เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 341
< < 210 Sec1 > >
“วะ ว้าว!!!!” หนิงตะโกนเสียงดังลั่น
“นี่น่ะเหรอเมืองแห่งการผจญภัยที่เขาล้ำลือ สุดยอดเลยแฮะ ให้บรรยากาศเหมือนหลุดมาจากนิยายแฟนตาซีเลย”
ประทานโทษนะ เรย์ แต่ส่วนตัวคิดว่าพวกเราก็อยู่บนโลกแฟนตาซีกันแล้วนะ มันยังมีแฟนตาซีกว่านั้นอีกเหรอเนี่ย
แต่ก็นะ ว่าไม่ได้
เมืองขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ในทวีปแซร์อิซ เมืองที่ถูกขนานนามว่าสถานที่แห่งการผจญภัย ‘โบเคน’ เป็นเมืองที่ใหญ่และโดดเด่นพอๆกับเมืองหลวงอาณาจักรแซร์อิซเลยละ ด้วยความที่มันคือจุดศูนย์กลางของการผจญภัยทั้งหมด
นักผจญภัยเริ่มต้นต้องเดินทางไปทิศใต้จากโบเคน นักผจญภัยชั้นกลางต้องเดินทางไปทิศตะวันออกจากโบเคน นักผจญภัยชั้นสูงต้องเดินทางไปทิศตะวันตกจากโบเคน และสุดท้าย นักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่ต้องเดินไปทางไปทิศเหนือจากโบเคน
ต่างทิศ ต่างสถานที่ ต่างเรื่องราว
ตัวผสมัยที่มาเป็นนักผจญภัยก็เริ่มจากเมืองๆนี้ และเพราะมั่นใจในตัวเองมากเกินไปผมก็ประเมินด้วยการไปทิศตะวันตกก่อนเลย ทำให้โดนรับน้องสารพัดวิธีเสียจนแอบอยากกลับบ้าน ..อืม เป็นความทรงจำที่ดี
นอกจากเป็นจุดศูนย์กลางก่อนออกเดินทางแล้ว รอบๆโบเคนยังมีดันเจี้ยนตั้งอยู่สี่แห่งสี่ทิศไม่ไกลจากตัวเมืองมาก ทั้งสี่แห่งเป็นดันเจี้ยนอันตรายระดับเริ่มต้นถึงกลาง เหมาะแก่การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ หรือจะทำงานหาเงินหาเลี้ยงชีพภายในดันเจี้ยนเลยก็ได้เช่นกัน
ดันเจี้ยนระดับเริ่มต้นถึงกลางจะมีความพิเศษกว่าดันเจี้ยนระดับสูงตรงที่มันมีพื้นที่ปลอดภัยเล็กๆอยู่หลายจุด ทำให้มีพวกพ่อค้าเข้าไปขายของให้นักผจญภัยในนั้นอยู่มากมาย แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่พ่อค้า หลากหลายอาชีพ และบุคคลที่ต้องการกอบโกยผลประโยชน์ก็อาศัยอยู่ในดันเจี้ยนเสมือนเมืองๆหนึ่งไปแล้ว
“เอาละ”
เหตุผลที่ผมเลือกมาที่นี่ก็พอมีอยู่ เผอิญว่ามีคนรู้จักเป็นคนขายข่าวชั้นเทพคนหนึ่งน่ะ ว่าจะไปถามเรื่องที่อยู่ของเบลลามีกับเขาสักหน่อย เผื่อว่าจะรู้อะไรบ้าง
แต่เพราะเป็นคนขายข่าวขั้นเทพนี่แหละ เลยต้องเตรียมเงินทุนไว้ก่อน
“เอาละ ทุกคน ทวนกำหนดการณ์หน่อยสิ”
ผมตบมือแล้วพูดอย่างกับคนนำขบวนทัศนศึกษาเด็กประถม
“ค่าๆ” หนิงยกมือจะพูด ให้บรรยากาศเหมือนเด็กประถมสุดๆ
“ว่ามาเลย”
“หลังจากนี้มีกำหนดการณ์ไปซื้อเสื้อผ้มจนเย็นค่า”
“ปู๊ดๆ ผิดจ้า ต้องหาเงินทุนต่างหาก”
ยูจิยกมือขึ้นด้วยคน
“เอ่อ คุณเรเซอร์ครับ ผมคิดว่าแทนที่จะเสียเวลาไปหาเงินทุน สู้ไปขอข้อมูลจากเขาตรงๆดีกว่าหรือเปล่าครับ”
“คนๆนั้นเป็นพวกหิวตังค์ขั้นโรคจิตน่ะนะ รักมากกว่าชีวิตตัวเองซะอีก ขอโดยไม่มีอะไรตอบแทนไม่ได้หรอก”
“ถ้านั้นใช้ตัดมิติของคุณเรเซอร์หยุดการเคลื่อนไหว แล้วเดี่ยวผมใช้วิชาไสยศาสตร์เค้นสิ่งที่อยากรู้ออกมาเองครับ ต่อให้ปากแข็ง หรือรักเงินมากแค่ไหน แต่ถ้าควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์ครับ คิดเช่นไรกับไอเดียนี้บ้างครับ?”
