< < 208 Sec1 > >
สองวันถัดจากเหตุการณ์ที่คุกนรก ‘คัลเซเรม’ พวกเราเลือกที่จะพักผ่อนก่อนสักพักหนึ่งแล้วค่อยตัดสินใจเดินทางไปต่อที่อื่น ด้วยเหตุนั้นเองพวกเราจึงยังปลักหลักอยู่ที่หมู่บ้านของชนพื้นเมือง
ตัวผม ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าหมู่บ้านพลางโบกมือให้กับคนสองคนที่กำลังจะเดินทางออก
“ไว้ถ้ามีเรื่องอะไรจะติดต่อไปอีกนะจ๊ะ”
“เข้าใจแล้ว ทางนี้ก็เหมือนกัน”
กลุ่มคนที่กำลังจะออกเดินทางประกอบไปด้วย เทพแห่งธรรมชาติที่ปัจจุบันใช้ชื่อว่า ‘คาร่า’ และผู้ติดตามของเธอ ‘การ์ป’
ด้วยเหตุผลบางประกายทำให้คาร่าตัดสินใจจะแยกทางกับผมชั่วคราว แน่นอนว่าสัญญาเป็นพันธมิตรกันก็ยังอยู่ดี หากต่างฝ่ายต่างมีปัญหาอะไรขึ้นมาก็ต้องรีบไปช่วยเหลือตามข้อตกลง
“ว่าไป การ์ป นายไม่คิดจะคุยกับยูจิหน่อยเหรอ?”
“…มันพูดค่อนข้างยากน่ะ”
“ถึงขนาดนี้แล้วมาเขินอะไรอีก มีเรื่องที่อยากพูดก็รีบๆพูดออกมาสิ ระวังจะเสียใจทีหลังเอานะ”
การ์ปรับฟังคำเตือนของผมแต่โดยดี ไม่ได้มีอาการดื้ออะไรเหมือนกับช่วงเกรียนแตก
“ก็จริงอย่างที่นายพูด แต่ว่า ..ไว้ครั้งหน้าดีกว่า”
“ครั้งหน้าสินะ รู้รึเปล่าว่าพูดแบบนี้เป็นลางนะ มักจะพบเห็นได้บ่อยๆในนวนิยาย ไม่สิ จะว่าไปชีวิตจริงเองก็มีนะ อย่างเพื่อนฉันคนหนึ่งแถวๆทวีปแซร์อิซก็เอาแต่พล่ามว่าสักวันหนึ่งจะไปหาภรรยาตอนที่ตัวเองรวยแล้ว และชิงครอบครัวตัวเองกลับมาจากสามีใหม่ของนาย แต่ปัจจุบันก็นอนตายอยู่ก้นดันเจี้ยนซะแล้วละ อะไรราวๆนี้ เห็นว่าตอนนี้ลูกอายุก็สิบขวบกว่าๆแล้วยังไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อแท้ๆของตัวเองเลย”
เป็นจุดจบที่เลวร้ายอย่าบอกใครเชียวเลยละ
การ์ปได้ยินก็หน้าถอดสี
“พูดแบบนี้จะมองว่าแช่งกันนะ เรเซอร์”
“ฮะๆ โทษทีๆ ไม่ได้เจตนา แค่อยากจะบอกว่ามีอะไรก็พูดออกมาให้หมดก่อนเถอะ”
“ขอบคุณ แต่อย่างที่บอก ไว้ครั้งหน้าดีกว่า”
“อ่อเรอะ น่าเสียดาย”
การ์ปโบกมือให้ผมพร้อมกับคาร่า และออกเดินทางไปต่อ ผมยืนส่งพวกเขาอยู่พักหนึ่งก่อนเดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน
ระหว่างทางก็แวะยกมือหวัดดีกับชนพื้นเมือง แม้จะคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ก็สื่อสารกันได้ด้วยภาษามือและสีหน้าท่าทาง
ผมเดินมาถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง ซึ่งสองพี่น้องคามาเลียกำลังรุกรับแลกดาบกันอย่างดุเดือดอยู่ นอกจากนั้นก็มีฟัฟนิร์นั่งมองพลางกินหนมปังยักษ์ในมือไปด้วย
“..จะว่าไปวันนี้ข่าวจากพวกเคียวยะน่าจะมาถึงแล้ว”
“เรเซอร์!”
