< < 205 > >
ยูจิกำลังร้องไห้ ใช่ ร้องไห้ซะยกใหญ่เลยละ พระเอกของโลกใบนี้กำลังร่ำไห้ออกมาประหนึ่งเด็กน้อย ข้างๆตัวเขาเองก็มีเพื่อนคนสำคัญทั้งสองคอยปลอบใจ เหมือนกับภาพที่เห็นได้บ่อยๆในโรงเรียนอนุบาล ..อะไรละนั่น อยากจะหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
ไม่ทันการ หัวเราะออกมาแล้วต่างหาก
“ขำอะไรเจ้าบ้า!?”
“ยูจิของพวกเรากำลังเศร้าอยู่นะเว้ย!”
ทั้งสองคนสวนกลับผมอย่างรุนแรง ไอเราก็แค่หัวเราะเองแท้ๆ แต่การโต้กลับนี้มันยิ่งเหมือนแก็งเด็กอนุบาลเข้าไปใหญ่ ทำให้ผมหยุดหัวเราะไม่ได้ไปครู่หนึ่ง น่าจะสามสิบวินาทีได้ เกือบขาดใจตายแหนะ เมื่อหยุดหัวเราะแล้วก็ทำให้มองเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดยิ่งขึ้น
โดนสองคนนั้นมองแรง แล้วก็ถูกจ้องด้วยแววตาที่เหมือนเด็กกลัวจะโดนดุ ..สายตาของยูจินั่นเอง
ผมสัมผัสได้ถึงหลากหลายความรู้สึกจากดวงตาคู่นั้น ..ทำเอาเกือบลืมเรื่องที่อยากจะพูดแล้วเข้าไปปลอบเจ้าตัวแล้วตะกี้นี้ แต่ว่ามีเรื่องที่ยังไงผมก็ต้องพูดออกมาให้ได้อยู่เหมือนกันน่ะนะ
“ฉันไม่คิดว่าโลกใบนี้มีแต่คำโกหกหรอกนะ ไม่สิ ไม่เคยคิดว่าโลกทั้งใบมันคือคำโกหกเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้เล่นแง่ที่ว่าโลกใบนี้มันโกหก แต่ความรู้สึกมันโกหกไม่ได้เหมือนใครบ้างคนด้วย”
ผมแวะพูดแขวะหน่อยๆเอาสนุก
“ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างคือความจริง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นคำโกหกทั้งนั้น”
ต่อให้จะเป็นโลกที่ถูกรังสรรค์โดยคำโกหกของทวยเทพ ทั้งหมดก็คือความเป็นจริงที่ผมไม่คิดจะปฏิเสธ
แทนที่จะบอกว่ายูจิใช้คำโกหกให้ตัวเอง ครอบครองทุกสิ่งที่เป็นของๆผม และทำลายมัน ให้บอกว่ายูจิขโมยทุกอย่างจากผมไปตรงๆยังจะดีซะกว่าอีก แน่นอน ผมไม่ใช่พวกตายด้านที่นึกโกรธใครไม่เป็น แม้แต่ตอนนี้ในใจลึกๆก็อดไม่ได้ที่จะนึกแค้นตัวตนของยูจิเล็กน้อย
แต่ว่า ..ความเป็นจริงมันกำลังบอกผมอยู่ หลักฐานจากสิ่งที่ผมเชื่อมันบอกผมอยู่