“ไม่ใช่มนุษย์แล้วแกน่ะ! ฮะๆๆๆ”
“นั้นหรอกเหรอครับ ฮะๆๆๆ”
ได้ยินผมหัวเราะ ยูจิก็หัวเราะตามพลางพึมพำว่า “น่าเสียดายนะครับ”
น่ากลัวเว้ย!! วิธีที่กลั่นกรองมาได้ไม่ต่างอะไรกับยากูซ่าเลยนะเห้ย! ไอหมอนี่หลังจากผ่านช่วงชีวิตแย่ๆมาก็เริ่มมีความน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ยูจิที่น่ารักใสซื่อคนนั้นหายไปไหนแล้วกันนะ ..น่ากลัว น่ากลัว น่ากลัว
เรย์น่าจะคิดแบบเดียวกับผม ถึงกับเดินถอยห่างจากยูจิมาสามก้าวทีเดียว ส่วนหนิงก็ตัวสั่นเทิ่ม ในหัวน่าจะคิดแค่ว่า ‘ยูจิที่ดุร้ายก็ชอบ!’ แหละมั้ง สมกับเป็นหล่อนดี
ผมหันไปมองเรย์ เรียงตามลำดับแล้วก็เหลือแค่หมอนี่ที่ต้องพูดน่ะนะ
“คิดมุกไม่ออกอะโทษที”
“ช่วยไม่ได้นะ ฝากทวนทีสิ ชิน”
“เข้าใจแล้วขอรับ เช่นนั้นกระผมจะขอทวนสิ่งที่ท่านเรเซอร์ได้กล่าวไว้แล้วเมื่อการประชุมครั้งก่อนนะขอรับทุกท่าน ลำดับแรก พวกเราต้องหาเงินทุกจำนวนหนึ่งไปซื้อข้อมูลจากคนรู้จักของท่านเรเซอร์ ซึ่งเธออาศัยอยู่ในตัวเมืองแห่งนี้น่ะขอรับ”
แม้จะเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนแล้ว แต่เธอก็อยู่ที่นี่มานานกว่าผมเกิดซะอีก จึงคิดว่าไม่น่าจะไปปักหลักใช้ชีวิตที่อื่นอีกต่อไปแล้ว ประมาณนั้นเลย
ผมยกนิ้วชี้ขึ้นมา
“ตามที่คุยกันเอาไว้ ยูจิกับหนิงขึ้นเหนือไปล่าค่าหัวมอนสเตอร์ระดับที่สูงที่สุดเท่าที่จะหาได้ ฉัน เรย์ ชิน แล้วก็ฟัฟนิร์จะลงไปเคลียร์ดันเจี้ยนแถวนี้”
เพื่อไม่ให้ผลักหลงกัน ผมก็ควรจะหาเงินไม่ใกล้ไม่ไกลจากแถวๆนี้ มีปัญหาอะไรจะได้ติดต่อกันได้ตลอด แต่เพราะเงินจากดันเจี้ยนมันได้นอนสุดๆ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเคลียร์ดันเจี้ยน อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
พวกเราตกลงเรื่องนี้กันตั้งแต่ประชุมเมื่อวานแล้วด้วย
“ตามนี้นะ นัดเจอกันอีกทีเย็นค่ำเลย”
ถึงยูจิจะไปกันไกลมาก และผมจะเข้าดันเจี้ยนลึกมาก แต่ด้วยความสามารถของพวกเรา หาพยายามสักหน่อยก็ไม่ได้ยากอะไร ไม่สิ ถ้าทำไม่ได้ก็เสียชื่อหมด
“เข้าใจแล้วครับ”
“ต้องแปลงร่างอีกแล้วสินะเนี่ย”
