารสลายกำแพงน้ำ และพบกับลูกศรเพลิงสีขาวที่ถูกตั้งค่าด้วยวงแหวนเวทย์บนฟ้า มองด้วยตาเปล่า ไม่ต่ำกว่าหมื่นจุด และหากวิเคราะห์ตีเป็นตัวเลขเป๊ะๆ
“หนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยสี่สิบสอง ..เป็นปริมาณพอดีกับเพลิงสีขาวที่เราเรียกได้เลย แสดงว่าที่ขโมยไปไม่ได้มีแค่พลัง แต่รวมถึงขีดจำกัดดั้งเดิมด้วยนี่เอง”
“[ชาร์จ]-[ยิง]!”
เบ็นจิโร่ออกคำสั่ง ดั่งผู้นำบทละครโอเปร่า ศรเพลิงจอมมารพุ่งเข้าใส่จอมมารพร้อมๆกัน
จอมมารยื่นมือออกมาข้างหน้า และ—
“ถ้าหากถูกขโมยไป ก็แค่สร้างขึ้นมาใหม่”
วิเคราะห์ ออกแบบ เริ่มสร้าง—สมบูรณ์ ทุกขั้นตอนเกิดขึ้นในสมองของจอมมารด้วยเวลาบนโลกแห่งจิตนาการ ซึ่งโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ..ไม่ได้เดินเลยแม้แต่เสี้ยววิเดียว
ห่ากระสุนเพลิงขาวกระหน่ำเข้าใส่ผู้เป็นจอมมาร เธอผู้ถูกหมายหัวทำเพียงแค่ดีดนิ้ว
…….
…….
เพียงแค่นั้น
“เรื่องอะไรกัน—!!”
เพลิงสีดำทมิฬเข้าปกคลุมเพลิงสีขาว ไม่ใช่แค่หักล้างเพื่อจบกัน แต่มันเข้ากลืนกินเพลิงสีขาวทั้งหมด หนึ่งหมื่นกว่าจุดถูกกลืนกินเป็นทอดๆด้วยเวลาอันสั้น ไม่เกินสามวิ เพลิงสีขาวซึ่งเป็นขีดจำกัดมากสุดของจอมมารก็สลายหายไป
เบ็นจิโร่ได้พบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เธอถึงกับเหงื่อตก ตื่นตกใจยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับเทพมังกรเป็นไหนๆ ….เท็งงุสาวพุ่งเข้าใส่จอมมาร หมายจะทะลุเพลิงสีดำเข้าไปทำลายจอมมารด้วยเพลิงสีขาวโดยเร็วที่สุด
“เพราะเพลิงสีขาวใช้ไม่ได้เลยสร้างเพลิงสีดำขึ้นมาแทนน่ะเหรอ? เรื่องที่เหมือนกับการโม้ของเด็กมันใช้ได้ซะที่ไหนกัน!?”
“เพราะเป็นจอมมารเลยทำให้เรื่องที่เสมือนการโม้ของเด็กน้อย เป็นจริงได้ต่างหาก”
จอมมารก้าวเท้ามาหนึ่งก้าว เปลวเพลิงสีดำคลืนคลานเข้ามาหนึ่งก้าว–เบ็นจิโร่บินเข้ามา พร้อมกับกระหน่ำยิงกระสุนเพลิง ดูเหมือนจะยิงมั่ว แต่ทุกการโจมตีอยู่ในการคาดเดาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพราะอย่างนั้นจอมมารที่คาดเดาผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของเบ็นจิโร่ได้ ก็เลยดักทางทุกอย่างได้
เหตุผลที่จอมมารโค่นทวยเทพได้เกือบทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเพลิงสีขาว หรือดาบแห่งโซโลม่อน
ศรเพลิงถูกยับยั้งด้วยเปลวเพลิงสีดำจุดเล็กจุดน้อย ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ ทุกการโจมตีเกือบพันครั้งในวิเดียว ถูกหยุดลงอย่างกับจับวาง
ทั้งๆที่ไม่ใช่—เบ็นจิโร่ทยานขึ้นท้องฟ้า อำพรางร่างของตัวเองไปกับก้อนเมฆ และยิงศรยักษ์ออกมาทั้งหมดสิบจุด
เปลวเพลิงสีดำเข้าโอบศรยักษ์ทั้งสิบ ทว่าวินาทีก่อนจะสัมผัส ศรยักษ์ก็แตกหน่อออกมาเป็นศรขนาดเล็กหลายพันจุด ทุกจุดพุ่งผ่านเพลิงสีดำ ทยานเข้าใส่จอมมารด้วยการยิงรูปแบบพิเศษของเบ็นจิโร่
จอมมารผิวปาก และ–ร่ายรำ
“….โกหกใช่มั้ย?”
