< < 210 Sec2 > >
หลังจากที่ทำผลงานเคลียร์ดันเจี้ยนได้เร็วที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์ พวกผมก็ถูกเรียกตัวเข้าไปคุยกับกิลด์มาสเตอร์ประจำกิลด์แห่งนี้
วินาทีแรกที่พบกัน ใครจะคิดละว่า–เจ้าตัวจะเป็นคนรู้จัก
ตรงหน้าผมคือชายสวมแว่นผิวสีแทนนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ ร่างสูงเกือบสองเมตรได้ ร่างไม่ได้หนาหรือใหญ่อะไร ออกไปทางผอมแห้งด้วยซ้ำ มีจุดเด่นก็คือใบหน้าที่หล่อเหลา
“นายมัน ..เรเซอร์ ดราแคล์? เรเซอร์ไม่ใช่รึไงนั่น!?”
“ก็ว่าใครหน้าคุ้นๆ ‘ดิญโญ่’ ไม่ใช่รึนั่น”
หนุ่มแว่นนี่มีชื่อว่า ‘ดิญโญ่’ เท่าที่ผมรู้จัก หมอนี่คือนักผจญภัยแรงค์ A ที่ผมเคยร่วมออกเดินทางด้วยเมื่อครั้งมาเยือนทวีปแซร์อิซแห่งนี้ อายุมากกว่าผมเจ็ดปีได้
ว่าง่ายๆก็เป็นหนึ่งในเพื่อนเก่านั่นแหละนะ
พี่สาวพนักงานกิลด์ที่เห็นพวกผมรู้จักกันก็มองสลับไปมาด้วยท่าทีลนลาน
“คนรู้จักหรือคะ? กิลด์มาสเตอร์”
“อืม คนรู้จักน่ะ เดี่ยวจะคุยอะไรเป็นการส่วนตัวด้วยหน่อย ออกไปก่อนทีนะ”
“รับทราบค่ะ”
พี่สาวพนักงานกิลด์เดินออกไปตามที่ดิญโญ่วาน พอไม่มีคนไม่รู้จักแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทอะไร ผมลงไปนั่งบนโซฟาที่อีกฝ่ายจัดเตรียมไว้ให้โดยไม่ได้ขอ เรย์ทำท่าจะนั่งหรือนั่งไม่ดี คิดลังเลอยู่
“เชิญเลยครับ”
พอดิญโญ่ให้สัญญาณ เจ้าตัวก็ลงมาโซฟาเดียวกับผม ฟัฟนิร์เองก็ด้วย ส่วนชินก็ยื่นอยู่ข้างๆโซฟาตามมารยาทในฐานะอัศวินของเจ้าตัว
เห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้วดิญโญ่ก็กระแอ่มเบาๆปรับบรรยากาศ
“ตามกำหนดการณ์แรกทางเราจะต้องชักชวนพวกนายสองคนเข้าเป็นหนึ่งในคนของกิลด์น่ะนะ แต่ใครจะคิดละว่าจะบังเอิญเป็น เรเซอร์ ไปได้ ถ้าเกิดเป็นนายชวนให้ตายยังไงก็ไม่เข้าร่วมกิลด์อยู่แล้วละนะ เพราะนั้นเลยไม่จำเป็นต้องเจรจาอะไรกันแล้ว”
“รู้ใจกันดีจริงๆนะ ว่าแต่มาตรฐานของกิลด์มาสเตอร์ตกลงไปเยอะเลยนะว่าไป ใครจะนึกละว่าจอมเวทย์ผอมแห้งแรงน้อยคนนั้นจะเติบใหญ่มาเป็นกิลด์มาสเตอร์ได้เนี่ย เหลือจะเชื่อเลย”
