< < Sec 2 > >
วิ่ง วิ่ง วิ่ง จงวิ่งอย่าได้หยุด ประสบการณ์การวิ่งแสนจะสุดยอดนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับมัน และไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการมันด้วย พูดให้ถูกคือกว่าครึ่งไม่อยากวิ่งแบบเอาเป็นเอาตายโดยไม่มีทางเลือกหรอก หากมีทางเลือก ใช่ ถ้าหากมีทางเลือกละนะ
ขณะนี้โจรร้านผู้ขโมยกางเกงในกำลังวิ่งสุดตัวไม่หยุด วิ่งไม่หยุดมาสิบนาทีแล้ว กระนั้นก็หยุดวิ่งไม่ได้ตามข้างต้น เพราะว่า—-ขณะนี้มีชายหญิงสุขภาพดีไล่ล่าเขาอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่
“หยุดเชียวนะ ไอ้โจรวิตถาร!”
“โจรขโมย กกน.!!”
—-นามสมมุติเขาคือ ‘โจรขโมย กกน’ เชื่อว่าตัวผู้ก่อคดีเองก็ไม่ต้องการนามนี้หรอก
ชั่งน่าอดสู่
“หุบปากไปซะ!” โจรผู้ร้ายตวัดมือเสกบอลไฟเข้าสู่แต่ทั้งหมดก็ถูกดับลงในทันที เพราะคนที่ไล่ตามเขาหลายคนมีฝีมือพอตัวในฐานะนักเรียน หรืออาจารย์ก็มีปะปนไปบ้าง
ทุกการโจมตีของโจรไร้ผล เพราะโดนรุม ..ถ้าปล่อยไว้ต้องถูกจับได้แน่—-
—คิดได้เช่นนั้นก็เกิดหน้าซีดเผือด จบเห่แน่ ถ้าถูกรู้ตัวจริงทุกอย่างได้จบเห่กันจริงๆแน่ …ทั้งหมดเป็นเพราะเรเซอร์ ..เรเซอร์เป็นผู้สร้างสถานะการณ์นี้ให้โจร
“—-ไอสารเลวนั่น! บ้าจริง บ้าจริง!!”
โจรกระโดดพุ่งไป และหันหลังกลับมาโยนกางเกงในนับสิบตัวใส่หนึ่งตัว
“—ทำอะไรกางเกงในคุณโซเฟียน่ะ—-เฮ้ย เก็บไว้ที!”
โจรแสยะยิ้ม และ—ระเบิดกางเกงในทิ้ง
ตู้ม!! เป็นระเบิดเบาหวิวเป็นสร้างฝุ่นควันทำลายสายตาชั่่วขณะเท่านั้น เพื่อหยุดยั้งการตามล่าจึงใช้กางเกงในเป็นเหยื่อล่อ
“พวกโง่หลีกไปซะ!!”
ทางสะดวกแล้ว—-
*****
“เป็นยังไงบ้างคะ?”
รุ่นพี่ไอริสเดินเข้ามาถาม ขณะที่ผมกำลังนั่งเอ้อระเหยอยู่
“อ่า ครับ ถ้าไม่ได้รุ่นพี่ช่วยไว้ ผมคงแย่เลย ขอบคุณมากครับ”
“ไม่หรอกค่ะ ในฐานะผู้คุมหอหญิงจะปล่อยให้โจรวิตถารนั่นก่อเรื่องมากกว่านี้ไม่ได้ …อาจจะดูแย่ไปหน่อยก็ตาม แต่มัวเอ้อระเหยแบบนี้จะดีหรือ? โจรที่ตามจับอยู่หนีกระเจิงไปแล้วนะคะ บางทีอาจจะออกนอกโรงเรียนแล้ว”
“แบบนั้นก็ดีเลยนะครับ ยิ่งจับตัวได้ง่ายเลย”
“??”
“บอลไฟสามจุด ผมปาไปล้อมสามวงน่ะครับ เป็นวงรูปแบบบีบอัด ถ้าจะหาทางออกจากโรงเรียนต้องเป็นที่สูง จึงมีแค่”
ผมชี้ขึ้นไปบนฟ้าซึ่งเป็นดาดฟ้า
“มีแค่ดาดฟ้าเท่านั้นครับ”
“โจรจะขึ้นไปจริงๆ หรือคะ?”
“ถ้าจนมุมก็ต้องทำครับ อย่างที่เห็นว่าหมอนั่นใช้อภินิหารเดินแตะอากาศได้ ทำไมจะเหยียบก้อนเมฆเหนือโรงเรียนไม่ได้ละครับ”
รุ่นพี่ไอริสเอือมระอาเล็กน้อย คงเผลอคิดไปว่า ‘คนระดับนั้นดันเป็นโจรขโมย กกน. เนี่ยนะ?’
“น่าเสียดายความสามารถแย่เลยนะคะ”
“นั่นสินะครับ”
ผมยิ้ม
“ถ้าอยู่ในสถานการณ์ต้องวิ่งไล่จับโต้งๆ แบบไม่มีลูกเล่นอะไร ให้ตายก็จับไม่ไหวหรอกครับ มีแค่ผู้ใช้ไสยศาสตร์ด้วยกันเท่านั้นที่จะจับวิชาไสยศาสตร์ด้วยกันได้ และระดับที่เก่งพอจะประชันไสยศาสตร์กันได้มันก็สูงพอดู ซึ่งผมปัจจุบันยังไปไม่ถึงครับ แค่เวทมนตร์กว่าจะดันถึงขั้นสูงได้ หรือหาวิชาสู้แบบประยุกต์ใช้ดีๆ ก็ลำบากแทบแย่แล้วครับ ใช่ แย่สุดๆ เลย”
เมื่อนึกถึงเรื่องไม่กี่ปีมานี้ผมก็พลอยถอนหายใจออกมา
“มั่นใจสินะคะว่าถ้าเผชิญหน้าตรงๆ จะไหว”
“…ยิ่งกว่าไหวอีกครับ” ผมฉีกยิ้ม “บอกว่าง่ายยังได้เลย”
ผมมียูนาอยู่ไงละ ต่อให้ในกรณีที่แย่ที่สุดยังไง ผมไม่มีทางตายหรอก เพราะมียูนาอยู่ ต่อให้แพ้ก็ไม่ตายเพราะยูนา—นั่นแหละความแข็งแกร่งของวิญญาณระดับเทพ แม้หากวัดตามอัตราการเติบโตดวงตามหาปราชญ์ของ ‘เคียวยะ’ หรือร่างเกิดใหม่ของเทพ ‘ยูจิ’ จะสามารถโตจนเหนือกว่าผู้ยืมพลังของวิญญาณระดับเทพได้ แต่วิญญาณระดับเทพคือพลังสำเร็จรูป ถ้าแค่ระยะสั้นมันไม่แพ้ใครแน่นอน
แค่มีมานาให้ ก็ใช้พลังได้เต็มที่แล้ว กล่าวได้ว่าทางลัดของพลังยังได้ ถึงจะมีเงื่อนไขจุกจิกอย่างบททดสอบ หรือสัญญาก็ตาม มันไม่อาจลบภาพที่ผมคือไอ้โชคดีได้ทางลัดของพลังมาครองไงละ ..
