เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 34: รั้วโรงเรียนที่เปลี่ยนไป
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 34: รั้วโรงเรียนที่เปลี่ยนไป
< < 28 > >
อาจารย์ห้องปกครอง หรือที่เรียกทางการในโรงเรียนว่า ‘อาจารย์ห้องคุมวินัย’ เขาหัวโล้นสนิท และสวมแว่น เป็นคนแก่แต่ร่างกายดูล่ำพอดู น่าจะมีฝีมือระดับหนึ่ง ระดับพอจะตบเกรียนเคียวยะได้สบาย ..เอาเป็นครบหลักสูตรอาจารย์ห้องปกครองเลย เป็นคนที่น่ากลัว
“…ขอโทษครับ” ผมผงกหัวให้เขา
“ที่อยากได้ยินคือคำอธิบายต่างหากครับ”
ไม่ชอบเลยแฮะ การพูดแบบนั้นน่ะ ..น่ากลัว
ไม่ต้องอธิบายแล้วละครับว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก่อนหน้านั้น …ผมกำลังนั่งตัวต่อตัวกับครูห้องปกครองแสนดุอยู่ เหตุเกิดจากการที่ทุกคนจับได้ว่าผมเป็นโจรขโมย กกน. …ถึงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ตา แต่ผมจะไม่แก้ตัวเด็ดขาด
“เรื่องมันยาวน่ะครับ เท่ามหาสมุทรกับใจของอาจารย์เลย”
“เล่ามาเถอะ”
เป็นชายที่น่ากลัวจริงๆ
สุดท้ายผมเลยต้องเล่าทุกอย่างให้ฟัง แน่นอนว่าในฉบับโกหกว่าผมเป็นคนร้าย ประมาณว่าจะทำเป็นโยนความผิดให้เคียวยะ แต่ดันโดนเคียวยะสั่งสอนสู้กลับจนแพ้ และจนมุมเพราะฝูงชนที่มาโหมใส่ …ประมาณนั้น
“ก่อเรื่องไว้ใหญ่พอดูเลยนะครับ” เขาพูดอย่างเย็นชา
“นิดหน่อยครับ ไม่ขนาดนั้นหรอก …ขอโทษครับ”
“ตอนทำไม่คิดเลยรึครับ?” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่
ผมไม่ได้ทำสักหน่อย
“ว่ากันตามตรงถ้าคนถูกขโมยไม่มีชื่อของคุณไอริสอยู่ ผมคงจะไม่มากล่าวเตือนคุณหรอก …คุณไอริส ครอบครัวเขาใหญ่ไม่แพ้คุณเลยนะ บอกไว้ก่อน”
—นั่นสินา ยังสงสัยอยู่เลยว่าไอเคียวยะมันใจกล้าขนาดไหน ดันไปทำกับคนใหญ่คนโตอย่างนั้น ถ้ากับโซเฟียที่เป็นขุนนางตกอับ หรือเบลลามีที่เป็นสามัญชนว่าไปอย่าง ทำอย่างนั้นผมเองก็แค่โดนเตือนนิดๆ หน่อยๆ ด้วย พอมีรุ่นพี่ไอริสมาเอี่ยวจึงไม่ใช่เรื่องตลกแล้ว
การเมืองแค่ผลกระทบเล็กๆ น้อยๆ มันก็เป็นเรื่องใหญ่ได้ กลับกันเรื่องใหญ่อย่างการขโมยกางเกงใน และสร้างความอัปยศให้เนี่ย …อา ปัญหาใหญ่เลยแฮะ แต่ไม่มีปัญหาหรอกในส่วนนี้ เพราะผมคุยกับเธอคนนั้นไว้แล้ว ที่ตอนนั้นไม่ใช้กรณีโยนกางเกงในทิ้งให้หมดก็ง่ายๆ คนมีเป็นสิบๆ คน ปิดข่าวไม่หมดหรอก กับไอริสคนเดียวน่ะได้
จริงๆ ก็คาดเดาไว้หลายกรณีเลยบอกเผื่อสถานการณ์บีบบังคับเหมือนกับที่เจอตอนนี้นั่นแหละ เจ้าหล่อนเองก็ไม่ได้เรื่องมากนักด้วยเลยยอมไปง่ายๆ คงเล็งเห็นประโยชน์ในตัวเคียวยะกระมังเลยไม่ทำอะไรเด็ดขาดกับชะตาชีวิตเขาเกินไป ก็นะ ทรัพยากรบุคคลชั้นยอดมันใช่จะหาง่ายๆ
อืม ก็นั่นแหละ ไออริสหายห่วง แต่กับคนอื่นนอกจาก เบลลามีหรือเคียวยะเนี่ย ซวยเลย
ก่อนหน้านั้นก็โดนโซเฟียด่ากับโดนกอรี่หมดศรัทธาด้วย บอกตามตรงว่าเจ็บจุกสุดๆ
ครูห้องปกครองกุมขมับตัวเอง
“ทางโรงเรียนเห็นว่าหลายปีมานี้ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลย ผนวกกับมีการทดสอบต่อสู้น่าสนใจจึงรับเข้ามา …กะจะให้เป็นคนนำพาเด็กสายปฏิบัติไปในทางที่น่าสนใจไม่แพ้เด็กเรียน …ผลลัพธ์ดันผิดพลาดซะได้ ปัญหาใหญ่นะครับคุณเรเซอร์”
“นั่นสินะ ต้องขอโทษจากใจจริงครับ จะให้เขียนจดหมายขอโทษหรือไปคุกเข่ากราบคนทั้งโรงเรียนผมได้หมด”
“…ทำถึงขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ ไปขอโทษแค่คุณไอริสกับเหยื่อรายอื่นๆ ก็พอ แล้วก็คุณจะติดคดีของโรงเรียนนะ ถ้ามีอีกครั้งไล่ออกสถานเดียว”
“ขอบพระคุณสำหรับความเมตตาครับ”