ทางฝั่งยูจิต้องขี่หลังหนิงบินไปล่ามอนสเตอร์ที่ทิศเหนือกันแหละนะ หนิงทำท่าท่างห่อเหี้ยว และไม่นานก็จะแปลงเป็นมังกรแล้ว แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นยูจิก็ใช้มือสองข้างสัมผัสไหล่ของหนิง และยิ้มให้
“เดี่ยวใช้วิชาไสยศาสตร์อำพรางตัวให้นะครับ”
“…อือ”
…นี่มัน ..แหวะ
ผมปิดปากตัวเองด้วยความเลี่ยน
“แหวะ เหม็นๆ”
ฟัฟนิร์โพล่งออกมาแบบไม่ปิดบัง ..
จากนั้นหนิงก็แปลงร่าง และให้ยูจิขี่บนตัว และบินไปกลางเมืองช่วงกลางวันแสกๆโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นเธอเลย เพราะวิชาไสยศาสตร์ชั้นเซียนของยูจิ
ผมมองส่งสองคนนั้นจนเกือบลับสายตา
“แบบว่า เริ่มรู้สึกตัวเองเป็นคนนอกขึ้นไปทุกทีๆแล้วสิ”
“อย่าคิดมาก นี่คืออาการแรกเริ่มก่อนเพื่อนจะมีแฟนน่ะ”
“ได้ยินจากคนมีแฟนเหมือนกันแล้วรู้สึกหมันไส้ขึ้นมาเลยแฮะ คนอย่างนายมาปลอบก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก”
ทางนี้อุตส่าห์ใจบุญแท้ๆนะ
“ถ้านั้นก็ไปกันเถอะ หนุ่มโสด”
“เห้ย นี่ตั้งใจเยาะเย้ยกันใช่ปะ!?”
“ไปกันเถอะ หนุ่มโสด” ฟัฟนิร์ก็ร่วมด้วย
“คึก–ฝากไว้ก่อนเถอะนะ เดินในดันเจี้ยนก็ระวังหลังดีๆด้วยละ”
****
หุบเขาเย็นยะเยือก—ทิศเหนือจากเมืองโบเคน สถานที่ที่อันตรายที่สุดของเหล่านักผจญภัย รอบๆมีแต่มอนสเตอร์แรงค์ B เป็นอย่างต่ำ ทั้งในบางช่วงเวลาก็มีมอนสเตอร์แรงค์ S ปรากฏตัว
ที่แห่งนี้คือปลายทางของอาชีพนักผจญภัย คือจุดสูงสุดของการผจญภัย และเพื่อที่จะจบการผจญภัยของตัวเอง และสร้างตำนาน พวกเขาจะต้องโค่นมอนสเตอร์แรงค์ S ลงให้จนได้—นักผจญภัยมากฝีมือต่างคิดเช่นนั้นมาตลอด และไล่ล่าจุดจบของการผจญภัยอย่างบ้าคลั่ง จนไม่แปลกที่อาจจะพลาดและตายกันได้ …
จุดสูงที่สุดของหุบเหวเย็นยะเยือก กลุ่มนักผจญภัยแรงค์ A สี่กลุ่มใหญ่ และกิลด์นักผจญภัยระดับสูงกำลังเข้าต่อสู้กับ มอนสเตอร์แรงค์ S นาม ‘เยติ’ สัตว์ประหลาดน้ำแข็งยักษ์ที่จะปรากฏตัวมาออกล่าในช่วงหน้าหนาว
หน้าที่ของนักผจญภัยบริเวณหุบเหวเย็นยะเยือกในช่วงฤดูหนาวก็คือการรวมกลุ่มกันไปหยุดเยติไว้ให้ได้ ไม่ใช่ชนะ แต่แค่สู้เพื่อจำกัดพื้นที่ของมัน แน่นอนหากฆ่าได้ก็คงทำไปแล้ว แต่เพราะทำไม่ได้เลยมีแต่วิธีนี้เท่านั้น