“ต่อให้ไม่มียูนา ผมก็ไม่คิดว่าจะแพ้ด้วย”
บอกตั้งหลายครั้งแล้วเรื่องนี้น่ะ—เพราะเป็นแฟนคลับนิยายเรื่องนี้ยังไงละ ผมถึงมีทางลัดให้ตัวเองได้น่ะ
“..ยูนา?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
ผมลุกขึ้นยืนพลางบิดขี้เกียจเบาๆ
“ได้เวลาต้องไปคิดบัญชีกับโจรวิตถารแล้วละครับ”
“…เฮ้อ”
รุ่นพี่ไอริสถอนหายใจพลางท้าวสะเอวตัวเอง ส่งยิ้มให้ผมด้วย
“ไปดีมาดีละกันคะ”
ผมโบกมือให้
“ปล่อยให้ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ ขยี้ศัตรูเองครับ”
********
(มุมมองของเบลลามี)
บนดาดฟ้าของโรงเรียน
…เราแหงนหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้า อื่นอีกเพลิงที่เกิดระเบิดราว กับพลุวันงานเทศกาลอันน่าหลงใหล
“งดงาม”
เป็นเวทมนตร์ที่สมบูรณ์แบบมาก มันงดงามจะหาสิ่งได้เทียบ ฉันถูกแสงเพลิงนั่นตราตรึงใจไว้ …จะว่าไปข้างล่างมีเรื่องอะไรกันนะ?
ข้างล่างของโรงเรียนมีคนหลายสิบคนวิ่งวนไปมา เหมือนว่าหาใครสักคนซึ่งสำคัญมากๆ —-หรือว่าเจ้าหญิงหนีจากปราสาทกัน? คนจึงวุ่นไปหมด เหมือนกับในนิยาย
…อือ ไม่หรอก
เราพับหนังสือนิยายลง
“…อ๊ะ”
ประตูดาดฟ้าถูกเปิดขึ้นอย่างรุนแรง—คนที่เข้ามาคือชายสวมเสื้อคลุมสีดำ และทันทีที่เขาเห็นฉันก็ถึงกับตะลึงไป
“…”
“…”
เข้าสังคมดีมั้ยนะ?
“…มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ?”
“ไม่มี …ไม่สิ” เขาคนนั้นหลบหน้า “ถ้ามีคนมา ช่วยบอกว่าฉันไม่อยู่ทีได้มั้ย?”
สำเร็จ เข้าสังคมได้แล้ว
เราอมยิ้มเล็กน้อย
“ได้”
“ดะ ดีๆ ดีๆนะ อย่ามาหลอกกันเชียว ถ้าหลอกกันจะฆ่าไม่เลี้ยงเลย”
“ค่ะ”
เราพยักหน้ารับไป เขาจึงเดินมาจะหามุมหลบ ทว่า—-ในมือของเขา พิลึก
พิลึก พิลึกมากๆ พิลึกเกินไปแล้ว …กางเกงใน?
เราขมวดคิ้วเบาหวิวจ้องวัตถุบนมือชายเสื้อคลุมดำ
“มีอะไร?”
“สิ่งนั้นคือ?”
เราชี้ไปที่วัตถุทรงสามเหลี่ยม …คนคนนั้นขบฟันกรามจนมีเสียงดัง ‘กรอก’
“อย่าสอดรู้มากเลย”
“นั่นมัน—กางเกงใน?”
“เออ!! ถ้าใช่แล้วจะทำไม เงียบไว้ซะถ้าไม่อยากมีปัญหาตามมาน่ะ”
บังคับข่มเหงกันชัดๆ …ดูท่าไม่ดีเลยชายตรงหน้า
เข้าสังคมผิดคนสินะ?
แต่ว่า…วิธีพูดคล้ายกับใครบางคนเลยนะ อ๊ะ
“เคียวยะเหรอ?”
“…หา?”
“นายคือเคียวยะเหรอ?”
“…ไม่ใช่”
เราเอียงคอฉงน
จริงเหรอ? แต่คล้ายมากเลยนะ
…เดินเข้าไปหา และทำท่าจะเอาฮู้ดคุมหัวออก แต่ก็ถูกปัดมือ
“อย่ามาแตะกันนะ!!”
“…ทำไมละ?”
คนจะเข้าสังคมนะ
“ฮึย…ไม่ชอบให้มาแตะ เป็นปมด้อยน่ะ”
เคียวยะน่าสงสาร ไม่สิ อาจจะไม่ใช่เคียวยะก็ได้
“นั้นเหรอ …”
ต้องเข้าสังคม
“กางเกงในนั่นของใครเหรอ?”
“ถามได้ดี นี่คือของผู้หญิงปากเสียชื่อ ‘โซเฟีย’ ”
เขาพูดราวกับโอ้อวดกับพฤติกรรมชั่วร้าย …ของโซเฟียด้วย ทำไมต้องแกล้งคนดีแบบนั้นนะ
“…น่าภูมิใจเหรอ?”
เอาเป็นว่าชวนคุยเยอะๆ ดีกว่า ต้องหัดเข้าสังคมบ้าง เดี่ยวคุยกับพวกเรเซอร์ไม่รู้เรื่อง
“นี่แก คิดจะตำหนิฉันคนนี้เรอะ?”
เราส่ายหัวให้
“เปล่านะ แค่เห็นว่า…พิลึกดีน่ะ คนขโมยกางเกงใน”
“ยะ อย่ามาดูถูกกันนะ!!”
ทำไมต้องตะโกนใส่ด้วยละ
เราเอาสองมือบังน้ำลายสุดความสามารถ
“…น้ำลาย…เชื้อโรค” เราขมวดคิ้ว “หยะแหยงนะ ..ทุเรศ”
สกปรกที่สุดแบบนี้
“แก—-แก!!!”