“เคยพูดตั้งหลายครั้งแล้วว่าคนเราควรจะเข้าใจในธรรมชาติของตัวเอง การทำงานเป็นทีมคือการเชื่อมั่นในจุดเด่นของตัวเอง และจุดเด่นของคนอื่นเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อะไรที่ทำไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปฝืนเหมือนกับนายสักหน่อย”
“ทีแรกก็อยากจะเถียงด้วยอยู่หรอก แต่ผลลัพธ์ที่นายเป็นกิลด์มาสเตอร์ได้ทั้งๆที่ฉันสบประมาทก็คือความจริง อืม ยินดีด้วยนะ”
ดิญโญ่แสยะยิ้มอย่างได้ใจออกมา
“เข้าใจก็ดี แล้วคุณยูนาเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“เธอก็สบายดีแล้วขี้บ่นเหมือนเดิม”
“ฮะๆๆๆ นึกแล้วก็น่าคิดถึงเหมือนกันนะเรื่องเมื่อตอนนั้น ..ไม่คิดว่านายจะกลับมาล่ามอนสเตอร์หรือเคลียร์ดันเจี้ยนแล้วด้วยซ้ำนะ พอบอกว่าจะเลิกเป็นนักผจญภัยทั้งๆที่ไต่เต้ามาเป็นนักผจญภัยระดับสูงด้วยกันได้แล้วทำเอาช็อคเลยนะตอนนั้น แทนที่จะสร้างตำนานเป็นนักผจญภัยไปด้วยกัน แต่ดันกลับไปเข้าเรียนที่วิทยาลัยเวทมนตร์ที่สอนแต่เนื้อหาเวทมนตร์ระดับมากสุดก็แค่ขั้นสูง ไม่ต่างกับการเอาเวลาไปทิ้งสามปี”
อนึ่ง ดิญโญ่เป็นพวกที่ค่อนข้างไม่ถูกกับวิทยาลัยเวทมนตร์ อาจเป็นเพราะตัวเขาไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งคือเนื้อหาการสอนของวิทยาลัยเวทมนตร์นั้นไม่ค่อยเอามาใช้กับที่ทวีปแซร์อิซแห่งนี้ได้
ให้อธิบายก็สมมุติเอานักเรียนจบจากวิทยาลัยเวทมนตร์ ซึ่งสามารถใช้เวทมนตร์ขั้นสูงได้สักบทหรือสองบทมาเป็นนักผจญภัยที่แซร์อิซ กับนักเวทย์ที่เป็นนักผจญภัยที่แซร์อิซ แต่ใช้เวทย์ได้ถึงแค่ขั้นกลาง ผลลัพธ์โดยส่วนใหญ่จะออกมาที่นักเวทย์ขั้นกลางมีประโยชน์กว่าหลายขุมในการล่ามอนสเตอร์จริงๆ
สิ่งที่ต้องการไม่ใช่พลังทำลายล้างระดับสูง แต่เป็นประสบการณ์ทำงานน่ะนะ สำหรับการเป็นนักผจญภัย
แน่นอน ถ้าเป็นพวกพลังเว่อร์ๆอย่างยูจิ ต่อให้ไร้ประสบการณ์ แต่แล้วมันทำไม หมัดเดียวมอนสเตอร์ก็จอดแล้ว แต่นี่พูดถึงในกรณีของคนทั่วๆไปมากกว่า
“ลมอะไรหอบให้มาละ”
“ว่าจะซื้อข่าวจาก ‘ไซเรน’ น่ะ”
“แบบนี้นี่เอง กับยัยหน้าเงินนั่นเลยต้องหาเงินทุนไว้เยอะๆสินะ”
“ตามนั้นเลย ถ้ายังไงก็ช่วยจัดเตรียมทั้งหมดให้ก่อนเย็นทีนะ”
