เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 333
< < 204 > >
ภาพแห่งความเป็นจริงถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงพริบตาเดียว ความจริงบนคำโกหกทั้งหมดก็ปรากฏขึ้น และถูกจารึกไว้ในหัวสมองของทั้งสองคนด้วยอำนาจพิเศษของยูจิ
หลังจากได้พบกับความจริงของยูจิ ทั้งสองก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะหันมามองหน้ากัน หยักไหล่ให้กันและกัน และยิ้มออกมา
“…เรื่องอะไรกันครับ?”
“เรื่องอะไรที่ว่าเนี่ยหมายถึง?”
“ก็การตอบสนองอย่างนั้นไงครับ! ทำไมถึงไม่เอ๊ะใจสักหน่อยกันละ ไม่คิดแค้นอะไรผมหน่อยหรือไง!? ก็ผมน่ะ คือคนที่พรากทุกอย่างไปจากทุกคน ผมคือต้นเหตุของทุกๆเรื่องราวบนโลกใบนี้ พวกคุณทั้งสองคนเองก็ต้องสูญเสียคนสำคัญเหมือนๆกัน เพราะผมแท้ๆ เรื่องราวทุกอย่างมันบ่งบอกอย่างนั้นอยู่แท้ๆ ทั้งอย่างนั้นทำไมถึง—”
“ยูจิ ฉันสงสัยจริงๆนะว่ากำลังคาดหวังอะไรอยู่ ..ใบหน้าแบบนั้นไม่ใช่ใบหน้าของคนที่คิดจะทำลายล้างโลกเลยสักนิดนะ”
หนิงพูดสวนขึ้นมา เธอดีดนิ้วเรียกเปลวเพลิงสีชมพูขึ้นมา
“ความหนักแน่นไม่มากพอนะ ด้วยใบหน้าและท่าทางอย่างนั้น จะให้ฉันเชื่อได้จริงๆเหรอว่ายูจิคิดจะพรากทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน”
“….”
“ช่วยไม่ได้นะ ถ้าอย่างนั้นยูจิก็ช่วยพิสูจน์ให้เห็นความสำคัญของคำเตือนหน่อยสิ ใช่ ใช่ ฆ่าฉันให้ดูหน่อยสิ ถ้าทำได้จะยอมเชื่อสักครึ่งหนึ่งนะ”
คำท้าทายที่แสนอวดดีนั่นเหมาะสมกับหนิงอย่างไม่น่าเชื่อ จะว่าไป เธอคนนี้แต่เดิมก็เป็นพวกอวดเก่งอยู่แล้ว ไม่ได้ต่างกับคนรู้จักผมม่วงคนนั้นเลย
“จะพิสูจน์ให้ดูเองครับ”
“อืม!”
หนิงกับเรย์ถีบพื้นเข้าชน ยูจิก้าวเท้าหนึ่งจังหวะตั้งรับ—ครั้งแรกทีไ่ด้พบกันคือตอนไหนกันนะ? หนิงนึกย้อนกลับไปเมื่อวันๆนั้น
“ทั้งหมดที่พวกคุณรู้สึกมันก็แค่เรื่องราวจอมปลอม!”
ยูจิฉีกกระซากร่างของหนิง ทำลายแขนและขาของเรย์ ส่งทั้งสองไปสู่ก้นเหวของความตาย แต่พริบตาเดียว วิหคอมตะก็ลากทั้งสองคนขึ้นมาบนยอดเหวอีกครั้ง หลักฐานของจอมทำลายล้างถูกลมหายไปอีกครั้ง ทั้งสองคนเข้าต่อสู้อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
ถ้าหากไม่มีวิหคอมตะมันคงจะจบไปแล้วแท้ๆ!
“พวกคุณแค่หลงมัวเมาไปกับคำโกหกของผม เป็นแค่หนึ่งในเหยื่อจากทั้งหมด อย่ามาถือตัวเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นของจริง ช่วยลืมตาตื่นยอมรับความจริงได้แล้วครับ!”