ภาพเบื้องล่างที่เห็นคือจอมมารที่ร่ายลำท่ามกลางห่ากระสุน เธอหลบการโจมตีนับพัน ด้วยการร่ายลำแสนสง่างาม ไม่ใช่หลบหลีกให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด แต่หลบหลีกการโจมตีพันครั้งให้ได้อย่างงดงามที่สุด
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางหลบได้หมดหรอก แต่ว่าวินาทีตรงกันกับที่จอมมารโดนต้อนให้จนมุม เพลิงสีดำก็ย้อนกลับเข้ามากลืนกินเพลิงสีขาวได้ทัน
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น นอกจากโชว์สุดพิเศษของจอมมาร
ย้ำอีกครั้ง ..เหตุผลที่จอมมารโค่นทวยเทพได้เกือบทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเพลิงสีขาว หรือดาบแห่งโซโลม่อน
หากแต่เป็น—การทำให้ทุกสิ่งบนโลกอยู่ในกำมือของเธอต่างหาก
ไม่ว่าจะ ไททัน ฟีนิกซ์ ภูตสวรรค์ หรือพลังของตัวเธอเอง ไม่ว่าจะด้วยอะไร ก็ไม่มีทางเอาชนะจอมมารได้
บนหน้าประวัติศาสตร์ที่แท้จริงบนโลกใบนี้ ..คนๆเดียวที่เคยเอาชนะเธอได้ก็มีแค่ ‘เอเธอร์’ คนเดียว
เบ็นจิโร่บินลงสู่พื้น เกราะเพลิงสีขาวของเธอกระพริบไปมา ก่อนที่เกราะจะเปลี่ยนเป็นไร้สี ..หมดเวลาแล้ว
“ขอบคุณนะ เบ็นจิโร่ เพราะเธอเลย เราถึงได้คิดค้นสูตรใหม่ที่แสนน่าสนใจมาได้ เพลิงสีขาวคือการโจมตีที่ดีที่สุด ส่วนเพลิงสีดำคือการตั้งรับที่ดีที่สุด ..ในทีแรกเราคิดมาโดยตลอดว่าแค่เพลิงสีขาวก็เพียงพอต่อการรุกและรับแล้ว แต่นั่นสินะ กับของที่ถูกสร้างมาเพื่อทำลาย มันจะไปดีกว่าของที่ถูกสร้างมาเพื่อป้องกันได้อย่างไร แม้ว่าโลกนี้จะมีวลีที่ว่าการโจมตีคือการป้องกันที่ดีที่สุดก็ตาม”
เพราะเธอเลย เราถึงได้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น …ราวกับจะพูดอย่างนั้น ไม่มีอะไรที่ทำลายศักดิ์ศรีของนักรบเท็งงุไปได้มากกว่านี้แล้ว
“..ออกมาซะ”
เบ็นจิโร่คว้าเอาสร้อยคอกว่าสิบอันออกมาจากกระเป๋าเวทมนตร์ เธอโยนมันขึ้นฟ้า และตะโกนออกมา
“ [ยูนิคอร์น] ”
ยูนิคอร์นปรากฏตัว
“ [กริฟฟิน] ”
กริฟฟินปรากฏตัว
“ [เพกาซัส] ”
เพกาซัสปรากฏตัว
“ [บาซิลิสก์] ”
บาซิลิสก์ปรากฏตัว
“ [ฮิปโปแคมปัส] ”
ฮิปโปแคมปัสปรากฏตัว
“ [การ์กอลย์] ”
การ์กอลย์ปรากฏตัว
“ [มันติคอร์] ”
มันติคอร์ปรากฏตัว
“ [คิเมร่า] ”
คิเมร่าปรากฏตัว
“ [โนโบอา] ”
โนโบอาปรากฏตัว
“ [คราเค้น] !!”