“มีนัดหรือ? ฉันว่าจะชวนคุยกันอีกสักพักใหญ่ๆสักหน่อย”
ผมลูบคางพลางครุ่นคิดเล็กน้อย
“ไว้มืดๆได้รึเปล่า ที่ร้านเหล้าประจำของโปรดหัวหน้าก็ได้”
จากนี้ผมต้องไปเจอหนิงกับยูจิ แล้วนับเงินที่พวกเราหามาได้แล้วก็ไปซื้อข่าวจากไซเรนอีก คิดว่าอาจจะกินเวลาจนถึงค่ำเลยเสนอไปอย่างนั้น
“ได้สิ ไม่ได้ไปนานแล้วเหมือนกัน”
“คงจะอย่างนั้น ระดับกิลด์มาสเตอร์ไม่ไปกินร้านเหล้าถูกๆหรอกเนอะ”
“ไม่ค่อยมีเวลาต่างหากละ เดี่ยวจะรวบรวมคนไว้ให้ละกัน แต่คิดว่ามาจริงๆน่าจะได้สองสามคนนี่แหละ”
ไม่ได้แปลกอะไรหรอก กลับกันแค่สองหรือสามนี่ก็เยอะแล้ว เพราะนักผจญภัยยิ่งกับระดับสูงเป็นอาชีพที่ต้องออกเดินทางตลอดเวลา จู่ๆผมก็โผล่มาแบบไม่ได้บอกกล่าวอะไรด้วย ที่น่าแปลกนักผจญภัยระดับสูงที่ไหนกันนะที่ว่างมาเจอผมโดยไม่ได้นัดกันเนี่ย
“เชอรี่กับแม็ค แต่งงานกันแล้วนะ หลังจากแต่งงานกันพวกเขาก็รีไทร์จากการเป็นนักผจญภัยแล้วอาศัยอยู่ในเมืองนี้กัน”
“อ่อ แบบนี้นี่เอง”
ข้อสงสัยผมได้รับคำตอบอย่างทันท่วงที
“ตามที่คาดเอาไว้ ตั้งแต่ที่ได้เห็น ‘หนังสด’ หน้าน้ำตก”
บอกตามตรงว่าสุดจะติดตาเลย
“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกจะได้รึเปล่า อุตส่าห์ลืมไปแล้วแท้ๆ”
“เจ้าพวกนั้นมันรุนแรงกันเกินคาด ใครจะคิดละว่ามันจะเล่นกันรุนแรงบนพื้นหินแหลมๆได้ลงคอ เป็นแค่นักธนูกับพลโล่ที่ใช้ฮิลไม่เป็นแท้ๆ แต่สรรหาทำสุดๆ”
“บอกว่าอย่าพูดไงเล่า”
“พอกลับมาที่ห้องพักอีกที ทั้งสองก็มีแผลถลอกเต็มไปหมด นักบวชใสซื่ออย่างอันโตล่าก็ฮิลให้ด้วยความเป็นห่วงโดยไม่ได้รู้เลยว่าทั้งสองไปเล่นหนังโหดกันที่ไหนมา”
“เห้ย”
“โทษทีๆ”
“ไว้ว่างๆเล่าตอนต่อให้ฟังทีสิ” เรย์โพล่งขึ้นอย่างไม่เอาใคร
“เก็บไปจิ้นเองละกัน ฉันถือคติไม่ขายเพื่อน”
“แต่เมื่อกี้เล่ามาซะไม่ไว้หน้าใครเลยนะ”
ผมเมินคำทักท้วงของเรย์ และชายตามองนาฬิกา เห็นว่าได้เวลาแล้วก็เลยลุกขึ้นยืนอย่างขันแข็ง
“ถ้านั้นก็”
“อ่า ไว้เจอกันอีกทีที่ร้านเดิม”
ผมโบกมือลาเพื่อนเก่า และเดินออกจากกิลด์แห่งนั้น
****
หลังจากที่ออกจากกิลด์แล้วผมก็ไปเจอกับฝั่งยูจิที่จุดนัดพบ
