< < 208 Sec2 > >
ทันทีที่เห็นผม เซียนก็เดินตรงมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูสดใสร่าเริงไม่แคร์ใคร ตัดกลับไปที่ฟัฟนิร์ซึ่งนั่งทำหน้าหดหู่อยู่ตรงพื้นแล้วก็ ..พอจะเดาอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาได้เลยละ
“อย่าแกล้งฟัฟนิร์มากนักสิครับ”
“โทษทีๆ ข้าเห็นแล้วมันอดไม่ได้ตลอด”
แค้นฝังหุ่นสุดๆ ..ก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างเซียนอะไรหรอกนะ แต่ผมก็พอเข้าใจความรู้สึกของเขา จากการแชร์ความทรงจำกับยูนาในช่วงแรกๆทำให้พอเข้าใจความรู้สึกกลุ่มคนที่อาฆาตแค้นฟัฟนิร์บ้างพอประมาณ แต่ก็นั่นแหละนะ เบาได้เบา
“แต่วางใจได้นะ คราวนี้ข้าแค่สั่งสอนด้วยวาจา”
สำหรับเซียนที่ฉลาดกว่าฟัฟนิร์หลายเท่าตัว ชนิดคนกับลิงแล้วดูน่ากลัวกว่าการใช้ความรุนแรงซะอีก
“จะ จะอย่างไรก็อย่าทำฟัฟนิร์เลยครับ ตอนนี้เธอกับผมทำพันธสัญญากึ่งๆนายจ้างลูกจ้างกันอยู่ด้วย ผมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตของเธอให้ดีขึ้นน่ะ จะมาให้โดนด่าจนนั่งซึมมันทุกทีก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
“พูดตรงๆก็คือถ้าข้าเอาแต่รังแกคุณฟัฟนิร์ก็จะถูกคุณเรเซอร์ตั้งตนเป็นศัตรูสินะ หึๆ ไม่เห็นต้องพูดอ้อมค้อมเลยนี่”
แหม่ ของแบบนี้ให้พูดตรงๆก็เสียมารยาทตายชัก
“เข้าใจแล้ว ต่อจากนี้จะไม่รังแกคุณฟัฟนิร์ จวบจนวันสุดท้ายของชีวิตคุณเรเซอร์”
“ขอเปลี่ยนเป็นจวบจนวันสุดท้ายของคุณเซียนแทนได้รึเปล่าครับ?”
“ไม่มีปัญหา หากเป็นความปารถนาของคุณเรเซอร์แล้ว” เซียนหันไปมองฟัฟนิร์ และยิ้มให้ “ที่นี้พวกเราก็หมดเวรหมดกรรมกันเสียทีนะ คุณฟัฟนิร์”
“…ชะ ชัยโย”
ฟัฟนิร์ดีใจด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“แน่นอนว่าพูดถึงแค่กรรมเก่า หากพวกเราสองคนมีเรื่องต่อกันและกันอีก พันธสัญญานี้ก็ไม่อาจคุมหัว คุณฟัฟนิร์ ได้อยู่ดี เข้าใจตรงกันนะ?”
“..ค่ะ”
….สภาพดูไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่ผมที่คิดอย่างนั้น เรย์กับชินที่ยืนมองอยู่ใกล้ชิดก็คิดเช่นเดียวกันกับผม
เอาเป็นว่า
ผมตบมือสามจังหวะเปลี่ยนบรรยากาศ
“คุณเซียนมีเรื่องสำคัญจะคุยใช่หรือเปล่าครับ?”
“ใช่แล้ว”
“เป็นเรื่องที่ทุกๆคนก็ฟังได้รึเปล่า?”