รอดตัวไปที
****
ผมออกมาจากห้องปกครองโดยสวัสดิภาพ น่าแปลกที่จะมืดอยู่แล้วแต่กลับมีคนยืนรอผมอยู่ถึงสองคน
เคียวยะกับเบลลามีนั่นเอง
“เป็นยังไงบ้างเหรอ?” เบลลามีถามขึ้น ท่าทางดูเป็นห่วงผม
รู้สึกปลื้มใจจริงที่เบลลามีเอาใจใส่ผมด้วย
“อ่า ก็ไม่ได้โดนอะไรมากหรอก แค่ต้องไปขอโทษเหยื่อนะ เริ่มจากเธอละกัน … เบลลามี ขอโทษนะ”
เบลลามีส่ายหัวให้ เธอคงรู้ดีแก่ใจว่าผมไม่ผิด
“…คิดบ้าอะไรอยู่”
จู่ๆ ตัวเต้นเหตุก็โพ่งขึ้น เขามีสีหน้าลำบากใจ ยากจะเห็นได้ ปกติเอาแต่มองต่ำหรือทำท่าทางสถุลใส่ชาวบ้านละนะ
“ทำแบบนี้มันหมายความว่าอะไร …รู้ดีไม่ใช่รึไงว่าจะโดนอะไรบ้างน่ะ” เคียวยะผงกหัวลง “นาย..โดนเพื่อนตัวเองเกลียดไปแล้วนะ”
“มันก็”
ผมกุมขมับตัวเอง
ถ้าเคียวยะที่เป็นสามัญชนถูกเปิดโปงคงโดนหนักกว่าผมเป็นสิบๆ เท่าเลยละ อาจถูกแกล้งขั้นหนักจนไม่มีที่ยืน อนาคตอาจจะดับวูบไปเลยด้วยซ้ำ …
“ช่วยไม่ได้นี่นะ โลกเราก็อยู่กับความเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว”
เดิมทีคนเราก็อยู่กับความช่วยไม่ได้อยู่แล้ว ผมตระหนักรู้ได้ถึงเรื่องนี้ ทั้งหมดแค่ช่วยไม่ได้เทา่นั้นแหละ
“—-มันไม่ใช่ความผิดของแกสักหน่อย! ทำไมต้องมาแบกรับแทนด้วย!”
เคียวยะโพ่งขึ้นคล้ายจะร้องไห้อีกคราว
“แกนี่ขี้แงผิดคาดแฮะ”
“มันไม่ได้จะจบแค่วันนี้นะ พรุ่งนี้ และนับจากนี้ ไม่คิดบ้างหรือไงว่าจะโดนอะไรบ้างน่ะ …แกกำลังจะโดนคนทั้งโรงเรียนเกลียดนะ เพื่อนด้วย โดนเพื่อนที่กำลังไปกันดีด้วยเกลียดไปแล้ว ตั้งสองคนแล้วไม่ใช่หรือไง…ทำไมถึงคิดตื้นๆ แค่อยากช่วยไอสวะอย่างฉันกัน ทำไม…ไม่เข้าใจ”
เคียวยะกำหมัดแน่น ก้มหน้าลงพื้น ได้แต่ขบฟันกรามไว้ เบลลามีก็พูดไม่ออก
“ถ้าถามว่าทำน่ะเหรอ ฉันก็จะตอบทันทีว่าเหตุผลส่วนตัว”
—-หน้าที่ของผมคือปกป้องเด็กพวกนี้ ปกป้องผู้มีพระคุณ ไม่สามารถบอกตรงๆ ได้ว่าครั้งหนึ่งเคยถูกช่วยเอาไว้ เพราะในมุมของพวกเขามันไร้เหตุผลสิ้นดีไงละ
“เหตุผลส่วนตัวเนี่ยนะ? …ตลกเป็นบ้า แกมันบ้าหรือไง”
“ไม่รู้เหมือนกัน” ผมยิ้มให้ “บางทีฉันอาจจะบ้าบิ่นไปหน่อยก็ได้ เคยโดนเตือนบ่อยๆเหมือนกัน”
“แกไม่ได้บ้าบิ่น แกมันบ้า”
มาด่าคนที่ช่วยไว้แบบนี้มันใช้ได้เหรอ? เจ้าหมอนี่ควรปรับนิสัยด่วนๆเลย พับผ่าสิ
“…บ้าไปแล้ว”
เคียวยะกัดฟันกรามตัวเองแน่น พูดออกมาเบาหวิว และ
“ขอตัวกลับหอก่อนละกัน”
—เลือกที่จะไม่คุยแล้ว
…เคียวยะเดินหายไปทันที คงจะสับสนไม่ใช่น้อย
ผมผิดเองแหละมั้ง?
เบลลามีมายืนอยู่ตรงหน้าผม
“…เราอยู่ข้างเรเซอร์”
เธอพูดมาอย่างหนักแน่นโดยไร้อาการเขินอาย ผมยิ้มตอบเธอ
“ขอบใจนะ”
“อือ ก็เรเซอร์ใจดีกับฉันและเคียวยะมาก ..จะปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด”
“งั้นเหรอ”
“อือ แล้วก็…พูดแบบนั้นกับเคียวยะไม่ดีนะ”
ไม่ดี?
“เคียวยะรู้ดีว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เพราะฉะนั้นเลยคิดว่าควรจะรับผลกระทบเองมากกว่า—แต่เรเซอร์ช่วยเอาไว้ ไม่บอกเหตุผลหรืออะไรทั้งนั้น มันชวนรู้สึกแย่ …บอกได้มั้ยว่าทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้น”
แบบนี้นี่เอง บอกไปตรงๆ เลยก็ได้
“เพราะฉันเป็นผู้ใหญ่ยังไงละ หน้าที่ของผู้ใหญ่คือการช่วยเด็ก จริงอยู่ที่เคียวยะควรรับโทษแต่โทษมันหนักเกินไป ไม่คู่ควรกับความผิด …พวกเธอเป็นแค่เด็กเท่านั้น”
“เคียวยะจะฆ่าคนก็ไม่ผิดเหรอ?…อีกอย่างเรเซอร์ก็เป็นเด็กอยู่นะ”
“อ่า จริงๆ จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่เชิง ว่าไงดีนะ อืม คิดว่าฉันเป็นผู้ใหญ่แทนเด็กได้หรือเปล่า?”