ทำท่าจะต่อยแต่ก็ค้างหมัดไว้ ดึงกลับไป
ไม่ต่อย
“ขอบคุณ”
“น่ารำคาญชิบแกเนี่ย!”
“ก็มัน…น้ำลายนายมันสกปรกนี่”
เชื้อโรคมันอันตรายนะ อยากให้รู้ไว้ เราจึงเตือน เพื่อเข้าสังคมได้ดีต้องแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อผู้อื่น …ดูจากเรเซอร์ก็ได้ เขาเข้าสังคมเก่งมากๆ เพราะดูแลคนอื่นดี
แล้วทำไมคนตรงหน้าถึงทำท่าหงุดหงิดอย่างนั้นกัน?
“น้ำลายนายมันสกปรกนะ” เราเอียงผงกหัว “เข้าใจมั้ย?”
“อย่ามาพูดซ้ำนะเฟ้ย ไม่ไหวแล้ว!”
“เป็นอะไรไปน่ะ?”
อยู่ๆ ก็โวยวายมันน่ากลัวหน่อยนะ
“ดูถูกกันมากเลยนะ เบลลามี!”
รู้จักฉันด้วย …เคียวยะจริงๆ ด้วย
“…ขอโทษนะ แต่”
ต้องแสดงความห่วงใย
“ขโมยกางเกงในคุณโซเฟียแบบนี้มันไม่แย่เหรอ?”
“อย่ามายุ่ง”
น่าจะเคียวยะพึมพำเบาหวิว แล้วจะเดินหนี แต่ฉันนึกบางอย่างออกพอดี
“…อ๊ะ”
ฉันวิ่งไปดึงปลายเสื้อไว้ก่อน
“ไม่มีกางเกงในใส่เหรอ เลยไม่มีทางเลือก”
“————โว้ย!!!!!”
น่าจะเคียวยะปากางเกงในทั้งหมดลงกับพื้น และแหกปากสุดแรงเกิด
“อยากได้นักก็เอาไปให้หมดเลยเฟ้ย!!! รำคาญเว้ยย!!!”
“…ไม่ได้อยากได้อะไรหรอก ถึงก่อนหน้านั้นจะพึ่งโดนขโมยกางเกงในไป …เอ๋?”
ฉันแหงนหน้ามองน่าจะเคียวยะ และกะพริบตาปริบๆ
“หรือว่านายขโมยกางเกงในเราไป …นายคือโจรขโมยกางเกงในที่ลือกันช่วงนี้เหรอ?” พอจับจุดได้เราก็แตะริมฝีปากตัวเอง พลางขมวดคิ้วด้วย “..แบบนั้น ..น่าหยะแหยงนะ”
“…”
“ทำไมถึงอยากได้เหรอ? มันสกปรกนะ จะเอาไปทำอะไรเหรอ ถ้าไม่มีใส่เดี่ยวให้ยืมได้นะ แต่ไม่ใหญ่มาก เดี่ยวเราช่วยเย็บให้จะได้มีใส่”
“…”
“ถือว่าช่วยๆ กันได้นะ”
เรายิ้มให้
“สรุปแล้วจะเอากางเกงในไปทำอะไรเหรอ?”
“…เอาไป”
“เอาไป?”
“เอาไปดมเล่นมั้ง”
——เอ๊ะ?
ดมเล่น? …ดมเล่น…ดมเล่น
เข้าใจถึงความหมายดี คิดได้จึงกุมปากตัวเอง
“…โรคจิต?”
“ไม่คุยกับหล่อนแล้วได้มั้ย ขอทีเถอะ ไม่อยากคุยแล้ว ปล่อยๆ ไปทีเถอะ จริงๆ ก็ไม่ได้ดมอะไรด้วย แค่ขโมยแล้วมันรู้สึกบาปพิลึกเลยขโมย ไม่ได้เอาไปดมหรือใช้ทำเรื่องโรคจิตอะไรเลย สุดท้ายก็จะคืนด้วย เพราะฉะนั้นปล่อยไปทีได้มั้ยหะ!!?” เคียวยะร้องไห้ “ขอทีเถอะน่า หยุดถามอะไรไร้สาระได้แล้ว อยู่เฉยๆไม่ตั้งคำถาม ทำตัวเหมือนเหยื่อไม่ได้หรือฟร้ะ ไอ้บ้าเอ๊ย แม่งเอ๊ย แมะ แม่งเอ๊ย…เฮ้อ”
ดูอดอะไรตายยากพิลึก
“…แต่คนที่ขโมยกางเกงในมีแต่โรคจิตนะ เคียวยะเป็นพวกโรคจิตหรือ?”
“ไม่ใช่”
“แล้วทำไมถึงขโมยกางเกงในละ” เราเอียงคอฉงน “แบบนั้นน่าเกียจนะ”
เขาขมิบปากตัวเองคล้ายกับหมดหนทาง—–ท่ามกลางความเงียบนั้นประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
….เรเซอร์
“…อ๊ะ เบลลามีแล้วก็…โอ้ มาเร็วดีแฮะ ไอ้โจรวิตถาร”
โจรวิตถาร แบบนี้นี่เอง เคียวยะคือโจรวิตถารสินะ จริงด้วยนะ วิตถารน่าจะคำเดียวกับโรคจิต รึเปล่านะ?
“เคียวยะ…ขโมยกางเกงในมันวิตถารนะ”
“—-หุบปากไปซะ ยัยบ้า!!!!”
น่าจะเคียวยะตะโกนขึ้น เขาพุ่งตัวมาล็อกแขนทั้งสองข้างของฉัน เขาไม่สนกางเกงในตรงพื้นอีกแล้ว
“—-อย่าเข้ามาเชียวละไม่นั้นยัยนี้ได้เจอดีแน่ เข้าใจมั้ย!?”
อ้าว? กลายเป็นตัวประกันไปซะละ
*****
“จะ ใจเย็นก่อนนะ ไอ้วิตถาร!”
“อย่ามาเรียกว่าโจรวิตถารนะ!”
“แกไม่มีสิทธิ์เถียงไอ้ภัยสังคม”
“โว้ย!!! แกโดนอัดหน้าเละแน่ ไอ้กร๊วก!!”
“คะ คุณโจรภัยสังคมโลลิค่อน ใจเย็นๆ ไว้นะครับ”
…เบลลามีเป็นตัวประกัน
ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น
“เรเซอร์ เราไม่ใช่โลลินะ ..แล้วก็เคียวยะเขาเป็นโจรขโมยกางเกงในน่ะ” เบลลามีเอามือทาบริมฝีปาก ซึ่งจะบอกว่า ‘เงียบไว้นะ’ “อย่าไปบอกใครนะ”
“—เอ็งต่างหากที่อย่าบอกใคร แม่งเอ๊ย!!!”
