เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 335
< < 206 > >
หลังจากที่ผมกับยูจิต่างคนต่างหัวเราะออกมาจนพอใจแล้ว ผมก็เดินกลับไปเก็บเรลันดาฟฟอร์ม ‘ธง’ ที่ปักพื้นไว้ ก่อนเปลี่ยนกลับมาเป็นคทาเวทย์ตามเดิม ทำให้โดรมเวทมนตร์ที่สร้างเอาไว้ผลอยสลายไปด้วย ไม่ใช่แค่นั้น วิชาไสยศาสตร์ภาพมายาของยูจิก็ค่อยๆสลายตามไปด้วย
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วผมก็เดินกลับมาที่เดิม
“เอาละ ไปกันต่อเถอะ ..ว่าแต่ เป็นอะไรกันเนี่ย”
ผ่านไปแค่แปปเดียว หนิงกับเรย์ก็นอนกองกับพื้นในสภาพชักกระแด๋ว ยูจิยืนเกาแก้มด้วยแขนข้างเดียวของตัวเอง
“เหมือนว่าจะโดนความเหนื่อยล้าย้อนหลังเล่นงานเข้าน่ะครับ”
“แบบนี้นี่เอง ไม่แปลกละนะ เล่นซะยกใหญ่ขนาดนั้น”
ถ้าไม่มีผม เจ้าพวกนี้น่าจะตายกันไปคนละไม่ต่ำกว่าสิบรอบแล้วละบอกตามตรง ต่อให้ร่างกายจะไหว แต่สภาพจิตใจลึกๆมันฟื้นฟูไม่ได้ด้วยวิธีดีดนิ้วที่ผมทำประจำ จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ละนะ
“บะ แบบว่าไม่ไหว ปวดเอว ปวดตัวไปหมดเลย รู้สึกเหมือนเดิมผีอำเลย ช่วยด้วย ใช้วิหคอมตะก็ได้ ช่วยฉันที!” เรย์ร้องเสียงดังลั่น
“ไม่อะ ถ้าฉันว่าไปอย่าง แต่ให้คนอื่นใช้วิหคอมตะพร่ำเพรื่อมันไม่ดีต่อสุขภาพจิตเท่าไหร่ อดทนไว้ละกัน”
ผลค้างเคียงที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ๆน่าจะมาจากการใช้วิหคอมตะต่อเนื่องด้วยนี่แหละ
“อะ…อ๊ะ ลุกไม่ไหวเลย ยูจิช่วยอุ้มหน่อยได้รึเปล่า”
อ๊ะ ยัยนี่
หนิงที่เห็นว่าได้โอกาสก็เอาใหญ่เลย คงคิดในใจว่า ‘ชัยโย ฝันว่าอยากโดนอุ้มท่าเจ้าหญิงมาตลอดเลย’ แหงๆ
“ชัยโย ฝันว่าอยากโดนอุ้มท่าเจ้าหญิงมาตลอดเลย!!”
“เห้ย ใจจริงหลุดออกมาหมดแล้วนะนั่น”
“ยังไงก็ช่างมันสิตอนนี้! ยูจิช่วยอุ้มฉันที ท่าเจ้าหญิงด้วยนะ! ขอร้องละ!”
สุดจะเอือมระอากับยัยนี่ ..