“ไม่ได้หรอก” เบลลามีจ้องตาผม “..ก็ได้ เรเซอร์เป็นผู้ใหญ่ก็ได้
“..ขอบใจนะ”
เบลลามีเงียบลงราว3วิ ก่อนจะพูดต่อ
“เรามีคำถาม”
“อะไรรึ?”
“ถ้าเกิดหน้าที่ของผู้ใหญ่คือการปกป้องเด็ก ..ถ้านั้นแล้วเรเซอร์คือผู้ใหญ่จริงๆ เรเซอร์เอาอะไรมามั่นใจกัน?”
…
“…ไม่ใช่ว่าทั้งเคียวยะแล้วเรเซอร์ สุดท้ายจะเสียใจเหมือนกันอยู่ดีเหรอ? ทำไมไม่พูดไปละว่า ‘จากนี้ก็ช่วยๆ กันนะ’ น่ะ ทำไมบอกเหมือนกับว่าจะแบกทุกอย่างไว้เองละ ..ฉันเข้าใจได้ ถ้าทุกคนรู้เรื่องของเคียวยะคงจะโดนหนักกว่าเรเซอร์ที่เป็นชนชั้นสูงมาก เพราะฉะนั้นต้องปกป้องเขา แต่แบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว มันใจร้ายกับตัวเองและเคียวยะเกินไปนะ”
“นั่นสินะ”
ผมเถียงอะไรไม่ได้เลย ที่คิดก็มีแค่ช่วยเด็กคนหนึ่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีแค่นั้นนั่นแหละ สมกับเป็นผม ไอโง่ของแท้เลย ผมควรจะเข้าในทุกอย่างดีกว่าคนอื่นแท้ๆ ..แต่รายละเอียดเล็กน้อยแค่นั้น ผมกลับไม่สามารถเข้าใจได้
เคียวยะจะรู้สึกยังไงกัน ผมไม่ได้คิดจุดนี้เลยสักนิด …ถึงใจหนึ่งจะคิดว่ามันช่วยไม่ได้ก็ตาม
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยเหลือเรเซอร์ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ หลังจากนี้”
เบลลามียืนยันจุดยืนของตัวเอง ผมยิ้มให้เธอ
“ถ้านั้นก็ฝากด้วยนะ”
“อือ”
จากนั้นก็แยกทางกัน เพราะมืดแล้วต้องกลับหอ
****
เวลาหัวค่ำทุ่มถึงสองทุ่ม ผมนอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนล้าทั้งทางกายและใจ…พลางพูดคุยกับเธอคนนั้น
‘มาสเตอร์คิดดีแล้วหรือคะ?’
เสียงในหัวดังขึ้นมา นั่นคือเสียงของยูนา วิญญาณระดับเทพที่ผมทำพันธสัญญาด้วยอยู่
ก็นะ คิดไว้แล้วละ
‘ถามว่าคิดดีแล้วหรือคะ?’
แน่นอนสิ
‘ทำไมไม่ให้เคียวยะคนนั้นรับโทษไปเองละคะ’
ก็ตามที่เคยเล่าให้ฟังหลายครั้ง เคียวยะสักวันจะเข้าด้านมืด ต้องช่วยไว้ไม่นั้นชีวิตในโรงเรียนมันจะมีแต่เรื่องบัดซบ ต่อให้ฉันต้องรับผลกระทบแทนก็ต้องทำ ที่สำคัญถ้าเจ้านั่นโดนเข้าไปชีวิตคงแย่กว่าฉันที่เป็นถึงลูกชายของขุนนางชั้นสูงมากสุดๆ เลย เจ้านั่นคือสามัญชนและมันก็ขโมยของขุนนาง คิดดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ …ช่างมันเถอะ ยังไงซะฉันก็มาเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง มัวแต่สนตัวเองไปมีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง
‘ถ้านั้นทำไมไม่เลือกจะอยู่ข้างเคียวยะแทนที่จะรับโทษเองทุกอย่างละคะ’
จิตใจคนเรามันต่างกัน ใช่ว่าทุกคนจะเข้มแข็งเหมือนกันหมด แค่มีคนอยู่ข้างๆ ใช่ว่าจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างขันแข็งสักหน่อย ไม่นั้นในโลกเก่าฉันคงไม่มีคนเป็นโรคซึมเศร้าแล้วฆ่าตัวตายหรอก …ต้องเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
‘มาสเตอร์ ขอเตือนอะไรหน่อยค่ะ’
อืม?
‘โลกนี้ผู้ใหญ่คือคนที่อายุเกิน 18 เป็นผู้ใหญ่จริงๆ ก็ตอนนั้น …คุณคิดว่าเด็กต้องห้ามลำบากเลยหรือไงคะ? ไม่ใช่เพราะผ่านทุกข์หนาวมาจึงได้รับชื่ออย่างผู้ใหญ่มาหรือไง? นิยามคำว่าเด็กกับผู้ใหญ่ของมาสเตอร์คือยังไงกัน?’
ผมหยุดนิ่งตรงหน้าหอ คิดกับตัวเองเพียงชั่วครู่เดียวก็ได้คำตอบ
การเตรียมใจในการทำอะไรสักอย่าง
‘นั่นคือองค์ประกอบที่เด็กต้องเรียนรู้ไปกับมันจนถึงตอนโตค่ะ มาสเตอร์กำลังขวางทางโตของเคียวยะ …ไม่ได้จะบอกว่าวิธีนี้ผิดหรอก แต่อย่างที่นางอวยมาสเตอร์บอกตะกี้นี้ ทำไมไม่บอกให้เคียวยะช่วยเหลือเกื้อกูลกันหลังจากนี้ละคะ? ไม่ให้โตไปด้วยกันทั้งคู่ละ?’
…ฉันผิดเองแหละ แต่ทั้งหมดมันก็ง่ายๆ —-เหตุผลส่วนตัว
เพราะพวกเขาคือผู้มีพระคุณ จึงไม่อยากให้ลำบาก
‘พวกเขาคือคนนะคะมาสเตอร์ ไม่ใช่ตัวละครสมมุติในนิยายเรื่องโปรดมาสเตอร์’
….
