เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 344
< < 212 Sec1 > >
เด็กสาวผมสีขาวยืนอยู่บนเรือขนาดยักษ์ เธอสวมชุดวันพีซสีดำ และแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำมืดประกายสายฟ้าตัดไปมา
“พวกปลาซิวปลาสร้อยเยอะจริงๆนะครับ”
ข้างๆเด็กสาวคือเด็กชายร่างเล็ก นาม ‘แมมม่อน’ ปีศาจมหาบาปแห่งความโลภ
“ชวนให้นึกถึงช่วงสงครามในอดีตเลยนะครับ ว่างั้นมั้ยครับ? คุณดิลุค”
จอมมาร ‘ดิลุค’ คือเด็กสาวผู้มีเลือนผมสีขาว หนึ่งในสองเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แท้จริง
ทั้งสองยืนอยู่บนหัวเรือ มองตรงไปข้างหน้า—ซึ่งกำลังเกิดสงครามขนาดย่อมขึ้น
‘อาร์คเดม่อน’ หลายร้อยชีวิตบนไปมาอยู่บนท้องฟ้า ร่ายรำดาบและเวทมนตร์อย่างบ้าคลั่ง กลับกับ บนผิวมหาสมุทร เผ่ามนุษย์ในชุดทหารเรือที่สลักสัญลักษณ์ของ ‘อาณาจักรเนลยอน’ เอาไว้มากมายก็ยิงเวทมนตร์เข้าต่อสู้กับอาร์คเดม่อน
ในหลายๆจุดของการต่อสู้ก็มีการปะทะกันที่โดดเด่นเป็นพิเศษ อาทิเช่น– ‘ซาตาน’ ที่โบกสะบัดดาบทลายโลกาไปมา พร้อมกับชีวิตนับร้อยที่หายไปในคราเดียวในทุกๆครั้ง หรืออย่าง ‘ลูซิเฟอร์’ ที่เดินนำทัพอาร์คเดม่อนบนผิวมหาสมุทร
นี่คือการต่อสู้ระหว่างกองทัพจอมมารกับมนุษย์อาณาจักรเนลยอนไม่ผิดแน่
การต่อสู้ดำเนินไปโดยที่ฝั่งจอมมารได้เปรียบ ไม่ว่าจะปีศาจมหาบาปหรืออาร์คเดม่อนก็ล้วนแต่กำลังพลที่เหนือกว่าศัตรูหลายเท่าตัว
จนกระทั่ง ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ วีรสตรีแห่งกองทัพเรือได้ปรากฏตัว
เธอลอยอยู่บนฟ้า พร้อมกับคัณธนูยักษ์ที่กางออก–แสงสีฟ้าประกายวารีอันเป็นลูกศรขนาดใหญ่พุ่งออกจากคัณธนู และหยุดลงกระทันหัน ก่อนจะสลายเป็นศรสีฟ้าขนาดเล็กนับพัน และพุ่งเข้าใส่อาร์คเดม่อน
เพียงแค่ไม่กี่วินาที อาร์คเดม่อนเกือบร้อยชีวิตก็ถูกสังหาร และล่วงหล่นสู่มหาสมุทร และจำนวนชีวิตอีกไม่นานก็จะถูกลบลงเรื่อยๆอย่างไม่รู้จบ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนั้นจอมมารจึงเรียกเพลิงสีขาวขึ้นมาปัดป้องศรสีฟ้านับพันของเบ็นจิโร่
จอมมารกับเบ็นจิโร่ที่ห่างไกลกันหลายร้อยเมตร ทั้งสองสบตาหน้ากัน
“คนๆนั้น?”
“ ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ ผู้นำกองทัพศัตรูในคราวนี้ครับ”
“บอกให้ลูซิเฟอร์กับซานต้าพาทุกคนถอยออกมาที เดี่ยวเราจัดการเอง”
“สนใจเธอหรือครับ?”