ยูจิตะโกนไป ทำร้ายคนสองคนไปพลาง แทบไม่มีความลำบากในการต่อสู้ เพลิงสีชมพูไม่อาจทำอะไรยูจิไปได้มากกว่าหยุดเคลื่อนไหวจังหวะเดียว วิชาดาบจันทร์เสี้ยวถูกแก้ทางเอาง่ายๆหลายต่อหลายครั้ง สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้งสองคนไม่อาจทำอะไรยูจิเวลานี้ได้
หากให้พูด ทั้งเจ้าหญิงมังกร และผู้ถือครองดาบมังกรเหล็กบรามุนต์ มีสภาพไม่ต่างกับกระสอบทรายที่ทำมาจากเนื้อหนังคนจริงๆ
“คนที่จะช่วยคุณไม่ใช่ผม คนที่ดึงคุณออกมาจากความมืดมิดไม่ใช่ผม คนที่ทำทุกอย่างพวกพวกคุณทุกคนไม่ใช่ผม คนที่อยู่เคียงข้างพวกคุณมาตลอดไม่ใช่ผม—ความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้ผมตอนนี้มันก็ไม่ใช่ของผมด้วย!”
เรื่องราวจอมปลอม คำโกหกของทวยเทพ ตัวตนที่เกิดมาจากคำโกหก
ทุกสิ่งที่กล่าวออกมา ไม่มีข้อเท็จ คำโกหกของยูจิคือความจริงอันแสนโหดร้าย
ไม่ว่าจะเรย์หรือหนิง ทั้งสองล้วนรู้ดี ใช่ เพราะได้เห็นแล้วถึงความเป็นจริงของโลกใบนี้ คงตีหน้ามึนแล้วบอกว่ายูจิไม่ใช่คำโกหกไม่ได้
แต่ว่านะ
“ฉันเกลียดการต่อสู้”
หนิงโพล่งขึ้นขณะที่เช้าต่อสู้กับยูจิ
“มันทั้งเจ็บและทรมาน ต่อให้ร่างกายจะเป็นอมตะจนงอกกลับมาได้ตลอด แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดี นอกจากนั้นกลิ่นเลือดก็เหม็นด้วย ฉันไม่ชอบเอาซะเลย ตัวฉันในทุกๆช่วงเวลา ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน หรือโลกอีกใบหนึ่งที่แตกต่างกันก็คงคิดไม่ต่างกัน”
….
“อยากจะนอนอยู่เฉยๆ อยากจะกินข้าวให้เยอะมากที่สุดเท่าที่ร่างกายจะรับไหวในแต่ละวัน ว่างๆก็อยากออกไปเที่ยว ซื้อของ แต่งตัว แต่งหน้า ทำเรื่องที่หญิงสาวในเมืองเขาทำกัน มีความสุขกับละครเวทีชื่อดัง เม้าท์มอยเรื่องหลายๆอย่าง นินทาเจ้าบ้าตัวหนึ่งกับเพื่อนสนิทเป็นบ้างครั้งบางคราว พูดถึงสภาพบ้านเมือง พูดถึงการเมืองกลางวงสาวๆ เที่ยวร้านเหล้าตอนกลางคืนตามประสาวัยรุ่น นี่ต่างหากคือวิถีชีวิตที่ฉันปารถนา ไม่ใช่การเข้าต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง และเข้าใกล้ความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างกายของฉันมันมีค่ามากกว่าขาดเอาขาดเอานะ จะบอกให้”
หนิงพูดไปยิ้มไป รับมือกับยูจิไปยิ้มไป แขนขาดบ้าง หัวหลุดบ้าง เป็นปกติ แต่เธอก็ไม่หยุดที่จะพูดความรู้สึกในใจทั้งหมดออกมา
“ในอนาคตก็อยากไปเที่ยวต่างแดนเยอะๆ อยากมีเงินใช้เป็นถุงเป็นถังด้วย จะได้เที่ยวซื้อของที่ต้องการได้ตลอด พูดถึงความฝันก็อยากเปิดร้านอาหารที่จุดศูนย์กลางของโลก เหมือนกับนิทานที่เคยอ่านเมื่ออดีต อยากจะเปิดร้านอาหาร คอยต้อนรับแขกต่างแดน หลากหลายชนชั้น และชาติ เผ่าพันธุ์ อยากจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทั้งหมดที่พูดออกมามันห่างไกลกับการต่อสู้สุดๆเลยว่ามั้ย?”