…อ่า เรื่องนั้นก็รู้ๆ อยู่แล้วละ
“ยัยนี่ทำไมปากสว่านแบบนี้วะ! หุบปากไปเลย เงียบไปซะอีตัวประกัน!”
“อือ …อย่าบีบไหล่แรงนักสิ”
เบลลามีไร้ซึ่งความกลัวจากใจจริง …หรือเปล่านะ? ไม่รู้สิ เธอคนนั้นยิ่งคาดเดายากด้วย อาจจะกลัวแต่น้ำเสียงกับใบหน้าไม่ได้กระมัง
อย่างไรซะผมต้องรีบช่วยเบลลามี จะปล่อยให้เธอกลัวโจรวิตถารภัยสังคมโลลิค่อนไม่ได้เด็ดขาด—จะให้กลัวเคียวยะไม่ได้เด็ดขาด
“เคียวยะแก!”
“อย่าไปเชื่อยัยนี่ให้มากนักเจ้าโง่! มันแค่พูดไปเรื่อยยังไม่ได้เห็นหน้าฉันเลย อย่าไปเชื่อมัน!!” เคียวยะหัวเราะแห้งๆ “นังนี่บอกว่าชอบแกน่ะ พอฉันจะบอกความจริงก็อายใหญ่ แล้วหาเรื่องแถเบี่ยงเบนความสนใจ”
…แก้ตัวอย่างกับเด็กน้อยไอ้หมอนั่น
“แก้ตัวให้เคียวยะใหญ่เลยนะไอ้โรคจิต นั่นแหละหลักฐานชิ้นสำคัญ”
“ฮึย …หนวกหู หนวกหู หนวกหู!!”
เคียวยะสติแตกกระทืบพื้นรัวๆ ท่าทางอย่างกับซึนเดเระทวินเทลหัวรุนแรง
“ทำไมกันวะ อย่ามายุ่งกับตูไม่ได้รึไงวะ ทำไมต้องมาขวางกันด้วย”
ผมชี้ไปที่กางเกงในหลากสีหลากสไตล์ของโซเฟีย ทั้งหมดกองอยู่บนพื้น
“เอ็งขโมยกางเกงในชาวบ้านมาไงละ”
“หนวกหูเฟ้ย!!!”
เคียวยะกระแทกพื้นรัวๆ
“อย่ามาขวางทางกันนะไอสารเลว!!”
ทำตัวราวกับเด็กเอาแต่ใจเจ้าปัญหา—-เอาเถอะ ก็เด็กนั่นแหละนะ
ผมถอนหายใจและส่งยิ้มให้เคียวยะ
“…ยังไงก็ช่าง ฉันไม่ยอมจบอยู่ตรงนี้แน่ๆ จะไม่ยอมแปดเปื้อนเด็ดขาด เพราะฉะนั้น…พะ พวกแกเตรียมใจไว้ให้ดีเลย”
“คิดจะทำอะไรรึ? จริงๆ ต้องถามมากกว่าอะไรดลใจให้มาทำแบบนี้มากกว่า”
อยู่โรงเรียนทำตัวเข้มแท้ๆ ดันเที่ยวขโมยกางเกงในชาวบ้าน มันขัดภาพลักษณ์พิลึกนะนั่น เหมือนพวกแอบแซ่บไรๆงี้มั้ง
“เรื่องอะไรต้องบอกกัน”
เคียวยะจ้องเขม็งผม และรัดกุมเบลลามีแน่นไม่ให้หนีได้แน่นอน
“…ฮะๆ คิดออกแล้ว”
เจ้านั่นแสยะยิ้มชั่วร้าย
“เรเซอร์ แกรับความผิดแทนฉันไปซะ บอกว่าตัวเองเป็นคนทำแล้วฉันจะไม่เอาอะไรกับเบลลามีมาก …อย่างแรกเอากางเกงในใส่หัวแล้วเดินไปทำตัวโรคจิตซะ” เคียวยะชี้นิ้วไปทางประตู “ประกาศให้ทุกคนรู้สิ ว่าแกเป็นไอ้ภัยสังคมโลลิค่อนน่ะ!
…เจ้าหมอนี่ …ก็รู้ตัวเองนี่หว่า
ผมกุมขมับตัวเอง ปวดหมองชะมัด
“อะ อะไรเล่า!? ทำได้แล้ว!! รีบทำได้แล้วไม่นั่นแม่นี่เจอดีแน่”
“…คนที่กุมกระดานเกมจับโจร กกน. เวลานี้ไม่ใช่นาย เคียวยะ”
ผมโค้งตัวไปข้างหน้า ทุ่มน้ำหนักตัวไปข้างหน้า—-เทคนิคของนักดาบแสนเบสิก [จังหวะแตะสายลม]
นักดาบ หนึ่งในสายอาชีพสามัญของโลกแห่งเวทมนตร์ใบนี้ นักดาบมีกันให้ทั่ว มีหลากหลายสไตล์ และก็มีจำแนกออกไปเป็นมือหอก มือธนู ซึ่งแน่นอนเทคนิคย่อมต่างกันไปตามคุณสมบัติของอาวุธที่ใช้ แต่ที่นิยมที่สุดและเป็นพื้นฐานของพื้นฐานคือนักดาบ
ในทวีปฟัฟนิร์เองนักดาบก็ถือว่าเป็นสุดยอดสายต่อสู้ เพราะอัศวินหากนับเป็นเกม MMO RPG มันก็คือสายแรกตอนเลเวล 1 …แล้วที่ผมกำลังจะใช้คือเทคนิคพื้นฐานของพื้นฐาน
นักดาบแยกไปทั้งหมด 3ขั้นต้น ได้แก่—‘ขั้นต้น’ ‘ขั้นกลาง’ ‘ขั้นสูง’ จากนั้นพวกที่อยู่สูงกว่านั้นจะเป็น ‘นักดาบขั้นบรรลุ’ และได้ฉายาไปแทน อาทิเช่น [ราชาดาบมาร – ไรเดนอาคาสะ] หรือ [ดาบนกยูง – พาโว] นั่นคือชื่อของนักดาบมากฝีมือในโลก และผู้อยู่บนจุดสูงสุดของฉายาก็คือ [เทพดาบ]—-ไม่เคยเจอกับตัวหรอก แต่มีคนเล่าให้ผมฟังบ้าง ว่ากันว่าเทพดาบสามารถตัดได้กระทั่งโชคชะตาเชียว ถ้าทำได้ถึงขั้นนั้นจริงเขาคงเป็นตัวเต็งชิงตำแหน่งวิญญาณระดับเทพคนต่อไปเลยละ