“ประมาณนั้น”
พูดจบจอมมารก็ลอยตัวขึ้นฟ้า แมมม่อนสั่งการให้ทุกคนถอยออกมาตามที่นายเหนือหัวว่าเอาไว้ ที่เหลือเธอจะจัดการเอง—ทหารเรือจำนวนมากมายคิดจะบุกโถมเข้ามาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายถอยกลับตามกลยุทธิ์ ทว่าทั้งหมดก็ถูกหยุดไว้ด้วยคลื่นทะลุที่ตั้งขึ้นมาเป็นกำแพงกั้นระหว่างทัพจอมมาร และทัพเนลยอน
“มหาสมุทร..ถูกยกสูงขึ้น??”
ทางผ่านระหว่างสองฝั่งถูกขวางกั้นด้วยน้ำมือของจอมมาร ปรากฏการณ์ที่ปรากฏเกิดจากการอัดมานาเข้าที่แขนข้างเดียวเท่านั้น
จอมมารบินผ่านเส้นแบ่งฝั่งที่ตัวเองสร้างขึ้น และลอยอยู่เหนือพื้นระดับเดียวกับ เท็งงุ เบ็นจิโร่
“ยินดีที่ได้รู้จัก เท็งงุ เบ็นจิโร่ สินะ?”
“ส่วนแกก็คือจอมมาร? หน้าตาดูน่ารักเกินกว่าจะเป็นภัยพิบัติได้นะ”
“คิดอย่างนั้นเหรอ? เรื่องนั้นเราเองก็คิดเหมือนกันน–”
ไม่รีรอให้พูดจบ เบ็นจิโร่หยิบคันธนูขึ้นมาง้าง–น้ำจากมหาสมุทรลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า และแปรเปลี่ยนรูปทรงเป็นลูกศร โดยไม่ต้องจัดให้เข้าที่ศรพุ่งเข้าใส่จอมมารทันที ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ จอมมารเอียงตัวหลบ ยกมือขึ้นฟ้า และสะบัดมือลงพื้น—
“..หืม?”
ตรงพื้นมหาสมุทรมี [หลุมดำ] ปรากฏขึ้น มันดูดเอาทุกสิ่ง รวมถึงดูดเอาร่างของเบ็นจิโร่ลงดิ่งไปข้างล่างอีกด้วย
“นี่มันเวทย์อะไรกัน ไม่เคยเห็นมาก่อนเล–”
จอมมารบินตามเบ็นจิโร่ลงมือ และปลดปล่อยเพลิงสีขาวทยานเข้าใส่เบ็นจิโร่
เพลิงทำลายล้างที่แค่โดนไอร้อนร่างก็ละลาย—เบ็นจิโร่ถีบตัวเองลงสู่พื้นให้เร็วยิ่งขึ้น หนีเพลิงสีขาว และพุ่งเข้าใส่หลุมดำตรงๆ
“.. ‘เวลเดีย’ ..ได้เวลาทำงาน”
สตรีผู้มีเส้นผมสีดำปิดบังใบหน้าผุดหัวออกมาจากช่องแบ่งระหว่างมิติภูติและความเป็นจริง เสมือนกับการปรากฏตัวของผีสาวในหนังสยองขวัญ เธอโผล่มาแค่ครึ่งตัวด้วยแขนสองข้างที่ซีดเผือก–ภูตสวรรค์ ‘เวลเดีย’
“ทำงานอีกแล้วเหรอ ช่วงนี้ทำงานหนักไปแล้วนาา นายหญิง”
“ฉันต้องการพลังของเธอ”
“..ช่วยไม่ได้นา หยอกคำหวานใส่กันซะขนาดเงี้ย–”
“ยอดเยี่ยม”
เจรจากันจบเบ็นจิโร่ก็บีบแรงที่ข้อมือ และร่างของเวลเดียก็ค่อยๆสลายกลายเป็นสีขาวที่ล่องลอยอยู่รอบตัวเบ็นจิโร่ สีขาวนั้นได้เข้ากลืนกินร่างกายของเบ็นจิโร่และส่องแสงขึ้น—กระพริบตาหนึ่งครั้ง ร่างของเบ็นจิโร่ก็ได้ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะไร้สี
ส่วนสูงของเบ็นจิโร่เพิ่มขึ้นอย่างกระทันหัน เช่นเดียวกับร่างกายที่ถูกขยายขนาดขึ้นด้วยเกราะไร้สี ตอนนี้เธอน่าจะสูงราวสองเมตรได้ ขนาดตัวก็ใหญ่ไม่แพ้นักรบผู้มีจุดเด่นที่กล้ามเนื้อเลย ทั้งปีกอันสวยงามเท็งงุของเธอก็ถูกสวมด้วยเกราะในบางส่วน และอยู่ในสภาพกางออกตลอดเวลา บริเวณหัวปกคลุมด้วยหมวกที่มีรูปทรงเสมือนอินทรีย์ จะมีก็แค่ส่วนตรงดวงตาที่ยังคงมีใบหน้าเสมือนเบ็นจิโร่
…..
“ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นะ?”
เบ็นจิโร่เร่งสปีดบินเข้าไปในหลุมดำ—
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
หลุมดำถูกกลืนกิน–เท็งงุ เบ็นจิโร่ ปรากฏตัวอีกครั้งในร่างเกราะสีดำเสมือนกับหลุมดำ
ทูตสวรรค์ ‘เวลเดีย’
“แบบนี้นี่เอง ทูตสวรรค์ ‘เวลเดีย’ ก็ว่าใครกัน ไม่ได้พบกันนานนะ”
ภูตสวรรค์ ‘เวลเดีย’ คือภูตสวรรค์ที่จะมอบชุดเกราะให้แก่ผู้ใช้ โดยที่ชุดเกราะนั้น—ก็มีศักดิ์เป็นเกราะแห่งภูตสวรรค์ที่ทรงด้วยพลังอำนาจกว่าสิ่งใดบนโลก
“เกินคาดเลยนะที่ภูตสวรรค์อย่างเวลเดียจะมีผู้ทำพันธสัญญาด้วย แปลว่าเธอต้องเป็นคนที่สุดยอดไม่ผิดแน่”
“หนวกหูจริง จอมมาร”
เบ็นจิโร่ยิงลูกศรออกไปเป็นหลุมดำขนาดเล็ก แม้จอมมารจะบินหลบ แต่ก็โดนหลุมดำดูดเข้าไปใกล้อย่างช่วยไม่ได้—
“เกราะภูตสวรรค์เวลเดีย เปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่ตัวเองดูดกลืน— [ไลท์บาสเตอร์]”
จอมมารหมุนนิ้วชี้หนึ่งจังหวะ เวทย์แสงขั้นบรรลุที่เร็วที่สุดก็พุ่งผ่านเข้าใส่ร่างเบ็นจิโร่ เบ็นจิโร่หมุนตัวเตะหักเหทิ้งทางแสงขั้นบรรลุเอาดื้อๆ
“ความเร็วระดับนี้คือตอบโต้ได้ทัน แปดสิบสิบต่อยี่สิบ ถ้าไม่ได้เล่นทีเผลอก็จะตั้งรับได้ง่ายๆ ปฏิกิริยาตอบสนองเร็วไม่สมกับเป็นนักสู้ระยะไกลเลยนะ ..ประเมิน—”
จอมมารวิเคราะห์จากสายตา กล้ามเนื้อ และพลังอำนาจเท่าที่ปรากฏของเบ็นจิโร่ เพียงจังหวะสั้นๆจังหวะเดียว–เบ็นจิโร่บินเข้าใส่จอมมารอีกครั้ง พร้อมกับห่ากระสุนวารีนับไม่ถ้วนจากมหาสมุทร จอมมารบินหลบ และใช้เพลิงสีขาวละลายทุกการโจมตีด้วยการวิเคราะห์เศษเสี้ยววิต่อเศษเสี้ยววิ
ต่อให้เป็นการโจมตีที่รวดเร็วยิ่งกว่าแสง จอมมารก็สามารถรับรู้และหลบได้ไม่ยาก
เบ็นจิโร่ทยานขึ้นเหนือเมฆ รอบตัวของจอมมารเกิดเสาเข็มน้ำขึ้นทั้งหมดแปดจุด—เสาทั้งแปดจุดผสานออร่าเข้าหากัน เกิดเป็นกรงขังขนาดย่อมขึ้น
“[วิลรันเทีย]-[แปดเขตุแดน]”
ธนูเปลี่ยนขนาดกลายเป็นธนูยักษ์ที่เรียวบาง จอมมารกับเบ็นจิโร่ยืนอยู่ในระนาบเดียวกัน เบ็นจิโร่ชี้ธนูลงมาทางจอมมารที่ถูกแปดเขตุแดนควบคุม จากนั้น—-ศรทำลายล้างก็พุ่งลงสู่พื้น ประหนึ่งแสงดาว
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! พลังทำลายล้างวงแคบ ระดับสั่นสะเทือนพื้นดินเกิดขึ้นกลางอากาศ จนอากาศเกิดการสั่นสะเทือนอย่างหนัก
“เป็นไอเดียที่ไม่เลว”
ท่ามกลางการระเบิดทำลายล้างที่ไร้จุดสิ้นสุด เปลวเพลิงสีขาวเข้าหักล้างทุกการโจมตี และพุ่งพยานเข้าไปแทงทะลุท้องของเบ็นจิโร่
“–ชิ!”