เด็กในชนเผ่าคนหนึ่งวิ่งมาหาผมพร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่ง เด็กสาวยื่นจดหมายมาให้ผมรับโดยที่ฝืนตัวเองไม่ให้ยิ้ม และเปิดอ่านทันที
เนื้อหาในช่วงต้นคร่าวๆก็คือพวกเคียวยะบังเอิญไปพบกับทูตสวรรค์ที่อาณาจักรเกรล และเกิดการปะทะกันยกใหญ่ขึ้น ก่อนที่ต่างฝ่ายจะแยกย้ายกันไป เพราะหาผลสรุปที่ลงตัวไม่ได้ ว่าง่ายๆก็กินกันไม่ลง จากนั้นก็ในย่อหน้าสุดท้ายที่ไม่เกี่ยวกับข้อมูลที่ผมต้องการ
‘พวกแกจะทำอะไรก็ทำกันต่อเลย ไม่ต้องรอ ทางนี้มีเรื่องต้องทำอีกหลายอย่างเหมือนกัน จากเคียวยะ’
ผมพับจดหมาย และเก็บไว้ที่กระเป๋าคาดเอว
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้มาจะเกี่ยวกับการเมืองภายในอาณาจักรเกรล อาทิเช่น การเสียชีวิตของราชาคนปัจจุบัน และการหายสาบสูญแบบกระทันหันของเจ้าชายลีออน ทำให้อาณาจักรตอนนี้อยู่ในความวุ่นวาย พวกแก็งหรือกลุ่มทุนต่างๆก็เปิดฉากตีกันแย่งชิงอำนาจซะยกใหญ่ จะบอกว่าอาณาจักรเกรลตอนนี้กลายเป็นเมืองเถื่อนโดยสมบูรณ์ไปแล้วก็ไม่ผิด แล้วก็เรื่องพลังความสามารถของทูตสวรรค์เล็กๆน้อยๆซึ่งมีค่าพอสมควร
ถือซะว่าการแยกกันคราวนี้มันคุ้มค่าก็ได้อยู่
“แต่ว่า ..ไม่ได้ข่าวของเบลลามีเลยแฮะ”
ตอนนี้เธอทำอะไรอยู่ที่ไหนกันนะ ….ผมคิดอย่างนั้น และเดินไปต่อเรื่อยๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมาหยุดหน้าห้องพักตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่รู้สึกตัวเลยแฮะ พอนึกถึงเรื่องของเบลลามีก็รู้สึกเครียดจนขึ้นเยอะ รู้ตัวอีกทีก็ไหลมาอยู่ที่นี่ซะแล้ว
น่ากลัวจริงๆ อีแบบนี้ถ้าอยู่โลกเก่ารู้ตัวอีกทีได้โดนรถชนมาต่างโลกแหงๆ
“ใช่ที่เขาเรียกป่วยความรักหรือเปล่านะ?”
‘ใกล้เคียงอยู่นะคะ’
ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ ยูนา
“เอาเถอะ มีเรื่องอยากถามหนิงพอดีด้วยสิ”
ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปถามตรงๆ ผมก็พบเห็นรองเท้าของยูจิหน้าปากทางเข้าก่อน ทำให้ตัวผมที่อ่านบรรยากาศดิเลิศเลือกจะไม่เข้าไป และ—เดินไปแอบอยู่ริมหน้าต่างที่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแทน
‘มาสเตอร์ วิตถารนะคะแบบนี้’
แจ้งตำรวจมาจับซะสิ แน่จริงอะ
‘วิญญาณพูดไม่ได้ แต่สมเพซได้นะคะ’
เชิญตามสบาย ชีวิตนี้ไม่มีอะไรน่าสมเพซไปกว่าการนึกเสียใจทีหลังอีกแล้ว
‘เอาอีกแล้ว ของถนัดของมาสเตอร์เลยนะคะ ไอการพูดให้ตัวเองดูดีนี่’
ผมเลือกจะเมินไม่เถียงกับยูนา เพราะเถียงยังไงก็ไม่พ้นคำด่าเสียๆหายๆอยู่ดี ผมเลือกจะไม่โกหกความรู้สึกตัวเอง และแอบฟังคนสองคนคุยเรื่องส่วนตัวกันด้วยความตื่นเต้น
“ขอโทษด้วยนะครับ”
“เรื่องอะไรเหรอ?”