แน่นอนถ้านับแค่ฝีมือดาบหากเอาผมไปเทียบกับคนเหล่านั้นย่อมทาบไม่ติด สงสารเด็กอายุ17 ปีหน่อยนะ เพราะขั้นดาบผมอยู่แค่ขั้นกลาง …ขั้นที่ใช้งานได้จริงในการต่อสู้ แล้วก็เทคนิค [จังหวะแตะสายลม] ซึ่งกำลังจะแสดงให้เห็นก็เป็นท่าสำเร็จการศึกษาของนักดาบขั้นกลาง
—-วิชาดาบคือการเล่นกับกฎของโลก ต่างกับไสยศาสตร์ที่สร้างกฎของโลก วิชาดาบคือใช้มัน
เพราะฉะนั้นอภินิหารที่ในโลกจริงของเราทำกันไม่ได้ นักดาบย่อมทำได้ อาทิเช่นการแหวกเมฆด้วยการฟาดเพียงครั้งเดียว
แต่ผมทำขนาดนั้นไม่ได้ ที่ทำได้ก็มีแค่ [จังหวะแตะสายลม] เท่านั้น ทว่า—-สำหรับนักดาบ แค่ท่านี้ท่าเดียวก็ฆ่านักเวทย์ไปได้ครึ่งโขยงแล้ว
กับนักเวทย์แท้ๆ อย่างเคียวยะน่ะ—-ของตายคือนักดาบยังไงละ
“—[จังหวะแตะสายลม] ”
เสียงแหวกสายลมดังขึ้นกระแทกหูของทุกคน—-ระดับสูงกว่านั้น
“…อ๊ะ”
พริบตาเดียวผมก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าเคียวยะแล้ว ดวงตานั่นมองเห็นแต่การตอบสนองนั้นไม่ทัน
ของตายของนักเวทย์คือนักดาบ …ยิ่งนักเวทย์แท้ๆ แล้วยิ่งใหญ่ใหญ่
ผมแสยะยิ้มให้เคียวยะกลับ พลันใดนั้นหมัดขวาตรงผมก็เข้าเป้าหน้าของเคียวยะ——-จนกระเด็นไปติดกำแพง ผมใช้จังหวะนั้นจับเบลลามีขึ้นมาอุ้มเหมือนกับอุ้มกล่องนมโรงเรียน จากนั้นก็กระโดดถอยหลังไปไกลเพื่อทิ้งระยะห่าง
โดยปกติถ้าเป็นนักดาบต้องเข้าไปเผด็จศึก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เป้าหมายไม่ใช่ชนะเคียวยะแต่เป็นเปิดโปง และช่วยเบลลามีเท่านั้น
“…แก…ใช้เทคนิคนั้นได้ยังไงกัน … แกเป็นนักเวทย์ไม่ใช่รึไง”
เคียวยะหน้าซีดเผือด เขาเข้าใจดีว่าตอนนี้ใครคุมสถานการณ์อยู่หมัด
ผมยักไหล่ให้
“ทวีปแซร์อิซนักเวทย์ส่วนใหญ่มีฝีมือดาบขั้นต้นเป็นพื้นฐานเลยนะ ยิ่งนักเวทย์เก่งๆ ยิ่งแล้วใหญ่ เขาศึกษาเทคนิคดาบเพื่อรับมือกับนักดาบ เป็นกรณีฉุกเฉิน”
ถ้านับแค่การต่อสู้ต่อสัดส่วนประชากรแล้วทวีปแซร์อิซมันสัตว์ประหลาด—นักเวทย์ทุกคนมีความรู้เรื่องดาบขั้นพื้นฐานหมด และนักเวทย์เก่งๆ ระดับมากชื่อเสียงมีฝีมือดาบถึงขั้นกลาง แม้ร่างกายจะแข็งแรงเท่านักดาบไม่ไหวก็ตาม แต่รู้ไว้ย่อมดักทางได้
ผมเองก็ได้ไปอยู่ที่นั่นเป็นปีๆ ย่อมเข้าสมองบ้างแหละ เพราะที่นั่นมันเถื่อนจัดเลย—-มันทำให้ตระหนักรู้ว่าต่อให้เก่งเวทย์แค่ไหน แต่หากร่างกายตอบสนองกับพวกเร็วๆ ไม่ทันก็ตายได้หมด ต่อให้ไม่ใช่คนด้วยกัน ให้เป็นมอนสเตอร์เร็วๆ ก็มีเพียบ
“…บ้าไปแล้ว เด็กที่ไหนมันจะเรียนรู้วิธีสู้จริงๆ จังๆ กัน”
“อย่างนายเป็นต้นไงเคียวยะ”
“…”
เทคนิคพวกนั้นเคียวยะใช้ไม่ได้—เพราะเขาคือนักเวทย์ขนานแท้ อาจปนวิชาไสยศาสตร์มาด้วย แต่ร่างกายไม่เอื้ออำนวยเลย อย่างน้อยๆ ถ้ามีร่างกายแข็งแรงเทียบเท่ากับนักดาบขั้นต้นนักเวทย์ก็จะอันตรายในการสู้ตัวต่อตัวขึ้นมา แต่ถ้าไม่ก็จะลำบากหน่อยละนะในการสู้ตัวต่อตัว
อย่างที่บอกว่าร่างกายเคียวยะนั้นผอมซีก เขาไม่ได้ออกกำลังกายเลย วัดแค่แรงกายอย่างเดียวในโรงเรียนนี้หลายๆ คนเหนือกว่าเคียวยะ อย่างโซเฟียก็เหนือกว่าเคียวยะเรื่องแรงกายแล้ว
“อย่าเครียดไปเลยเคียวยะ ในฐานะนักเวทย์นายคือพวกที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งเลย เท่าที่เคยเจอมานายเป็นระดับต้นๆ เลย แค่ไม่ไปหาเรื่องใครในกิลด์นักผจญภัยก็ไม่ถึงตายหรอก”
“…”
เคียวยะก้มหน้าลงกับพื้น เขานั่งทุบพื้นอย่างเจ็บใจ
เบลลามีตบหลังผมเบาๆ
“คือว่า …ปล่อยหน่อยได้รึเปล่า?”