หากปล่อยเยติให้ทำตามใจตัวเอง มันจะล่าสิ่งมีชีวิตรอบๆจนสร้างความเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศใหญ่หลวงขึ้นมา แค่นั้นไม่พอ เมื่อหลายร้อยปีก่อนทุกฤดูหนาวก็มีชีวิตของชาวบ้านหลายคนที่ต้องสละให้กับเยติ บางครั้งก็ถึงขั้นต้องสูญเสียเมืองๆหนึ่งให้แก่มัน
“ทุกหน่วยจู่โจม!!”
นักผจญภัยนับสิบชีวิตวิ่งเข้าใส่เยติ ทุกคนต่างเป็นนักผจญภัยระดับสูงที่มีมาตรฐานแรงค์ A กันหมด
ทว่า—เยติพุ่งตัวมาสะบั้นมือครั้งเดียว นักผจญภัยกว่าสิบคนก็สิ้นชีพทันทีแล้วครึ่งหนึ่ง ร่างของนักผจญภัยโดนแช่แข็งด้วยไอเย็นกระทันหัน และแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“โธ่เว้ย!! บุกเข้าไป บุกเข้าไป อย่าให้มันหนีไปได้!!! กลุ่มนักเวทย์โจมตี!!”
เปลวเพลิงพุ่งออกมานับสิบบท ทั้งหมดเป็นเวทมนตร์ระดับสูง–-เยติอ้าปากค้าง และยิ่งพายุหนาวใส่ เปลวเพลิงทั้งหมดถูกแช่แข็งทั้งๆที่เป็นเพลิง นักผจญภัยโดยรอบทั้งหมดพากันอ้าปากค้าง
เยติวิ่งผ่านนักผจญภัย บ้างก็ทับจนร่างแหลก จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า และแรนดิ่งลงมา
การโจมตีนั่นคือท่าใหญ่วงกว้างที่จะกวาดนักผจญภัยกว่าครึ่งได้—เหล่านักผจญภัยตระหนักรู้ช้าเกินไป
พวกเขาประมาท เพราะปกติหน้าที่หยุดเยติคือหน้าที่ของหนึ่งในกิลด์นักผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขา ทำให้ละหลวมไปหลายๆอย่าง–จุดจบในการต่อสู้คงจะไม่ต่างกับโศกนาฏกรรมเป็นแน่แท้
ความล้วเหลมกำลังมาเยือนในบั้นปลายสุดท้ายของการผจญภัย
ทว่า
เปลวเพลิงสีชมพูเข้าปกคลุมร่างของเยติ การระเบิดทำลายล้างครั้งใหญ่ของเยติจึงถูกยกเลิกไป เยติกระโดดถอยหลังไป และคำรามใส่บุคคลปริศนาที่มาเยือน
“ลัคกี้ เจ้ายักษ์นี่ตัวเดียวก็สร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ๆได้หลายหลังแล้ว”
“โชคดีเหมือนกันนะครับที่ช่วงนี้เยติปรากฏตัว”
ชายหนุ่มหน้าตาน่ารักจิ่มลิ้มคนหนึ่งเดินเข้ามาในพื้นที่ของเยติ พร้อมกับหญิงสาวที่งามประหนึ่งเทพธิดา ทั้งสองอยู่ในชุดบางๆซึ่งไม่เหมาะกับการเดินที่หุบเขาเย็นยะเยือก ถ้าเป็นคนปกติ อย่างนักผจญภัยที่อยู่แถวนี้ ทุกคนจะใส่เสื้อกันหนาวจากหนังหมาป่าชั้นดี และติดตั้งอุปกรณ์เวทมนตร์สร้างความอบอุ่นข้างในอีกที แตกต่างกับสองคนที่จู่ๆก็เดินเข้ามา
“ถะ ถอยไป!! รีบหนีไปเร็ว!!!”
