เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 343
< < 211 > >
เมื่อออกมาก็พบว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว จึงรีบเดินไปที่ร้านเหล้าอันเป็นจุดนัดพบ
ผมเดินไปพลางมองรอบๆไปพลาง ตัวเมืองของศูนย์กลางแห่งการผจญภัยไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย โดยเฉพาะเมืองยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยร้านเหล้า คนเมา และหัวขโมย เดินไปก็แวะเตะโจร ส่งกระเป๋าคืนผู้เสียหายไปด้วยอย่างสนุกสนาน
เป็นวันวานที่น่าคิดถึง ..
“ที่นี่เองก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมเท่าไหร่”
ผมมองผ่านกระจกร้านเหล้าเข้าไปข้างใน
ดิญโญ่นั่งอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับชายหญิงคู่หนึ่ง แม็คกับเชอรี่ ตำนานหนังสดสยองประจำปาร์ตี้ของผม ..แล้วก็ เหมือนจะมีแค่นี้แฮะ
ผมผลักประตูไม้เข้าไปข้างใน ทันทีที่สองผัวเมียสยองขวัญเห็นผมก็พากันอ้าปากค้าง
“เห้ยๆ นั่นมันหนุ่มหล่อไม่ใช่เหรอเนี่ย!?”
‘แม็ค’ เป็นชายตัวใหญ่กล้ามหนา ภาพลักษณ์เหมาะกับการเป็นพลโล่ประจำปาร์ตี้สุดๆ ด้วยท่าทางดูเถื่อนๆไร้สมองของเขา ทำให้หลายคนเดากันว่าเขาจะหาภรรยาไม่ได้ ทว่าดันเป็นคนแรกๆเลยที่หาได้เร็วที่สุด
“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ เรเซอร์”
‘เชอรี่’ เป็นผู้หญิงชาวบ้านหุ่นสแลนเดอร์ที่หน้าตาจัดว่าดีเลยละ แต่แอบอึ้งเหมือนกัน เพราะสมัยเป็นนักผจญภัย ด้วยความที่เธอเป็นนักธนูเลยนุ่มห่มน้อยเพื่อความคล่องตัว คิดมาตลอดว่าภาพลักษณ์อย่างนั้นเหมาะกับเธอที่สุด แต่พอแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนกับคนท้องแล้ว มันก็เข้ากันดีพิลึกอย่างกับคนละคน …แล้วก็พอแต่งงานแล้ว สารอาหารอะไรต่างๆก็เริ่มลงพุงสินะ รู้สึกได้เลยว่าดูตุ้ยนุ้ยขึ้น
ผมโบกมือทักทายทั้งสองคนกับดิญโญ่ และลงไปนั่งบนเก้าอี้รอบวงโต๊ะ
“ว่าไงๆ พ่อรูปหล่อ” แม็คเข้ามาเอาหมัดอัดหน้าผมอย่างกวนประสาท
“ยังไงก็ไม่เท่าแม็คหรอกนะ”
“ฮาๆๆๆๆ ขี้ประจบเหมือนเดิมเลยนะ”
ขี้ประจบเนี่ยนะ ไม่ใช่คำชมที่ดีเท่าไหร่นัก แต่เดิมเรียกว่าคำชมได้ที่ไหนกันเล่า
“เชิญ จากกิลด์มาสเตอร์”
ดิญโญ่ยื่นเบียร์เต็มเยือกมาให้ผม ผมรับไว้แต่โดยดี และจิบเข้าปากทีละนิด เอาแค่พอได้บรรยากาศ
“ขอบคุณ จากจอมเวทย์ขั้นบรรลุ”
“อุ้ยๆ ขิงกลับด้วยเว้ย!”
“เห๋ เรเซอร์เป็นจอมเวทย์ขั้นบรรลุแล้วเหรอเนี่ย ..รู้สึกว่าในรอบสิบปีนี้จะมีแค่คนเดียวนะ นั่นเรเซอร์เหรอจ๊ะ?”