‘ถ้าให้พูดอย่าได้เคืองกันเลยนะคะ …พวกเขาคือเด็กที่กำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่ มาสเตอร์ไม่มีสิทธิ์ไปบงการชีวิตพวกเขา ที่สำคัญถ้าไม่ผ่านทุกข์ผ่านหนาวบ้าง เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำค่ะ ปากก็บอกว่าชอบเรื่องราวการเติบโตของตัวละครแท้ๆ แต่ดันทำอีกอย่าง ทำอย่างกับจะสตาฟตัวละครสมมุติไว้เป็นรูปปั้นยาใจ คิดว่าแบบนั้นไม่ย้อนแย้งน่าตบปากเลยหรือคะ? มาสเตอร์บอกไว้เลยถ้าดันคิดกับฉันเหมือนเป็นตัวละครสมมุติไปอีกคน จะตบปากให้คอหมุนเลยค่ะ’
ที่ฉันกำลังทำส่อไปทางนั้นสินะ? ….ใจร้ายจังนะ
‘ค่ะ …พวกเขาคือเพื่อนคนหนึ่ง หรือว่าตัวละครสมมุติที่ต้องการถนอมไว้ เก็บไปคิดดูซะนะ ว่าอะไรกันแน่’
…อา
—-ผมสับสน สรุปแล้วสำหรับผมกับผู้มีพระคุณของผม …ผมเห็นเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งในชีวิต หรือว่าตัวละครสมมุติที่รักที่อยากให้อยู่เฉยๆ เป็นยาใจกันแน่ …ผมชักไม่แน่ใจ
*****
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าชีวิตวัยเรียน โดยเฉพาะกับช่วง ม.ปลาย คือชีวิตที่มีความสุขที่สุด หลายคนว่ามาอย่างนั้น และแน่นอนว่าหลายคนต้องไม่คิดเช่นนั้น เปรียบได้ดั่งมุมมืดในสังคมเรา
ถ้าหากถามตัวเองว่ามองยังไงก็จะตอบทันทีว่าคือช่วงชีวิตแสนจะเร่าร้อนและสนุกสนาน ง่ายๆ คือด้านสว่าง ไม่ได้อยู่ด้านมืดอย่างที่หลายคนไม่ชอบ …ทว่า ในชีวิตก็มักมีเรื่องบังเอิญ มีไอสิ่งที่เรียกกันอย่างยิ่งใหญ่ว่า ‘จุดพลิกผัง’ เสมอ
จุดพลิกผังหรือเรื่องที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล มันจะอยู่กับเราในทุกๆ ช่วงอายุ ตั้งแต่เรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่จะเป็นจะตายให้ได้ …ผมเองก็เจอสิ่งนี้มานับไม่ถ้วนเช่นกัน ตลอด สี่สิบกว่าปีมานี้ ทว่าจุดพลิกผังซึ่งเกี่ยวกับชีวิตวัยเรียนใหญ่ๆ ไม่ยักจะเจอมันเลยตลอดช่วงชีวิต
และราวกับพระเจ้าตั้งใจ พอเห็นผมได้มามีชีวิตหนที่สองนี้—-ไอ้จุดพลิกผังวัยเรียนซึ่งไม่มีใครอยากเป็นเนี่ย ดันเข้าหาผมในชั่วข้ามคืนซะได้
‘ชีวิตวัยเรียนก็นรกดีๆ นี่แหละ’ นั่นคือคำพูดของเด็กผู้ถูกรังแกในรั้วโรงเรียน ผมเห็นใจเขาและอยากช่วยเหลือแน่นอน แต่ไม่เคยโดนกับตัว นับจากวันนี้ผมก็อาจจะไปพูดให้คนอื่นฟังได้แล้วกระมังว่า ‘ชีวิตวัยเรียนก็นรกดีๆ นั่นแหละ’ น่ะ
วันนี้ต่างกับวันอื่น การย่างเท้าเข้ามาในโรงเรียนต่างกับทุกทีมาก
คงเป็นเพราะสายตาที่น่ากลัวของนักเรียนรอบตัว
ผมถูกคนนับสิบจ้องไม่วางตาตั้งแต่เดินเข้าในตึกเรียนยามเช้าก่อนเริ่มโฮมรูม ทั้งหมดต่างกับทุกวันเพราะเป็นสายตาที่ราวกับจะจับกิน ไม่ใช่เผลอมองเห็นหรือคิดว่าคนคนนี้น่าสนใจ
ไม่รู้ทำไมถึงชวนให้คิดอย่างนั้นได้ แปลกดีแหะความรู้สึกนี้
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่และเปิดประตูเลื่อนเข้าในห้องเรียนตัวเอง …ทันทีที่เปิดเข้าไปก็เจอกับเรื่องที่น่ากลัวกว่าทุกที
นั่นคงเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการมีชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่ดีกระมัง—เผชิญหน้ากับโจทย์
‘กอรี่’ เพื่อนของผมกำลังนั่งอยู่หน้าห้อง เขาบังเอิญเห็นผมที่เปิดประตูเข้ามาพอดี
“…สวัสดี”
กอรี่พยักหน้าให้เบาหวิว
“อ่า”
“…วันนี้อากาศไม่ค่อยจะดีเลยเนอะ ฟ้ามืดสุดๆ เลย”
“อ่า” กอรี่หลบตาผม
เหมือนว่ากอรี่ก็ไม่รู้จะคุยอะไรด้วยดีเช่นกัน
“ไม่รบกวนละ”
พูดผมก็ขึ้นไปประจำที่นั่งตัวเอง เหมือนดั่งทุกที…แต่ต่างออกไป
ทางขวามือ สุดของขวามือที่นั่งอีกฟาก โซเฟีย เธอกำลังนั่งอยู่ล็อกเดิมกับทุกทีแต่ห่างออกไปต่างกับทุกครั้ง แถวหน้าที่เธอควรมานั่งกลับไม่มีใคร แล้วก็ข้างตัวผมที่กอรี่น่าจะมานั่งและชวนพวกเราคุยไม่หยุดก็ไม่มีใครเช่นกัน
…เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่พิลึก ค่อนข้างเหงาเลย
อ๊ะ—ผมเผลอสบตากับโซเฟีย
“…”
เธอไม่พูดอะไรหันไปนั่งทบทวนบทเรียนต่อ ต่างกับทุกครั้งที่ต้องคุยกับผมและกอรี่
อา…มันน่ากลัวกว่าถูกจ้องเป็นล้านๆ เท่าเลยอีแบบนี้น่ะ
“ให้ตายสิ”
ผมพึมพำเช่นนั้นพลางเอามือมาเท้าคางตัวเอง
ทางเลือกที่ถูกต้องมันควรเป็นยังไงกันแน่นะ—–ปั้ง!! ประตูห้องเรียนถูกเปิดอย่างรุนแรงโดยหนุ่มหัวรุนแรง ‘เคียวยะ’
เขาเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางหงุดหงิด มองล่อกแล่กไปมาก่อนจะมาหยุดสายตาที่ผม
ผมโบกมือทักทาย เจ้านั่นเมินการทักทายผมสนิท แล้วก็เดินเข้ามาหาผมอย่างกับจะหาเรื่องกัน
“…มีอะไรรึ?”
