เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 330
< < 203 Sec2 > >
ดันมาเจอกับ ..เอ่อ ตัวปัญหา? ตัวฮา? เอาเป็นว่าตัวสร้างเรื่องอย่างมาเจลเข้าซะได้ บอกตามตรงแค่เห็นหน้าหมอนี่ผมก็เริ่มปวดๆตรงขมับซะแล้วสิ
มีหลายเรื่องอยู่ในหัวเลย แต่อย่างแรกที่สงสัยทำอีท่าไหนถึงมาโผล่ที่นี่ได้ฟร้ะ แถมยังหลุดมาจากลำคอของอีสเตอร์อีก ให้สันนิฐาน ไม่ดิ ยังไงๆบักนี่มันก็น่าจะโดนอีสเตอร์กินเข้าเมื่อก่อนหน้านี้ ก่อนจะโดนถุยออกมาเสมือนเศษอาหารที่ทั้งเคี้ยวยาก รสห่วย จึงไม่จำเป็น แม้จะเป็นแค่การเปรียบเทียบแต่ก็น่าอนาถใจซะจริงๆนะ
เอาเป็นว่า-ผมยื่นมือออกไปใช้วิหคอมตะรักษาอาการที่ไม่ทราบให้ไว้ก่อน พลางละลายน้ำลายของเจ้าอีสเตอร์ทิ้งด้วย เพราะถ้าผมตื่นมาพร้อมกับน้ำลายของสัตว์ประหลาดเข้าคงจะหลอนมิใช่น้อย
“อ๊ะ นั่นมันว่าที่ราชาผู้พิชิตรุ่นที่สองนี่นา”
คาร่าโผล่มาจากข้างหลัง พร้อมกับชี้นิ้วมาทางมาเจลผู้นอนขดตัวกุมของลับของตัวเองอยู่
“ราชาผู้พิชิตรุ่นที่สอง?”
หมายถึงมาเจลเนี่ยนะ? หมอนี่สุดยอดถึงขนาดได้รับฉายานั้นเลยเหรอ ..คำอธิบายโผล่มาพอดีอย่างกับรู้ใจ
“ ‘ราชาผู้พิชิตรุ่นที่สอง’ เป็นคำสุภาษิตที่ใช้เรียกพวกโง่เข้าขั้นบ้าน่ะ”
“จะ เจ้ามาเจลถึงขนาดโดนเทพแห่งธรรมชาติเรียกอย่างนั้นคงไม่ธรรมดาเลยนะในหลายๆควาหมาย”
คาร่าเดินตรงมาอย่างยิ้มแย้มพร้อมกับบอดี้กาดอย่างการ์ป เธอลงไปนั่งอยู่ข้างหน้ามาเจล และใช้กิ่งไม้แถวๆนั้นเขี่ยมือของมาเจลออกเพื่อดูของลับ—
“เห้ย!”
“มาเจลตัวน้อยยังคงเป็นตัวน้อยเช่นเดิม เห็นแล้วก็สบายใจที่ขนาดไอนั่นไม่บ้าตามโอลิเว่อร์มันไปด้วย”
พึงพอใจแล้วหล่อนก็ใช้กิ่งไม้เขี่ยๆมือกลับเข้าที่เดิม เห็นแล้วผมก็อดใจไม่ไหวต้องเข้าไปเอาเรื่อง
“เดี่ยวสิ–คุณคาร่า ทำแบบนี้ไม่ถูกนะจะบอกให้ มาบงมาบอกของคนอื่นว่าเล็กเนี่ยมันเสียมารยาทชะมัด! อีกอย่างนั่นแค่ตอนยังไม่ตื่นด้วยไม่ใช่เรอะ เอาอะไรมาวัดฟร้ะห้ะ!? เห็นแล้วฉุนเลยนะครับเห้ยจะบอกให้!”
“แล้วหนุ่มน้อยมาตรฐานอย่างเรเซอร์จะมาเดือดร้อนอะไรด้วยล่ะจ๊ะเนี่ย?”