“ถ้าหมายถึงคนที่ร่วมหัวจมท้ายกับคุณเรเซอร์อย่างเดียวก็ใช่”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนตอบกลับ
“เข้าใจแล้วครับ ขอเวลาสักครู่”
จากนั้นผมก็ไปเรียกยูจิกับหนิงมาร่วมคุยด้วย ณ ศาลาตรงลานกว้าง
****
ใช้เวลาไม่นานก็รวมตัวกันจนครบ แน่นอนว่าหนิงที่ยังขยับร่างกายไม่ค่อยได้ก็ลากมาทั้งรถเข็นเลย อาจกล่าวได้ว่าหนิงอยู่ในสภาพผู้ป่วยติดเตียงชั่วคราว
ตัดสินใจนั่งคุยกันบริเวณศาลาไม้ไผ่ พวกเรานั่งกันสะเปะสะปะเล็กน้อย ไม่ได้ล้อมวงกลมสามัคคีอะไรกันขนาดนั้น ให้บรรยากาศเหมือนรวมตัวกันพูดคุยในชนบทชอบกล-ผมมองไปรอบๆอันเป็นหมู่บ้านของชนเผ่าชนเผ่าหนึ่ง
อืม ก็ใช่ เรียกว่าชนบทอาจดูหรูไปด้วยซ้ำเอาจริงๆ
“ถ้านั้นก็”
ผมมองไปที่ทุกคนก่อนจะเริ่มบทสนทนา ..หนิงกับยูจิต่างคนต่างเขินกันทำอะไรไม่ค่อยถูกตามคาด เรย์นั่งเกาไข่ ไอหมอนี่ทุเรศชะมัด แอบๆหน่อยสิฟร้ะ ชินนั่งตัวตรงรูปหล่อสมกับเป็นอัศวินของผม ฟัฟนิร์นั่งติดกับผมจนแทบจะสิงกัน หล่อนส่งสายตาหวาดกลัวเซียนแบบไม่ปิดบังเลย ส่วนเซียนก็นั่งอยู่ตรงข้ามผมพลางส่งยิ้มให้
“ธุระที่ว่าคือเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเท่าไหร่หรอกนะ ข้าอาจจะแค่ตื่นเต้นไปเองจนเดินทางมาหาถึงที่นี่ ไม่ช้าก็เร็วพวกคุณเรเซอร์ก็จะรู้เอง”
“อ่า ถ้านั้น-”
“ใช่ เมื่อไม่กี่วันก่อน เหมือนว่าจอมมารจะลืมตาตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้วน่ะ”
……
…….
“ “ “ “ เอ๊ะ ” ” ” ”
ทุกคนประสานเสียงตกใจพร้อมกัน ยกเว้นผมคนเดียว ..ผมกระพริบตาสามที ก่อนจะหลับตาลง และ
“ไม่ใหญ่กับผีสิ!!”
ผมหลุดเผลอเหวี่ยงใส่เซียนที่ตัวเองนับถือไป แทบจะไม่รู้สึกตัวเลยจู่ๆมันก็พุ่ง
“ข้าละชอบปฏิกิริยาเช่นนี้จริงๆ ขอประทานโทษ แค่อยากจะหยอกล้อเล็กน้อยเท่านั้น อย่าได้ใส่ใจไปเลย แต่เนื้อหาที่พูดเป็นความจริงแน่นอน ข้าไปพิสูจน์มาด้วยตัวเองแล้ว”
“อ่า ครับ ไม่ทราบว่าวิธีไหน”
“ก็เดินเข้าไปเช็คของตรงๆเลย แน่นอนว่าระดับจอมมารคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรตามใจชอบได้อยู่แล้ว ทุกสิ่งต้องมีการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมเสมอ–ใช่ๆ แลกกับโดนคำสาปที่จะตายภายในสองเดือนน่ะ ถ้าจำไม่ผิด”
“เอาเป็นว่าผมเชื่อนะครับ”
คุณเซียนมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ เป็นพวกที่ไม่ค่อยทุกข์ร้อนกับอะไรสักเท่าไหร่ ..ผมชี้นิ้วไปทางเซียน และใช้เพลิงวิหคอมตะรักษาเขา
คำสาปที่เซียนได้รับสลายไปพร้อมกับเพลิงสีทองที่ดับลง
โชคดีที่คำสาปที่ร่ายใส่มันไม่ใช่คำสาปจำพวกมานารูปแบบพิเศษ คล้ายๆการตัดมิติหรือหักล้าง ทำให้ผมรักษาได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
“เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วครับ”