มาถึงได้ไม่กี่วินาที ยูจิกับหนิงก็ปรากฏตัวจากไหนไม่รู้ คงจะเป็นวิชาไสยศาสตร์อำพรางกายของยูจิกระมังที่ทำให้พวกผมมองเห็นจนกว่าเจ้าตัวจะคลายมันออก
“มาเร็วกว่าที่คาดอีกนะ”
“โชคดีด้วยน่ะครับส่วนหนึ่ง”
ยูจิยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าเวทมนตร์ของตัวเอง และเงินถุงเงินขนาดใหญ่กว่าตัวคนมาวางไว้ข้างหน้า
“เท่าที่นับดูไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยล้านอิกดราซิลครับ”
ร้อยล้าน? บ้าไปแล้ว
“ทางนี้หามาได้แค่สิบล้านอิกดราซิลเองนะ ..ไปล่ามอนสเตอร์ประเภทไหนมากันเนี่ย’
“เอ่อ .. ‘เยติ’ นะครับถ้าจำไม่ผิด”
มอนสเตอร์แรงค์ S ‘เยติ’ นั่นน่ะเหรอ ก็ว่าทำไมถึงได้เงินค่าหัวมาเยอะจัง ถ้าระดับเยติก็ไม่น่าแปลกใจอะไรหรอกกับเงินค่าหัวระดับงบประมาณกองทหารของอาณาจักรมหาอำนาจนี่น่ะ
“ดูๆแล้วเงินที่มีน่าจะเหลือเฟือแฮะ แค่ห้าสิบ ไม่สิ สามสิบล้านอิกดราซิลก็เหลือๆละ”
“เข้าใจแล้วครับ เดี่ยวแบ่งเข้ากระเป๋าคุณเรเซอร์นะครับ”
“อ่า เงินที่เหลือนายก็เก็บไว้เลยละกัน มีเหตุจำเป็นให้ใช้เมื่อไหร่เดี่ยวไปขอ”
ยูจิลงมือใช้วิชาไสยศาสตร์อนเกประสงค์แบ่งเงินจำนวนเป๊ะๆตามที่คุยกันไว้ให้ผม ใช้เวลาแบ่งเงินกันเกือบชั่วโมง พระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดินแล้ว
ผมเก็บเงินที่ได้มาทั้งหมดเข้ากระเป๋าเวทมนตร์ พลางปาดเหงื่อออก
“พวกนายสองคนกับสามนางไปหาห้องพักเลยก็ได้ เดี่ยวฉันไปเจรจาขอข้อมูลกับไซเรนเอง แล้วก็น่าจะกลับดึกๆมากด้วยสิ”
“ท่านเรเซอร์ เดี่ยวกระผม–”
“โทษทีนะ ชิน รอบนี้ขอฉายเดี่ยวดีกว่า พอดีมีนัดกับเพื่อนเก่าน่ะ ไปคนเดียวน่าจะดีกว่า”
“นั้นหรือครับ”
ชินทำหน้าเหมือนหมาที่หูตก ทำเอาผมรู้สึกผิดนิดหน่อย
“..อืม เอาเป็นว่าไว้เจอกันอีกทีเช้าเลยละกัน เดี่ยวฉันหาที่พักอยู่เอง”
“ถ้าไปหอนางโลมจะฟ้องเบลลามีนะบอกก่อน” หนิงพูดแซว
“ซื่อสัตย์พอเว้ย”
ผมเดินไปทางอื่นกับทุกคน และโบกมือบายลากันชั่วคราว
****
ผมเดินไปตามตรอกซอย เลี้ยวซ้าย ขวาไปมา ดูผิวเผินก็เหมือนกับเดินหลงทาง แต่ไม่ใช่ ผมกำลังไป ณ ที่ที่ยอดนักขายข่าวไซเรนคนนั้นอาศัยอยู่
ด้วยสกิลการวิ่งปาร์กัวร์ของผมทำให้ใช้เวลาเดินทางเพียงสามนาทีก็มาถึงที่หมาย