“เอ่อ คือที่ทำให้คุณหนิงต้องนอนติดเตียงไปพักใหญ่ๆเลย”
“ทีหลัง ยูจิก็ช่วยเบาๆหน่อยนะ โดนแรงๆแล้วมันจะเดินไม่ค่อยไหวน่ะ ..”
“…เอ๋”
เห้ยๆ คุกคามแล้วนะนั่ยเห้ย ยัยบ้าเอ้ย อย่ามาคุกคามยูจิของตูนะเฟ้ย!! ถึงจะเลี่ยงการพูดตรงๆก็เหอะ แต่เจตนาชัดเจนเลยว่าจงใจเต๊าะยูจิเนี่ย!
‘สมกับที่มีสายเลือดของฟัฟนิร์เลยนะคะ ได้ยินแล้วรู้สึกอยากจับทุ่มลงพื้นขึ้นมาเลยค่ะ’
ทั้งผมทั้งยูนาต่างเป็นแฟนคลับเดนตายของยูจิก็พากันเดือดที่มีนังชะนีมาพูดจาข้ามเส้น แต่ก็พอมีสัมมาคาระวะอยู่บ้าง จึงฟังต่อไป ไม่ผลีผลามไปเอาเรื่องซะก่อน
“หึๆ ฉันโดนยูจิทำให้ต้องนอนบนเตียงไปไหนไม่ได้ หึๆ”
“คุณหนิงไม่โกรธหน่อยเหรอครับ”
“ให้พูดตามตรงดีใจสุดๆ”
เอ่อ ยัยนี่ชักน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆแล้วแฮะ รักยูจิมากๆมันก็ดีอยู่หรอก แต่เข้าขั้นโม่ยนี่แอบน่ากลัวแฮะบ่องตง
“ถ้านั้นพอมีเรื่องที่ลำบากใจอะไรหรือเปล่าครับ”
“ก็พอมีนะ คือตอนฉันแปลงร่างเป็นมังกร เสื้อผ้ามันจะขาดตลอดน่ะ ถึงจะใช้เวลาไม่กี่วิในการเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่สำหรับผู้หญิงให้อยู่ในร่างเปลื่อยแค่วิเดียวก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ..ให้พูด ตอนอยู่ร่างมังกรเนี่ยก็ไม่ต่างกับโป๊ตลอดเวลาด้วย”
หนิงหัวเราะแห้งๆ
“แต่ดีหน่อยที่ตอนอยู่ร่างมังกร สัญชาตญาณในฐานะมนุษย์จะไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ทำให้ไม่ได้เขินอายอะไร”
นึกๆดูแล้วก็ผิดศีลธรรมพิลึกแฮะ ที่พวกเราหลายคนขี่หลังหนิงในสภาพแก้ผ้า แล้วให้หนิงบินไปมาแบบนั้นน่ะ–หวา น่ากลัว กลัวสุดๆ ผมชักกลัวตัวเองขึ้นมาแล้วสิ ว่าหนิงว่าเป็นภัยสังคมอย่างเดียวไม่น่าได้แล้วละดูทรง
“ถ้านั้นละก็–คุณหนิง ผมจะสร้างเสื้อผ้าที่ใส่ได้ทั้งตอนอยู่ร่างมนุษย์และร่างมังกรได้ครับ มันจะยืดหดได้ตามความเหมาะสม และไม่มีวันขาดแน่นอน”
“จะ ..จริงเหรอ!!!? ทำได้จริงๆเหรอ!!?”
ตกใจอะไรขนาดนั้น แม่คุณ
“ได้สิครับ เอ่อ เรื่องดีไซน์ที่ต้องการก็ขอได้เหมือนกันนะครับ ผมคิดว่าตัวเองน่าจะสร้างได้แบบไม่มีข้อจำกัดอะไรเลย เพราะระหว่างทางก็ล่ามอนสเตอร์ไปเยอะจนมีวัตถุดิบอยู่เต็มกระเป๋าเวทมนตร์เลยครับ”
เดี่ยวนะ ยูจิฆ่ามอนแล้วยัดกระเป๋าเวทมนตร์จริงๆรึนั่น? เหวอ ไม่อยากนึกสภาพเลยแฮะ น่าจะเหม็นน่าดู
“นั่นไม่เหม็นแย่เลยเหรอ?”