“ ‘วิหคอมตะ’ ยังคงเป็นมานารูปแบบพิเศษที่มหัศจรรย์เช่นเคย หากให้เทียบมันก็วิเศษไม่ต่างอะไรกับเพลิงสีขาวของจอมมารเลย สมกับเป็นจอมมารแห่งจุดสิ้นสุด”
“เรื่องชื่อจอมมารเบียวๆของผมไม่เคยบอกใครนอกจาก ‘อานิม่า’ เลยนะครับ”
“บังเอิญได้คุยกับอานิม่าเล็กน้อยน่ะ อ๊ะ กับพวกคุณเคียวยะก็ด้วยนะครับ”
แบบนี้นี่เอง แต่ขอทีเถอะ ให้พูดชื่อนั้นมาบ่อยๆไอผมก็ไม่ไหวเหมือนกันแฮะ
ผมกระแอ่มเบาๆเพื่อเข้าเรื่อง
“นอกจากเรื่องจอมมารลืมตาตื่นแล้วมีอะไรอีกรึเปล่าครับ”
“การลืมตาตื่นครั้งนี้แปลกกว่าทุกที โดยปกติเมื่อลืมตาตื่น บุคลิกของจอมมารจะเป็นของตัวเองในยุคปัจจุบันราวๆครึ่งหนึ่ง แล้วเป็นของอดีตอีกครึ่งหนึ่ง แต่ครั้งนี้มันเหมือนกับว่ามีแค่ของอดีต ข้าเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีเหมือนกัน เพราะข้อมูลก็ไม่มากพอด้วยจึงบอกได้แค่นี้”
จอมมารที่ควรจะผสมบุคลิกเข้ากับตัวเองในชาตินี้ กลับมีเพียงแค่บุคลิกของตัวเองในชาติก่อน …ผมนึกย้อนกลับไปตอนที่เข้าปะทะกันจอมมารบนเกาะวาเรอร์ และพอจะจิตนาการถึงเรื่องที่เซียนพูดได้บ้าง
“เข้าใจแล้วครับ”
“นอกจากเรื่องการลืมตาตื่นก็ความโกลาหลในปัจจุบัน ข่าวสารอาจจะยังส่งมาไม่ถึง ข้าเลยทำหน้าที่เปรียบเสมือนซองจดหมายฉบับหนึ่งให้แทน”
สรุปคร่าวๆเลยก็คือ—จักรวรรดิราชามังกรถูกจอมมารเข้าถล่ม และไม่ใช่แค่นั้น เอเธอร์กับคนจากบนฟ้ายังมีเอี่ยวไปสร้างความวุ่นวายมากมาย จนตัวเมืองเสียหายไปกว่าครึ่ง ทั้งผู้คน แลพทรัพสินย์มากมายสารพัด โดยเฉพาะข่าวใหญ่สุดอย่างการตายจากไปของ ‘ราชามังกร’ ‘กลอเลียส’
และสำคัญไม่แพ้กันคือกองทัพของแซร์อิซที่นำมาโดย ‘ราชาแห่งแซร์อิซ’ ‘เรลันต้า’ ก็ถูกถล่มจนยับเยิน เรลันต้า ณ ปัจจุบันนี้ก็กลายเป็นบุคคลหายสาบสูญไม่ทราบชะตากรรม เช่นเดียวกันกับ ‘ผู้กล้าลำดับที่ 100’ ‘แอสทอเรียส’ ก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลยหลังจากการบุกถล่มจักรวรรดิราชามังกร
นับว่าเป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายร้อยปีเลยก็ว่าได้
“การต่อสู้ระหว่างฝั่งทูตสวรรค์ที่มีเอเธอร์ร่วมมือด้วย กับจอมมาร และราชาทั้งสองที่มีผู้กล้าช่วยสนับสนุนด้วย ทำให้เกิดความเสียหายที่ใหญ่โต แล้วใหญ่กับผลลัพธ์การต่อสู้ที่ปรากฏ บุคคลผู้ครองอำนาจสูงสุดของสองสถานที่ตายจากไปจากการต่อสู้ ด้วยเหตุนั้นความปั่นป่วนจึงเกิดขึ้นทั่วทั้งโลกแล้ว”
ไม่ว่าจะเรลันต้าหรือกลอเลียส ทั้งสองก็คือตัวตนระดับผู้นำของสภาโลก การที่เสาหลักสำคัญหายไปถึงสองคนในทีเดียวนั้น ..ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะรับมือไหว ความโกลาหลวุ่นวายเลยตามมาประหนึ่งระเบิด
“นอกจากนั้น อาณาจักรเกรลก็มีปัญหาด้วยเหมือนกันอีก”
ผมพูดขึ้นมาอย่างเหนื่อยใจ