เชอรี่ถามอย่างสนอกสนใจ ผมพยักหน้ารับ
“นั่นฉันเองแหละ จะชมก็ได้นะ”
“อยากให้ชมก็ไม่บอกนะ พ่อรูปหล่อ”
“ใช่สิ แอบแปลกใจมากกว่าด้วยว่าทำไมปฏิกิริยาถึงน้อยขนาดนี้กันนะ”
ไม่ได้อยากจะโม้ อ๊ะ หาว่าโม้ก็ได้ไม่นั้นมันจะดูน่าหมันไส้เกินไป แต่ผมเป็นจอมเวทย์ขั้นบรรลุในรอบสิบปีเชียวนะ ..ถึงจะไม่ค่อยน่าภูมิใจสักเท่าไหร่ในขั้นตอนก็เหอะ แต่พวกเพื่อนๆเก่าของผมดันไม่มีใครตกใจแบบโอเวอร์สักคนเลย
“ก็แหม่ ตอนเจอเรเซอร์ครั้งแรกมันชวนอึ้งกว่านี้อีกน่ะสิ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช้เวทมนตร์ตั้งแต่ขั้นต้นถึงขั้นสูงได้แทบทุกอย่าง ของยากๆอย่างการผสมธาตุก็ทำได้เป็นว่าเล่นอีก แล้วยังเป็นผู้ทำพันธสัญญากับวีรสตรียูนาคนนั้นซะด้วย ..ความสามารถที่มีไม่ต่างกับนักผจญภัยแรงค์ S เลย ทั้งๆที่อายุแค่สิบสามขวบ ตอนนั้นแอบคิดเลยนะว่าโลกใบนี้ชักจะแปลกเกินไปแล้วน่ะ”
ดิญโญ่พูดถึงผมไปพลางจิบเบียร์ไปด้วย
“เปิดโลกดีใช่มั้ยล่ะ?”
“ก็ค่อนข้าง”
“ว่าแต่แม็คกับเชอรี่ตอนนี้ทำอะไรกันเหรอ?”
เงินเก็บตอนเป็นนักผจญภัยมันเยอะพอจะอยู่จนแก่ได้ก็จริงอยู่ แต่ก็สงสัยแหละนะ
“เปิดร้านขนมปังน่ะจ๊ะ ส่วนแม็คก็รับจ้างเป็นอาจารย์สอนดาบให้เด็กๆแถวนี้ ประมาณสามหรือสี่คนได้กระมัง”
“เห๋ น่าสนใจดีเหมือนกันนะ”
“ใช่จ๊ะ ออกจะธรรมดาไปหน่อยถ้าเทียบกับตอนเป็นนักผจญภัย แต่ทำอะไรธรรมดาๆแบบนี้มันก็สนุกดีด้วย แล้วก็ดีกับลูกในท้องมากกว่าด้วยน่ะจ๊ะ”
“นั่นสินะ ถ้ายังเป็นนักผจญภัยต่อแล้วมีลูกมันก็ลำบากเกินไป เรียกว่าทำอะไรแทบไม่ได้เลยดีกว่า เด็กเกิดมาก็อาจจะต้องฝากคนอื่นเลี้ยง หรือเป็นลูกที่พ่อไม่ค่อยจะอยู่ติดบ้านอีก อะไรต่างๆนานา รีไทร์มาทำงานอย่างอื่นให้ใกล้ชิดกับลูกเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเยอะเลย ….หืม? ลูก?”
ผมเอียงคอฉงน เชอรี่เห็นก็หัวเราะออกมา
“ฉันกำลังตั้งท้องน่ะจ๊ะ”
“..เห๋ ก็ว่าทำไมไม่กินสักอึดเลย”
เสียมารยาทซะแล้วสิเรา
“ท่าทางแบบนั้นแปลว่าไม่รู้สึกตัวเลยสินะ” ดิญโญ่ทักเข้าตรงจุด “เวลาสำคัญดันฉลาดเป็นกรด แต่เวลาผ่อนคลายนี่สมองทำงานช้าเหลือเกินนะ”
“จะว่าไปก็ใช่แฮะ เรื่องมึนๆของเรเซอร์นี่ให้พูดทั้งคืนก็ไม่หมด”
“ไม่เห็นจะเป็นไรสักหน่อย ตอนผ่อนคลายก็ต้องผ่อนคลายกระทั่งสมองด้วยสิถึงจะถูก”
“เพราะคิดแบบนั้นเวลาย้ายเมืองแล้วก็ชอบโดนโจรปล้นกระเป๋าตังค์มันซะทุกทีเลย”
….นึกแล้วก็ใช่ เพราะประสบการณ์โดนขโมยนับสิบๆครั้งที่ผมต้องเผชิญ มันก็หล่อหลอมให้ผมกลายเป็นคนที่กระตือรือร้นยิ่งขึ้น จากแต่เดิมเวลาที่ไม่มีธุระอะไรผมจะปล่อยตัวชิลก็ต้องกระตุ้นตัวเองตลอด เพื่อไม่ให้เจอเรื่องซวยๆเข้า
มีเรื่องให้น่าคิดถึงหลายอย่างเลยแฮะ เพราะผมอาศัยอยู่ที่ทวีปแซร์อิซนานที่สุดช่วงออกเดินทาง ทำให้รู้สึกผูกพันธ์กับผู้คน อาทิเช่น เพื่อนร่วมปาร์ตี้ที่ตัวติดกันแทบจะทุกวัน
“..คนอื่นๆเป็นไงบ้างล่ะ?”