“ไม่มีปัญหาครับ ผมใช้เวทย์แช่แข็งแต่ละส่วนที่อาจจะได้ใช้อีกทีก่อนยัดเข้ากระเป๋าเวทมนตร์ จากนั้นก็ใช้วิชาไสยศาสตร์ข้างในกระเป๋าเวทมนตร์ให้อยู่ในสภาพคงเดิมตลอดเวลา เรื่องกลิ่นไม่มีทางเหม็นครับ รวมถึงคุณภาพด้วย”
สะ สุดยอดเลยแฮะ แต่ละวิธีที่ใช้ดูเหมือนจะง่าย แต่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในระดับสูงพอสมควรเลยถึงทำได้ แถมมานายังต้องเยอะอีก
“ถ้านั้นก็ ..นี่ แต๊นๆ ‘นิตยสารแฟชั่น’ ฉบับล่าสุด ส่งตรงจากอิกดราซิล!”
ดูท่าหนิงจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาด้วยวิธีที่คล้ายๆกับ โดราเอo่อน ยูจิเห็นท่าทางดูมีความสุขของหนิงก็หัวเราะพึมพำ
“ดูนี่นะ ยูจิ ฉันชอบชุดสไตล์นี้ อ๊ะ แบบนี้ก็ชอบ ไว้ใส่ตอนฤดูร้อน หรือในพื้นที่ที่อากาศร้อนได้ดีเลย อ๊ะ แต่ตอนนี้หน้าหนาวอยู่นี่นา ถ้านั้นเอาชุดหน้าหนาวน่าจะดีกว่าเนอะ”
“ผมทำให้หลายๆชุดได้อยู่นะครับ เอาที่คุณหนิงอยากได้ทั้งหมดเลยครับ”
“ขอบคุณมากนะ!! ยูจิลุคสายเปย์ก็ไม่เลวเหมือนกันนะเนี่ย!”
“ลุคสายเปย์? เป็นศัพท์ที่ดูวัยรุ่นจังเลยนะครับ”
“ฮะๆๆๆ ยูจิพึ่งจะสิบหกเอง ทำไมพูดเหมือนแก่แล้วละ”
“ให้ว่าตามความรู้ที่ได้จากความทรงจำหลายๆช่วง ผมอาจจะแก่กว่าโลกใบนี้ไปแล้วก็ได้นะครับ”
แน่นอนว่าอายุจิตก็ไม่ต่างกับเด็กสิบหกอย่างแน่นอน แค่ประสบการณ์ที่มีมากกว่านั้นหลายเท่าตัว
“ทรงแดดดี้ก็ไม่เลวนะ!”
“ฮะๆๆๆ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่ฟังดูดีนะครับ”
“ระหว่างชุดหวานๆกับชุดที่ดูแรงๆ ยูจิชอบแบบไหนมากกว่ากันเหรอ”
“ประมาณไหนเหรอครับ”
“นี่ไงๆ”
หนิงยื่นนิตยสารไปให้ยูจิ และชี้ความต่างระหว่างสองชุดให้ดู
“อืม ..ผมว่าคุณหนิงน่าจะเข้ากับชุดหวานๆที่แอบแรงมากกว่านะครับ ..เอ่อ เรียกแบบนี้ได้รึเปล่านะ?”
“ศัพท์ใหม่เลยละ!”
“เหรอครับ เอ่อ อย่างชุดนี้น่ะครับ ด้วยสีที่ไปในโทนอ่อนๆเส้นผมของคุณหนิงจะดูเป็นประกายมากขึ้น แล้วหน้าตาของคุณหนิงก็ดูออกไปในทางสวยแบบวัยรุ่นอยู่เลยด้วย เลยคิดว่าสีโทนนี้เข้าดีครับ แต่คุณหนิงเป็นคนที่มีรูปร่างที่ดี การจะแต่งตัวเปิดเนื้อหนังบ้างก็ช่วยดึงสเน่ห์ได้เยอะพอสมควรครับ ผมเลยคิดว่าให้ผสมๆกันไปน่าจะเข้ากว่า …หืม?”