การตายจากไปของราชาไม่น่าจะสร้างปัญหาอะไรเท่าไหร่ แต่ผู้นำที่แท้จริงอย่าง ‘ลีออน’ ดันหายสาบสูญไปด้วยเนี่ยสิ ..จากแต่ก่อนที่ผู้นำสภาโลกจะประกอบไปด้วยผู้นำสูงสุดของสี่อาณาจักรมหาอำนาจ จักรวรรดิราชามังกร และอิกดราซิล ตอนนี้ก็เหลือที่พอพึ่งพาได้แค่สามจากหกแห่งเท่านั้นเอง ไม่สิ อาณาจักรฟัฟนิร์ตอนนี้ก็เจอมาหนักเหมือนกัน ..เหลือแค่สองในหกเท่านั้น
“ปัญหาใหญ่โตที่สภาโลกต้องรับมือคือการสูญเสียผู้นำในสภาโลกไปถึงสามแห่งในทีเดียว และสภาพหลังสงครามของอาณาจักรเนลยอน และอาณาจักรแซร์อิซ สภาพหลังจากการโดนบุกถล่มของอาณาจักรฟัฟนิร์ และจักรวรรดิราชามังกร ไหนจะการแย่งชิงอำนาจที่เกิดขึ้นกระทันหันภายในอาณาจักรเกรล ภายใต้ปัญหาเหล่านี้พวกเขาต้องเตรียมรับมือกับการถือกำเนิดของจอมมาร การทรยศของเอเธอร์ และเหล่าทูตสวรรค์ที่ออกอาละวาดไปทั่วอีก”
“ไม่ใช่แค่นั้นครับ—ยังมีการถือกำเนิดของเทพมังกรอีก”
“ข้อมูลใหม่สินะ”
“ใช่ครับ ไม่ใช่เร็วๆนี้ก็จริง แต่ก็ต้องเตรียมตัวรับมือด้วยเหมือนกัน”
เซียนลูบคางของตัวเองพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เหตุการณ์เช่นนี้ทำนึกถึงตอนที่พบกับจอมมารเป็นครั้งแรกเลยนะ ช่วงเวลานั้นมันทั้งโกลาหลและน่าปวดหัว ต้วข้าที่เป็นเพียงแค่ผู้แสวงหาหนทางสู่สวรรค์ก็ได้ค้นพบกับความจริงที่เน่าเฟะของสวรรค์ และเลือกที่จะทิ้งวิถีทางของตัวเอง” เซียนพูดไปพลางหัวเราะไป “ข้าใช้เวลาสนทนาเกี่ยวกับเรื่องโลกใบนี้ค่อนข้างจะหลากหลายเลย กับจอมมารในเวลานั้น ทำให้พวกข้ากลายมาเป็นเพื่อนกันได้ในที่สุด”
ผมรับฟังเรื่องที่เซียนเล่าโดยไม่คิดขัด
“แต่วันหนึ่งบ้านที่สร้างไว้เพื่อไต่เต้าไปถึงสวรรค์ให้ได้ก็ถูกทำลาย ถึงจะหมดอะไรตายอยากกับวิถีสู่สวรรค์ไปนานแล้ว แต่บ้านก็ยังสวยน่าอยู่ไม่เปลี่ยนไป ข้าถูกใครบางคนปั่นหัวว่าจอมมารเป็นผู้กระทำ ด้วยโทสะที่มากล้น ทำให้หน้ามืด และออกตามล่าจอมมารไปพร้อมกับกลุ่มผู้กล้า ณ เวลานั้น เป็นเวลาที่แสนขมขื่นจริงๆ”
“อ่า”
ผมหันไปมองฟัฟนิร์ที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ..
“เดี่ยวนะ!”
เรย์โพล่งขึ้นกวางวงสนทนา
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ท่านเซียน?”
“เรียกตามสะดวกได้เลย”
“งั้น ท่านเซียน—ท่านเป็นอดีตผู้ร่วมมือกับผู้กล้าสินะครับ”
“ใช่แล้ว รู้สึกว่าคนยุคหลังๆจะเรียกข้าว่าเป็นหนึ่งในสามวีรบุรุษ”
สามวีรบุรุษคือชื่อเรียกของสามคนที่มีส่วนสำคัญในการโค่นจอมมารในยุคผู้กล้า ประกอบไปด้วย ‘ผู้กล้า’ หรือ ‘เอเธอร์’
‘ราชามังกรลำดับที่หนึ่ง’ สุดท้าย ‘จอมปราชญ์’ ไม่ได้ถูกเรียกว่าเซียน บนหน้าประวัติศาสตร์โดนเข้าใจผิดว่าเป็นคนละคนด้วยซ้ำ
“ข้าถูกเรียกขานว่า ‘จอมปราชญ์’ มีนามที่แท้จริงว่า ‘ฮุ่ยหมิ่น’ ”
“ถ้าไม่รังเกียจ ต่อจากนี้ผมขอคุยส่วนตัวด้วยได้รึเปล่าครับ?”