“ถ้าหากโลกใบนี้มีแต่คำโกหกจริงๆ นายคงจะไม่หยุดเคลื่อนไหว ไม่มีทางจะลังเลที่จะสังหารทั้งสองคน ทั้งๆที่พล่ามบอกว่านี่คือหน้าที่ของตัวเอง แต่ดันละเลยมันซะไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทั้งไม่กล้าฆ่าฉัน ไม่กล้าฆ่าหนิงกับเรย์ ไม่กล้าที่จะทำลายสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ตัวตนของนายที่ขัดกับประสงค์ของคนอื่น”
ทำไมกันนะ ทั้งๆที่เป็นเพียงหุ่นเชิด แต่กลับไม่กล้าจะทำสิ่งที่ควรทำเลยสักอย่าง–เพราะว่ารู้ดีแก่ใจยังไงละ ใจจริงของตัวเองน่ะ
ผมทุบหัวใจของตัวเอง
“ความรู้สึกของนายคือของจริง แม้ว่าในขั้นตอนมันจะเป็นแค่คำโกหก แต่ฉันไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาตราหน้าบอกว่ามันเป็นคำโกหกอย่างเด็ดขาด เพราะอย่างนั้นต่อให้นายจะเป็นศัตรูกับฉัน ต้องเข้าห้ำหั่นกันกะเอาตาย ฉันก็จะเห็นว่านายคือยูจิอยู่ดี จะยืนยันอย่างนั้นเสมอ ตอนที่นายไม่ว่าจะสถานะศัตรูหรือมิตรหลงทาง ฉันก็หวังจะกระซากมาให้อยู่ชุดความคิดที่ถูกต้อง ..แต่ก็นั่นสินะ แต่แรกเดิมที ตัวฉันและตัวของนายเดินกันคนละเส้นทางอยู่แล้ว ไม่มีทางเข้าใจหรือช่วยอะไรได้หรอก เว้นแต่ไอพวกที่เดินตามนายมาตลอด”
อย่างที่บอกไว้หลายต่อหลายครั้ง–ผมใช้คางชี้ไปทางหนุ่มสาวข้างตัวผม
“เจ้าบ้าสองตัวนี้ไงละ”
“หนึ่งคำก็ ‘บ้า’ สองคำก็ ‘บ้า’ ไปโดนใครหลอกให้พูดตามมารึเปล่าน่ะนั่น?”
“เห็นด้วยเลยๆ เรเซอร์พวกชักจะเริ่มหยาบคายเข้าไปทุกๆวันแล้วนะเว้ย”
“ไม่ได้เรียกบ่อยขนาดนั้นสักหน่อย”
“ไม่จริงอ่ะ”
…….
……
ก่อนที่พวกเราจะเถียงกันไปมากกว่านี้ ยูจิก็เริ่มเปิดปากพูดเป็นครั้งแรกหลังจาก ‘ลืมตาตื่น’ สู่ความจริงที่พวกผมเชื่อ
“ผมเป็นคนที่ทำลายทุกอย่าง”
“และเป็นคนที่ไม่ยอมให้ทุกอย่างมันจบลงที่ความโศกเศร้า เทพแห่งการทำล้ายล้างและรังสรรค์? อะไรละนั่น ตลกเป็นบ้า ติ๋มๆแบบนายเนี่ยะมีฉายาอย่างนั้น ชื่อที่เหมาะกับนายมากกว่านี้มันมีอยู่อีกเยอะเลยนะจะบอกให้”
“..”