หนิงกับยูจิแลกหมัดกัน และค้างหมัดไว้ทั้งอย่างนั้น
“แต่ว่านะ ยูจิ ..อนาคตที่วาดฝันไว้ ..ถ้าไม่มียูจิ ไม่เอาด้วยหรอก”
“…”
“ฉันได้รู้แล้วละว่าความสุขของฉันคืออะไร แค่ประสบความสำเร็จก็พอนั้นเหรอ? ไม่ ไม่ใช่เลย ฉันอยากจะประสบความสำเร็จพร้อมกับพวกนายทุกคนต่างหาก อยากจะให้ทุกคนยืนรอฉันอยู่ที่หลังเส้นชัยของชีวิตผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง ..แค่ เรเซอร์ ไม่ได้ แค่ เบลลามี ไม่ได้ แค่ เรย์ ไม่ได้ แค่ ยัยโซล่า ไม่ได้ แค่คนๆเดียวหรือสองคน หรือสิบคนไม่ได้ เพราะอย่างนั้นฉันเลยจะสู้ ฉันเลยทำสิ่งที่ไม่ชอบ ทำสิ่งที่เรียกว่าเกลียดเลยก็ได้ ยอมทนเจ็บปวด ร่างกายนี้ถึงจะรักษาได้ตลอด แต่มันก็เจ็บนานหลายนาทีเลยนะ ฉันยอมขนาดนี้ก็เพราะ..ฉันอยากจะยืนอยู่บนเส้นชัยของความสุขพร้อมกับทุกคน!”
หมัดของยูจิถูกดันออกด้วยแรงฮึดปริศนา เปลวเพลิงสีชมพูปกคลุมร่างของหนิงเอาไว้ หนิงยิ้มออกมา พร้อมกับดวงตาที่ส่องประกายสีชมพู ยูจิก้าวถอยหลังไปอีกครั้ง เพื่อสังเกตุ และวิเคราะห์ นอกเหนือจากนั้น ..
ยูจิก้มหน้ามองพื้น
“..เส้นชัยแห่งความสุขนั่น ไม่ควรจะมีผมอยู่”
“เรื่องนั้นคนที่ตัดสินไม่ใช่ยูจิ อย่าให้ต้องบอกอีกครั้งเลยนะว่าต่อให้เป็นยูจิก็ไม่มีสิทธิ์มากำหนดความคิดของฉันน่ะ”
“ต่อให้คุณคิดอย่างนั้น ทุกอย่างมันก็แค่เรื่องราวจอมปลอม ..หมายความว่าความสุขของคุณมันก็แค่ของจอมปลอมนั้นเหรอครับ?”
“นั่นน่ะไม่จริงหรอก”
ยังคงดื้อรั้น ยูจิรู้สึกหน้ามืด และเคลื่อนย้ายร่างเข้าประชิดในอึดใจเดียว พร้อมกับขยับแขนเพียงข้างเดียวของตัวเอง คิดจะกระซากหัวใจของหนิง
ทว่า—เพรี้ยะ การเคลื่อนที่ที่เร็วถูกอ่านออก หนิงปัดมือของยูจิทิ้ง
“ฟังฉันให้ดีๆนะ ยูจิ”
พร้อมกับก้าวมาข้างหน้าอย่างห้าวหาญ
“รักนะ!!”
เปลวเพลิงสีชมพูพวยพุ่งออกมาอย่างกระทันหัน จากออร่าเพลิงเล็กๆได้ระเบิดออกประหนึ่งปลายภูเขาไฟที่พวยพุ่ง ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยเพลิงสีชมพู คัลเซเรมถูกเปลี่ยนเป็นโลกสีชมพูชั่วขณะหนึ่ง การระเบิดเพลิงนั่นทำให้ยูจิปลิวไปกับแรงราวสิบเมตร
ยูจิใช้หักล้างตรึงตัวเองไม่ให้ไปไกลมากกว่านี้
ท่ามกลางเปลวเพลิงสีชมพู รูปแบบพิเศษเฉพาะของหนิง ร่างของหนิงค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิด แม้จะมองไม่ค่อยเห็นก็ตาม
เปลวเพลิงมากมายที่พุ่งกระจายไปทั่วทั้งคัลเซเรมหมุนเป็นเกลียวเข้าหากัน และดับไปทั้งอย่างนั้น ..