“ถ้าภายในวันนี้ก็ได้อยู่นะ สงสัยอะไรก็ถามมาได้เลย มิตรของคุณเรเซอร์ก็คือมิตรสหายของข้า”
เรย์พยักหน้ารับอย่างจริงจัง ทำให้พอทราบว่าเรื่องที่คุยไม่น่าใช่อยากฟังเรื่องโม้ของบุคคลในตำนาน ตามแบบฉบับที่คนวัยๆนี้อยากจะฟังกัน
“ถ้านั้นคุณเซียน ผมคิดว่าพวกเราจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า จุดหมายก็น่าจะเป็นทวีปแซร์อิซ ยังไงก็ทำอะไรกับการถือกำเนิดของเทพมังกรไม่ได้อยู่แล้ว เลยอยากจะไปเคลียร์บางอย่างกับจอมมารซะก่อน ให้เดาน่าจะอยู่แถวๆนั้นกัน”
จริงๆเรื่องของเอเธอร์กับทูตสวรรค์ก็จำเป็นต้องไปสะสางให้แน่ชัดก่อนเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมให้เบลลามีสำคัญกว่า
“ไม่มีปัญหา ข้าเองก็เตรียมคริสตัลสำหรับวาร์ปไปไว้ให้แล้ว”
“จะดีเหรอ ของมีค่าขนาดนั้น”
ถามว่ามีค่าขนาดไหน ก็มากระดับลูกๆเดียวมีมูลค่าเท่างบกองทหารของอาณาจักรมหาอำนาจเลยละนะ ของเซียนอาจจะเป็นกรณียกเว้นตรงที่เจ้าตัวสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง มูลค่าสำหรับเซียนเลยไม่ได้มากมายอะไรนัก
“ข้าเก็บไว้ใช้เพื่อการนี้นี่แหละนะ”
“ขอบคุณมากจริงๆครับ เป็นบุญคุณอีกแล้วสิ”
ไม่มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธ ถึงจะรู้สึกเกรงใจหน่อยๆก็เถอะ แต่เวลานี้อะไรใช้ได้ก็ควรใช้
“ไม่มีคำว่าบุญคุณกับมิตรสหายหรอก คุณเรเซอร์” เซียนส่ายหัวตอบ และยิ้มให้
“เรื่องนั้นไม่เห็นด้วยแฮะ ไว้สักวันจะตอบแทนนะครับ”
“แค่ช่วยให้ข้าพ้นจากคำสาปสองเดือนก็พอแล้วละ”
“อันนั้นมันง่ายไปครับ”
“ไม่หรอกๆ”
“ฮะๆๆๆ”
ผมกับเซียนพากันหัวเราะพึมพำ และคุยโต้กลับไปมาอย่างกับคนแก่อยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเตรียมตัวออกเดินทางในวันพรุ่งนี้เช้าด้วยคริสตัลเคลื่อนย้าย
****
มีเวลาเตรียมตัวก่อนจะขึ้นวันใหม่อยู่มาก เรย์เลือกจะใช้เวลานั้นพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับเซียน
ทั้งสองพูดคุยกัน ณ จุดๆเดิม แต่ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่แล้วนอกจากเรย์กับเซียน
“เช่นนั้นสงสัยเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือ?”
“เกี่ยวกับ ‘เทพดาบ’ น่ะครับ”
“เทพดาบนั้นหรือ ..ข้ามีโอกาสได้พบกับนาง และพูดคุยอยู่หลายครั้งหลายคราทีเดียว ในช่วงที่ร่วมมือกับผู้กล้ารุ่นแรก เพราะเธอเป็นอาจารย์ผู้สอนดาบให้แก่ผู้กล้าน่ะนะ”
“ช่วยเล่าความเป็นมาทั้งหมดของเธอให้ผมฟังได้รึเปล่าครับ?”
เซียนกระพริบตาปริบๆ ครุ่นคิดอยู่ไม่นาน
“มีเหตุผลอันใดรึ?”
เรย์หยิบดาบมังกรเหล็กบรามุนต์ขึ้นมาให้ดู นั่นทำให้เซียนแอบตกใจหน่อยๆ
“ผู้สืบทอดของเกรย์สินะ แบบนี้นี่เอง โดนฝากเจตจำนงศ์ให้นั้นรึ?”