สุดท้าย ปลาหมึกยักษ์แห่งตำนานโจรสลัด คราเค้นปรากฏตัว
สัตว์ในตำนานทั้งสิบที่ถูกอัญเชิญขานเสียร้องออกมาราวกับบทเพลิง เท็งงุ เบ็นจิโร่ ในชุดเกราะไร้สีโพล่งขึ้นอย่างดุดัน
“[เวลเดีย]-[กริฟฟิน] [เพกาซัส] [บาซิลิสก์] [ฮิปโปแคมปัส] [การ์กอลย์] [มันติคอร์] [คิเมร่า] [โนโบอา] [คราเค้น]”
เสียงของเบ็นจิโร่ดังผสานกับเสียงของภูตสวรรค์เวลเดีย ทั้งสิบชีวิตหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ เท็งงุ เบ็นจิโร่ ผู้ทำพันธสัญญา จากนั้นเวลเดียก็ปรากฏวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง
“[เวลเดีย]-[เดอะ บีสต์]”
ร่างเกราะ [เดอะ บีสต์] เปล่งประกายแสงหลากสีออกมา—เกราะที่มีเอกลักษณ์ของสัตว์ในตำนานทั้งสิบ คือขีดจำกัดสูงสุดที่เธอคนนี้สามารถไปถึงได้
เบ็นจิโร่เข้าปะทะกับจอมมารอีกครั้ง ความเร็ว ความรุนแรง ทวีคูณขึ้นไม่รู้กี่เท่า—-หากถูกโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว ร่างนี้คงจะแหลกเป็นผุยผง ไม่ทันแม้แต่จะรักษาตัวเองได้ จอมมารวิเคราะห์ออกมาได้ดังนี้ และกล่าวชื่นชม
“แข็งแกร่งจริงๆด้วย—”
แต่ว่า สิ่งที่อยู่ในกำมือนั้นไม่มีทางหลุดไปไหนได้
เปลวเพลิงสีดำตั้งรับการกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่ง กลืนกินทุกการโจมตีที่โดนแค่เศษเสี้ยว จอมมารก็จะตายทันที และใช้เพลิงสีขาวอัดเข้าร่างของเบ็นจิโร่—ร่างนั้นปลิวถูกยกขึ้นฟ้าด้วยเพลิงสีขาว
“มหาสมุทรจะเป็นพลังให้แก่ผู้ถือครองมณีวารี ตัวเธอที่สู้อยู่บนมหาสมุทร จะมีมานาที่ไร้ขีดจำกัด ทั้งยังอยู่ในสถานะอมตะ ต่อให้ใช้เพลิงสีขาวมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางปิดฉากการต่อสู้ลงได้”
สิ่งเดียวที่นึกออกก็คือ [ดาบแห่งโซโลม่อน] แต่เพราะเงื่อนไขไม่ครบ จึงเรียกมาไม่ได้ ช่วยไม่ได้ เพราะช่วยไม่ได้ เลยต้องใช้วิธีนี้แทน
“แม้ว่าจะอยู่เหนือมหาสมุทรมากแค่ไหน สายน้ำก็จะมาหาเธอเสมอ—วิธีชนะเลยเหลือแค่ตัวเลือกเดียว”
จอมมารใช้ขาซ้ายกระแทกกับพื้นผิวน้ำ จากนั้นการระเบิดของมานาก็ปรากฏ
แสงสีขาวเข้าปกคลุมมหาสมุทร—-กว่ากิโลเมตร
ด้วยการระเบิดมานาของจอมมาร ….มหาสมุทรได้ถูกลบหายไป
“แค่ลบมหาสมุทรไปซะก็สิ้นเรื่อง”
จุดที่จอมมารยืนอยู่คือพื้นดินใต้สุดของมหาสมุทร ตรงหน้าเธอไม่ไกลนักก็ยังคงมีน้ำอยู่ เพียงแต่มันไม่สามารถผลักเข้ามาได้
ร่างของเบ็นจิโร่ถูกปล่อยลงสู่พื้นที่ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว ….ชุดเกราะ [เดอะ บีสต์] ถูกสลายออกจากการเผาไหม้ของจอมมาร
เบ็นจิโร่ในร่างที่จริงนอนคากับพื้น ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเป็นพิเศษ จากการป้องกันของชุดเกราะ ทว่าตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรแล้ว กระทั่งมานา
“…”
เธอลุกขึ้นยืนหลังจากตั้งสติได้ เบ็นจิโร่ถอนหายใจเฮือกโต พยายามจะกวักมือเรียกธนู ‘วิลรันเทีย’ ออกมา แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะมานาได้หมดไปแล้วจากการต่อสู้ ทั้งยังไม่มีน้ำจากมหาสมุทรช่วยฟื้นฟูอีกด้วย
“..แกชนะแล้ว”
เท็งงุ เบ็นจิโร่ ประกาศความพ่ายแพ้ของตัวเองออกมา เธอหยิบกระดาษที่ติดด้วยก้อนหิน และโยนขึ้นไปบนฟ้าด้วยแรงแขนเพรียวๆ
“นั่นคืออะไรเหรอ?”