“…แก”
หน้าของเคียวยะดูลำบากใจ ไม่นานเขาก็ถอนหายใจ
“ไม่มีอะไร วันนี้ฉันโดด บอกอาจารย์ให้ด้วย”
“บอกแบบนั้นได้ที่ไหนฟร้ะ เหมือนแกล้งกันเลยนั่นน่ะ”
เคียวยะหันหลังกลับไปและเดินออกจากห้องเรียนทั้งอย่างนั้น … อะไรของเค้ากันนะ?
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเท้าคางต่อ อย่างเหงาๆ และเดียวดาย
****
“…มีแต่พวกเฮงซวย” เคียวยะพึมพำขณะที่เดินอย่างโดดเดี่ยวตรงระเบียง”
‘เคียวยะ’ คือเด็กที่ขาดความอบอุ่นโดยแท้จริง ในวัย 5 ขวบครอบครัวก็แตกแยกเพราะพ่อที่ไปมั่วผู้หญิงไม่สนใจครอบครัว และแม่ที่ต้องทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัว จนบางครั้งบางคราวต้องใช้หน้าตาที่สวยงามของตัวเองไปทำงานกลางคืนเพื่อเอาเงินเยอะๆ ในชั่วข้ามคืน ..
ในเวลาต่อมาแม่ก็เกิดเสียชีวิตจากโรคติดต่อทางเพศ หล่อนตายโดยไร้ซึ่งหนทางช่วยเหลือเนื่องจากไม่มีตังค์ เคียวยะจึงถูกส่งต่อไปให้ฝ่ายพ่อ …ในคราวนี้พ่อได้หมดรักในตัวเคียวยะโดยสมบูรณ์ว่ากันตามตรงเค้าไม่ได้รักเคียวยะแต่แรกด้วยซ้ำ ดูได้จากการที่ทิ้งแม่ไปอยู่กับชู้ตัวเอง
ไม่นานภรรยาใหม่ของพ่อก็มีลูกและคลอดออกมาเป็นน้องสาว นั่นคือเวลาที่เคียวยะอายุ 8 ขวบ นับตั้งแต่นั้นจากที่ไร้เยื่อใยก็กลายเป็นถูกรังเกียจจากพ่ออย่างสมบูรณ์ ที่กีดกันทุกรูปแบบ บางวันไม่มีกระทั่งข้าวหรือน้ำประทังชีวิตด้วย—เขาตั้งคำถามว่าคนคนนั้นไม่ใช่พ่อแท้ๆ สินะ—และดวงตามหาปราชญ์ก็ตอบกลับทันทีที่ว่าเขาคือพ่อแท้ๆ
ไม่ใช่แค่การกระทำ แต่ความคิดในหัวที่มีต่อเขาดวงตามหาปราชญ์บอกเคียวยะทุกอย่างเลย …ไอหมอกนี่มันไม่ใช่พ่อคน นับจากนั้นเคียวยะก็ตัดความสัมพันธ์พ่อลูก กับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง และไปพาลใส่คู่แม่-ลูก คนปัจจุบันของพ่อบ่อยครั้ง
แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าทั้งสองไม่ใช่คนไม่ดี แม่เลี้ยงของเขามักจะแอบเอาอาหารมาให้เคียวยะเสมอ และน้องสาวเมื่อโตขึ้นก็ชอบอ้อนเขาบ่อยครั้ง …แต่เขาก็อดรังเกียจและอิจฉาอย่างเลี่ยงไม่ได้จนเผลอทำใจร้ายไปหลายคน
เคียวยะเกลียดตัวเองที่เป็นอย่างนั้นที่สุด—รู้ตัวอีกทีเขาก็เก็บกดหลายต่อหลายเรื่องจนเป็นคนนิสัยขี่เหวี่ยงใส่คนอื่น แม้ภายในจะอ่อนแอแต่ก็ชอบทำเข้มแข็ง และหาเรื่องคนอื่นเพื่อสร้างภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
บ่อยครั้งที่เคียวยะต่อยกับพ่อของตัวเอง และเขาก็แพ้แรงผู้ใหญ่ แต่เมื่อโตขึ้นเขาก็ชนะพ่อตัวเองได้ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรมากกว่าป้องกันตัว เพราะสายตาของน้องสาวตัวเองที่จ้องมา—มันเจ็บปวด
เมื่ออายุได้ 12 เคียวยะก็ไม่คิดจะอยู่บ้านแล้ว เขาออกเที่ยวกลางคืนประจำ และแทบจะไม่อยู่บ้านทุกเวลา พ่อไม่สนใจอยู่แล้วก็ไม่ใช่ปัญหา น้องสาวตอนนี้เกลียดเค้าเข้าไส้แล้วเพราะเห็นว่าเคียวยะชอบทำร้ายพ่อ จะมีแค่กับแม่เลี้ยงเท่านั้นที่ยังห่วงใยเคียวยะอยู่ แต่เขาก็เมินเฉยต่อความหวังดีนั่นและกลายเป็นเด็กมีปัญหาโดยแท้
ยาเสพติด ทะเลาะวิวาท ของผิดกฎหมายในตลาดมืด การพนันผิดกฎหมาย—เขามีเอี่ยวกับมันตั้งแต่ยังอายุเพียง 12 และอยู่รอดกับมันได้โดยการใช้ดวงตามหาปราชญ์ช่วยในทุกๆ เรื่อง