เพลิงสีขาวรูปทรงในตอนนี้คือ ‘ดาบ’ จอมมารขยี้เพลิงสีขาว ทำลายแปดเขตุแดนจนสิ้นซาก จากนั้นก็เปลี่ยนจาก [ดาบ] เป็น [แส้] เข้าปกคลุมร่างของเบ็นจิโร่ และดึงกลับมาหาตัวเอง เพลิงสีขาวละลายชุดเกราะสีดำจนเนื้อเบ็นจิโร่แทบจะโผล่ออกมา
ขณะที่ร่างถูกดึงมาหาจอมมาร—เบ็นจิโร่ก็พ่นอะไรบางอย่างออกมาจากปาก มันคือสร้อยคอที่เปล่งประกายแสงสีเพลิง
“ [ฟีนิกซ์] ”
นกเพลิงอมตะในตำนานปรากฏตัวขึ้นบนฟ้า ทันทีที่เบ็นจิโร่เรียกร้อง ฟีนิกซ์ก็ใช้เพลิงของตัวเองรักษาร่างของเบ็นจิโร่ และหักล้างเพลิงกับจอมมาร ดันร่างของเบ็นจิโร่ออกมาจากแส้เพลิงสีขาว
จอมมารยิ้มมุมปาก และเท้าสะเอวมองอย่างนึกสนุก
“ไม่ใช่นักธนู หรือผู้ใช้งานภูต ..ของจริงคือ ‘เทมเมอร์’ หรอกเหรอ เกินคาดเลยนะ”
‘จอมมาร? ไม่ได้เจอตัวเป็นๆซะตั้งนาน—ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ทำพันธสัญญาจะมีชะตาต้องสู้กับจอมมารเช่นนี้’
พูดจบฟีนิกซ์ก็สลายหายไป กลับกลายเป็นสร้อยคอตามเดิน เบ็นจิโร่รับสร้อยคอที่ตกลงมา และเก็บเข้ากระเป๋าเวทมนตร์ จากนั้น ‘มณีวารี’ ของเบ็นจิโร่ก็เลืองแสง น้ำจากมหาสมุทรลอยขึ้นมาหลอมรวมกับร่างเกราะไร้สี และเปลี่ยนเป็น [ฟอร์มวารี] จากก่อนหน้านี้ที่เป็น [ฟอร์มหลุมดำ]
“ไม่สิ หรือว่าไม่ใช่เทมเมอร์กัน? ทั้งเป็นนักธนูที่แข็งแกร่ง ทั้งเป็นผู้ใช้งานภูตสวรรค์ แล้วยังเป็นผู้ทำพันธสัญญากับสิ่งมีชีวิตในตำนานอีก แบบนี้จะให้เรียกว่าอะไรดี”
“ ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ คือชื่อของฉัน”
“นั้นเหรอ เพราะพิเศษเกินกว่าใครๆเลยเรียกว่าชื่อน่าจะสะดวกกว่าสินะ”
จอมมารยกมือขึ้นฟ้า เปลวเพลิงสีขาวพุ่งออกมาปกคลุมทั่วทั้งร่าง และ—ทั้งสองก็เข้าต่อสู้กันอีกครั้ง
ท้องฟ้าสั่นสะเทือน มหาสมุทรปั่นป่วน และราวกับโลกถูกแยกเป็นสองส่วน ระหว่างส่วนเพลิงสีขาว และส่วนวารีศักดิ์สิทธิ์จากมณีวารี
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างสูสีและทัดเทียม ไม่ว่าใครก็สร้างความเสียหายขั้นตัดสินผลแพ้ชนะไม่ได้ ทุกครั้งที่เบ็นจิโร่ได้รับบาดเจ็บ มหาสมุทรที่อยู่ใกล้ตัวก็จะเข้ามารักษาเธอ ทั้งร่างกาย และมานา ไม่มีสิ่งใดลดลงเลยระหว่างการต่อสู้ กลับกัน จอมมารเองก็โต้กลับได้ทุกการโจมตี ตั้งแต่เริ่มสู้เธอไม่ได้รับบาดแผลเลยแม้แต่รอยบาด นอกจากนั้นมานาที่มหาศาลเข้าขั้นอนันต์ก็ไร้วันหมด