สงสัยจะอุ้มเบลลามีพลางคุยกับเคียวยะไปด้วยนานหน่อย
“โทษที”
“อือ”
ผมวางเบลลามีลง เธอยืนจ้องเคียวยะ
“เรเซอร์แข็งแกร่งเกินไป”
…ไม่หรอก ถ้าให้ผมไม่มียูนาแล้วไปเจอพวกนักดาบมีฉายาคงโดนไล่กวดจงเละ แม้ร่างกายผมจะจัดกว่าดีกว่านักดาบด้วยกันหลายคน แต่ถ้านักดาบเก่งๆ ผมเทียบร่างกายไม่ไหวหรอก …อย่างเรย์ละคนหนึ่ง ถ้าแค่ร่างกายเพรียวๆ เขาเหนือกว่าผมไปแล้ว ยังไม่รวมเรื่องความต่างทางเทคนิคอีก บางทีจังหวะแตะสายลมของหมอนั่นอาจเร็วกว่าผมราว2เท่า เจ้านั่นเป็นนักดาบขั้นสูงขนานแท้เลย
แต่ถ้าเทียบกับมาตรฐานเด็กในโรงเรียนจะบอกว่าผมแข็งแกร่งก็ไม่ผิดหรอก พูดเองก็กระไร แต่ผมเป็นนักเวทย์ชั้นยอดที่มีร่างกายทัดเทียมกับนักดาบขั้นสูง และเทคนิคดาบถึงขั้นกลาง แล้วก็ใช้ไสยศาสตร์กับการเล่นแร่แปรธาตุได้แบบงูๆ ปลาๆ มีเกร็ดความรู้เรื่องการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าพอตัว ต่อให้ไม่นับยูนาผมก็เชิดชูหน้าตัวเองได้เต็มที่เลย
“ไม่หรอก”
แต่ผมจะเหลิงไม่ได้เด็ดขาด เพราะเหลิงเท่ากับตาย ดูอย่างเคียวยะตอนนี้สิ หมดสภาพเลย—ถ้าซวยไปเจอพวกระดับท็อปเทียร์ของโลกนี้เข้า อย่างนักดาบข้างต้นที่พูดถึง ที่ชื่อ [ราชาดาบมาร – ไรเดน อาคาสะ] ไม่มียูนา = ตายโดยที่รอดได้ 3-10 จังหวะดาบ หรือต่อให้มี = จะชนะหรือเปล่าก็ไม่รู้ …ไปคิดวิธีหนีมายังปลอดภัยกว่ามาก 90/10 เลย
ผมรู้ดีเพราะช่วงเดินทางมีครั้งหนึ่งที่เผอิญไปเจอพวกท็อปโลกเข้า ผลคือต้องหนีตาย และหนีรอดได้เพราะยูนา ถึงตอนนั้นจะอายุพึ่งขึ้น 14 ได้ไม่กี่เดือนก็เถอะ ถ้าเช่วงนี้ไปเจออีกรอบอาจพอสู้ได้บ้าง ทว่าความกลัวมันฝังลึกลงในอกผมแล้ว ต่อให้ 70/30 ก็จะเลือกหนี เพราะไม่อยากตาย หากไม่จำเป็นละนะ
เบลลามีเดินไปนั่งยองหน้าเคียวยะ นั่งโดยที่ห่างกับกองกางเกงในเพียง 10เซน
“…เคียวยะ” เบลลามีเอ่ยขึ้น
“อะไร”
ดูเหมือนเขาจะยอมรับแล้วแฮะว่าตัวเองคือเคียวยะ
“กางเกงในของโซเฟีย …ขอเก็บคืนนะ”
….คุณเธอถามอะไรอย่างนั้นละครับ ไม่ต้องถามก็ได้
“…เชิญเลย”
เคียวยะเลิกใช้แขนยันพื้นและลงไปน้องจูบพื้นเต็มๆ
เบลลามีนั่งเก็บกางเกงในขึ้นมาอย่างไร้เยื่อใย …จากนั้น
“อึก..ฮือ…ฮือ..ฮือ”
…เคียวยะเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื่น …เอ่อ คือ
เบลลามีจ้องเคียวยะ เธอเก็บกางเกงในของโซเฟียได้ราว 5 ตัวก่อนจะอุ้มไว้ในมือแล้วเดินไปนั่งลูบหัวเคียวยะ
“โอ๋เอ่”
เยาะเย้ยกันชัดๆ
“—อย่ามาหยามนะ…ไปไกลๆ นะ ฮือ..อึก ฮือ ความพยายามของฉันมันสูญเปล่า..อึก ฮือ..แพ้แล้ว อุตส่าห์มั่นใจว่าเก่งสุดในโรงเรียนแล้วแท้ๆ แต่แพ้แล้ว ฮือ..หมดรูป” เคียวยะร้องไห้อย่างเปิดเผย “พยายามตั้งมากแท้ๆ อุตส่าห์มั่นใจแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายก็แพ้ แล้วยัง…โดนทำเหมือนเป็นไอ้โรคจิตอีก”
ไหงทำเหมือนตัวเองเป็นผู้เสียหายฟร้ะนั่น
“โอ๋ๆ นะ”
—อย่าไปปลอบเขาแบบนั้นสิครับ!