……
ภายในโดรม บนเขตุของคัลเซเรม ท้องฟ้ากลายเป็นสีชมพูอ่อน ไม่มีเปลวเพลิง ไม่มีความร้อน กลับกันเลย มันทั้งเย็น และอบอุ่น นอกเหนือจากนั้น เธอผู้สร้างปรากฏการณ์ก็ลอยอยู่บนฟ้าด้วยอาภรณ์วิเศษแสนสง่างาม
เลือนผมสีทองคำขาวที่มีสีชมพูแวววับอยู่ตามปลายผม ดวงตาสีเหลืองที่มีวงกลมสีชมพูเป็นประกายอยู่ข้างในสุด ผิวสีขาวเสมือนเลืองแสงได้ อาภรณ์ที่แสนเบาะบาง และสง่างาม ไร้ซึ่งชุดเกราะหนักหรือว่าเกร็ดมังกรขนาดใหญ่เหมือนกับมหามังกรตนอื่นๆ อาภรณ์ของเธอมีเพียงเกร็ดสีชมพูอันบอบบางที่กลมกลืนไปกับผิวหนัง ดูผิวเผินก็ราวกับผ้า มากกว่าเกร็ดอันเป็นโล่ป้องกันสูงสุดของมหามังกร บนแผ่นหลังของเธอนั้นไร้ซึ่งปีกที่เปล่งประกาย
อาภรณ์ของเธอนั้นราวกับหญิงสาวผู้ร่ายรำ สิ่งที่ช่วยให้เธอบินได้คือปีกที่ผุดขึ้นปลายศอกของเธอ แต่มันดูเหมือนไม่ใช่ปีก มันเหมือนกับผ้าของผู้ร่ายรำที่จะผลิวไหวไปตามวิถีชีวิต
เธอคนนั้นงดงาม ..ราวกับเทพีแห่งความสง่างาม วินาทีแรกที่เห็นทุกคนต่างคิดไปในทางเดียวกันอย่างช่วยไม่ได้
บางที เธอผู้นี้ในเวลานี้ อาจจะเป็นสตรีผู้งดงามที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์ ..
“[อาภรณ์เทพมังกร]-[ซุนดาระ(สง่างาม)]”
…….
……
หิมะ? ไม่ใช่ อะไรบางอย่างที่คล้ายกับหิมะ แต่เป็นสีชมพูล่วงหล่นสู่พื้น
เทพีแห่งความงามยกแขน และขาของตัวเองขึ้นตรวจเช็คสภาพของตัวเอง ก่อนที่จะตะโกนออกมาอย่างมีความสุข
“สิบเต็มสิบ!!!”
เธอพึงพอใจกับร่างในชุดอาภรณ์ของตัวเองยิ่งกว่าใครๆ ..นั่นคือการปลุกให้ตื่นรู้ว่าเธอคือหนิงไม่ใช่ใครอื่น อาทิเช่นเทพีแห่งความงามซึ่งมากจากไหนก็ไม่รู้ ยังคงเป็นยัยผู้หญิงอวดดีที่น่ารำคาญ
ยูจิเบิกตาโพงกว้างบนพื้น เขากำลังสับสนในหลายๆเรื่อง หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นความงดงามของหนิงด้วยก็เป็นได้ใครจะรู้ อย่างไรก็ช่างหนิงยืนอย่างผ่าเผยบนฟ้า เธอมองต่ำลงมาที่ชายที่เธอตกหลุมรัก ก่อนจะเริ่มเปิดปากพูด
“เรื่องราวจอมปลอมนั้นเหรอ? ถ้าหากทั้งหมดเป็นเรื่องราวจอมปลอมก็เท่ากับความรู้สึกของฉันเป็นของจอมปลอมไปด้วย? ที่ยูจิพูดมาน่ะไม่จริงหรอกนะ ..ให้ยกตัวอย่างก็ ฉันนึกภาพตัวเองชอบเรเซอร์แทนยูจิไม่ลงจริงๆ”
เรเซอร์ที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ภาวนาในใจว่าอย่าใส่ตัวเองแรงมากนัก …แต่หนิงคงสัมผัสไม่ได้ถึงแรงปารถนานี้นัก
“เรเซอร์มันคนหลายเมียเชียวนะ แค่ตอนนี้ก็น่าจะมีไม่ต่ำกว่าสามคนแล้ว ในอนาคตก็มีแววจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆอีก กับคนที่มีเมียเยอะขนาดนั้นทำใจชอบไม่ลงหรอก! อ๊ะ เรเซอร์ไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะ ทุกคนยินยอมตกลงกันแล้ว ฉันไม่มีปัญหาหรอก แต่ว่าฉันที่เป็นฉัน ต้องการผู้ชายที่รักฉันแค่คนเดียว ต้องการคนที่เป็นของๆฉันเพียงคนเดียว ไม่อยากจะตารางเจ็ดวันสลับกันคนอื่น หรือมีสิทธิ์ให้อยู่กับคนรักของตัวเองได้เพียงวันหรือสองวันต่ออาทิตย์ แต่ฉันน่ะ—อยากจะจู๋จี๋กับคนรักทั้งวันทั้งคืน ทุกๆวัน ทุกๆอาทิตย์ ทุกๆเดือน และแน่นอนว่าต้องทุกๆปีจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต!”