“หลักๆประมาณนั้นครับ เพราะอย่างนั้นผมเลยอยากจะรู้เรื่องของแกนน่อนให้มากที่สุด เพื่อที่สักวันผมจะเป็นคนโค่นเธอให้ได้”
“โค่นแกนน่อน? คุณเรย์เหรอ? ..อภัยให้ด้วยนะหากล่วงเกินไปหน่อย แต่คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้”
ความจริงกระแทกเข้าใส่หน้าของเรย์
เซียนกล่าวต่ออย่างไม่ปราณี
“แกนน่อนน่ะแข็งแกร่งมากๆ เป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ที่ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเอาชนะได้ ซึ่งตั้งแต่ลืมตาตื่นมีชีวิตบนโลก คนที่ข้าคิดอย่างนั้นมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ หนึ่งในนั้นก็คือเทพดาบคนนั้นนั่นแหละ พูดตามตรง คุณเรย์มีวิชาดาบที่วิเศษเมื่อเทียบกับขีดจำกัดมนุษย์ แต่เทพดาบคือมนุษย์ที่ห่างไกลกับคำว่ามนุษย์ไปไกล ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถูกขนานนามว่า ‘เทพ’ หรอก ต่อให้จะพัฒนามากขึ้นขนาดไหน หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมยังไง ตัวของคุณก็ไม่น่าจะเอาชนะแกนน่อนได้”
“..เรื่องนั้นผมจะเป็นคนตัดสินเองครับ”
กระนั้นเรย์ก็ยังยืนยันคำเดิมด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความจริงจัง
“แม้แต่ ‘เกรย์’ ผู้ถือครองดาบเล่มก่อนที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ยังเอาชนะไม่ได้ แล้วคุณเรย์จะชนะได้จริงๆเหรอ?”
“ผมไม่ได้ตัวคนเดียวสักหน่อย”
“นั่นสินะ ถ้าเกิดร่วมมือกับคุณเรเซอร์ และคุณยูจิ การเอาชนะแกนน่อนอาจไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก”
“ไม่ได้หมายความอย่างนั้นครับ”
เรย์ยกดาบมังกรเหล็กขึ้นมาโชว์ให้ดู และยิ้มกว้าง
“ดาบจันทร์เสี้ยวพัฒนาต่อจากอาจารย์ของผม ผมจึงไม่ได้เริ่มต้นใหม่จากศูนย์ แต่พัฒนาต่อจากอาจารย์ต่างหาก เพราะอย่างนั้นเลยคิดว่าจะชนะได้”
“…การโค่นแกนน่อนไม่ใช่การเอาชนะนักดาบคนหนึ่งธรรมดา แต่เป็นการชนะ และชิงตำแหน่งเทพดาบมาเป็นของตัวเอง หมายความว่าคุณคิดจะเป็น ‘เทพดาบ’ ที่แท้จริงคนถัดไปสินะ”
“ก็ดีนะครับ ชื่อเทพดาบน่าจะเอาไปอวดอ้างสรรพคุณตัวเอง ใช้หาแฟนได้ง่ายดีด้วย แหะๆ”
ไม่ใช่แค่พูดอ้างปลุกอารมณ์ให้ตัวเอง แต่ที่พูดมันออกมาจากใจจริงเลย
“เป็นเจตนารมณ์ที่น่าสนใจ ช้าจะคอยเฝ้ามองละกัน”
เซียนยิ้มให้กับเรย์ ก่อนที่้ขาจะทิ้งตัวลงไปนอนบนศาลา และเริ่มเข้าประเด็นที่เรย์สนใจ
“เรื่องราวของแกนน่อน นั่นสินะครับ มันเริ่มขึ้นจาก—”
จากนั้นเรื่องราวประวัติของแกนน่อนก็ถูกเปิดเผยสู่ ‘เรย์ คามาเลีย’ ‘ผู้ท้าชิง’
****
ตกดึก
เรย์เดินออกมานอกหมู่บ้าน ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างเรียกร้องให้เขาออกมา ….ตามคาด
“ไม่ได้พบกันนาน”
เสียงเย็นชาปลอมๆ เพราะมันแฝงด้วยความอ่อนโยนดังขึ้นภายในป่า เรย์หันหน้าไปตามเสียง และพบกับเด็กสาวเผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์
เธอแต่งตัวเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนจากตอนบนเกาะวาเรอร์เลย
“โอ้ว! ไม่เจอกันนานนะ ‘แกนน่อน’ ”
MANGA DISCUSSION