“ก็ต้องเดือดร้อนสิครับ มาตรฐานอย่างทางนี้ตอนยังไม่ทรานฟรอมก็โดนมองว่าเล็กๆเหมือนกัน! เอาเป็นว่าช่วยปรับความเข้าใจใหม่ด้วยนะ”
“พูดอย่างกับเก็บกดมาอย่างไรอย่างนั้นเลยนะจ๊ะ”
โดนสวนมาอย่างนั้นผมก็หน้าแดงแจ๋ ทำเอาอยากจะโชว์สกิลผสมผสานตัดมิติเข้ากับวิหคอมตะที่ผมเคยใช้เมื่อศึกยามค่ำคืนก่อนหน้านี้ นั่นทำให้เรเซอร์ตัวน้อยของผมมีขนาดกว่าสิบสองนิ้วได้ หากตั้งใจก็อาจจะขยายไปได้ถึงสามสิบนิ้วเลย แต่นั่นคือระดับที่สูงเกินกว่าจำเป็น แต่ก็ทำได้ อยากจะอวดชะมัด แต่คิดไปคิดมา ไม่ทำจะดีกว่า
“เอาเป็นว่า–”
ระหว่างที่ผมกับผู้มีพระคุณอย่างคาร่าปะทะคารมณ์กันนั้น ชินซึ่งยืนมองจากข้างหลังก็ปิดใบหน้าของตัวเองด้วยมือทั้งสองข้าง การ์ปเกาหัวงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น และ–
“คุยบ้าอะไรกันไร้สาระ”
“อ๊ะ ..มาเจล ตื่นแล้วรึ?”
“มาเจลตัวน้อย ไม่ได้พบกันนาน โอลิเว่อร์เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ?”
มาเจลผู้ลืมตาตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาได้ลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย โชว์ไอนั่นของตัวเองโดยไม่มีเขินอาย
“….”
ละ เล็กโคตร! ถึงจะเป็นช่วงจำศีลแต่นี่ ..สุดยอด!
ผมไม่กล้าที่จะพูดออกมา คิดว่ามันคือการเสียมารยาท นั่นบ่งบอกว่าตัวผมไม่ได้รู้เลยว่ามาเจลเป็นคนอย่างไร
“ผู้คนในยุคสมัยนี้มีแต่พวกไร้อารยะรึไงถามจริง? ฟังฉันนะ—ยิ่งเล็กก็ยิ่งมากล้นด้วยสติปัญญาผิดกับพวกแก เข้าใจรึเปล่า!?”
อ่า ความเชื่อนั่นนี่เอง ในโลกนี้ก็มีด้วยสินะ แต่ที่แน่ๆความเชื่อนั้นในยุคปัจจุบันที่ผมอยู่มันตายไปละ
อย่างไรก็แล้วแต่ มาเจลได้โพล่งออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ตัวเขาไม่คิดจะปิดบังน้องชายของตัวเองเลย ไร้ซึ่งความเขินอาย สุดจัด ผมแอบนับถือหมอนี่อย่างช่วยไม่ได้ ในฐานะลูกผู้ชายด้วยกันน่ะนะ
ผมเดินไป และยื่นมือหวังว่าจับมือมาเจล หมอนั่นปัดมือผมทิ้ง และเดินผ่านผมไป พูดให้ถูกเดินผ่านทุกคนไปในสภาพเปลือยเปล่า
เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนแทบจะลับสายตา
ภาพตัด
เป็นผมที่ต้องไปช่วยมาเจลจากมองโกเลียข้างทาง แล้วบินแบกมันกลับมาที่เดิม
ผมโยนมาเจลลงตรงกลางวงล้อมพวกผม จากนั้นก็โยนผ้าคลุมสีน้ำตาลให้มาเจลมันใส่ ดีที่ยอมใส่แต่โดยดีไม่ขัดขืนอะไร
“ดูจากสภาพไม่น่ารอดไปครบสามสิบสองนะ”
“หนวกหูจริง แค่วงจรเวทย์มีปัญหานิดหน่อยเลยพลาดก็แค่นั้น ถ้าเกิดเป็นปกติ กับอีแค่มองโกเลียไม่ขณามือ”
เป็นถึงผู้ใช้วิญญาณระดับเทพก็คงจะอย่างนั้น
“แต่อีสเตอร์เนี่ยคนละเรื่องนะ พึ่งเจอมาไม่ใช่รึไง?”
“…”
ผมจ้องหน้ามาเจลพักหนึ่งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
“มีอะไรน่าตลกหะ?”
“เปล่าๆ แปลกใจนิดหน่อยเฉยๆ ไม่คิดว่าจะบ้าบิ่นได้ขนาดนี้”
“ฉันไม่ได้โง่ถึงขนาดจะเดินที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แค่โดนลากมาทิ้งไว้ที่นี่ก็เท่านั้น”
โอ๊ะ ชักน่าสนใจแล้วสิ
“มาจากที่ไหนล่ะ?”