จนกระทั่งอายุ 16 ปี ก็ตัดสินใจใช้ดวงตามหาปราชญ์หาความรู้เข้าหัวในเวลาไม่นานและไปสอบเข้าโรงเรียนได้ไม่ยากในฐานะเด็กทุน ทั้งหมดเพื่อตัดขาดกับครอบครัวทุกอย่าง และเพื่อแสวงหาความสำเร็จให้ตัวเองยิ่งขึ้น เพื่อสักวันจะเอาไปตอกหน้าครอบครัวใหม่อันน่ารังเกียจของตนเอง
เขาต้องการอยู่เหนือทุกๆ คน เพราะตลอดมาเขาอยู่เหนือทุกคนมาตลอด เขาปรารถนาสิ่งนั้นโดยที่ไม่คิดจะหาบางอย่างที่จับต้องไม่ได้มาเติมเต็มช่องว่างในจิตใจของตัวเองที่เรียกว่า ‘ความอบอุ่น’ เลยสักนิด
ที่ทำก็แค่เหยียบหัวและถีบคนอื่นส่งไป เขาคิดจะไต่เต้าอย่างโดดเดี่ยว และทำชั่วสนองความเก็บกดของตัวเอง เดินในเส้นทางของไอ้สารเลวที่คนรังเกียจ
…น่าแปลกใจที่ทุกอย่างมันกลับแปรเปลี่ยนเมื่อเจอกับชายผู้ตรงไปตรงมา บ้าบิ่น ไร้สาระ และเริงร่า อย่าง ‘เรเซอร์’ เขาคนนั้นนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่เคียวยะ อย่างน้อยๆ ก็ในจิตใจ
***
เคียวยะเดินผละออกจากห้องเรียนด้วยอารมณ์ที่ร้อนแรง ท่าทางดูดุร้ายจนไม่มีใครกล้าเข้าไปหาเรื่อง แม้กระทั่งครูก็ยังผงะไปเพราะท่าทางแบบนั้นพวกลูกขุนนางชอบทำกัน ไม่ใช่กับเด็กทุนสามัญชนโดยปกติ
เขาเดินอย่างฉุนเฉียวโดยไม่สนคาบเรียนที่จะเดินในไม่ช้าจนกระทั่งถูกหญิงสาวเบื้องหน้าหยุดไว้
หญิงสาวผู้มีเลือนผมสีบลอนด์สง่างาม และหน้าอกที่โตพอดีกับชุดนักเรียน ตรงแขนมีปลอกแขนที่เขียนไว้ว่า ‘คณะกรรมการนักเรียน’ และอีกอันคือปลอกแขนสีทองมีทองแท้ๆ หรูหราติดไว้ว่า ‘หัวหน้า’ เธอคนนั้นมีชื่อว่า ‘ไอริส’ เป็นหัวหน้าคณะกรรมการนักเรียนผู้มีอิทธิพลกับโรงเรียนนี้สูง และก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหายของเคียวยะด้วย
ทันทีที่เคียวยะเห็นก็เกิดละอายไปวูบหนึ่งก่อนจะจ้องเขม็งใส่ ราวกับส่งเสียงขู่แบบที่หมาๆ ทำกัน
“คุณเคียวยะสินะคะ?”
เธอกล่าวอย่างสุภาพ แต่น้ำเสียงดูดูถูกไปทางยกตัวเองสูงกว่าชอบกล นั่นทำให้เคียวยะเดือดยิ่งขึ้น เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วด้วย
“เออ ถ้าทำความรู้จักแล้วก็ช่วยหลีกทางไปที”
“ไม่เป็นมิตรเลยนะคะ เหมือนกับในข่าวลือเลย” ไอริสแตะริมฝีปากแล้วพูดอย่างเย้ายวล “ประมาณว่า ฮี-โร่-ซึน-เด-เระ น่ะคะ”
ไอริสใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากตัวเองและพูดอย่างเย้ายวน ผิดกับนิสัยโดยปกติ เป็นการกวนเล่นแน่นอน
“ฮีโร่บ้าบออะไร หยุดเพ้อได้แล้วยัยลูกผู้ดี หลีกไปซะ”
“แหม่ ปากเสียจริง”
ไอริสเห็นท่าทางของเคียวยะ ยังคงอารมณ์ตัวเองไว้ได้นิ่ง ไม่มีเดือดดาลเลยที่ถูกสามัญชนที่ต่ำกว่าทำท่าทีใส่—-เธอดูพึงพอใจเสียด้วยซ้ำ?
เธอยิ้มเล็กน้อย เป็นยิ้มปลอมๆ
‘อย่าถือตัวเลยค่ะ อุตส่าห์ช่วยจับโจรขโมยโรคจิตไว้ บอกตามตรงฉันประทับใจมากๆ เลย ไร้คำโกหกแน่นอนค่ะ”
“อ้อเรอะ”
เคียวยะแสยะยิ้ม ว่าอย่างนั้นและกำลังจะใช้ดวงตามหาปราชญ์มองไปในเบื้องลึก แต่ก็หยุดหลังจากที่ไอริสพูดต่อ
“ประทับใจมากๆ ค่ะ กับการหลบหนีของคุณ ใครจะคิดละว่าสามารถหนีชายที่ได้รับการประเมินในภาพปฏิบัติไว้ได้ดีที่สุดอย่างเรเซอร์ได้หลายทีเนี่ย แล้วก็โบ้ยความผิดได้ยอดเยี่ยมมากค่ะ”
….หะ——
“…นี่หล่อน”
“รู้หมดเลยค่ะ ฉันน่ะ ไม่จำเป็นต้องโกหกอะไรหรอก”
เคียวยะขบฟันกรามตัวเองแน่น ข่มใจตัวเองไว้ก่อนยิ้มสู้
“แล้วจะทำอะไรกับฉันละคุณผู้เสียหายรายที่ 2 ในฐานะคณะกรรมการนักเรียนจะปล่อยไว้ไม่ได้หรอก จริงมั้ย?”