“หลังจากที่เรเซอร์ขอแยกทางได้ไม่นาน ‘หัวหน้า’ ก็ไปพลาดตายในดันเจี้ยนเข้าน่ะ จำไม่ผิดน่าจะส่งจดหมายไปให้นายอ่านแล้วนะ”
เรื่องนั้นก็ใช่
“หลังจากนั้นแม็คกับเชอรี่ก็ขอรีไทร์ ฉันเองก็รีไทร์ออกมาทำงานให้กับกิลด์โดยตรงแทน คนที่เหลือหาสมาชิกใหม่มาทดแทนกัน แต่อยู่ได้ไม่นานคนก็ค่อยๆทยอยออกไปสร้างปาร์ตี้ใหม่เป็นของตัวเองกัน บ้างก็ไปเข้าร่วมกับกิลด์นักผจญภัยระดับสูง ต่างคนก็ต่างทางเดิน แทบไม่ได้เจอหน้ากันแล้วละ เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้หรอก”
“แล้ว ‘ฮันน่า’ ล่ะ?”
‘ฮันน่า’ นักเวทย์สาวในปาร์ตี้ ผมกับเธอสนิทกันระดับหนึ่งเนื่องจากว่าเธอเป็นคนที่อายุใกล้เคียงกับผมที่สุด ตัวผมอายุตอนนั้นราวสิบสาม ส่วนเธอประมาณสิบหก
“ฮันน่าเองก็รีไทร์ออกมาแล้วนะ ตอนนี้เป็นอาจารย์ให้โรงเรียนในเมืองนี่แหละ”
“เธอไม่ว่างมาเหรอ?”
“เปล่า ก็ชวนไปแล้วละ แต่ว่า—”
พูดไม่ทันจะจบ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมาขัดก่อน พวกเราทุกคนหันไปดูคนที่โผล่มา
หญิงสาวหน้าตาออกไปในทางน่ารัก ถักผมเป็นเปีย แต่งตัวเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตและกระโปรงลายดอกยาวถึงหัวเข่า เธอหันมาทางโต๊ะพวกผม และโบกมือให้อย่างร่าเริง
“โทษทีนะที่มาสวย ทุกคน พอดีพึ่งสอนพิเศษเสร็จน่ะ”
“พูดแล้วก็มาเลย”
‘ฮันน่า’ ที่ผมพูดถึงนั่นเอง
****
“ฮวยฮายยยยยย ฟังนะ การมีคนรักน่ะมันดีมากเลยนา จะบอกห้านยยยย สำหรับผู้ชายแล้วการมีคนรักน่ะ …มันทำให้แข็งแกร่ง ..ขึ้นเยอะเลย ฟังไว้นะ เจ้าหนุ่มสองหน่อ”
“ทางนี้ขอทุ่มเทให้กับงานก่อนละกัน”
“ฉันเองก็ ..อ่า ช่างมันเถอะ”
ก็อยากจะอวดคนรักของตัวเองอยู่นะ แต่ไม่เอาดีกว่า ไม่อยากโดนเจ้าพวกนี้แซวสักเท่าไหร่
หลังจากที่นั่งก๊งเลห้ากันกว่าสามชั่วโมง ในที่สุดก็ได้ออกมาจากร้านเหล้าสักที
“ถ้านั้นก็สลายโต๋สินะ?”