“ขอโทษด้วยนะครับ”
ยูจิโค้งศรีษะตอบอย่างสุภาพ หนิงอกหักดังเปรี้ยง ผมแอบรู้สึกสะใจคนเดียวในใจ
“คือว่าผมเหลือแขนแค่ข้างเดียวน่ะครับ ..งอกไม่ได้ด้วย ให้อุ้มท่าเจ้าหญิงไม่ไหวหรอกครับ ขอโทษด้วยนะครับ ทั้งๆที่คุณหนิงขอให้ช่วยแท้ๆ”
“ถ้ายูจิมีแขนสองข้างก็จะตอบว่า OK สินะ ฮา ฮา ฮา ..เห้อ”
“ยูจิช่วยแบกหน่อยสิ ท่าอะไรก็ได้”
“เข้าใจแล้วครับ”
เสียงอกหักดังเปรี้ยงของหนิงดังขึ้นอีกครั้ง ฟังผิวเผินก็ราวกับคนโดนหักกระดูกซี่โครงอย่างไรอย่างนั้น รู้แบบนี้บอกว่าอุ้มท่าอะไรก็ได้ไปน่าจะดีกว่า ได้ยินเสียงแว่วมาอย่างนั้นเลยละ
ยูจิแบกเรย์ขึ้นไหล่ด้วยแขนข้างเดียว แข็งแรงสมกับเป็นคนที่มีวงจรเวทย์แสนมหัศจรรย์ ทีนี้ก็เหลือแค่หนิงคนเดียวที่ไม่มีใครแบก หน้าที่นี้จึงตกเป็นหน้าที่ของผมอย่างเลี่ยงไม่ได้-หนิงกับผมสบตากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนต่างคนก็ต่างพูดขึ้น
“โทษทีนะ ฉันไม่มีนโยบายอุ้มท่าเจ้าหญิงให้คนที่ไม่ใช่แฟนหรอก”
ขืนทำอย่างนั้นแล้วทุกคนรู้เขาได้โดนงอลใส่แหงๆ
หนิงได้ยินก็ทำหน้าหมดอะไรตายอยาก เจ้าหล่อนแหงนหน้าขึ้นฟ้า และหัวเราะพึมพำในลำคอ
“เหอะ …พูดเหมือนอยากให้อุ้มท่าเจ้าหญิงตายแหละ ส่องกระจกซะบ้างนะ”
“อยากตายสักสิบรอบแล้วโดนหั่นเป็นแปดส่วนดูสักครั้งในชีวิตรึเปล่าหะ? ถ้าอยากก็รีบๆพูดมาเลย จะจัดให้เดี่ยวนี้เอง”
“ขอโทษค่ะ จะไม่พูดอีกแล้ว แล้วก็จะแบกก็รีบๆแบกสักทีสิ เป็นตะคริวขึ้นมาทำยังไง?”
ให้เป็นสักครั้งก็ดีนะว่าไป
ผมจำใจแบกหนิงขึ้นมาไว้บนไหล่ ผมพาดหนิงไว้ที่ไหล่อย่างกับพาดผ้าเช็ดตัว ทำให้ส่วนนุ่มนิ่มจุดหนึ่งโดนตัวผม
“อย่าคิดอะไรพิลึกเชียวละ”
“สบายใจได้”
ถึงจะมีสัมผัสนุ่มนิ่มสมกับเป็นหญิงสาวแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ ออกจะเสียมารยาทไปหน่อย แต่หนิงเป็นผู้หญิงคนเดียวบนโลกแล้วละมั้งที่ผมรู้สึกตายด้านด้วยเนี่ย ทั้งๆที่ระดับหล่อนเนี่ยคือสวยที่สุดบนโลกก็ไม่เกินจริงเลย
แน่นอน ทางหนิงเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกับผมนั่นแหละ เพราะนั้นให้มั่นหน้าพูดออกไปตรงๆว่า ‘ไม่มีอารมณ์กับหล่อนเลยวะ’ ก็มีแต่จะโดนสวนให้ไปส่องกระจกตามประสาผู้หญิงแบบหนิงอีก
พวกเราชี้แจ้งหน้าที่แบกคนตามนี้ เรย์แบกยูจิ ผมแบกหนิง จากนั้นก็เริ่มเดินไปพลางคุยอะไรเล่นไปพลาง
คุยหลายๆเรื่องเลยละ แต่ส่วนใหญ่เนื้อหาจะวงอยู่ที่เรื่องของยูจิเป็นส่วนมาก พวกเราถามว่าตลอดเวลาที่แยกทางกันยูจิไปทำอะไรมาบ้าง เจออะไรมาบ้าง มีเรื่องซวยๆหรือเรื่องดีๆบ้างหรือเปล่า ประมาณนี้น่ะนะ คำตอบที่ได้ก็ชวนให้ช็อคไปตามๆกันหลายเรื่องทีเดียว
“ใครจะคิดละว่ายูจิผู้แสนบอบบางคนนั้นจะซัดมังกรนภาจนตายเนี่ย”
“โหดโคตร นี่คือพลังของเทพสินะเนี่ย”
“สมกับเป็นยูจิ ไม่มีอะไรขาดหรือเกิน”
ช่างหัวหนิงที่ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยูจิไป แต่เรื่องของยูจิก็มีเรื่องน่าสนใจหลายเรื่องทีเดียว ไว้ว่างๆไล่ถามทีละอย่างแบบละเอียดดีกว่า
โอ๊ะ
มาแล้วไงมาแล้ว
ตรงหน้าพวกผม–กลุ่มที่ไปอยู่บนสุดของคัลเซเรมเดินทางกลับมากันหมดแล้ว เว้นแต่เพียง–
“มาเจล กับลีออนล่ะ?”