“คำสั่งให้ถอยทัพ”
“เป็นผู้นำที่ดีจริงๆนะ ต่อให้พ่ายแพ้ก็ยังไม่ลืมลูกน้องตัวเอง”
“เพราะเป็นการต่อสู้ที่เปล่าประโยชน์ต่างหาก ถ้าเห็นว่ายังสู้ได้ ยังมีโอกาสชนะ ต่อให้ทุ่มชีวิตของลูกเรือทั้งหมดฉันก็ยอม แต่ว่า—กับแกแล้วมันไม่มีทางชนะ เลยให้ถอยไปก็เท่านั้น”
เบ็นจิโร่ถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่เดือดได้ที่
“..เท็งงุ เบ็นจิโร่”
“มีอะไรอีก”
“เธอคือมนุษย์ธรรมดาที่แข็งแกร่งที่สุดที่เราเคยสู้ด้วย ..ภูมิใจเสีย” จอมมารหรี่ตามอง พูดด้วยรอยยิ้ม “นานๆทีจะมีคนที่ทำให้เราเหลือทางเลือกเดียวเพื่อชนะโผล่มาน่ะนะ บางทีเธออาจจะเป็นคนสุดท้าย และคนเดียวในยุคนี้แล้วก็เป็นได้”
“ผิดแล้วละ”
เท็งงุ เบ็นจิโร่กล่าวอย่างหนักแน่น
“ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ คืออีกคนที่ยอดเยี่ยมไม่ด้อยไปกว่าฉัน จำชื่อนี้เอาไว้”
ได้ยินชื่อของชายคนนั้น จอมมารก็กระพริบตาปริบๆอย่างผิดสังเกตุ เธออมยิ้มราวกับเด็กสาว ก่อนยิ้มให้เบ็นจิโร่เพื่อกลบเกลื่อนบางอย่าง
“..ไม่มีทางลืมหรอกชื่อนั้นน่ะ ใช่ ไม่มีทาง”
“..ก็ดี”
แม้จะสงสัยว่าทำไมจอมมารถึงพูดเหมือนรู้จักเรเซอร์ แต่เบ็นจิโร่ก็ไม่คิดชักถามไปมากกว่านี้
“เช่นนั้นก็ลาก่อน เป็นการต่อสู้ที่สนุกมากเลยละ”
“สำหรับทางนี้คือความทรงจำที่ห่วยแตกที่สุด”
จอมมารยิ้มให้ส่งท้าย ก่อนจะปิดงาน ..
****
การปะทะกันระหว่าง เท็งงุ เบ็นจิโร่ และจอมมาร จบลงแล้ว
จอมมารบินกลับขึ้นมาบนเรือรบยักษ์ โดยมีปีศาจมหาบาปทั้งสามคอยต้อนรับ
“ยอดเยี่ยมมากครับ คุณดิลุค”
“อือ เป็นผลลัพธ์ที่ควรจะเป็น”
นอกจากจอมมารจะเป็นผู้กำชัย ทหารเรือที่เหลืออยู่ทั้งหมดยังต้องหมุนศรเหลือกลับอาณาจักรตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ..