“คงจะอย่างนั้น แล้วพรุ่งนี้ว่างรึเปล่าล่ะ? หรือว่าจะไปทำธุระต่อเลย”
“ตอนนี้ได้ข้อมูลที่ต้องการหมดแล้วก็คงจะไปทำธุระต่อเลยนั่นแหละ”
“น่าเสียดาย ถ้าพอมีเวลาว่าจะวานให้ช่วยงานที่กิลด์หน่อย พอดีช่วงนี้มอนสเตอร์มันเยอะขึ้นแบบผิดสังเกตุน่ะ นักผจญภัยที่พร้อมรับงานตอนนี้เกือบจะน้อยกว่าจำนวนมอนสเตอร์ที่ปรากฏแล้ว”
เพราะอย่างนั้นเลยเรียกผมมาคุย เผื่อว่าจะเจรจาจ้างงานกันได้นี่เอง
“งานยุ่งจริงๆนะ กิลด์มาสเตอร์”
“ใช่สิ ทุกๆวันมีแต่เรื่อง ไหนจะปัญหามอนสเตอร์ที่ต้องปราบตามฤดูกาล ปัญหาพวกโจรในดันเจี้ยน แล้วยังต้องไปเคลียร์ปัญหาระหว่างนักผจญภัยด้วยกันให้อีก”
“แต่ก็สนุกดี?”
“ก็ไม่ปฏิเสธ”
ให้พูดก็เป็นงานที่เหมาะกับคนประเภทดิญโญ่แหละนะ
“ว่างๆก็แวะมาหาได้ ไปก่อนละ ไว้เจอกัน แม็ค เชอรี่ เรเซอร์ ฮันน่าก็ด้วย”
“อืม เจอกันนะ” ฮันน่าโบกมือตอบกลับ
ดิญโญ่เดินไปเป็นคนแรก ตามด้วยแม็คกับเชอรี่ที่ต้องให้เชอรี่ช่วยแบกไป ..
ทำให้เหลือแค่ผมกับฮันน่าสองคน
“เรเซอร์จะไปที่พักเลยรึเปล่า?”
“ไม่ได้จองไว้น่ะ ต้องเริ่มจากเดินหาก่อนแหละนะ”
ที่เขาว่าปล่อยตัวไปตามเวรตามกรรม
“ให้ฉันแนะนำดีมั้ยนะ?
“ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ไม่รีบกลับบ้านจะดีเหรอ?”
“ทำไมล่ะ?”
“..อืม เปล่าๆ ไม่มีอะไร ฝากด้วยละกัน”
จากนั้นผมก็ให้ฮันน่านำทาง ส่วนผมก็เดินไปตามทางที่เธอแนะนำ
ระหว่างทาง พวกเราก็พูดคุยกันไปด้วย
“ธุระของเรเซอร์คืออะไรเหรอ เท่าที่เล่าให้ฟังดูแล้วน่าจะสำคัญมากเลยนะ”
“ตามหาคนรักที่พลัดพรากจากกันน่ะ”
“คนรักที่พรัดพรากจากกัน? อะไรละนั่น”
ว่าแล้วฮันน่าก็หัวเราะออกมา แต่ที่พูดมันก็ดูแปลกจริงๆแหละนะ ว่าไม่ได้
“เธอล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“ดีนะ รู้สึกว่าชีวิตการเป็นอาจารย์ก็สนุกสนานดี ให้อารมณ์เหมือนปลูกต้นไม้แล้วคอยดูผลผลิตอย่างไรอย่างนั้น เอาเป็นว่าฉันก็คาดหวังกับการทำงานในวันถัดๆไปเรื่อยๆทุกวัน เป็นชีวิตที่สนุกไม่แพ้ตอนออกผจญภัยไปกับทุกคนเลยละ”
“ดีแล้วละ แต่อย่าเผลอพลาดจากรดน้ำต้นไม้ เป็นเอาน้ำมันรดน้ำต้นไม้แทนเชียวละ ตอนนั้นวุ่นกันแทบตายเลย”
ผมพูดถึงเรื่องในอดีตที่แสนหอมหวาน แต่เป็นนรกสำหรับฮันน่า
“คือว่านะ เรเซอร์เองก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าใครเลยนะ”
“อย่าพูดเลย อายเขาเปล่าๆ”
“มีกันแค่สองคนมีอะไรให้อายด้วยเหรอ”
“รู้จักอาการเขินอายอดีตของตัวเองรึเปล่าน่ะ”
“เรเซอร์ยังชอบพูดอะไรเข้าใจยากไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