“คัลเซเรม”
มาเจลลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างเข้มแข็ง
“เกิดหลายๆเรื่อง แต่ให้สรุปฉันคนนี้โดนไอ้เจ้าชายของอาณาจักรเกรลจับโยนที่แดนนรกกินคน จากนั้นก็คิดว่าเดินกลับไปที่เดิม แล้วบังเอิญอีสเตอร์โผล่มาจะฆ่ากัน ก็เลยสวนกลับแล้วแพ้เหลี่ยมจนไปนอนอยู่ใต้กระเพาะของมัน อีกไม่นานก็จะย่อยแล้วกลายเป็นกระดูกก็แค่นั้น”
แค่นั้นตรงไหนฟร้ะนั่น ..ผมถอนหายใจเฮือกโต พลางหันไปมองหนิงที่พึ่งได้สติใกล้ๆ
น่าจะเดินทางต่อไหวละ
“ไหนๆก็มีที่หมายเดียวกันด้วย สนใจจะเดินทางไปด้วยกันสักหน่อยรึเปล่า?”
****
(มุมมอง ยูจิ)
ตัวผมออกเดินโดยไร้ซึ่งจุดหมาย รู้สึกราวกับว่าตัวเองไม่ได้ยืนอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว ไม่รู้สึกถึงสัมผัสบริเวณปลายนิ้วเท้า ทุกก้าวที่เคลื่อนไหว ร่างแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น แต่ก็ไม่ อะไรบางอย่างดึงผมไว้ จับผมให้เดินไปอย่างมั่นคง และถูกต้อง
ต่อให้อยู่ในสภาพที่ล้มได้ตลอด แต่ผมไม่มีทางล้มลงกับพื้น นั่นเป็นความรู้สึกที่น่าประหลาดใจ ..อย่างกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างกายของผมอีกต่อไปแล้ว
ฮะ ฮะ ฮะ ..มันก็คงจะอย่างนั้นแหละ ร่างกายนี้ไม่เคยเป็นของผมอยู่แล้วนี่นา ตั้งแต่ที่ลืมตาตื่นบนโลกใบนี้น่ะ ไม่เคยเลยแม้แต่รอบเดียว
สิ่งที่ทำมาโดยตลอด คิดมาโดยตลอดว่าล้มเหลว จริงๆแล้วไม่ใช่ กำลังทำสำเร็จแล้วต่างหาก นี่คือหน้าที่ดั้งเดิมของตัวผม ..ตลอดมาผมไม่เคยหลงทาง หากแต่กำลังทำสิ่งที่ถูกที่ควรอยู่ สำหรับตัวผมที่ถูกสร้างมาเพื่อเป็นอย่างนี้
ช่วยโลกใบนี้เหรอ? อ่า ใช่ หน้าที่ของผมคือการช่วยโลกใบนี้ แล้วก็ทำลายมันทิ้งในคราเดียว
ช่วยแล้วก็ทำลาย จากนั้นก็ ..สร้างขึ้นมาใหม่
“เทพลำดับที่ 11 เทพแห่งการรังสรรค์ และทำลายล้าง .. ‘ยูจิ’”
นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของผม
การตื่นรู้คราวนี้ทำให้ผม ….ในหัวคิดอะไรไม่ออก ทุกความคิดในหัว ทุกการตัดสินใจ แม้กระทั่งการก้าวขาซ้าย ขาขวาในการเดิน ผมก็ไม่มีความมั่นใจที่จะบอกว่ามันคือการตัดสินใจของตัวเอง
สุดท้ายผมก็ไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยรู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ผม …
“ต้องเดินไปที่ไหนกันนะ ..อาณาจักรเกรล? อาณาจักรฟัฟนิร์? อาณาจักรเนลยอน? อาณาจักรแซร์อิซ? จักรวรรดิราชามังกร? ไปหาใครกันนะ? ..เซียน? จอมมาร? เอเธอร์? ราชาสักคนหนึ่ง? ..คุณเรเซอร์?”
ผมแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นเรนที่กลายเป็นวัตถุสีทองกำลังจะถือกำเนิดในอีกไม่กี่วัน ….
“หรือว่าเทพมังกร?”