หนิงหน้าแดงแจ๋ระหว่างที่ฟังยูจิอธิบาย
“..ต่อเลยค่ะ”
“เอ๊ะ อ๊ะ ..เอ่อ ..ครับ”
ยูจิเองก็ผลอยรู้สึกเขินตามไปด้วย
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ การพูดบอกสเน่ห์ของหนิงอย่างกับการวิเคราะห์ทำให้ทั้งสองเขินเข้าขั้นวิกฤต ….หนิงกลืนน้ำลายดังอึกก่อนเปิดปากพูด
“แค่ชุดเดียวก็ได้ ไม่ต้องเอาตามความเห็นของฉัน ..อยากให้ยูจิสร้างชุดที่คิดว่าเข้ากับฉันที่สุด สักชุดให้ ..ได้รึเปล่านะ?”
“ดะ ได้ครับ….จะพยายามนะครับ”
….อ่า แย่แล้วสิ แบบว่า รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมายังไงไม่รู้
ผมนึกถึงวันแรกที่ได้พบกันทั้งสองคนในโลกใบนี้ ช่วงตอนงานวันเกิดของหนิงนั่นแหละ รู้สึกเหมือนความสัมพันธ์ของสองคนนั้นกำลังได้สานต่อจากตอนนั้น ..มันทำให้ผมรู้สึกดีใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา
‘นี่คือสิ่งที่มาสเตอร์อยากเห็นมาโดยตลอดสินะคะ’
อ่า ใช่ ทั้งในฐานะเรเซอร์ที่เป็นเพื่อนของทั้งสองคน และในฐานะแฟนคลับนิยายเรื่องนี้
‘ถึงฉันจะอคติกับสายเลือดของฟัฟนิร์ แต่ก็จะยอมรู้สึกยินดีไปกับมาสเตอร์ด้วยคนนะคะ’
..ยูนา
ผมหลับตา และฟังทั้งสองคนพูดคุยกันต่อไปพักใหญ่ๆ ก่อนที่จะเข้าเรื่องสำคัญ
“ถ้านั้นเสื้อผ้าก็ประมาณนี้นะครับ ทั้งหมดห้าชุด เดี่ยวกลับไปแล้วผมจะรีบทำให้เลยนะครับ”
“ตั้งตารอนะ ..แล้วก็อีกเรื่อง”
“อะไรเหรอครับ?”
“…เรื่องพวกคุยกันเมื่อตอนนั้นน่ะ ..ที่ฉันบอกว่า ..ระ ร๊ากกกกก น่ะ”
หนิงพูดลากเสียงอย่างไม่ทราบสาเหตุ คงจะเขินจนทำอะไรไม่ถูก
“…เรื่องนั้น ..ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่น่ะครับ” ยูจิโค้งศรีษะขอโทษ “ถ้าเป็นไปได้ขอเวลาอีกสักหน่อยนะครับ”
“เหรอ”
“..ถ้านั้นผมขอตัวไปเตรียมตัวทำชุดก่อน”
หนิงทำท่าจะรั้งเอาไว้ แต่เธอก็เก็บมือของตัวเอง และยิ้มตอบกลับยูจิ
“เข้าใจแล้ว”
“ขอตัวนะครับ”
สุดท้ายยูจิก็เดินออกจากกระท่อมไม้ไผ่มาอย่างน่าเสียดาย—ก
–ตัวผมที่ยืนดักฟังอยู่ก็พูดทักพ่อหนุ่มเนื้อหอมทันที
“อย่าเล่นตัวหน่อยเลยน่า ยูจิ”
“คุณเรเซอร์ ทำไมถึง?”