“ฟังนะ ยูจิ นี่คือสิ่งที่ฉันคิดมาตลอด ..คิดจริงๆเหรอว่าการรีเช็ตโลกแล้วสร้างเรื่องราวในอีกใบอื่นมันคือวิธีชนะที่ดีที่สุด? ไม่เคยคิดเลยหรือไงว่ามันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้นเยอะแยะ ต่อให้ฟันเฟื่องตัวน้อยอย่างฉันจะหายไป มันก็น่าจะมีหนทางที่ง่ายดายกว่านั้นหลายเท่าตัวอยู่ดี ไม่เคยคิดเรื่องง่ายๆอย่างนั้นเลยเหรอไง? เป็นถึงผู้พิเศษที่เหนือยิ่งกว่าใครๆ”
เกิดมาพร้อมกับวิญญาณของเทพแห่งวัฐจักร ‘ออโรโบรอส’ มีมานามหาศาลทัดเทียมกับจอมมาร เป็นคนที่มีศักยภาพทางวงจรเวทย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่โลกใบนี้เคยมีมาก่อน การพัฒนาแทบจะไร้ขีดจำกัด สามารถแบกรับพลังทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ จะครอบครองวิญญาณระดับเทพเป็นสิบๆตนก็ย่อมได้หากต้องการ แค่นั้นไม่พอสายเลือดยังเป็นสายเลือดของผู้กล้าที่ถือครองดาบแห่งผู้กล้าได้อีก มีพรสวรรค์เหนือยิ่งกว่าใครอื่นตั้งแต่โลกได้ถือกำเนิดขึ้นมา—ยูจิคือตัวตนที่พิเศษที่สุด ถูกสร้างมาให้เป็นอย่างนั้น
“ตัวตนของนายที่โคตรจะสุดยอด ไม่มีทางที่จะหาวิธีอื่นให้ตัวเองเป็นผู้ชนะไม่ได้ ถ้าหากออโรโบรอสได้ครอบครองทั้งหมดของนาย ถ้าหากนายเป็นแค่คำโกหกของทวยเทพจริงๆละก็โลกใบนี้ก็ควรจะจบไปตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เวลานับล้านครั้งที่หมุนเวียนไปมาไม่รู้จบ จนกระทั่งเกิดข้อผิดพลาดอย่างฉันขึ้นมา ..ทำไมกันนะ ฉันละสงสัยจริงๆ”
พูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจตลอดออกมา หวังไว้ครึ่งหนึ่งว่าอาจจะได้คำตอบจากยูจิ แต่ก็ไม่ ทำให้ผมแน่ใจชัดเจนแล้วในสิ่งที่ตัวเองคิดมาตลอดทาง
“เพราะยูจิก็คือยูจิ เป็นยูจิที่ไม่ยอมให้ทุกอย่างมันจบลงที่นี่ จนต้องเริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โอบกอดความทุกข์ ความทรมาน และความสุขเอาไว้ ทำลายทุกอย่างในอ้อมกอดทิ้ง แล้วไปเริ่มต้นใหม่เสมอๆมา จนทวยเทพต้องเข้าแทรกแทรงใช้วิธีของนายเพื่อให้แผนของตัวเองสำเร็จ ก็จริง ที่สุดท้ายทุกอย่างมันจะพังด้วยน้ำมือของนาย แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ถูกสวมเขาโดยทวยเทพแบบนั้นน่ะ ..บทสรุปอีกมุมคือนายคือผู้ทำลายล้างโลกใบนี้ และบทสรุปอีกมุมก็คือ—นายทำลายบทสรุปแห่งความโศกเศร้าทิ้ง และเริ่มต้นมันใหม่อีกครั้งด้วยน้ำมือของตัวเอง ไม่รู้กี่แสนหนที่ต้องล้มเหลว”
ยูจิเริ่มต้นมันใหม่ในบทสรุปที่เขารับรู้ถึงความผิดพลาดที่สะสมกันไปเป็นแสนๆครั้ง ทั้งอย่างนั้นก็เริ่มต้นใหม่ตลอด มันไม่ใช่การตัดสินใจของใครอื่นนอกจากการตัดสินใจของยูจิที่คือตัวตนของยูจิจริงๆ
ถ้าคำโกหกคำนั้นไม่ใช่ ‘ยูจิ’ โลกใบนี้คงจะจบสิ้นไปแล้ว เพราะอย่างนั้นนี่แหละคำโกหกนี้เลยเป็นความจริง เฉพาะยูจิคนเดียว
..เพราะอย่างนั้น ถ้าหากคนพรรค์นี้เป็นทวยเทพจริงๆ มันต้องไม่ใช่ชื่อพิลึกๆอย่าง ‘เทพแห่งการรังสรรค์ และทำลายล้าง’ หากแต่เป็น—
“นายน่ะคือ ‘เทพผู้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง’ ‘ยูจิ’ ต่างหาก!!” ผมแสยะยิ้มออกมา ต่อให้รอยยิ้มนี้จะน่ารังเกียจแค่ไหนในสายตาของคนอื่น แต่ผมก็อยากจะยิ้มออกมาในเวลาแบบนี้ที่สุด “นี่คือยูจิที่ฉันเข้าใจ คือตัวตนของนายในแบบฉบับที่ฉันเชื่อ ..ยูจิ”
…..