หลงทางมาเหรอ—ไม่มีทาง แต่เวลานี้ไม่มีใครที่พอจะมีสติมากพอมาวิเคราะห์ว่าคนตัวเปล่าสองคนที่ไหนจะเดินมาไกลขนาดนี้ได้แล้วยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากไม่ใช่พวกเหนือมนุษย์แล้วละก็
ชายหนุ่มหรือ ‘ยูจิ’ หยิบใบล่าค่าหัวของเยติขึ้นมาอ่าน ก่อนหันไปคุยกับหัวหน้านำขบวนนักผจญภัยที่ตื่นตระหนก
“ถ้าเกิดไม่ได้รับการยินยอมจากกิลด์ก่อนก็จะไม่ได้ส่วนแบ่งอะไรเลยสินะครับ คือว่าถ้าเป็นไปได้ ผมขอส่วนแบ่งสักครึ่งหนึ่ง ไม่สิ ยิบสิบห้าเปอร์เซ็นต์ก็พอได้รึเปล่าครับ?”
“เห้ย ..นั่นมันใบค่าหัวของเยตินะ”
“ก็ใช่ครับ เอ่อ ได้รึเปล่านะครับ? ฮะๆๆ”
ยูจิพูดอย่างเขินๆพลางเกาแก้มไปด้วย
“…ถ้าทำได้ จะเอาไปสักครึ่งหนึ่งเลยก็ได้”
“ขะ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากๆนะครับ ตกลงตามนี้นะ”
เจรจากันจบ ยูจิก็ก้าวไปข้างหน้า เผชิญหน้ากับเยติตรงๆ เยติที่แค่เข้าใกล้ในระยะสิบเมตรก็จะได้รับไอหนาวจนร่างกายขยับแทบไม่ไหวตัวนั้น ..ไอหนาวของมันกลับทำอะไรยูจิไม่ได้เลย ยูจิก้าวไปจนแทบจะประชิดตัว
“ฝากด้วยนะครับ คุณหนิง”
“โชคดี!”
หนิงดีดนิ้ว สร้างเพลิงสีชมพูเข้าปกคลุมหมัดของยูจิ
ทั้งยูจิและเยติจ้องหน้ากันแค่พริบตาเดียว การต่อสู้ก็เริ่มขึ้น
เยติยกมือขึ้นมา และซัดเข้าใส่ยูจิ—ยูจิซัดสวนกลับด้วยหมัดเพลิงชมพู
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
พายุน้ำแข็งที่ปกคลุมยอดศึกของภูเขาน้ำแข็งถูกสลายในชั่วพริบตา พร้อมกับเยติที่เหลือแค่ครึ่งเดียว
“…..หะ..หา!!!!!!?”
หัวหน้านำขบวนหน้าซีดอ้าปากค้าง ในหัวนึกไปถึงตัวตนระดับ ‘ท็อปโลก’ ที่ว่ากันว่าสามารถเอาชนะมอนสเตอร์แรงค์ S ได้ด้วยตัวคนเดียว แต่มันไม่ได้ง่าย ไม่มีหรอกไอ้ภาพเหตุการณ์ที่หมัดเดียวจบน่ะ เป็นไปไม่ได้ รับประกันด้วยอาชีพนักผจญภัยนับยี่สิบปีของตัวเองได้เลย ..ก็หมายความว่า
เด็กหนุ่มตรงหน้าเขานั้นมีความแข็งแกร่งเหนือกว่านั้น
“ถ้ายังไงก็ช่วยนำทางหน่อยนะครับ เป็นไปได้พวกผมต้องรีบกลับก่อนเย็นน่ะครับ”
“…เข้าใจแล้ว ..ครับ?”