“เห็นคนคุยกันเลยไม่อยากเข้าไปขัดน่ะ เอาเป็นว่า มานี่มา”
ผมกวักมือเรียกยูจิ ทำให้เจ้าตัวเดินมายืนอยู่พิงที่พักเหมือนกับผม
“แอบฟังเหรอครับ”
“ประมาณนั้น”
“สมกับเป็นคุณเรเซอร์ดีนะครับ”
คิดว่ายูจิไม่ได้มีเจตนาจะแซะผมหรือใดๆทั้งสิ้น ผมเลยไม่เอาเรื่อง ถ้าเป็นเรย์หรือเคียวยะนี่มีมวยกันสักยกแล้วละ
“แล้วจะปฏิเสธทำไมละนั่น”
“ไม่ได้ปฏิเสธนะครับ คือผมแค่อยากจะได้เวลาสักหน่อย”
“แทงกั้กนี่เอง รู้รึเปล่า อีแบบนี้ในหมู่วัยรุ่นเขาเรียกว่าปฏิเสธแบบกั้กเอาไว้นะ เป็นวิถีมารที่เลวร้ายถึงร้ายที่สุดเชียวละ”
ได้ยินอย่างนั้น ยูจิที่อายุน้อยแต่เหมือนคนหลงยุคก็หน้าซีดเผือก สำหรับหมอนี่คงจะมีแค่เรื่องเทคโนโลยีอุปกรณ์เวทมนตร์เท่านั้นแหละที่ตามโลกทัน เลยไม่แปลกอะไรที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจผิดไปทั่วได้ โดยเฉพาะเรื่องความรักที่แสนละเอียดอ่อน และต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุน่ะนะ
“แต่สงสัยน่ะว่าหนิงไม่ดีตรงไหนเหรอ ถึงไม่ตอบตกลงทันที ดูๆแล้วนายก็ปลื้มเธอไม่ใช่น้อยเหมือนกันนิ”
“คือว่า ..ก่อนหน้านี้ ผมพึ่งรู้สึกชอบคุณโซล่าไปได้ไม่นานเองน่ะครับ”
“เห๋ ….เอ๊ะ? เอาจริงดิ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะใช่ครับ ..แบบว่า ..ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ชายสำส่อนก็เลย ..ไม่กล้าตอบตกลงทันที”
เหวอ สาวน้อยชัดๆ ยูจิในแง่ความรักนี่สาวน้อยสุดๆเลยแฮะ
“แต่ถ้าที่ตอบไปมันเหมือนการกระทำที่ไม่ดีจริงๆ ผมจะรีบกลับไปให้คำตอบเลยครับ!”
“ยังไม่ต้องก็ได้ แต่ก็ต้องรีบในระดับหนึ่งด้วยนะ ของพวกนี้ต้องรวดเร็วอย่างพอดี เพื่อไม่ให้มีใครมาแย่งเอาได้”
เสียงหัวเราะในหัวของยูนาดังขึ้น
‘ทำเป็นเซียน พึ่งสละเวอร์จิ้นได้ไม่นานแท้ๆ’
หนวกหู เงียบไปเลยหล่อน! ประสบการณ์เยอะกว่าแม้แต่มิลเดียวก็มากพอจะเป็นโค้งได้แล้วนะเฟ้ยจะบอกให้
“ลอกนึกภาพหนิงจับมือเที่ยวเล่นกับผู้ชายคนอื่นแทนสิ นึกภาพว่าคนที่ช่วยหนิงทำชุดให้ไม่ใช่นาย แต่เป็นผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้”
“..นึกๆดูแล้วก็รู้สึกทะแม่งๆยังไงไม่รู้สิครับ”
“ใช่มั้ยล่ะ?”
ยูจิหัวเราะกลบเกลื่อน
“แต่ตัวผมมีสิทธิ์ไปผูกขาดชีวิตของหนิงที่ไหนกันครับ ..คือนอกจากเรื่องที่เคยชอบคุณโซล่า อาจจะบอกว่านี่คือเหตุผลที่แท้จริงของผมก็ได้นะครับ” ยูจิแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างหวนคิดถึง “ผมยังกังวลในคำโกหกของตัวเองอยู่ครับ ต่อให้คิดจะก้าวข้ามมัน แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะพ้นมันไปได้ร้อยทั้งร้อย ..ผมแค่กำลังเริ่มเท่านั้นเองครับ เพราะอย่างนั้นเลยไม่กล้าที่จะตอบรับคุณหนิง”
ยูจิกำมือไว้แน่น และกล่าวอย่างหนักแน่น
“ผมกลัวว่าผู้หญิงที่แสนวิเศษอย่างคุณหนิงจะต้องมาลงเอยกับคนอย่างผมครับ ตัวผมตอนนี้ไม่คู่ควรกับเธอคนนั้นเลยสักนิด กับเธอที่เชื่อมั่นในตัวเองจนถึงที่สุด กับผมคนที่อีแค่ก้าวผ่านอดีต และเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองอย่างแน่วแน่ก็ยังทำไม่ได้ ..อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกแบบนี้ ผมอยากจะตอบรับด้วยความรู้สึกที่ต่างกับที่เป็นอยู่ตอนนี้ครับ”