เบาหน่อยหล่อน เรเซอร์ส่งคำอธิฐานไปอีกครั้ง แต่เวลานี้ไม่น่ามีใครที่หยุดหล่อนได้แล้ว
“ถ้ามีผู้หญิงคนไหนมาเกาะแกะผู้ชายของฉัน ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ถึงจะหงุดหงิดก็เถอะ แต่จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น เพราะเชื่อว่าตัวเองมีดีกว่าใครหน้าไหนบนโลกใบนี้ หรือว่าตามตรง ต่อให้ฉันพลาดแพ้ ฉันก็จะทำทุกวิธีให้กลับมาชนะให้ได้ เออ ใช่ จะมองว่าฉันมันคนเห็นแก่ตัวก็ได้ จะมองอย่างนั้นก็ตามสบายเลย แต่คนของฉัน ต้องเป็นของฉันคนเดียวสิ จริงรึเปล่า!!!?”
หนิงตะโกนประจานความนึกคิดทั้งหมดของตัวเอง โดยที่ไม่เขินอายเลยสักนิด
“นี่คือใจจริงของฉัน คือความรู้สึกของฉัน ..เหมือนกับตัวฉันที่ยูจิเคยเห็นบนความเป็นจริงรึเปล่า?”
“….”
“ต่างกันเล็กน้อยสินะ คงจะอย่างนั้น”
หนิงรู้คำตอบอยู่แล้ว เพราะเธอเองก็ได้เห็นความเป็นจริงของโลกเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เหมือนกับยูจิ
“เท่าที่นึกได้ ฉันไม่ยอมให้ยูจิมีภรรยาที่น่ารักหลายคนหรอกนะ ไม่มีทาง”
“….”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าตัวฉันตอนนี้เป็นของปลอมไม่ต่างกับยูจิเลย ใช่รึเปล่านะ? ตัวตนของฉันก็ไม่ได้ต่างอเะไรกับตัวตนของยูจิที่นึกตำหนิตัวเองเลยไม่ใช่หรือไง ของจอมปลอมที่พูดถึงมันอะไรกันแน่? คำโกหกทั้งหมดมันเรื่องบ้าอะไรกันแน่? ตัวฉันในตอนนี้ไม่เหมือนกับตัวฉันในช่วงเวลาเดียวกันที่แตกต่างกัน มันคือเรื่องบ้าอะไรกันแน่?” หนิงสูดลมหายใจเข้าปอด และโพล่งสุดเสียง “ไม่รู้เหมือนกัน!! ถ้ารู้ก็ช่วยบอกให้ฟังหน่อยสิ ยูจิ”
……
…..