ตรงหน้าผมคือบ้านไม้โทรมๆอย่างกับหลุดมาจากสลัม หรือภาพยนต์หนังผี ผมประเดิมทักทายด้วยการเตะประตูไม้จนหลุด และเดินเข้าไปภายในบ้านที่มืดมิด
ผมเดินไปเรื่อยๆ ..ไม่นานแสงไฟก็ผุดขึ้นมาแปดจุด และเผยให้เห็นหญิงสาวยี่สิบปลายๆคนหนึ่งนอนติดโซฟา ผมกับเธอสบตากันอยู่พักใหญ่ๆ
“ไม่เจอกันนาน โตขึ้นเยอะเลยนะ ดราแคล์คุง”
เธอลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาแทน
“เรียกชื่อทีเถอะ แล้วไอ ‘คุง’ นั่นก็ไม่เอาด้วย ไม่ใช่ไลท์โนเวลญี่ปุ่นสักหน่อย”
“ไลท์โนเวลญี่ปุ่น? ชอบพูดอะไรไม่เข้าใจอยู่เรื่อยเลยนะ แล้วก็–ไม่เอาอะ ถนัดเรียกแบบนี้มากกว่า”
“ยังไงก็ได้ละกัน มีเรื่องที่อยากจะถามหน่อยน่ะ ‘ไซเรน’ เรื่องเงินไม่มีปัญหา มากเท่าไหร่ก็มีจ่ายหมด”
เธอตรงหน้าผม หญิงสาววัยยี่สิบปลายๆมีชื่อว่า ‘ไซเรน’ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ชื่อจริงของเธอ แต่เป็นชื่อในวงการซึ่งชื่อจริงของเธอยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้
วันหนึ่งผมเคยถามเธออยู่ด้วยความสงสัย เธอกล่าวว่าเธอจะบอกชื่อจริงให้กับชายที่จะรับเธอไปเป็นภรรยาแค่คนเดียวเท่านั้น ทำให้ผมมั่นใจได้เลยว่าชาตินี้ยังไงก็ไม่น่ามีใครรู้ชื่อเธอแล้วละดูทรง
ไซเรนจ้องตัวผมตาเป็นวาว
“โอ้ว โตขึ้นอย่างสง่างามเลยนะเนี่ย นึกว่าจะกลายเป็นขุนนางขี้ก้างแล้วซะอีก”
“เสียใจด้วยละกัน”
“ดูๆแล้วมาดแมนขนาดนี้ไม่น่าโดนใครปล้นได้แล้วนะเนี่ย”
เหมือนกับดิญโญ่ ผมกับไซเรนก็เคยเจอมาก่อนครั้งยังเยาว์วัย สมัยเป็นนักผจญภัยท่องไปทั่วทวีปแซร์อิซน่ะนะ ..ไซเรนนี่ไม่รู้ว่าผมซวยอะไรถึงได้มาเจอเธอคนแรก ใช่ คนแรกแบบคนแรกจริงๆเลยที่กลายมาเป็นคนรู้จักหรือเพื่อนในภายหลัง แล้วก็ไซเรนนี่แหละที่เป็นคนสอนประสบการณ์สุดเลวร้ายให้ผม
วันแรกที่มาถึงเมืองแห่งการผจญภัย ผมโดนไซเรนขโมยตังค์ไปหมดตัว จนสมัครเป็นนักผจญภัยก็ไม่ได้ ทำอะไรแทบจะไม่ได้เลย ..ทำได้แซบมากจริงๆนึกดูแล้ว
“ยังไม่ลืมเรื่องวันนั้นหรอกนะ”
“ช่วยลืมไปทีจะช่วยได้มากเลย เอางี้ ถ้าลืมจะลดค่าข้อมูลให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย”
“จะดีเหรอ ทำถึงขนาดนั้น”