“ตามไปจัดการให้หมดเลยดีรึเปล่าครับ?”
“ไม่จำเป็นหรอก อย่างที่นายบอก ก็แค่พวกปลาซิวประสร้อย”
อย่างน้อยๆถ้าเป็นพวกระดับเบ็นจิโร่ก็อาจเก็บไปคิดอยู่ ถึงจะดูเหมือนจอมมารเอาชนะได้ไม่ยาก แต่นี่เป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง ทำให้จอมมารได้เปรียบเป็นพิเศษ แต่พลังของเบ็นจิโร่ยังไงก็สร้างความเสียหาลวงกว้างมากเกินไป ในสงครามจริงเป็นตัวอันตรายไม่ได้ด้อยไปกว่า ‘ซาตาน’ เลยละ และถึงชนะมาได้ แต่ก็ชนะได้ด้วยวิธีๆเดียวเท่านั้น ในมุมมอของจอมมาร ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ขาดลอยอะไร แต่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ควรจะเป็น
….ฝนเริ่มตกลงมา น่าจะเกิดจากการต่อสู้ที่ดุเดือด
จอมมารแบมือรับสายฝน
“พวกเราจะไปกำจัดเทพมังกรกัน จากนั้นก็ต้องตัดสินกับท่านพี่ให้รู้เรื่อง แต่ก่อนหน้านั้นต้องหาจิกซอว์ให้ครบก่อน” จอมมารหันมาพูดกับแมมม่อน “เพราะอย่างนั้นงานแต่งงานของพวกเราจะจัดในสามวันถัดจากนี้ ..ต้องเตรียมการณ์ และทำให้เร็วที่สุด”
“เข้าใจแล้วครับ”
…..
“ดี แล้วเรื่องอีกครึ่งหนึ่งของเราที่หายไป ลิเวียธานหาเจอรึยัง?”
“เหมือนว่าจะยังนะครับ”
“นั้นเหรอ”
จอมมารหันหลังเดินกลับเข้าภายในเรือ โดยที่ข้ารับใช้ปีศาจมหาบาปก็เดินตามเธอไปด้วย ….
“จะว่าไปที่บอกให้ระวัง เรเซอร์ ดราแคล์ มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
แมมม่อนทักเรื่องของเรเซอร์ นั่นทำให้หูของจอมมารกระดิกอย่างผิดสังเกตุ
“แน่นอนสิท่าน เรเซอร์ ดราแคล์ เป็นถึงข้อผิดพลาดของโลก ทั้งยังเป็นคนรักของท่านจอมมารเชียวนะ” ลูซิเฟอร์พูดเสริม
แต่ที่พูดมันทำให้แมมม่อนหน้าบึ้งไม่ใช่น้อยเลย
“พูดกับว่าที่เจ้าบ่าวอย่างผมแบบนี้คิดดีแล้วรึ?”
“ว่าที่เจ้าบ่าว? อ่อ นั่นสินะ จะว่าไปท่านเป็นไอนั่นนี่นะ”
“อย่ากวนประสาทผมเลยน่า ลูซิเฟอร์”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อยท่าน”
….
จอมมารหยุดเดินกระทันหัน ทำให้ข้ารับใช้ทั้งสามหยุดตาม
“ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องของ เรเซอร์ ดราแคล์ เยอะขนาดนั้นก็ได้”
“…”
“ส่วนหนึ่ง เราไม่ค่อยอยากได้ยินด้วย หวังว่าจะยอมเข้าใจตรงกัน”
จอมมารพูดสั่งด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ทำให้ทุกคนในที่นี้เข้าใจเป็นเสียงเดียวกัน กล่าวกันจบ จอมมารก็เดินไปเตรียมการณ์เรื่องสำคัญของตัวเองต่อ ปล่อยให้ปีศาจมหาบาปสามคนยืนเรียงกันอยู่เฉยๆ
“เรเซอร์ ดราแคล์ นั้นสินะ”
แมมม่อนพึมพำออกมาอย่างนึกสงสัย
MANGA DISCUSSION