“คุณเป็นแบบนี้ก็เพราะผม”
“ตัวของฉันก็คือตัวของฉัน การตัดสินใจทั้งหมดคือการตัดสินใจของฉัน อย่ามาแย่งสิทธิ์การตัดสินชีวิตไปจากฉันสิ”
“..คุณถูกผมบงการณ์”
“วางใจได้ ต่อให้เป็นยูจิที่ฉันรักมากๆๆๆ ก็ไม่มีทางบงการณ์อะไรฉันได้หรอก ..ถ้าหากยูจิคิดว่าตัวเองมันเลวขนาดนั้น เรื่องมันก็ง่ายแสนง่าย ฉันมันก็แค่ผู้หญิงเลวๆที่ตกหลุมรักผู้ชายเลวๆอย่างยูจิ แค่นั้นแหละ ที่เขาเล่าปากต่อปากกันไงว่าผู้หญิงน่ะชอบแบดบอย ฉันก็อาจจะเป็นเหมือนกัน เพราะเป็นผู้หญิงที่ไหลไปกับกระแสโลกได้ง่ายๆ รสนิยมผู้ชายก็อาจจะเหมือนกับต้นตำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่”
ใบหน้าของยูจิเต็มไปด้วยความสับสน หนิงรู้ดีว่าชายที่เธอรักกำลังคิดอะไรอยู่
“เพราะอย่างนั้นแหละนะ .. ฉันก็คือฉัน ยูจิก็คือยูจิ ต่อให้มันจะเป็นคำโกหกจริงๆ แต่ว่า–ฉันก็ตกหลุมรักคำโกหกนั่นไปแล้ว เพราะความรู้สึกมันไม่มีคำว่าโกหกยังไงละ” หนิงร้องไห้ออกมา “เพราะความรู้สึกนี้เป็นของจริง เวลานับล้านมันจึงมีควาหมายกับฉันเสมอ จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนตราหน้าว่ามันเป็นของปลอมอย่างเด็ดขาด!!!”
หนิงยกมือขึ้นฟ้า พริบตาเดียว เพลิงสีชมพูขนาดยักษ์เทียบเท่าเขตุคัลเซเรมก็ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า ยาวและใหญ่ไม่รู้กี่กิโลเมตร หากไม่มีโดรม เพลิงรักนี่คงจะบดบังท้องฟ้าบนทวีปเกรลได้เกือบทั้งหมดไปแล้ว
“เรื่องที่ฉันตกหลุมรักชายที่มีนามว่า ‘ยูจิ’ จึงเป็นความจริงยังไงละ” หนิงยกมือขึ้นฟ้า และทุ่มมือลงพื้น “รับไปซะ ความรู้สึกของฉัน!!!!!”
เปลวเพลิงจำนวนมหาศาลถูกจับทุ่มลงสู่พื้น—-
ยูจิเวลานี้คิดอะไรไม่ออก ได้แต่ส่งสายตาล่อกแล่กไปมา ได้แต่ขยับปากไปมาอย่างไร้ประโยชน์ ทำอะไรไม่ถูก ..ทั้งๆที่ต่อให้มีจำนวนมหาศาลแค่ไหน แต่คุณภาพมันก็เท่าเดิม เขาสามารถเอาชนะได้ ใช่ ควรจะทำได้ แต่ตอนนี้ ..ไม่ใช่ มันผิดไปหมด
“..เรื่องอะไรกัน ทำไม ..ผมไม่เข้าใจ ทำไม—”
“เรื่องที่อยากจะพูดทางนี้เองก็มีเยอะเหมือนกัน”
เรย์วิ่งเข้าใส่ยูจิ พร้อมกับท่าจับดาบสองมือ
“นายคงจะดูถูกตัวเองอยู่ คิดว่าตัวเองเป็นแค่ตัวตนที่ไร้ค่า เพราะตัวตนของตัวเองแต่แรกเดิมทีเป็นคำโกหก เออ มันก็จริงแหละนะ มันเป็นเรื่องที่ทั้งยุ่งยาก และน่ารำคาญ จะวางตัวยังไงกับเรื่องนี้ดี ตอนที่ได้เห็นความเป็นจริงแรกๆ ฉันแอบสงสัยกับตัวเองขึ้นมาอยู่เล็กน้อย แต่ว่า-เอาเข้าจริงๆ เรื่องพรรค์นั้นช่างมันไปเถอะน่า!!”