ผมเอ่ยถามชินที่เดินนำทางมา เจ้าตัวยิ้มให้ผมก่อนตอบเสมอ
“ทั้งสามคนออกเดินทางไปแล้วน่ะครับ”
เป็นที่แน่นอนว่าลีออนน่าจะมีชีวิตรอดต่อไปด้วยการสละหัวใจให้ของเกรล ผมถึงได้รู้ แต่ว่า …ทั้งสามคน? อีกคนหนึ่งหมายถึงใครละนั่น
แม้จะตะหงิดใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่กลการอะไรของผมสักเท่าไหร่ด้วยสิ จะปล่อยๆไปบ้างก็ไม่เป็นอะไร ถึงมาเจลมันจะวางตัวเป็นศัตรูเต็มที่ แต่หมอนั่นไม่ใช่คนประเภทที่จะมาเป็นศัตรูกับผมได้หรอก มันอาจจะดูใช้ชีวิตไม่ค่อยคิดเท่าไหร่ แต่ว่าไงดี–ดูเป็นพวกที่ถูกโชคชะตาหลงรักอย่างไรก็ไม่รู้
พอนึกถึงหน้าของหมอนั่นขึ้นมาผมก็อดที่จะหัวเราะแห้งออกมาไม่ไหว
“ถ้านั้นก็รีบออกจากที่นี่กันดีกว่า”
ตัดสินใจอย่างนั้นแล้วพวกเราก็ตกลงกันแต่แรกแล้วว่าจะออกไปทางทะเล …หืม?
“เป็นอะไรไป”
ผมหันไปหายูจิที่แหงนหน้ามองท้องฟ้า
“..สิ่งนั้น”
“อ๋อ เป็นเทพมังกรก่อนที่จะฝักออกมาน่ะ ไม่ผิดแน่ ฉันเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง”
แต่ที่นี่จะต่างกับตอนสงครามกลางเมืองเล็กน้อยตรงที่มันจะไม่ฝักในทันที ให้คาดเดาโดยผู้มีประสบการณ์อย่างคาร่า อย่างน้อยๆมันก็ใช้เวลาหลายวันเลยทีเดียวละ เอาจริงก็อยากหาวิธีทำลายมันทิ้งก่อนจะฝักนะ แต่ไม่มีวิธีเลยสักอย่างเดียว การถือกำเนิดของมันขับเคลื่อนด้วย ‘มานาบริสุทธิ์’ เป็นขอบเขตุที่ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ไม่อาจแตะต้องได้ ผมเองก็เช่นกัน ต่อให้สังเวยวิญญาณของยูนาหรือของใครก็ไม่อาจแตะต้องมันได้เลย
ทำได้แค่เตรียมตัวรอเผชิญหน้ากับเทพมังกรใหม่อีกครั้งเท่านั้น แต่ แต่ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ จึงหายห่วงเล็กน้อย ถ้าปุ้บปัปกระทันหันเกินไป ทางนี้ได้ตายยกแก็งแหงๆ
“เอ่อ ..ไม่ตกใจกันหน่อยเหรอครับ?”
“ตกใจสิ ใครจะคิดละว่าบักเรนที่ฆ่ายากฆ่าเย็นจะฟื้นคืนชีพจากความตายมาได้ เห้อ นึกแล้วก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเลย ทำอีท่าไหนถึงกลับมาใหม่ได้กันนะ”
ผมพูดทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง พอเอาข้อมูลจากมาเจลหลายๆอย่างมารวมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูอนาคตอย่างคาร่า(เทพแห่งธรรมชาติ)ก็ทำให้พอจะสรุปอะไรหลายๆอย่างได้
อลิซาเบธหลอกใช้ยูจิเพื่อคืนชีพเรน แล้วก็ตายจากไปหลังจากทำหน้าที่ตัวเองสำเร็จ ช่างเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ ถึงขนาดหลอกใช้ยูจิผู้แสนใสซื่อเนี่ย
“..ผมได้เจออะไรหลายอย่างที่นี่ครับ ไม่ว่าจะชีวิตที่แสนเลวร้ายของใครหลายคน และความผิดหวังที่อยากจะทำใจไหว”
นั่นสินะ ไม่ต้องบอกก็พอรู้ เจอกันทีแรกโทรมทีเดียวในหลายๆแง่
ยูจิสัมผัสหน้าอกของตัวเอง จากนั้นก็หรี่ตามองคัลเซเรมที่ว่างเปล่า
“ผมจะแบกรับความรู้สึกของทุกคนเอาไว้แล้วไปต่อ”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องไปแบกรับความรู้สึกของใครที่ไหนก็ไม่รู้เลย นายเองก็โดนรับน้องซะดิบดีด้วย คิดแค้นแล้วหัวเราะร่าเริงพลางพึมพำว่า เคียะๆ ดีแล้วที่พวกเอ็งตุยกันหมด ก็ได้นะ ไม่มีใครว่าหรอก”
ว่าไปนั่น—
“ตัวผมจะแบกรับเอาไว้ครับ เพราะคิดว่านี่คือสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ”
…..