“…ไปไกลๆ เลย”
เบลลามีเอียงคอฉงน ก่อนจะหันกลับมาหาผม
‘ทำไงดี’ เหมือนจะขอความช่วยเหลือมั้ง ดูจากสายตานั่น
“…เคียวยะนายเก่งกว่าปี 1 เกินครึ่งแล้วแน่นอน”
“แต่แพ้แก ทั้งๆ ที่ฉันพยายามมาตลอด…ฮือ อึก ฮือ”
ยะ หยุดร้องไห้ได้มั้ยเนี่ย ชักจะรู้สึกผิดตามกันไปแล้วนะ
ผมเดินไปหาเคียวยะ และนั่งยองด้วยคน
“น่าๆ”
ลูบหลังเคียวยะเบาๆ
“หลังจากนี้ก็พยายามอีกตั้งดีกว่า อย่างน้อยถ้าฝึกดาบแป๊บๆ ก็เก่งแล้ว มีดวงตามหาปราชญ์อยู่นี่ จับจุดเทคนิคได้สบาย เหลือแค่เรื่องร่างกายนั่นแหละ ฮึดสู้หน่อยน่า”
“…”
“ใช่ เคียวยะเก่งจะตาย ถ้าเป็นเราคงสู้ไม่ไหวหรอก” เบลลามีพูดพลางลูบหัวเคียวยะไปด้วย ผมกับเบลลามีทำคอมโบลูบหัวกับหลังพร้อมกัน
“อึกๆ”
เคียวยะสูดน้ำมูกซึ่งเกิดจากน้ำตาแห่งความพ่ายแพ้
“เข้าใจแล้ว พรุ่งนี้จะเอาใหม่”
“ถ้าไม่รังเกียจให้ฉันไปช่วยสอนก็ได้นะ”
“…อ่า แต่อย่าจุ้นให้มากนะ ถ้าบอกให้ไปก็ไสหัวไปทันทีเลยนะ”
ทำไมพูดกับคนอื่นอย่างนั้นเล่าไอเด็กมีปัญหานี่…ฮะๆ
ผมลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจเล็กน้อย
“เอาละ เคลียร์ไปอีกเรื่องแล้ว”
เคียวยะหลบตาผม
“…จะทำอะไรกับฉันต่อละ”
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้นแหละ ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นก็พอ”
“พูดมันง่ายแต่จะทำยังไง…ฉันขโมยกางเกงในมาแล้วนะ…ฮือ แล้วก็ไม่นานก็จะมีคนขึ้นมาบนดาดฟ้าแล้วด้วย จะถูกเปิดโปงแล้ว..”
..ทำไมยามสิ้นหวังหมอนี่ถึงดุอ่อนแอจังนะ นี่คงเป็นใจจริงกระมัง ก็อดทนมาตลอดเลยนี่นะ
ดวงตามหาปราชญ์คาดเดาได้จากจำนวนกระแทกพื้นข้างล่าง
“อีกไม่นานก็จะขึ้นมาแล้ว ไม่มีเวลาให้แก้ตัว…ฮือ..โดนรังเกียจแน่”
“โอ๋ๆ” เบลลามีช่วยลูบหัวเคียวยะให้
..นั่นสินะ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากนี้จะแก้ตัวยังไงดี…เผาทิ้งเลยดีมั้ย? ไม่ไหว มีหลักฐานอยู่ จะโยนทิ้งก็ไม่ได้เพราะรุ่นพี่ไอริสคงเอาคนมาดักรอข้างล่างถ้ามีซากอะไรอยู่คงเห็นแล้วจับพวกผมหมดเลย
“ทำไงดี”
“ไม่รู้สิ”
“จบเห่ ฮือ”
ว่าแล้วเคียวยะก็ร้องไห้สะอึกสะอื่นอีกรอบ—หมอนี่มันขี้แงชะมัด ถ้ากลัวนักก็อย่าทำสิ
“คิดก่อนทำหน่อยสิ ไอ้เบื๊อก”
“…ขอโทษ”
ผมกุมขมับตัวเองและเดินไปหยิบ กกน. ของโซเฟียขึ้นมาหนึ่งอัน เป็นลายคุณหมีน่ารักเชียว
“…เรเซอร์” เบลลามีเรียก
ผมยิ้มให้เธอ———–ปั้ง!!! พร้อมกับนั้นประตูก็เปิดคนคนนับสิบพรูเข้ามาบนดาดฟ้า
ทั้งหมดจ้องมาที่พวกเราสามคน
ผมรวมลมหายใจเข้าปอด …ทำมันซะเรเซอร์
—ทำมัน ทำมัน ทำมัน!!
กางเกงในคุณหมีถูกชูขึ้นฟ้าโดยที่มีพระอาทิตย์อัสดงส่องทอประกายอยู่ข้างหลัง ทั้งหมดล้วนเสริมให้กางเกงในนี้ดูยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใดๆ เปรียบได้ดั่งดวงอาทิตย์แห่งชีวิต ดวงอาทิตย์แห่งอาหารตาก็ไม่ปาน สิ่งนั้นคอยมอบความอบอุ่นให้กับชายหนุ่ม
ทั้งหมดจับจ้องที่กางเกงในกันไม่วางตา—-ตัวผมผู้สร้างปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ได้แต่ยอมรับมัน และนึกขอโทษเจ้าของ กกน. นี้
—เขาว่ากันว่างานศิลปะไม่มีแบ่งแยกอะไร ต่อให้เป็นเศษเหล็กก็ยังนับว่าคืองานศิลปะ แล้วกับกางเกงในมันจะกระไรเล่า จะดูถูกกางเกงในลายคุณหมีไม่ได้นะ
ผมเอางานศิลปะนั้น—รวมร่าง ‘ทรานฟอร์ม’ เอามันใส่ที่หัว ใช่ ที่เห็นบ่อยๆ ได้ในอนิเมเลิฟคอมเมดี้ กางเกงในฉบับสวมหัว หมวกโรคจิต ‘คุณหมี’
สิ่งนั้นทอประกาย งดงามมาก เมื่อเจอกับพระอาทิตย์ข้างหลัง บอกได้คำเดียวว่า—–สารเลวสุดๆ ไอคนที่ทำเนี่ย ไปตายซะไอ้กร๊วกนี่
ทั้งหมดตาค้าง ไม่ได้เห็นเป็นงานศิลปะตามข้างต้นอะไรทั้งนั้น ที่เห็นก็แค่ไอโรคจิตที่น่าไปตายสักสิบชาติ จังหวะนี้ควรมีซึนเดเระมาพูดว่า ‘บะ บากะ! ทำอะไรของนายน่ะหะ’ แล้วก็ใช้ความรุนแรงกับผมโดยชอบธรรมแหงๆ …อ๊ะว่าแล้วก็โผล่มาเลย แม่งเอ๊ย ซวยฉิบหาย ไอ้บ้าเอ๊ย ทำไมต้องมาเจอกันในจังหวะนี้ด้วยฟร้ะ
—โซเฟียโผล่มาหน้าฝูงชน เธอจ้องผม …ซึนเดเระแสนน่ารักคนนั้นกำลังแสดงสีหน้าเรียบเฉยอยู่ ไม่ได้ ‘บะ บากะ ทำอะไรของนายน่ะหะ’ ไม่ได้แก้มแดงแล้วพูดอย่างนั้น แต่กำลังมองอย่างเย็นชาประหนึ่งกับแมลงสาบ ไม่สิ เชื้อโรคต่างหาก เธอมองผมไม่ต่างกับเชื้อโรคเลย หรือว่าขยะกัน ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ในความหมายที่ดีเพราะเจ้างานศิลปะที่ผมกำลังแสดงอยู่คือ กกน.ของเจ้าหล่อน
…กางเกงในลายคุณหมีนี่กำลังอาบแดดยามเย็นอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คน …โซเฟียควรจะเขินอาย แต่ไม่
อย่างที่บอก เธอมองมาอย่างเย็นชา ไม่มี ‘บะ บากะ! ทำอะไรของนายน่ะหะ’ อย่างที่อยากเห็นเลย…ทิ่มแทงสุดๆ ไม่ใช่แค่กับโซเฟีย ทุกๆ คนส่งสายตาทิ่มแทงมา
เบลลามีรีบหยิบกางเกงในไปคืนโซเฟีย
“ขอบคุณนะ”
“อือ”
พูดจบก็วิ่งกลับมานั่งข้างเคียวยะ…ส่วนผมก็ทำได้เพียงยื่นตาค้างเท่านั้น มืดสนิท
“…แกกำลังทำอะไรอยู่น่ะ”
เย็นชาเกินไปแล้ว โซเฟีย…คือซึนเดเระไม่ใช่หรือไง..ไม่สิ อีแบบนี้นี่แหละปฏิกิริยาแบบปกติ ไม่มีบากะ แบบน่ารักนั่นหรอก
“…อย่างที่เห็น…งานศิลปะ…คุณหมียามเย็น” ผมพูดเสียงสั่น
เบลลามีที่ได้ยินนำมือมาอุดปาก ส่วนโซเฟียมองมาอย่างเย็นชา เธอค่อยๆ ก้าวมาใกล้ผมและ—-ตบหน้าผม
“เอาคืนมา”
“อืม”
ผมถอดงานศิลปะ…กางเกงในขโมยเขามาออกจากหัวและยื่นให้โซเฟีย
“ตรงพื้นมีอีกหลายตัวเลย…ให้ช่วยเก็บมั้ย?”