เรย์ตวัดดาบเข้าใส่ยูจิ ยูจิปัดป้องการโจมตีอย่างทุลักทุเล
“ฉันอยากจะก้าวข้ามอะไรหลายๆอย่างไปพร้อมกับนาย อยากจะจบการศึกษาไปพร้อมกับนาย อยากจะคุยเรื่องสาวๆกับนาย ไม่ว่าจะแห้วหรือสำเร็จก็อยากจะคุยด้วย อยากจะพานายไปทำเรื่องเสียคน จนโดนยัยคลั่งรักนั่นไล่หวด อยากจะทำหลายๆอย่างไปพร้อมกับนาย ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง และแน่นอน การที่ฉันรู้สึกอย่างนี้มันไม่มีทางเป็นเรื่องโกหก”
จังหวะปะทะดาบสามจังหวะ เรย์ชนะทุกจังหวะ แต่ไม่อาจสร้างบาดแผลให้ยูจิได้ ทำได้เพียงส่งยูจิถอยหลังไปสามก้าว แต่นั่นก็น่ายินดีสุดๆแล้วสำหรับมนุษย์ทั่วๆไปอย่างเขา
“แล้วก็ตามที่ยัยนั่นพล่ามออกมาเลย ต่อให้ทั้งหมดจะเป็นเพียงเรื่องโกหกที่ถูกนายสร้างขึ้น—แต่ความรู้สึกมันโกหกกันไม่ได้อยู่ดี หรือถ้าฉันกำลังโกหกอยู่มันก็นะ น่าแปลกใจจริงๆว่าทำไมตัวเองถึงโกหกได้เนียนขนาดนี้กันนะ!!”
เรย์ก้าวเข้ามาในพื้นที่จู่โจมอีกครั้ง เป็นอีกครั้งที่ชายคนนี้เอาชีวิตตัวเองไปแขวนบนเส้นด้าย ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อเพื่อนเพียงคนเดียว
“อย่านะ อย่า อย่าเข้ามานะ!!!”
ฉีกกระซากแขนกับขาของเรย์ด้วยหักล้าง จากนั้นก็ใช้เท้าถีบร่างของเรย์ปลิวไปชนกับเปลวเพลิงสีชมพูที่พุ่งเข้ามารอบทิศ ยูจิดีดนิ้ว รีดมานาทั้งหมดที่ตัวเองมีสร้างโล่ป้องกันอันแข็งแกร่งขึ้นมา โดยการเลียนแบบโครงสร้างของอำนาจมหามังกรเกรล ทำให้พอจะรอดพ้นจากการทำลายล้างแสนบ้าคลั่งของเพลิงรักไปได้
ยูจิหายใจฮอบ ใช้แขนข้างเดียวที่มีขยี้หัวใจของตัวเอง ส่วนลึกของจิตใจถูกต้อนจนจมมุม มุดหัวเข้ากระดองโล่ป้องกัน และก้มหน้ามองพื้นอย่างหมดอะไรตายอยาก
หายไปให้หมดได้ก็ดี ..ทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวเขาที่คิดเช่นนั้นเอาแต่ยืนอยู่กับที่ เอาแต่ภาวนา
โลกใบนี้พระเจ้าไม่ใช่ผู้กำหนดชะตากรรม ..การภาวนะนั้นไร้ค่า—-เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ตรงหน้าก็ปรากฏให้เห็นนักดาบในร่างมังกรเหล็ก ‘บรามุนต์’ โลหะสีเงินส่องประกายแสงสีฟ้าออกมา ดาบมังกรเหล็กสาดส่องแสงท่ามกลางเพลิงรัก ดาบเล่มนั้นส่องแสงมากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น และเพียงอึดใจเดียว เปลวเพลิงทั้งหมดก็ถูกกลืนกินโดยดาบบรามุนต์ ตัวดาบส่องแสงจนแทบจะไม่เห็นผิวของโลหะ แสงนั้นเป็นประกายที่งดงาม เช่นเดียวกับเพลิงสีชมพู
“[ลำจันทร์เสี้ยว]”
ดูดกลืนเปลวเพลิงด้วยบรามุนต์ ยกระดับตัวเองด้วยวิชาดาบแห่งการสวนกลับ
เรย์ก้าวเท้าเข้ามา โบกสะบัดดาบเพียงสั้นๆ เพียงแค่ผิวดาบ โล่ป้องกันก็ถูกทำลายทิ้งได้ง่ายราวกับตัดกระดาษ คลื่นดาบพุ่งอัดข้าร่างจนสร้างบาดแผลบริเวณหน้าท้องเล็กน้อย ก่อนที่จะได้ตอบโต้อะไรก็สายไปแล้ว