“มันคือการชดใช้บาปของผม”
เมื่อพูดสิ่งที่อยากกล่าวออกมาจนหมดแล้ว ยูจิก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ และยิ้มออกมากว้างๆ
“มีหลายอย่างที่ผมอยากจะทำต่อจากนี้เต็มไปหมดเลยครับ”
….ยูจิยังคงเป็นยูจิมาเสมอ
อาจจะไม่ใช่โดยตรง แต่ยูจิก็คือหนึ่งในคนที่ช่วยเหลือผมเอาไว้ในโลกใบเก่า ถ้าหากไม่ได้เขาผมคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ที่พูดออกมาไม่ใช่คำยกย่องเกินจริงเลย—ต่อไปก็
“..จะไปหาแล้วนะ”
เบลลามี
****
เขตุบริเวณคัลเซเรมก่อนจะเข้าสู่เขตุทะเลทรายสีแดง ‘แดนนรกกินคน’ ณ จุดๆที่ไม่น่าเดินที่สุดจุดหนึ่งบนโลก มีชายสองคน และหญิงหนึ่งคนเดินจับกลุ่มกันอยู่ ทั้งสามเดินไปตามขอบของเส้นแบ่งสองเขตุ และพูดคุยกัน–
“คนเจ้าเล่ห์”
เขาหยุดเดิน ‘เจ้าชายแห่งเกรล’ ‘ลีออน’ โพล่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทำให้อีกสองคนต้องหยุดเดินตามไปด้วย
“เรียกว่าฉลาดจะดีกว่า”
“ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!?”
“…อืม ตอบยากใช้ได้”
….มาเจลแหงนหน้ามองฟ้า ทำหน้างงๆตอบกลับ ทำให้ลีออนผู้นิ่งสงบถูกจี้จุดจนเริ่มหัวเสีย ก่อนจะเกิดอะไรขึ้นกับมาเจล ‘เกรล’ มหามังกรปฐพีก็โผล่มาแทรกกลางระหว่างทั้งสองคน
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ผลลัพธ์ก็ออกมาดี”
“ถ้าพลาด เกรลก็ต้องตายเพื่อผม เรื่องแบบนั้นน่ะไม่เอาด้วยหรอก ยังไงๆก็ไม่เอาด้วยเด็ดขาด”
“แต่ว่าก็สำเร็จได้ด้วยดีนะ ..เพราะอย่างนั้นลีออนถึงกลับมาได้ ฉันเองก็ไม่ตายด้วย”
ทำไม ..ถึงสามารถรักษาชีวิตทั้งสองคนเอาไว้ได้กัน? มาเจลหรี่ตามองลีออนที่มีดวงตาเหมือนกับเกรล ..เขากลายเป็น ‘ครึ่งมหามังกร’ เช่นเดียวกับ ‘ชินดร้า’ ไปแล้ว
“ยังไงก็ ..ช่วยเล่าให้ฟังทีครับ”
เรื่องทั้งหมดต้องย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้านี้สักพักใหญ่ๆ—-
“ขี้เกียจย้อน!!! มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ฉันเล่าให้ฟังกันหะ? เจ้าน้องชายหน้าโง่ ถูกช่วยชีวิตไว้แท้ๆยังไม่เจียมตัวอีก”
“อึก ..ไม่ได้ขอ”
“ถ้าฉันไม่ช่วย ยังไงแกก็รอดชีวิตมาได้อยู่ดี แล้วก็คงใช้ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น เพราะผู้หญิงของแกน่าจะเหลือแค่ผง”
เจอความจริงเข้าไปลีออนก็เถียงไม่ออก แม้จะเจ็บใจที่ถูกช่วยโดยคนพรรค์นี้แต่เขาก็ ..ไม่มีทางเลือก เพราะเกรลสำคัญกับเขาที่สุดจริงๆ
“ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น ตามข้อตกลง หลังจากฉันใจบุญยอมช่วยเล็กๆน้อยๆ พวกแกสองคนต้องมาเป็นลิ่วล้อให้ฉันคนนี้พักใหญ่ๆเลย”