“เอาอีกแล้ว คำชมที่ไม่เหมือนคำชม”
“ก็เรเซอร์ชอบทำตัวแปลกนี่นะ ฮะๆๆ”
แปลกขนาดนั้นเลยเหรอตัวผมเมื่อวัยเยาว์
คิดๆดูแล้วก็เซ็ง ผมเลยถอนหายใจออกมา เผื่อว่าอะไรๆจะดีขึ้นมาบ้าง
“ที่นี่แหละ”
ฮันน่าหยุดเดินกระทันหัน เธอยืนอยู่หน้าโรงแรมหรูกลางๆ เหมาะกับการแวะนอนสักคืนเป็นอย่างยิ่ง
“ใช้ได้เลยนิ”
“ถ้านั้นก็”
“อ่า”
ผมกับฮันน่าโบกมือลากัน แต่ก่อนที่เธอจะเดินไป ผมก็พึ่งนึกเรื่องสำคัญได้ในเวลาแบบนี้
“จัดงานแต่งเมื่อไหร่บอกฉันด้วยนะ ถ้าตอนนั้นเกิดว่างสัญญาว่าจะไป”
“งานแต่ง? ..อ่อ”
ฮันน่าโชว์มือของตัวเองที่มีแหวนสอดไว้ตรงนิ้วนางข้างซ้าย และคลี่ยิ้ม
แม้จะไม่ได้พูดออกมา หรือพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตรง แต่ผมก็พอจะสังเกตุเห็นอยู่เหมือนกัน
คงจะอย่างนั้นแหละนะ ปัจจุบันก็อายุแตะๆยี่สิบแล้วด้วย อยู่ในวัยที่เหมาะกับการแต่งงานพอดีเลย ในฐานะที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งสี่ปี คงไม่แปลกหรอกนะที่ผมอดที่จะยินดีไปด้วยไม่ได้ อยากจะแสดงความยินดีกับเธอในวันงาน
งานแต่งของเพื่อนนั้นน่าสนใจเสมอ–นี่คือคติของผมตั้งแต่อยู่โลกเก่าแล้วละ
“อันนี้แหวนหมั้นน่ะ คิดว่าอีกสักพักเลยนะกว่าจะถึงวันจริง”
“ดีแล้วละ แต่ช่วงเดือนสองเดือนนี้ฉันไม่แนะนำให้จัดงานเท่าไหร่นะ ว่าไงดี โลกเราตอนนี้มันค่อนข้างวุ่นวายด้วยสิ”
“อืม พอได้ข่าวบ้างอยู่นะ อย่างอาชญากรของโลก แต่ก็โดนจับไปแล้วนี่”
ตายไปแล้วต่างหา แล้วก็คืนชีพมาใหม่ละด้วย เป็นแมลงสาปพันธุ์ที่ตายยากที่สุดแล้วละหมอนั่น
“เอาเป็นว่าช่วงนี้ก็อย่าออกเดินทางไกล หรือไปในที่ที่อันตรายเลยจะดีกว่า”
“นั้นเหรอ เข้าใจแล้ว”
“อืม ฝากเอาเรื่องที่เตือนไปบอกว่าที่คุณสามีด้วยนะ–โชคดี”
……
“คือว่า”
“ว่าไง”
“..คือว่านะ …อืม..ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่าง ฉันนับถือเรเซอร์มาโดยตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน” ฮันน่าหรี่ตาลง และพูด “นับถือถึงขนาดที่ ..ครั้งหนึ่งเคยเห็นเรเซอร์เป็นเป้าหมายของตัวเองเลยละ”
นั่นมัน ..ผมไม่ใช่คนโง่ถึงขนาดไม่เข้าใจว่าเธอจะสื่ออะไร และผมก็รู้ด้วยว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรเท่าไหร่ที่จะพูดอะไรอย่างนั้นออกมาตอนนี้ ที่ต่างฝ่ายต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว
“แล้วก็มาให้ได้นะ งานแต่ง”
“แน่นอนสิ”
คุยกันจบ ผมกับฮันน่าก็โบกมือลากันเป็นครั้งสุดท้าย
การใช้ชีวิต มันก็ต้องมีประสบการณ์แบบนี้บ้างแหละนะ ที่เขาเรียกว่ารสชาติของชีวิต ทั้งกับผมและกับฮันน่า