ไม่ใช่ ไม่รู้ทำไม แต่ไม่ใช่ ผมจึงเดินต่อทว่าก็สะดุดเข้ากับเศษหินแถวนั้น ร่างของผมสุดท้ายก็จะล้มลงกับพื้นจนได้ ถ้าไม่มีออร่าคอยช่วยผมก็ ..ไม่รู้อะไรเลยจริงๆด้วยสินะ
ทว่า
ผมกลับไม่ล้ม หัวของผมซุกเข้ากับบางอย่างที่แสนนุ่ม
“บู้ๆ ผิดทุกข้อค่า”
“นายเนี่ยชอบหาเรื่องใส่ตัวจริงๆนะเพื่อน อยู่เฉยๆบ้างสักวันจะดีกว่านะ คิดว่า”
คนสองคนที่แสนคุ้นเคยโผล่มาในเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด พวกเขายิ้มแย้มให้กับผมที่ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากทุกคนอย่างหน้าตาเฉย
รู้สึกสะอิดสะเอียนเสียจนอยากจะอ้วออกมา
ผมถูกคุณหนิงช่วยไว้ไม่ให้ผม เธอจงใจใช้หน้าอกของตัวเองรับหัวของผมเอาไว้ ข้างๆเธออย่างคุณเรย์เองก็มากับเขาด้วย
“อยากรู้รึเปล่าว่าคำตอบที่ถูกต้องคืออะไร”
“…”
ผมผละตัวเองออกจากร่างของคุณหนิง ถอยหลังราวสามก้าว
“คำตอบที่ถูกต้องก็คือ—”
ไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไร ผมยื่นมือออกไปอัดเปลวเพลิงเข้าใส่คุณหนิง—เรย์วิ่งเข้ามาตวัดดาบหนึ่งจังหวะด้วยความเร็วซึ่งผิดกับที่ผมเคยเห็น
“[จันทร์เสี้ยวย้อนกลับ]”
เปลวเพลิงของผมถูกทำลายทิ้งคามือด้วยวิชาดาบจันทร์เสี้ยว ผมดึงเอาเวทมนตร์ดาบแห่งแสงออกมาจากช่องว่างอากาศด้วยเทคนิคการร่ายเวทย์สารพัด และหมายฟาดสวนกลับด้วยพลังที่มากพอจะสะบั้นร่างของมนุษย์ให้ขาดครึ่งได้ในคราเดียว
“[กระต่ายดวงจันทร์]”
เรย์กระโดดถอยหลังกลับไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ดาบของยูจิไม่อาจไล่ตามเรย์ได้ทัน
แข็งแกร่ง—ผมยื่นแขนอีกข้างออกมา ปลดปล่อยเปลวเพลิงสีส้มสุดแรง หนิงดีดนิ้วเรียกเปลวเพลิงของมหามังกรเข้าปะทะ
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!! เปลวเพลิงสองสีเข้าปะทะกัน เปลวเพลิงที่เหนือกว่าย่อมเป็นเพลิงของมหามังกร สุดท้ายผมก็ต้องพุ่งตัวถอยไปทิศทางอื่นเพื่อหลบจากรัศมีการทำลายล้างนั่น
ทั้งสองคนแข็งแกร่ง
ด้วยเวลาเพียงน้อยนิดกลับสามารถเติบโตได้ขนาดนี้ ..สมแล้วที่ได้อยู่เคียงข้างกับคุณเรเซอร์มาตลอด คนๆนั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมุ่งไปข้างหน้าอย่างชาญฉลาด และดึงทุกคนให้ขึ้นสูงขึ้นไปพร้อมกับตัวเองเสมอ
เป็นตัวจริงของทุกคนที่แสนวิเศษ
ไม่รู้ทำไม แต่ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ยูจิ?”
“..ไม่มีอะไรครับ”
ผมใช้มือสัมผัสปากของตัวเองให้กลับเป็นเหมือนเดิม ก่อนที่จะกางแขนทั้งสองข้าง
“ทั้งสองคนมาฆ่าผมสินะครับ”
“ฆ่า?”
“ทำไมต้องทำเรื่องแบบนั้นด้วยล่ะ”
“มาทำไขสืออะไรกันครับ ..ผมสำหรับพวกคุณแล้วเป็นภัยอันตรายไม่ใช่หรือไงครับ พวกคุณทุกคนน่าจะตระหนักรู้แล้วไม่ใช่เหรอครับ ถึงความเป็นจริงของโลกใบนี้และตัวผมน่ะ”
….