“นั่นคือจุดประสงค์ที่ช่วยนั้นหรือครับ”
“แน่นอน ฉันคนนี้ไม่ยอมเสียเวลากับอะไรที่ไร้ค่าหรอกนะ”
“อย่างน้อยๆก็ช่วยชี้แจ้งหน้าที่ต่อจากนี้ทีครับ”
“สิ่งเดียวที่ต้องทำคือเชื่อฟังคำสั่งของฉัน สถานะไม่ต่างกับทาสเท่าไหร่ แค่ไม่ได้มีพันธสัญญาเป็นทางการ แต่ยังไงทาสก็คือทาส ห้ามขัดขืนเด็ดขาด บอกลาชีวิตที่สุขสบายพร้อมกับตำแหน่งเจ้าชายไปได้เลย เจ้าน้องชายหน้าโง่”
ลีออนได้ยินก็หัวเราะขึ้นจมูก เกรลหัวเราะคิกคักหมือนกันแต่ไม่ใช่ใบหน้าสำหรับเยาะเย้ยมาเจลอะไร เธอดูมีความสุขกับอะไรแปลกๆ อาทิเช่นการปะทะคารมณ์ของสองพี่น้อง
“ท่านพี่ เรื่องไม่มีสัญญาทาสจริงๆจังๆนี่แหละที่ทำให้ทางนี้ทรยศได้ทุกเมื่อนะครับ ไม่ระวังตัวสักหน่อยจะดีหรือ? คนที่ท่านพี่ขอยืมมือคือคนที่เคยเกือบส่งท่านไปตายเชียวนะครับ”
“แค่นั้นเรียกว่าส่งไปตายได้ที่ไหน จะดูถูกกันก็ให้มันมีขอบเขตุหน่อย”
ส่งไปกลางแดนนรกกินคนเนี่ยนะไม่ใช่การส่งไปตาย? ตรรกะของผู้เป็นพี่ชายอยากจะขเ้าใจ
“แล้วก็ถ้าคิดจะหักหลังก็รีบๆทำซะละ จะได้รีบไปหาลิ่วล้อเพิ่ม”
“….เข้าใจยากเกินไปแล้วครับ ตัวตนของท่าน”
“แน่นอนสิ”
มาเจลเดินมาถึงที่ประตูทางออกไปสู่แดนนรกกินคน
“ได้เวลางานแรกแล้ว พวกลิ่วล้อ ..ไม่สิ เรียกแบบเจาะจงเลยจะสะดวกกว่า ลิ่วล้อไอน้องชาย กับลิ่วล้อแฟนไอน้องชายละกัน”
“จะยังไงกับผมก็แล้วแต่เลยครับ แต่ช่วยให้เกียรติเกรลก็พอครับ ..แล้วงานแรกคืออะไรหรือครับ”
“ว่าจะหาลิ่วล้อเพิ่มอีกสักตัว”
“จะหาจากไหนเหรอ” เกรลถาม
มาเจลกระโดดลงจากเขตุคัลเซเรม อันเป็นก้าวแรกสู่แดนนรกกินคน ทันทีที่ทำอย่างนั้นทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หน้าซีดเผือกประหนึ่งว่าตัวเองไปยืนอยู่บนปากทางเข้าห้องเชือด
“เพราะลิ่วล้อไอน้องชายเลยทำให้รู้ว่า ‘อีสเตอร์’ เป็นตัวตนที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย หากได้มาประดับบารีมีคงจะไม่เลว”
“หา!!!!!!!!!!!!? คิดบ้าอะไรอยู่ครับเนี่ย!!!?”
“อะ อะ อะ อะ อะ อะ อะ อีสเตอร์..”
เกรบแทบจะล้มทั้งยืน ลีออนจากมาดนิ่งก็หัวลุกเป็นไฟขึ้นมาอีกครา
มาเจลแสยะยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวพลางดีดนิ้วไปด้วย–คลื่นทะเลสีรุ้งที่ซัดเข้าทรายสีแดง มาเจลลอยไปยืนอยู่บนสุดของคลื่นสีรุ้ง พร้อมกับประกาศอย่างยิ่งใหญ่
“โผล่หัวมาได้แล้ว อีสเตอร์!!!!”
ชายคนนี้ไม่ใช่คนบ้า แล้วก็ไม่ใช่อัจฉริยะด้วย
หากให้พูดสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือเขาอยู่กึ่งกลางระหว่างคนบ้ากับอัจฉริยะ ให้พูดเขาคือสิ่งมีชีวิตที่ ‘เล่นกับโชคชะตา’ อยู่ตลอดเวลา