“ว่ากันตามตรงก็ใช่ค่ะ แต่”
—ไอริสยิ้มชั่วร้าย
“—แต่เดิมสังคมของขุนนางก็ไม่สนถูกผิดอยู่แล้วค่ะ มีแค่ผลประโยชน์เท่านั้น”
เคียวยะผงะไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาคิดว่าไอริสเป็นคนที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมจนน่าหงุดหงิดโดยแท้จริง แน่นอนว่านั่นไม่ได้ใช้ดวงตามหาปราชญ์มองไปจึงผิดพลาด
“…จะบอกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงน่ารังเกียจสินะ”
“พูดแบบนั้นก็ใจร้ายไปนะค่ะ ก็แค่หน้าที่ในฐานะว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไป—จะให้ประวัติกระทั่งตอนเรียนมันเสื่อมเสียก็ไม่ได้ …จับคนร้ายโดยไม่สนชาติตระกูล จับคนดังโดยที่ไม่ต้องรับผลกระทบอะไร อีแบบนี้เชื่อเสียงมีแต่จะเพิ่มคะ ถึงจะโหดร้ายกับเรเซอร์คนนั้นไปหน่อย แต่ว่ากันตามตรงเขาคือกึ่งตัวอันตรายค่ะ ไม่คิดจะญาติดีด้วยโดยไร้ผลประโยชน์หรอก”
เคียวยะรู้สึกเกลียดไอริสขึ้นเล็กน้อย เธอคือพวกที่เขาเกลียดที่สุดประเภทหนึ่งเลย จากที่เกลียดมันทั้งหมดนั่นแหละ แต่อีแบบนี้คือเกลียดที่สุด
“แล้วเกี่ยวอะไรกับฉันละ?” เคียวยะสวนอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็บอกอยู่ไงค่ะว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ …คุณอยากจะช่วยเหลือเรเซอร์ใช่มั้ยคะ?”
“เออ”
สิ้นสุดการตอบกลับไอริสก็ยื่นมือไปให้เคียวยะ
“ถ้าเช่นนั้นก็มาเข้าร่วมคณะกรรมการนักเรียนของฉันสิคะ”
“ทำแล้วจะได้อะไร”
“ได้สุดยอดศักยภาพอย่างคุณมาไงละค่ะ …เห็นแบบนี้แต่ฉันก็มองคนเก่งเล็กน้อย คุณน่ะน่าสนใจกว่าเรเซอร์คนนั้นมาก ในมุมมองของฉัน”
ไอริสเดินเข้าไปใกล้เคียวยะ
“ฉันในฐานะบุตรสาวของท่านมาร์ควิสแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์ และว่าที่ผู้นำคนต่อไปจำเป็นต้องมีหน้าตา แม้จะเป็นนักเรียนอยู่ก็ต้องมีหน้าตา เพราะฉะนั้นในฐานะคณะกรรมการนักเรียนฉันก็ต้องมีหน้าตาในสังคมและขุนอำนาจอย่างเลี่ยงไม่ได้ …ฉันต้องกำจัดเด็กเลวไม่เอาอ่าว และมีคนที่แข็งแกร่งเป็นลูกน้อง—แล้วคุณก็คือคนแข็งแกร่งที่ต้องการ ฉันอยากให้คุณมาร่วมด้วยค่ะ”
ไอริสพูดไปไม่หมด——
“แล้วฉันจะได้อะไรละ”
“ถ้าจะช่วยเหลือเรเซอร์ คุณก็ต้องมีอำนาจพอตัวนะคะ เพราะเป็นแค่สามัญชน ถ้ามาถูกเอาเรื่องทีหลังมีตายแน่ คุณจำเป็นต้องมีตำแหน่งเป็นที่คุมหัวให้กับตัวเอง และคนที่อยากปกป้อง ผู้มีพระคุณคนสำคัญ …ถึงจะเกลียดแต่กับผู้มีพระคุณคงจะละเลยไม่ได้สินะคะ?”
ถ้าเกิดเรเซอร์ไม่ช่วยเอาไว้ ตัวเขาที่เป็นแค่สามัญชนคงจบเห่แน่ในโรงเรียนที่มีขุนนางยักษ์ใหญ่ไปกว่าครึ่ง …กรณีของเรเซอร์ที่ไม่มีใครแกล้งอย่างออกหน้าก็เพราะเขาคือบุตรชายของขุนนางระดับต้นๆ ไม่ใช่คนที่จะไปแหย็มได้ง่ายๆ เหมือนพวกสามัญชน
และข้อเสนอนั้นก็จะช่วยให้เคียวยะทำตามต้องการได้ด้วย โดยใช้คำว่า ‘หน้าที่’ นำหน้า
…แต่เคียวยะไม่ชอบอยู่ใต้เท้าใคร
“…ทำไมหล่อนถึงเลือกฉันละ”
เคียวยะถามไปเพื่อประกอบการตัดสินใจ ไอริสตตอบกลับทันที
“บอกแล้วไงคะ ว่าเพราะน่าสนใจกว่าเรเซอร์คนนั้น”
ทั้งๆ ที่อ่อนแอกว่าเนี่ยนะ?