“ไม่เข้าใจเลยนะว่านายกำลังพูดบ้าอะไรอยู่ ตัวอันตราย? เด็กติ๋มๆแบบนายจะไปทำอะไรได้”
“นอกจากเอาตัวเองไปเสียสละเพื่อคนอื่น ฉันก็ไม่คิดว่ายูจิจะทำเรื่องไม่ดีเลยนะ”
“แบบนี้นี่เอง..พวกคุณทั้งสองคนไม่ได้เข้าใจอะไรเลยแม้แต่เรื่องเดียว เหมือนกับผม”
คุณหนิงยิ้มออกมาอย่างหน้าตาเฉย เธอเดินเข้ามาใกล้ผมโดยไม่เกรงกลัวการจู่โจมใดๆทั้งสิ้น ต่อให้เป็นผู้ถือครองอำนาจมหามังกร ผมก็สามารถเอาชนะได้ในพริบตาเดียวด้วยระยะใกล้ที่ได้เปรียบนี้–เธอน่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วแท้ๆ แต่กลับเดินเข้ามาจนแทบจะตัวติดกัน
สุดท้านก็เป็นผมที่ต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวเสมอ
“อยากรู้เหมือนกันนะเรื่องที่ยูจิกำลังคิดอยู่ ..เล่าให้ฟังหน่อยได้รึเปล่านะ?”
“หา? เรื่องพวกนั้นจะรู้ไปทำไมกันครับ”
“จะได้รู้ไงว่าต้องช่วยยูจิยังไงถึงจะดี”
…
เป็นอีกครั้งที่ผมถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว ใบหน้าของผมเวลานี้บิดเบี้ยวไปด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด
“มาช่วยแล้วนะ ยูจิ”
“….”
คุณเรย์หัวเราะออกมาแล้วมาเดินขวางหน้าของคุณหนิง อย่างกับมีเรื่องที่อยากพูดกับผม
“ฉันแข็งแกร่งขึ้นแล้ว แข็งแกร่งขึ้นมากขนาดที่ตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อ ถึงจะไปแพ้ให้ดาบนกยูงเข้า แต่ถ้าสู้กันอีกรอบฉันไม่มีทางแพ้แน่ๆ ที่อยากจะบอกกับนายตอนนี้ก็มีแค่ฉันแข็งแกร่งขึ้นมากๆ มากมายระดับที่ฝากหลังให้คนหลงตัวเองที่คิดแบกโลกใบนี้ได้อย่างไม่อายใคร ถึงจะไม่มีอะไรเป็นหลักประกันก็เถอะ แต่—ฉันคือชายที่จะก้าวข้ามเทพแห่งดาบ! คนที่เหนือกว่าเทพดาบได้เนี่ย ยังไงๆก็สุดยอดว่างั้นปะ?”
มนุษย์ธรรมดากล่าวว่าจะโค่นเทพดาบออกมาอย่างหน้าตาเฉล สายเลือดมหามังกรเดินมาใช้เข่าอัดหลังขาของมนุษย์ธรรมดาจนแทบล้มลงกับพื้น
“อย่ามาทับไลน์กันสิ เจ้าบ้า”
“อะไรเล่า ขอพูดเท่ๆสักช็อตไม่ได้รึไง”
“ก็บอกอยู่ว่านี่มันบทของฉันต่างหาก หลังจบเรื่องคราวนี้ยูจิจะได้หลงฉันโงหัวไม่ขึ้น!”
“เจตนาต่ำเป็นบ้า! ยูจินายไม่คู่ควรกับยัยนี่หรอกเชื่อฉันสิ!”
..พูดบ้าอะไรกัน
“อย่ามาเสี้ยมให้ยูจิเกลียดฉันสิ ไอ้กระจอกขี้แอ็ค!”
“หา!!!? หล่อนนั่นแหละพล่ามบ้าอะไรอยู่ได้!!”
…….
…..
ทั้งสองทะเลาะกันไม่หยุด เป็นการปะทาคารมย์กันที่ไร้สาระ และแอบจะรุนแรง แต่ว่า–ทำไมยังยิ้มแย้มกันได้อยู่กันนะ
ผมไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ว่า
“..เข้าใจแล้วครับ ถ้าไม่คิดจะฆ่าผม—ผมก็จะเป็นคนฆ่าพวกคุณเอง มันคือหน้าที่แต่แรกของผมอยู่แล้วด้วย”
ยังไงผมก็ยังมีหน้าที่ของตัวเองอยู่—-