“..เอ๊ะ?” ยูจิหลุดออกมา
เวลาได้หยุดนิ่งลง สิ่งที่ผมกระทำ ทำให้เวลาของยูจิหยุดนิ่งลงอย่างไม่น่าเชื่อ ..
ผมโค้งศรีษะให้แก่ผู้กอบกู้ที่ล้มเหลว นี่คือคำขอบคุณถึงชายที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของผม …ในบทสรุปของความพยายามนั้น ผมถึงได้มายืนอยู่ที่เวทีแห่งนี้อีกครั้ง ถ้าไม่มียูจิ ทุกสิ่งทุกอย่างของผมจะถูกทำลายไปจริงๆ
“ขอบคุณที่ปกป้องทุกคนแทนฉันมาโดยตลอดนะ”
เวลาที่หยุดลงรวมถึงน้ำตาที่หยุดลง กลับมาเดินอีกครั้ง ยูจิร้องไห้ออกมาอีกครา ครั้งนี้เจ้าตัวรู้สึกเขินอายกับน้ำตาทั้งหมดจนเอามือมาปิดบังใบหน้าเอาไว้ และทิ้งตัวลงนอนกับพื้น ยูจิใช้มือที่หนาขึ้นไม่รู้กี่เท่าของตัวเองจากเมื่อปีก่อนกุมใบหน้าของตัวเองเอาไว้ และเพราะเหลือแขนแค่ข้างเดียวจึงปิดบังทุกส่วนของใบหน้าเด็กขี้แงไว้ไม่ได้ หมอนั่นกัดฟันกรามของตัวเองไว้แน่น
“เจ็บใจ ..เจ็บใจที่สุด ..ผม ..ผมไม่อยากจะเสียมันไปอีกครั้ง” เสียงพูดของยูจิเต็มไปด้วยความรู้สึกชวนสะอื้น เจ้าตัวพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ผมอยากจะชนะ”
“นั่นสินะ ฉันเองก็เหมือนกัน ให้จบลงด้วยสถานะแพ้น่ะไม่เอาด้วยหรอก ให้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็ชวนแหยงยังไงไม่รู้”
เช่นนั้น–ผมจึงยื่นมือออกไปให้ยูจิซึ่งนอนร้องไห้ไม่หยุดด้วยท่าทางน่าขบขัน เหมือนกับยูจิที่ยื่นโอกาสให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้อีกครั้ง
“..ได้เวลา ..เปลี่ยนคำโกหกของพวกเราให้กลายเป็นความจริงแล้ว”
****
(มุมมอง ยูจิ)
ก่อนที่ผมจะยื่นมือไปจับ—โลกสีขาวก็ได้แทรกเข้ามาเสียก่อน
โดยไม่รู้สึกตัว ผมยืนอยู่บนโลกสีขาวที่เหมือนๆกับทุกทีคือที่แห่งนี้มีเพียงแค่ตัวผม และ..อีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ผม ต่อให้ส่วนหนึ่งของวิญญาณตัวผมจะเป็นของๆเขา ต่อให้ผมจะถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของเขาโดยส่วนใหญ่ แต่ผมไม่ใช่เขา นี่คือสิ่งที่ทุกคนบอกกับผมมา ไม่สิ มันคือสิ่งที่ผมปารถนาจะเชื่อนับจากนี้ไป
ผมหันไปยิ้มให้กับชายคนนั้น
“เจอกันอีกแล้วนะครับ ออร่า”
รอยยิ้มพร้อมกับความรู้สึกในอกที่แตกต่างกับก่อนหน้านี้ มันคือ ..รอยยิ้มที่ผมอยากจะยิ้มออกมาจากใจจริง เหมือนกับทุกๆครั้ง
..ขอบคุณ ..ขอบคุณทุกคนที่ทำให้ผมกลับมายิ้มอย่างนี้ได้อีกครั้ง
ตัวผมชอบยิ้มมากกว่าขมวดคิ้ว พึ่งจะรู้สึกตัวก็ตอนที่ทุกอย่างเกือบจะสายไปแล้วนี่แหละ
“หืม?”
รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
คุณออร่ามีสีหน้าที่หงุดหงิด ดูผิวเผินก็เหมือนกับผมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนไม่มีผิด
เหมือนกันแต่แตกต่าง เพราะผมไม่ใช่เค้า
“คิดดีแล้วรึ?”
เรื่องอะไรเหรอครับ-ไม่ทันที่จะได้ตอบ คำตอบของคำถามก็มาก่อน
“ที่เลือกจะปฏิเสธตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง”
….
“เรื่องนั้น บอกตามตรงตอนนี้ก็ยังลังเลอยู่เลยครับ หลายๆอย่างทั้งเรื่องที่เข้าใจ และไม่เข้าใจ มันปนกันไปหมด สิ่งที่คุณออร่าพูดไม่มีสิ่งไหนที่ผิดเลย เรื่องที่ผมเข้าใจจากคุณก็ล้วนแต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด”
โลกใบนี้ ความจริงคือความโหดร้าย ทุกคนต้องเผชิญแต่เรื่องที่โหดร้าย นั่นคือความจริงที่เกิดมาจากคำโกหก
แต่ว่าความจริงที่เกิดมาจาก ‘ยูจิ’ หรือตัวผม ปารถนาจะสร้างโลกที่พวกเราสามารถใช้ชีวิตได้จวบจนวันสุดท้าย ไม่ว่าจะดีร้ายยังไง แต่ผมก็ปารถนาจะเห็นจุดสิ้นสุดบนการเริ่มต้นใหม่นับครั้งไม่ถ้วนของผม ..
ยังไงๆก็อยากจะเห็นจริงๆนั่นแหละ
“เพราะอย่างนั้นจึงปฏิเสธตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง”
“ใช่ครับ ผมปฏิเสธตัวตนของตัวเอง เพราะผมไม่เชื่อว่ามันคือตัวตนของผมจริงๆ ..ยูจิที่ตัวผมเองรู้จักคือเด็กคนหนึ่งที่ฝันจะเป็นวิศวกรเกี่ยวกับอุปกรณ์เวทมนตร์ครับ ไม่ได้มีอุดมการณ์ล้างโลกคืนชีพพระเจ้าแสนใหญ่โตอะไรเลย”
ให้พูด เป้าหมายของผมมันก็แค่ความปารถนาของคนทั่วไปเท่านั้น
“วิญญาณในตัวตนของเจ้าจะสะท้อนให้เห็นทุกสิ่ง”
เพียงแค่ตั้งใจมองดีๆ ความเป็นจริงก็จะปรากฏ นั่นคือความจริง แต่เป็นความจริงที่ผมเวลานี้เลือกจะปฏิเสธ
“นั่นสินะครับ ผมคงเป็นตัวตนที่เขาเรียกกันว่า ‘วัวลืมตีน’ ไม่ผิดแน่ เพราะฉะนั้นชื่อของทวยเทพที่คุณออร่าตั้งให้ผมเองก็ขอปฏิเสธครับ”
ผมหยุดแขนข้างเดียวที่เหลืออยู่ขึ้นมาสัมผัสหน้าอกของตัวเอง เพื่อรับรู้ถึงจังหวะหายใจอย่างเคลิบเคลิ้ม ไม่เคยรู้สึกยินดีที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ขนาดนี้มาก่อนเลย ช่างน่าพิศวง
“ในฐานะทวยเทพ ผมคือ ‘เทพแห่งการเริ่มต้นใหม่’ และในฐานะมนุษย์ ผมคือ ‘ยูจิ’ ไม่มีอะไรผิดที่ผิดแปลกไปทั้งนั้นครับ”