“ฉันตาดีพอตัวเลยค่ะ หลังจากรู้จักกับเรเซอร์ได้วันเดียว ก็เรียกให้ลูกน้องหาข้อมูลในเครือตลอดช่วงเด็กยันโตมาให้ และได้ข้อมูลชุดใหญ่มาเลย น่าเหลือเชื่อมากๆ ค่ะคนคนนั้น เป็นคนเก่งอย่างไม่น่าเชื่อเลย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้มาเข้าร่วมอยู่หรอก แต่จุดประสงค์มันไม่ตรงกันน่ะคะ ในมุมของฉันมีแค่ ‘อันตราย’ กับ ‘น่าสนใจ’ ทุกคนจะเริ่มจากอันตรายก่อนที่จะมาเป็นน่าสนใจ” ไอริสยิ้มหวาน “หรืออยู่อันตรายต่อไป เรเซอร์อยู่ในโซนอันตราย และไม่มีทางมาน่าสนใจได้ เพราะฉันไม่มีสิทธิ์จะไปดึงให้เข้าคณะกรรมการได้แน่นอน เพราะคนคนนั้นมีเป้าหมายบางอย่างอยู่ ฉันเองก็มีคนสนใจราวสองคน”
…หนึ่งในนั้นก็คือเคียวยะ
“แล้วก็เพราะอันตรายจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง โดยดึงคนที่เขาสนใจมาเข้าพวก จะได้เป็นกึ่งพันธมิตรกัน …แต่เหตุผลหลักที่อยากได้คุณก็ตามที่บอก เพราะน่าสนใจมากๆ คุณอาจจะไม่รู้นะแต่คุณโดนเรเซอร์ที่สุดจะแข็งแกร่งคนนั้นคาดหวังมากจนเกินไป ไม่สิ อาจจะไม่เกินไปเพราะมันคู่ควรกับความคาดหวังก็ได้ …เรเซอร์มองคุณดุจดั่งไข่ทองคำเชียวนะคะ …แค่ดูก็รู้ คุณเองก็มีของดีอยู่สินะ”
เคียวยะถึงกับเหงื่อตก และได้แต่กลืนน้ำลายตัวเองไป—ไอริสไม่ได้มีดวงตามหาปราชญ์ ไอริสเป็นแค่คนธรรมดา แต่เธอกลับมองทะลุได้ทุกอย่าง
‘ที่น่ากลัวจริงๆ น่ะมันเธอต่างหาก’—เคียวยะคิดเช่นนั้น
“สถานการณ์ตอนนี้มันเข้าทางฉันเต็มๆ เลย กับคุณไม่จำเป็นต้องโกหกด้วย เพราะผลประโยชน์ร่วมกันอยู่แล้ว ใช่มั้ยละคะ?”
ไอริสยิ้มให้ประหนึ่งปีศาจร้ายเวลาล่อเหยื่อ …แต่ปีศาจมักจะให้สัญญาโดยเล็งเห็นว่ามีผลประโยชน์ร่วมเท่านั้น
เคียวยะไม่คิดว่านั่นมันผิดหรอก
“หน้าที่ของฉันหลังจากนี้คืออะไรละ” เคียวยะถามอย่างไร้ทางสู้
“เหมือนกับพวกอัศวินหรือตำรวจนั่นแหละค่ะ ปราบปรามพวกเด็กเกเร และเป็นอาวุธให้ฉันใช้จัดการกับใครสักคน”
“ใครสักคนที่ว่า”
“พวกขัดต่อผลประโยชน์ค่ะ”
ไอริสตตอบกลับอย่างไร้ความลังเล—สำหรับเธอผลประโยชน์ต้องมาก่อน เพราะสักวันเธอจะต้องขึ้นเป็นผู้นำของคนนับร้อยนับพัน ต้องเป็นผู้ชักนำสังคมในเมือง อาณาจักร บางทีอาจมีผลกระทบระดับโลกเลย เพราะฉะนั้นตั้งแต่เรียน ต้องจริงจังตั้งแต่ตอนนี้เลย
นี่แหละยุคสมัยที่น่ารังเกียจที่สุด ยุคสมัยที่เด็กต้องแบกรับทุกอย่างไว้โดยไร้ซึ่งทางเลือก
ยุคสมัยที่ทุกคนไม่มีสิทธิ์เลือกอนาคตเองได้อย่างแท้จริง
“…เข้าใจแล้ว”
ไอริสยิ้มเล็กน้อย ดูผ่อนคลายลงมาก
“เห็นพ้องต้องใจกันเช่นนี้ฉันก็ยินดีค่ะ เร็วๆ นี้จะมีพิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการให้เด็กปี 1 ถึงตอนนั้นทุกคนคงตะลึงทีเดียวที่สามัญชนได้ขึ้นเป็นคณะกรรมการนักเรียน”
“แบบนั้นจะไม่ขัดต่อผลประโยชน์อันดีเลิศของหล่อนรึไง?”
“ทุกอย่างมีได้กับเสียค่ะ กรณีของคุณก็มีได้มากกว่าด้วย เพราะชื่อเสียงค่อนข้างดีเป็นทุนเลย …สักวันบุตรชายดยุคคนนั้นต้องเผยพลังหลายส่วนให้เห็นแน่ ยิ่งกับคาบปฏิบัติแล้ว ถึงตอนนั้นคนที่หยุดคนคนนั้นได้ ในสายตาคนภายนอกคงจะมองว่าคุณแข็งแกร่งสุดๆ เลย และเป็นคนดีด้วยเพราะจับโจรโดยไม่สนว่าคนคนนั้นคือบุตรดยุคนิสัยเลวทราม ไม่สนว่าเป็นพวกชั้นต่ำ …คุณในแง่ของประโยชน์แล้วยอดเยี่ยมมากค่ะ”
ไอริสยื่นมือมาให้
“ฝากตัวด้วยนะคะ”
“เออ”
ทั้งสองจับมือกันด้วยท่าทางไม่ค่อยจะจริงใจ เพราะเคียวยะเกิดกลัวไอริสไปแล้ว
หลังจากนั้นก็จะแยกย้ายกันแต่ก่อนจะไปไอริสก็ฝากไว้ให้อีกอย่าง
“สำหรับคุณฉันมีค่าจ้างให้ด้วยนะคะ จะไม่พูดแส้เรื่องครอบครัวให้ วางใจได้เลยค่ะ”
พูดจบไอริสก็เดินออกไปลับสายตา …
“ยัยนั่นไปสืบมาหมดเลยสินะ เกี่ยวกับครอบครัวฉัน …เป็นยัยผู้หญิงที่น่ากลัวจริงๆ”
เคียวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่และเดินไปต่อ—พลางนึกถึงเกี่ยวกับวัยเด็กอันบัดซบของตัวเอง