ประกายศรวารีเข้าปะทะกับเพลิงสีขาวนับครั้งไม่ถ้วน แรงระเบิดเกิดขึ้นบนท้องฟ้าประหนึ่งสงครามกลางอากาศขนาดใหญ่โต เพียงแต่ทุกอย่างเกิดจากแค่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดสองชีวิตเท่านั้น
ระหว่างจอมมาร และเท็งงุ เบ็นจิโร่ คงจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีตอนจบ—ไม่ว่าใครก็คิดอย่างนั้น ยกเว้นทั้งสองที่ไม่ยอมให้มันไร้ตอนจบ
เบ็นจิโร่พุ่งทยานตามผิวน้ำ และขึ้นสูงประชิดจอมมารด้วยความเร็วประหนึ่งเคลื่อนย้ายพริบตา จอมมารคาดเดาการเคลื่อนไหวล่วงหน้าเกือบหนึ่งนาที และสวนกลับด้วย
“[ฮิดัน(กระสุนเพลิง)]”
กระสุนเพลิงที่ย้อมด้วยสีขาว–กระสุนอัดเข้าร่างของเบ็นจิโร่ ส่งร่างนั้นกระแทกลงสู่ท้องทะเลอีกครา …….
……..
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะนี่จะเป็นตอบจบ
“ [ไททัน] ”
เสียงพึมพำจากใต้มหาสมุทรของเบ็นจิโร่ ดังมาถึงหูของจอมมาร—-เป็นครั้งแรกที่จอมมารเบิกตาโพงกว้างด้วยความตกใจ
ชื่อของยักษ์ในตำนานจากยุคโบราณถูกเรียกขาน พื้นผิวทะเลโดนแยกออกจากกัน ยักษ์ที่มีเนื้อหนังเหมือนกับดินซึ่งระอุด้วยลาวาลุกขึ้นยืนจากใต้สุดของมหาสมุทร มันจับผิวมหาสมุทร และดึงร่างตัวเองขึ้นมาจากทะเลลึก
ขนาดตัวที่ใหญ่กว่ายี่สิบกิโลเมตร—-ไททันยืนอยู่เหนือทุกสิ่ง
“…นึกว่าหายสาบสูญไปหมดแล้วเสียอีกนะ ‘ไททัน’ เผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังประหนึ่งทวยเทพ ทำให้เราผิดคาดอีกแล้วนะ เท็งงุ เบ็นจิโร่”
เบ็นจิโร่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ ..ไททันที่ปรากฏก็คือหนึ่งในผู้ทำพันธสัญญากับเธอ
“[เวลเดีย]-[ไททัน]”
ร่างของไททัยสลายกลายเป็นดิน—แก่นกลางของมันหลอมรวมเข้ากับร่างของ เท็งงุ เบ็นจิโร่ เกราะแห่งภูตสวรรค์เปลี่ยนร่างกลายเป็นไททัน
****
เบ็นจิโร่ตัวยักษ์ในชุดเกราะดินลาวาปรากฏครึ่งตัวบนพื้นผิวมหาสมุทร ขนาดกว่าสิบกิโลเมตรโดนย่อลงมาอย่างมาก ทั้งยังเหลือแค่ครึ่งตัวเท่านั้น ระดับที่จอมมารสามารถจ้องหน้าคุยด้วยได้
“[เวลเดีย]-[ไททัน]-[วารีศักดิ์สิทธิ์]”
ด้วยอำนาจแห่งมณีวารี ได้เปลี่ยนน้ำจากท้องทะเลเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชั่วขณะ และก็ดึงเอาวารีมาเป็นหนึ่งเดียวกับเนื้อหนัง
จากเกราะไททันดินลาวาก็ได้แปรเปลี่ยนเป็น ‘เกราะไททันวารีศักดิ์สิทธิ์’