ใบหน้าของคุณออร่าเปื้อนด้วยโทสะแห่งความผิดหวัง เขาคงจะผิดหวังในตัวตนของผมไม่ใช่น้อย ..ผมไม่ถูกกับใบหน้าอย่างนั้นเลย ทุกครั้งที่เห็นผมมักจะ–
“ขอโทษด้วยนะครับ ..ที่ผมมีชื่อว่า ‘ยูจิ’”
อยากจะขอโทษออกมาตลอด ต่อให้ผิดหรือไม่ผิดก็ตาม
“สักวัน ..เจ้าจะเสียใจกับเส้นทางที่เลือก”
“ชีวิตคนเรามันก็คงจะอย่างนั้นกระมังครับ บอกตามตรง ตอนนี้ผมไม่ได้คิดไปถึงอนาคตเลยสักนิด ในหัวคิดเพียงแค่ว่า-ไม่อยากจะสูญเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว ในหนึ่งวันผมอยากจะกอดความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่ไหว ..เพื่อไม่ให้เสียใจภายหลัง ผมเลือกจะทำอย่างนี้”
คุณออร่ามักจะพูดถูกเสมอ เพราะอย่างนั้นสิ่งที่เขาพูดออกมายังไงผมก็ไม่อาจเมินไปได้
แต่คำตอบก็ไม่ต่างจากเดิมอยู่ดี
“ก่อนที่จะไปเสียใจในอนาคตอย่างที่คุณพูด บางทีนะครับ ความสุขที่ผมได้รับมาระหว่างทางต่อจากนี้มันอาจจะช่วยหักล้างกับความทุกข์หลังจากนี้ให้ จนผลลัพธ์กลายเป็น ‘ดีแล้วละที่เป็นแบบนี้’ น่ะครับ” ผมหัวเราะเบาหวิขณะที่พูด แอบขำที่ตัวเองพูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ “ต่อให้เลวร้ายหรือวิเศษแค่ไหน ผมก็อยากจะใช้ชีวิต”
….
“และปารถนาใน ‘บทสรุปของชีวิต’ ที่ตัวเองเป็นคนเลือกครับ”
…….
……
ผมไม่ชอบความเงียบระหว่างบทสนทนา มันทำให้ผมรู้สึกกลัวว่าคู่สนทนาจะรู้สึกย่ำแย่ที่ได้พูดคุยกับผม ..
“โลภมาก”
“เรื่องนั้นทั้งผมและคุณก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่”
ผมนึกถึงภาพที่ชายคนนั้นทุบหน้าอกของตัวเองให้ผมดู ไม่รู้นึกอะไรอยู่ ผมถึงได้ทำตาม แม้ผลลัพธ์จะออกมาดูไม่เท่เหมือนกับคนๆนั้นก็ตาม
“ตรงที่สักวันก็ล้วนปารถนาจะคว้าความสุขของตัวเองไว้ให้ได้”
แค่ความสุขที่ว่าของพวกเรามันแตกต่างกัน เพราะเป็นคนละคน แต่ก็เหมือนๆกันหมด ไม่ว่าจะมนุษย์หรือทวยเทพ ทุกสิ่งเหมือนกันหมด ความจริงที่ผมค้นพบด้วยตัวเองข้อนี้ทำให้ผมจะไม่หลงทางอีกเป็นครั้งที่สอง
จะไม่กลับมายืนอยู่ ณ จุดๆเดิมอีกเป็นครั้งที่สองด้วย
“หลังจากวันนี้พวกเราคงจะไม่ได้พบกันอีก”
ผมหันหลังกลับ และเริ่มก้าวเท้าเดินภายในโลกสีขาว
“ผม ..ผมไม่ต้องการคุณในชีวิตของผมอีกต่อไปแล้ว”