“ดีสิ ให้เป็นศัตรูกับดราแคล์คุงตอนนี้ไม่เอาด้วยหรอกนา”
ไซเรนเท้าคาง และใช้มืออีกข้างชี้มาที่เรลันดาฟข้างๆ
“แค่ใช้คทาเวทย์นี่ขู่ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ยังอุตส่าห์หาเงินมาซื้อข้อมูลเนี่ย เป็นคนที่ซื่อตรงแปลกๆนะ”
ข่าวเรื่องการหาเงินของผมมาถึงไซเรนไวกว่าที่คาดไว้มาก สมกับเป็นเธอดี
“ฉันไม่ได้เลวร้ายพอจะไปทำลายศักดิ์ศรีอาชีพคนอื่นหรอกนะ เธอเป็นนักขายข่าว ข่าวที่มีต้องมีไว้ขายสิ ไม่ใช่มีไว้ให้โดนใครที่ไหนขู่แล้วได้ไปฟรีๆ ..สัจจะเป็นสิ่งสำคัญ เธอเป็นคนสอนเรื่องนั้นให้กับฉันเองไม่ใช่รึไง อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้วน่ะ”
“ลืมไปแล้วแน่นอนสิ ที่สอนก็แค่พูดแบบผ่านๆแค่นั้นเองนา ยังอุตส่าห์เก็บมาจับอีก เป็นเด็กที่ใสซื่อไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ ดราแคล์คุง”
“ขอทีเถอะ ไอดราแคล์คุงอะไรนั่น ไม่ใช่ไลท์โนเวลญี่ปุ่นสักหน่อย”
“มุกซ้ำมันน่าเบื่อนะ ดราแคล์คุง”
ไม่ชอบที่สุดก็ตรงเรียกผมแบบนั้นนี่แหละนะ
“เรื่องเฮฮาเอาหอมปากหอมคอพอนะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า จะได้กลับไปนอนต่อสักที”
“นั่นสินะ ..พอจะรู้ข้อมูลของ ‘จอมมาร’ รึเปล่า เป็นไปได้ฉันอยากจะรู้ถึงแหล่งที่อยู่ในปัจจุบันเลย แน่นอนรู้เยอะกว่านี้ก็เอาหมด ว่าง่ายๆขอข้อมูลทุกอย่างที่เธอรู้เกี่ยวกับจอมมาร แต่ขั้นต่ำในการแลกเปลี่ยนคือสถานที่อยู่อาศัยของจอมมารตอนนี้”
ไซเรนครุ่นคิดแปปเดียวก็ตีราคาได้
“สามสิบล้าน”
“แพงไปนะ”
“มีเงินเหลือๆอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ได้เอาไปใช้อะไรก็เอามาให้ทางนี้ดีกว่านา”
“..เข้าใจแล้ว ยอมจ่ายก็ได้”
สามสิบล้านอิกดราซิล สามสิบล้านเชียวนะ ..เฮ้อ ยังไงๆก็รู้สึกเสียดายเงินช่วยไม่ได้
“ถึงได้บอกไงว่าให้ใช้เวทมนตร์ขู่เอาจะสบายกับตัวเองมากกว่า”
“ไม่ทำหรอกน่าถ้าไม่จนมุมจริงๆ”
“ถ้านั้นก็ดราแคล์คุง”
ผมพยักหน้ารับให้สัญญาณ หลังจากนั้นไซเรนก็พูดข้อมูลเกี่ยวกับจอมมารหรือ ‘เบลลา’ มีทั้งหมดออกมา
……
…..
….
ใช้เวลาพูดคุยราวครึ่งชั่วโมงกว่าจะจบ ข้อมูลที่ไซเรนมีมันมากมายขนาดนั้นเลยละ
“….”