“ไม่ต้อง”
โซเฟียก้มไปเก็บเอง
“มันหยะแหยงน่ะ”
“…งั้นเหรอ”
น่ากลัว–ผมตัวสั่นเทาด้วยความกลัว ความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานาน …ความกลัวโดนธรรมชาติต่อเพศแม่
เก็บเสร็จโซเฟียก็ลุกขึ้นมา นำกางเกงในใส่ถุงในมือ
“เรียบร้อยแล้วนะ” ผมถามอย่างเป็นมิตร
เธอชายตามองผม
“สารเลว”
ตบหน้าอีกรอบ และเดินไปเลย…เดินแหวกฝูงชนกลับทันที ….
ผมสัมผัสแก้มที่ถูกตบข้างเดียวกันถึงสองทีของตัวเอง
“…”
“ไม่จริงใช่มั้ยเรเซอร์”
เสี่ยงที่คุ้นเคยดังขึ้น—กอรี่เดินมาหาผม
“…”
“คิดว่านายเป็นคนดีแท้ๆ เห็นว่าจะช่วยจับโจรก็เลยนึกขอบคุณ คิดว่าเป็นพวกที่ช่วยเหลือคนอื่นทั้งๆ ที่กำลังเดือดร้อนแท้ๆ”
ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้นหรอก
“…อย่างที่เห็น ตะ แต่ที่ทำคืองานศิลปะนะ”
ต้องพยายามพูดเหมือนตัวเองทำให้มากที่สุด
“เหรอ นายที่จะทำงานศิลปะนั่น ก็ถูกเคียวยะกับเบลลามีช่วยกันจับสินะ”
“อืม ประมาณนั้น”
ผมยิ้มให้
“อยากจะพูดมาตั้งนานแล้วละ แต่เห็นกับความเป็นเพื่อนเลยไม่อยากพูด”
กอรี่โพ่งอย่างเศร้าใจ ทั้งหมดมาจากใจจริง
“หยุดยิ้มน่าขยะแขยงได้แล้ว”
—รุนแรง
กอรี่จับแขนผมและยกขึ้น
“ไปห้องคุมวินัยซะ”
หรือก็คือห้องปกครอง
“…อ่า แต่ช่วยอุ้มดีๆ หน่อยนะ”
ยิ้มให้อีกรอบ ครั้งนี้กอรี่ทำหน้าขยะแขยงใส่ผม
“พอทีเถอะ”
“…ฮะๆ”
ได้แต่หัวเราะแห้งๆ เท่านั้น
ผมเล่ห์มองเคียวยะ เคียวยะทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมา ทั้งกังวลและเศร้า
…หวังว่าไอ้บ้านั่นจะรู้สำนึกบ้างนะ …ที่ช่วยน่ะก็เพราะว่าไม่มีทางเลือกหรอก—–ก็ถ้าสามัญชนแบบหมอนั่นโดนแฉว่าขโมยกางเกงในขุนนางเข้าคงไม่มีที่ยืนในสังคมแน่นอน อาจถึงตายเลยก็ได้ กับโลกที่พวกมีอำนาจทำตามใจชอบได้น่ะ …เทียบกับผม คงแค่โดนนินทาเท่านั้น ระดับความรุนแรงมันต่างกันผมจึงตัดสินใจเช่นนี้ แต่ว่าก็ว่าเหอะ …การทำแบบนี้มันน่ากลัวชะมัด
เอาเถอะ—–วางใจได้ เคียวยะจงเชื่อในตัวฉันซะ
ผมใช้มืออีกข้างทุบหน้าอกตัวเอง
ทั้งยูจิ หรือเบลลามี หรือเคียวยะ ทุกคนคือเด็ก เด็กที่ยังต้องเติบโตไปเรื่อยๆ ต่างกับผมที่อายุทางใจปาไป 40 แล้ว…เพราะฉะนั้นผมจึงต้องปกป้องพวกเขา ต้องพยายามปกป้องเหล่าคนสำคัญที่ช่วยผมในอดีตให้ได้ ..
นี่คือหน้าที่ของผมในฐานะผู้ใหญ่ ..ไม่สิ มันคือเรื่องที่ผมต้องการจะทำ ในฐานะคนๆหนึ่งต่างหาก
ต่อให้ต้องลำบากแสนเข็ญก็ตาม ไม่สิ มันก็ต้องลำบากอยู่แล้วละ—เพราะได้เติบโตเรื่อยๆ มันจึงลำบาก เรื่องมันแค่นั้น
“ห้องปกครองโลกนี้จะแอร์เย็นเหมือนกันรึเปล่านะ?”
ผมเฝ้าถามตัวเองเบาหวิวและน้อมรับโทษอย่างสัตย์จริง
MANGA DISCUSSION