“ “ “ “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ” ” ” ”
เสียงร้องอวดครวญของอาร์คเดม่อนดังขึ้นจากข้างหลัง เผ่าปีศาจทั้งหมดได้รับความเสียหายจากวารีศักดิ์สิทธิ์
จอมมารหรี่ตามอง เท็งงุ เบ็นจิโร่ ที่เปลี่ยนตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุด
ธนูภูตสวรรค์ ‘วิลรันเทีย’ เองก็ขยายส่วนจนเทียบเท่ากับเกราะไททัน เบ็นจิโร่ง้างธนูคันธนูยักษ์ เพียงแค่นั้นมหาสมุทรก็สั่นสะเทือนอย่างหนักหน่วงชนิดที่การต่อสู้เมื่อครู่เหมือนเรื่องตลก อีกไม่นาน คลื่นสึนามิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบร้อยปีจะถือกำเนิดอย่างแน่นอน
ไม่สิ อาจจะเหนือยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ หลังจากที่ลูกศรที่ทวีคูณความรุนแรงของเบ็นจิโร่ถูกปล่อยออก จอมมารเองก็ตีค่าความเสียหายแก่โลกทั้งหมดไม่ได้เหมือนกัน
มันมากมายขนาดนั้นเลยละ
นี่คือผลลัพธ์ของ ‘เทมเมอร์’ หนึ่งชีวิต นาม ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’
“มนุษย์เพียงหนึ่งเดียว แต่สามารถสั่นสะเทือนโลกทั้งใบได้ ..ขอยอมรับในพลังนั้นเลย ‘เทมเมอร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์’ ”
จอมมารหัวเราะหนึ่งครั้งในลำคอ ก่อนที่เธอจะรวบรวมเปลวเพลิงเข้าปกคลุมร่างตัวเอง และขยายใหญ่ตามเบ็นจิโร่—-ไททันเพลิงสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้า
ในร่างไททันเหมือนๆกัน ทั้งสองไม่สามารถสนทนาใดๆได้ทั้งนั้น ทำได้เพียงแค่—ฆ่ากันอย่างเดียว
ไททันวารีศักดิ์สิทธิ์ และไททันเพลิงสีขาว เข้าปะทะกัน–ศรทำลายล้างพุ่งเข้าใส่ เพลิงสีขาวพวยพุ่งออกมาตั้งรับ และสวนกลับในคราเดียวกัน
…..
….
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
………
……..
……..
ท้องทะเลเงียบสงบผิดคาด ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดนอกจากร่างไททันของทั้งสองที่เลือนหายไป และหมอกที่ปกคลุมมหาสมุทร
จอมมารยืนอยู่บนผิวน้ำ เธอแบมือทั้งสองข้างเพื่อตรวจเช็คบางอย่าง
“มานาหายไปเยอะเหมือนกันนะ หนึ่งในสิบได้เลย ..แถมหายไปตั้งขนาดนี้ก็ยังจบเกมไม่ได้เสียทีอีก”
“…[เวลเดีย]”
เท็งงุ เบ็นจิโร่ อยู่ในร่างเกราะเพลิงสีขาว
“[เวลเดีย]-[จอมมาร]”
เทมเมอร์ตนหนึ่งได้กลืนกินเพลิงแห่งจอมมารเข้าไป ..ราวกับเรื่องโกหกที่ไม่น่าเชื่ออย่างไรอย่างนั้น