“ว่าแต่จอมมารกับดราแคล์คุงเป็นอะไรกันหรือเนี่ย น่าสนใจจริงๆ”
“คนรัก”
ไซเรนทำหน้าอึ้งๆเหมือนอยากถามว่าพูดออกมาได้ง่ายเกินคาด
“คนรักสินะ ..คนตายด้านอย่างดราแคล์คุงก็มีมุมนี้ด้วยนี่เอง”
“ฉันเนี่ยนะ ตายด้าน”
“เห็นสาวเพื่อนร่วมปาร์ตี้คนหนึ่งตามจีบแทบตาย แต่ก็ไม่รับรักสักที จะไม่ให้คิดแบบนั้นได้อย่างไรกันนะ”
…จะว่าไป
ผมนึกย้อนไปถึงอดีตไม่กี่ปีก่อน เรื่องเกี่ยวกับปาร์ตี้นักผจญภัยที่ผมอยู่ด้วย และเรื่องของผู้หญิงที่ไซเรนพูดขึ้นมา
ให้พูดก็แอบคิดถึงเหมือนกันแฮะ
“ได้ข่าวว่าคืนนี้จะไปนัดรวมกลุ่มกันด้วยนี่ ถ้าได้เจอเธออีกก็ดีนะ จะได้เคลียร์อะไรหลายๆอย่างกันด้วย”
“ไซเรน”
“ว่าไง ดราแคล์คุ–เฮียะ”
หล่อนร้องเสียงหลงออกมาหลังจากที่ผมลุกขึ้นไปดีดนิ้วใส่หน้าผากเธอ
“ไม่จำเป็นต้องรู้มากขนาดนั้นก็ได้”
“อะไรกันตกใจหมดเลย คาดไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าจะเล่นบทรักวัยรุ่นกับรุ่นป้าอย่างฉัน”
จะว่าไปซีรีย์รักวัยรุ่นก็มีซีกดีดนิ้วใส่หน้าผากบ่อยๆนี่น่ะ ทำกับคนรุ่นนี้ก็ให้กลิ่นอายอีกแบบหนึ่งดีเหมือนกัน โดยส่วนตัวคิดว่าไม่ได้แปลกอะไร
เอาเป็นว่า-
“ระวังเรื่องวิธีพูดหน่อย อีกอย่างแค่ยี่สิบปลายๆเอง ถ้าเทียบกับรุ่นป้าจริงๆก็ยังก้าวไปได้แค่ครึ่งเก้าเท่านั้น สำหรับสามัญชนก็อยู่ในวัยที่หาคู่แต่งงานได้อยู่บ้าง ถ้าอยากสละโสดขนาดนั้นก็เริ่มจากออกไปเข้าสังคม แต่งตัวดีๆ วางตัวดีๆให้มากกว่านี้สักหน่อย ระดับเธอหาได้อยู่แล้วละ”
ไซเรนเองก็คือสตรีที่มีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเลยละนะ แต่ปกติคนส่วนใหญ่จะมองไม่ค่อยออก เพราะดูแลตัวเองเข้าขั้นน่าเป็นห่วง
“อยากหาได้ทั้งๆที่ไม่เข้าสังคม ไม่ดูแลตัวเองแบบนี้เนี่ยแหละนะ ตัวฉันน่ะ”
“ถ้านั้นก็เสียใจด้วย”
ผมลุกขึ้นยืน วางถุงเงินจำนวนสามสิบล้านอิกดราซิลไว้บนโต๊ะ และกำลังจะเดินออกทันทีที่หมดธุระ แต่นึกได้ว่ามีอีกเรื่อง
“ฝากทักทาย ‘โดโรธี’ ด้วยละ”
“ทางนี้ก็เหมือนกันนะ ฝากทักทาย คุณ ‘ยูนา’ หน่อยนะ”
อนึ่ง—ไซเรนเองก็เป็นหนึ่งในผู้ใช้วิญญาณระดับเทพเหมือนกับผม
วิญญาณระดับเทพในยุคแย่งชิงอำนาจ ‘โดโรธี’ แม่มดแห่งดวงดารา นี่คือชื่อของวิญญาณระดับเทพที่ไซเรนทำพันธสัญญาด้วย การที่เธอสามารถรับรู้ข่าวหรือกระแสของโลกได้ทั้งๆที่นอนอยู่เฉยๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นพลังของแม่มดแห่งดารา
“นั้นก็–ไว้เจอกัน”
“มาหาได้ตลอดเลยนา”
“ถ้ามีโอกาส”
การพูดคุยของผมกับไซเรน หรือของสองผู้ใช้วิญญาณระดับเทพก็จบลงง่ายๆหลังจากดิลกันเสร็จเช่นนี้
MANGA DISCUSSION