ดาบเคลื่อนผ่าอากาศด้วยความเร็วที่แม้แต่ยูจิก็ไม่อาจตอบโต้ได้ มันถูกยกระดับด้วยเปลวเพลิงที่มีพลังพอจะสั่นสะเทือนทวีปทั้งทวีปได้ นี่คือดาบที่สามารถตัดทุกสิ่งได้
แค่อึดใจเดียว ชีวิตของยูจิก็จะถูกทำให้ดับสูญไป แม้ทวยเทพจะตายไม่ได้ แต่ทวยเทพสามารถถูกฆ่าด้วยทวยเทพด้วยกันได้ และดาบเล่มนั้นคือดาบที่กลืนกินพลังของเศษเสี้ยวของทวยเทพอย่างเพลิงสีชมพูเข้าไป นอกจากนั้นยังเป็นผู้ที่ได้รับพรจากข้อผิดพลาดของโลก ..ฆ่าได้อย่างแน่นอน
เทพแห่งการทำลายล้างและรังสรรค์ผู้มอบคำโกหกให้แก่โลกใกล้จะเลืองหายไป ..โลกใบนี้จะกลับกลายเป็นความเป็นจริงในที่สุด
นี่แหละคือตอนจบที่ควรจะเป็น ทั้งอย่างนั้น ..ความทรงจำที่ตัวเขากล่าวหาว่าเป็นคำโกหก กลับสร้างความรู้สึกที่ไม่อยากตายขึ้นมาให้
‘เห็นแก่ตัว ..ผมนี่มันเห็นแก่ตัวจริงๆ’
ต่อให้จะเป็นเพียงคำโกหก
‘ยังไงผมก็ยังปารถนาความสุขอยู่ดี’
ต่อให้ตัวเองจะเป็นคนทำลายความสุขที่สร้างมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
‘ผมก็อยากจะโอบกอดมันไว้อยู่ดี’
เพราะอย่างนั้น ..
‘ความตายจึงน่ากลัว’
‘แต่ว่ามันคือสิ่งที่ควรจะเป็น’
‘ผมได้รับมามากพอแล้ว ..’
‘ว่าแล้วเชียว ยังไงผมก็ ..ไม่อยากจะทำลายสิ่งสำคัญไปมากกว่านี้แล้ว’
‘ทางออกที่ดีที่สุดจึงเป็นความตาย ..เพราะผมรักทุกคน ต่อให้ตายก็ยอมรับได้ ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่เป็นอะไร แต่ผมยอมรับมันได้ แค่นั้นก็พอแล้วละ’
‘….…ผม ..ผม ..ขอบคุณนะ’
‘ผมจะไม่โกหกความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไปแล้ว’
‘โชคดีที่สุดในชีวิตของผมคือการได้พบกับพวกคุณสองคน ..นี่คือความจริงของความรู้สึกของผมครับ’
ยูจิหลับตาลง ยอมรับความตายที่กำลังจะมาถึง ……
……..
……
พลังทำลายล้างของบรามุนต์ดับหายไปในชั่วพริบตาเดียว
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ..พร้อมตายขนาดนั้นเลยหรือไง”
วิถีดาบหยุดลงอย่างกระทันหัน เรย์ปักดาบลงตรงหน้าของคำโกหก ..ชุดเกราะบรามุนต์ค่อยๆทลายออกจากร่างของเรย์ สิ่งแรกที่เห็นก็คือรอยยิ้มท่ามกลางกองเลือด
“ความรู้สึกที่ไม่กล้าลงดาบปริดชีพนายเองก็เป็นหนึ่งในคำโกหกด้วยหรือเปล่านะ?”
……..
…….
ตามมาด้วยหนิงในร่างปกตินอกอาภรณ์เทพมังกรบินลงเทียบกับพื้นตรงหน้ายูจิ เธอเดินไปประคองเรย์ที่ทำท่าจะล้มเอาไว้ได้ทัน จากนั้นก็หันมายิ้มให้ยูจิ
……
…..
ยูจิกระพริบตาปริบๆ ไม่นานน้ำตาก็ไหลออกมา
“เรื่องนั้นผมเองก็สงสัยเหมือนกันครับ ..สงสัย..เหลือเกิน”
เวลานี้ยูจิไม่อาจอั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เขาร้องไห้ออกมา เหมือนกับเด็กคนหนึ่ง สมกับวัยของตัวเอง …น้ำตานี่ไม่มีทางเป็นคำโกหกอย่างแน่นอน