ระหว่างที่ก้าวเท้า ออร่าไม่ตอบกลับอะไรทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องหยุดเดิน ทว่าคนๆนั้นก็ปรากฏตัว
ชายร่างยักษ์ตัวสีฟ้า มีแขนสีแขน ..เพื่อนของผมที่มอบพลังให้แก่ผมในทุกๆครั้ง
‘อลัน’ ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผม บนโลกสีขาวที่ควรจะมีเพียงแค่ผมกับคุณออร่า
เขาคือเพื่อนของผม เป็นไปได้ก็อยากจะคุยด้วยมากกว่านี้ แต่ว่า ..อลันคือข้ารับใช้ของคุณออร่า ในฐานะข้ารับใช้ เขาไม่มีทางยอมรับผมที่ปฏิเสธความฝันของนายเหนือหัว แต่เขาคือผู้ทำพันธสัญญากับผม หมายความว่าในโลกความจริง ผมจะสามารถยืมมือของอลันได้ตลอด ทั้งๆที่เป็นการฝืนใจจริงของเขา
นั่นฟังดูเลวร้าย เพราะอย่างนั้นในฐานะเพื่อนแล้ว—ผมก็ไม่ควรจะบังคับเขา
“อลันเองก็ด้วยครับ ..ต่อจากนี้ผมจะไม่ยืมแขนของคุณแล้วเหมือนกัน” ผมแบมือดูแขนที่เหลือข้างเดียวของตัวเอง และยิ้มออกมา “ถึงผมจะเหลือแขนแค่ข้างเดียว แต่ผมก็อยากจะลองคว้าทุกสิ่งไว้ให้ได้ด้วยมือของตัวเองดูครับ”
อลันนิ่งเงียบ เขาไม่มีปฏิกิริยาอะไร แค่ก้มหน้ามองผม ด้วยส่วนสูงที่มากกว่าคืบใหญ่ๆ
“เช่นนั้น”
ก่อนที่ผมจะเดินผ่านเพื่อนคนแรกของผมไป—
“ขออวยพร”
คำอวยพรจากเพื่อนคนสำคัญหลุดออกมาในวินาทีสุดท้าย ผมเบิกตาโพลงกว้าง หันกลับไปมองในจุดๆที่เพื่อนยักษ์ของผมยืนอยู่
ทว่า เขาก็เลือนหายไปกับโลกสีขาวเสียแล้ว ..ตามที่ผมตั้งใจเอาไว้
พวกเขาไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
ผมจึงยิ้มออกมา และก้าวเดินต่อไป–จนพ้นจากโลกสีขาวอันว่างเปล่า
……
…..
ผมลืมตาตื่นอีกครั้ง
มือข้างนั้นที่ยื่นมาให้ คงจะเป็นมือข้างเดียวกับเมื่อวันนั้น ..บนผิวน้ำ ตัวผมที่ร้องไห้ได้คุณเรเซอร์ยื่นมือมาให้ ครั้งนั้นผมเป็นฝ่ายปฏิเสธ แต่ครั้งนี้—ผมจะไม่ปฏิเสธมันอีกต่อไปแล้ว
ผมจับมือข้างนั้นเอาไว้ โชคดีที่ผมยังเหลือแขนอยู่ข้างนึงให้จับมือของชายผู้นี้
“เข้าใจแล้วครับ ฟังดูไม่เลวเลย”
“แต่ก้าวแรก ลุกขึ้นยืนให้ได้ก่อนน่ะนะ”
..นั่นสินะ
ผมหัวเราะออกมา พร้อมกับคุณเรเซอร์
ตัวผมที่มีแขนแค่ข้างเดียว การลุกขึ้นยืนให้ได้มันคงจะยากกว่าเดิมมากๆ แต่ว่า–ทั้งหมดมันจะผ่านไปได้ ต่อให้ล้มลงกับพื้น ผมก็จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเสมอ
MANGA DISCUSSION