“ว่าง่ายๆก็”
“..รักสิครับ ..ตอนนี้แค่จ้องหน้าคุณหนิงเกินสิบวิ หัวของผมก็แทบจะระเบิดแล้วครับ ทุกคำพูดที่เธอพูดกับผมเมื่อวันก่อน มันยังวนเวียนไปมาอยู่ในหัว ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน ผมรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลยครับ อย่างเมื่อคืนนอนๆอยู่ผมก็ดิ้นไปมา เมื่อเช้าก่อนจะเข้าไปดูแลคุณหนิงก็เดินวนไปมาสิบรอบได้ ตอนที่ได้คุยกับคุณหนิงก็รู้สึกเขินทำอะไรไม่ถูก จนต้องแบบใช้วิชาไสยศาสตร์ช่วยสงบอารมณ์ตัวเองเลยนะครับ อย่างวันก่อนก็–”
“พอเถอะๆ ชักจะเขินแทนแล้วสิ ไอแบบนี้เก็บไว้ในใจอย่างเดียวพอเถอะนะ อย่าพูดให้คนอื่นฟังเลย”
“ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของคุณเรเซอร์ที่มีกับคุณเบลลามีแล้วสิครับ”
“ฮะ ฮะ ฮะ พูดมาได้นะเจ้านี่”
ผมต่อยอกของยูจิแรงประมาณหนึ่ง แต่ก็ไม่แม้แต่จะทำให้ยูจิสะเทือน
“ความรู้สึกนั้นสักวันไปพูดกับหนิงด้วยล่ะ เข้าใจนะ”
“แน่นอนครับ เช่นนั้นผมขอตัวไปทำชุดให้คุณหนิงก่อนนะครับ”
ว่าแล้ว ยูจิก็รีบเดินไปทำของให้ผู้หญิง ..ลาก่อน ยูจิผู้แสนใสซื่อ และห่างไกลกับเรื่องชายๆหญิงๆ ตั้งแต่วันนี้ หนุ่มน้อยคนนั้นได้ตายจากไปแล้ว ดูทรงไม่น่ามีแค่หนิงที่คลั่งรักเข้าขั้นน่ากลัวคนเดียว อ๊ะ แต่เทียบกับยูจิ ของยูจิยังดูน่ารักน่าเอ็นดูแฮะ แต่หนิงนี่เกินเบอร์ไปมาก
เอาเป็นว่า-ผมเดินเข้าไปในที่พักของหนิง และชะโงกหน้าไปดู
ผลลัพธ์ตามคาด
หนิงนอนคว่ำหันหน้าไปทางล่างเตียง เธอเอาผ้าห่มคลุมตัวเอง และมีแค่หัวที่โผล่ออกมาจากผ้าห่ม
หล่อนกับผมสบตากัน
“ได้ฟังแล้วรู้สึกยังไงบ้างรึ?”
“…ขออยู่คนเดียวสักแปปนะ”
ใบหน้าของหนิงนั้น–เคลิ้ม ใช่ แก้มแดงแจ๋ มีใบหน้าเคลิ้มๆคล้ายคนเมาอะไรบางอย่างแล้วแต่จะคิด ดูจากสภาพแล้วไอคิวน่าจะโดนลดไปหลายหน่วยทีเดียว
“รับทราบ”
ผมออกมาตามที่หนิงขอ จากนั้นก็เดินอย่างไร้จุดหมาย
คาดว่าพวกเราจะออกเดินทางกันอีกทีหลังจากหนิงรักษาตัวเสร็จ ซึ่งน่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ ….หืม?
ตรงลานกว้างที่ชินกับเรย์ฝึกดาบกันมีอะไรแปลกๆ ผมจึงรีบเดินไปดู และพบว่าฟัฟนิร์กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น โดยมีชินและเรย์ยืนทำสีหน้าลำบากใจอยู่ข้างหลัง เมื่อเข้าไปใกล้ๆก็พบกับตัวต้นเหตุ
“ย่าห์ เรเซอร์ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ชายรูปงามโบกมือให้ผม สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเขาก็คือดวงตาอันเป็นเอกลักษณ์ และ ‘มณีปฐพี’ ที่ห้อยอยู่บริเวณเอว
“อ๊ะ คุณเซียนนี่นา”
แม้จะเหมือนเรื่องบังเอิญ แต่ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง การที่เซียนเดินทางมาถึงที่นี่คงมีเรื่องสำคัญบางอย่างจะคุยกับผมนั่นแหละ
MANGA DISCUSSION