การพบกับเด็กหนุ่มคนนี้ เป็นหนึ่งในเรื่องมหัศจรรย์ในชีวิตของชายวัยกลางคนคนนี้
****
หน้าดันเจี้ยนแถบเมืองโบเคน—ผู้คนนับร้อยชีวิตพากันมุงดูคนสี่คนที่เดินออกมาจากดันเจี้ยน
สามคนจากสี่คนเป็นหนุ่มรูปงามที่มีใบหน้าผิดกับคนที่อยู่แถวนี้ เนื่องจากว่าทั้งสองมาจากทวีปฟัฟนิร์ แต่หากวิเคราะห์การแต่งกาย และรูปแบบใบหน้าดูดีๆก็จะเดาได้ว่าทั้งสองคือบุตรชายตระกูลขุนนาง หรืออัศวินเป็นอย่างต่ำ
ชายผมสีน้ำเงินดำมัดลากปีกของตัวอะไรบางอย่างไปตามพื้น ชายผมสีเหลืองตาสีแดงดุดันแบกหัวของมังกรไว้บนบ่า ชายผมสีน้ำเงินดำมัดจุกถือขาของตัวอะไรสักอย่าง ..ไม่สิ ไม่ใช่ผู้ชาย เป็นผู้หญิงหน้าหล่อต่างหาก ทั้งสามเดินไปคุยกันไปพลางอย่างเฮฮาทั้งๆที่ทั้งตัวเปื้อนไปด้วยเลือดของมอนสเตอร์ สภาพไม่เหมือนกับคนที่พึ่งผ่านศึกหนักมาเลยสักนิด
นอกจากนั้นก็อีกคน เป็นเสมือนบุคคลปริศนาที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีน้ำตาล
“บ้าอะไรวะเนี่ย”
“สัตว์ประหลาดชัดๆ”
“เจ้าพวกนั้นพึ่งเข้าไปกันได้แค่สามชั่วโมงเองนะ”
พนักงานคุมดันเจี้ยนคนหนึ่งวิ่งออกมาจากดันเจี้ยน และประกาศออกมา
“ดะ ดันเจี้ยนถูกเคลียร์ในสามชั่วโมง สถิติใหม่ครับ สถิติใหม่บนหน้าประวัติศาสตร์!!!!”
ผู้คนพากันแตกตื่นกับบุคคลปริศนาสองคน นักข่าว และนักขายข่าวพากันวิ่งให้วุ่นเพื่อสร้างเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในกิลด์หน้าดันเจี้ยน และวางหัวและปีกของมังกรลงกับพื้น
“ช่วยคิดเป็นเงินให้ทีนะ แล้วก็ขอเงินรางวัลทั้งหมดภายในวันนี้ด้วยนะ”
“ค่ะ!!! จะรีบดำเนินการณ์กันให้เร็วที่สุดนะคะ เป็นไปได้ ไม่สิ โปรดรอสักครู่นะคะ ได้โปรด!”
“อ่า ครับ”
พนักงานกิลด์สาวพากันวิ่งวุ่นซะยกใหญ่ สิ่งที่ทั้งสองคนทำคือปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไม่ผิดแน่
เรย์แทงศอกใส่เรเซอร์ด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“พวกเรากลายเป็นคนดังแล้วแหงๆ ในที่สุดฉันก็จะได้เนื้อหอมกับเขาสักที ฮิๆๆๆๆๆ”
“ยินดีด้วยละกัน”
เรเซอร์ถอนหายใจเฮือกโต และมองออกไปนอกกระจก
“ต้องหาหนังสือวิธีรับมือการเป็นคนดังมาอ่านซะแล้วสิ”
“อ๊ะ ถ้าเจอขอด้วยคน”
“ได้เลย”
“ตัวข้าดังอยู่แล้วจึงไม่จำเป็น”
ฟัฟนิร์พูดขึ้น แม้ไม่ได้ถาม