เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 321
< < 200 > >
ผิวสีขาวที่เปล่งประกายยามเย็น ดวงตาสีทองเปล่งประกายที่ชำเลืองมองทุกชีวิต เลือนผมสีทองคำขาวที่ลอยไปมาอย่างสง่างาม
หนิงโบกสะบัดแขนไปมา พร้อมกับจังหวะเท้าที่ไม่มีหยุด ชายผ้าคลุมของเธอปลิวไปกับการระบำบทตามเพลง ผู้คนจับจ้องมาที่เธอ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ล้วนจ้องเธอด้วยแววตาที่เป็นประกาย เสมือนกำลังดูสุดยอดการแสดงอยู่ การระบำของเธอมันคล้ายกับทวยเทพที่กำลังเริงระบำอยู่บนท้องฟ้า ความงดงามในทุกๆอย่างของเธอมันชวนให้คิดเช่นนั้นอย่างช่วยไม่ได้
ระหว่างที่มองหนิงโชว์ระบำการเต้นอยู่นั้น เจ้าหล่อนก็สังเกตุุเห็นผม ทันทีที่สบตากัน หล่อนก็ยิ้มออกมา และโชว์เต้นเร็วกว่าเดิม
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ผู้แบกรับพลังของข้าท้าทายต้าวเรเซอร์อยู่ไม่ใช่หรือเนี่ย!!?”
“จะบอกให้มาเต้นด้วยว่างั้น!?”
“ประมาณนั้นเลย”
……เอาไงเอากันวะ!
ผมวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนิง แล้วก็เริ่มเต้นตาม ด้วยทักษะมากมายที่เรียนรู้มาตลอดหลายปี ทำให้ผมเลียนแบบท่าเต้นของหนิงได้แบบเรียลไทม์โดยกะจังหวะให้ช้ากว่าหนิงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ผิดพลาด—
“โอ้ววววววววว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“อุ้ย อุ้ย อุ้ยๆๆๆ!!!!”
“ไม่เลวเลยนี่หว่า พี่ชาย!!! (ภาษาชนพื้นเมือง)”
“ท่านเทพีผู้งดงาม อย่ายอมแพ้นะ!! (ภาษาชนพื้นเมือง)”
ไม่ใช่แค่เสียงเชียร์จากคนในหมู่บ้าน
“แรงกว่านี้อีก ต้าวเรเซอร์!! เอาให้หัวหลุดเลย!!”
“สมกับเป็นท่านเรเซอร์ขอรับ ซึมซับวัตนธรรมต่างถิ่นได้อย่างไร้ที่ติ”
“เอาด้วยเว้ย ขอด้วย!!”
เรย์ที่คันเท้าก็วิ่งมาเต้นตาม จากนั้นเรื่องราวก็ดำเนินไปอย่างสนุกสนานจนจบ
เหมือนว่าการเดินขบวนเต้นพลางแบกสัตว์ที่ล่ามาได้จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของที่นี่ เป็นการทำตัวสนุกสนานเพื่อสร้างความสบายใจให้แก่คนในหมู่บ้าน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มนักล่า เนื่องจากว่าสมัยก่อน มอนสเตอร์อันตรายยิ่งกว่าปัจจุบัน ทุกครั้งที่ออกไปล่ามักจะมีคนตายเสมอ จึงพยายามจะกลบความโศกเศร้า และรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งด้วยการทำเรื่องสนุกสนานด้วยกัน ..อย่างไรก็แล้วแต่ ปัจจุบันนี้มันต่างออกไปแล้วน่ะนะ
การล่าแต่ละครั้งไม่มีคนตายแล้ว ด้วยวิทยาการณ์ที่พัฒนา แม้แต่คนในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ติดต่อคนจากอาณาจักร และแลกเปลี่ยนอะไรด้วยกันหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะภูมิความรู้หรืออุปกรณ์เวทมนตร์ทรงคุณค่า
ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็แค่ธรรมเนียมปฏิบัติเท่านั้นแหละ ไม่น่ามีอะไรแอบแฝงแล้ว
โดยรวม ผมคิดว่าวัฒนธรรมที่นี่ค่อนข้างน่าสนใจและดีทีเดียว ค่อนข้างเปิดโลกผมมาก พอพูดเชิงๆนั้นออกไปให้หนิงฟัง ยัยนั่นก็ลากผม และคนอื่นๆมาสวมชุดของชนเผ่าทันที ซึ่งตอนนี้ผมก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด—
ภาพแรกที่เห็นก็คือฟัฟนิร์ในชุดชนพื้นเมือง ซึ่งเหมือนกับการคอสเพลย์ยังไงชอบกล
ผมกับฟัฟนิร์จ้องหน้ากันครู่หนึ่งก่อนเริ่มเปิดปากพูด
“ไม่เข้ากับต้าวเรเซอร์เลยนะ”
“หล่อนก็พอกัน”
ต่อจากพวกผมก็–ชินเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
ชินโผล่มาในชุดชนเผ่าซึ่งแตกต่างกับผมและฟัฟนิร์ ผมจะเป็นชุดผู้ชาย ฟัฟนิร์จะเป็นชุดผู้หญิง ส่วนชินจะเป็นชุดที่เหมือนกับผสมระหว่างชายและหญิง ที่เขาเรียกกันว่าสไตล์ยูนิเซ็กส์ ไม่ว่าจะกระโปรงที่เหมือนกับกางเกง หรือเสื้อที่เปิดโชว์ไหล่เล็กน้อย
ตัวของชินในตอนนี้ดูสวยแบบเท่ๆ
ว่าไงดี–
“เท่โคตร!!!!”
“ต้าวชินอย่างงาม!!!”
“สมบัติของโลก!!”
“ล้ำค่าเหนือสิ่งอื่นใด!!”
ออกมาได้ไม่นานชินก็เขินจนต้องเดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว และออกมาในชุดพ่อบ้านที่ใช้ผ้ากดหน้าอกไว้ตามเดิม
“ทะ ทำไมกัน?”
“แต่งตัวเช่นนี้อุ่นใจกว่าขอรับ”
เหมือนพวกผมจะชมมากเกินไปหน่อย น่าเสียดายชะมัด แต่ก็ช่วยไม่ได้
“ถ้านั้นก็ไปรับประทานอาหารกันเถอะขอรับ”
****
การรับประทานอาหารเย็นในหมู่บ้านแห่งนี้ จะเหมือนกับงานเลี้ยงขนาดยักษ์ที่ใช้วัตถุดิบที่ล่ามาได้ มีคนทำอาหารหลายคน และหนึ่งในนั้นก็คือหนิงที่เผาเนื้อขนาดยักษ์อย่างสนุกสนาน ซ้ำฟัฟนิร์ก็ไปร่วมแจมด้วยเฉยเลย
ส่วนทางผมนั่งจับกลุ่มกินข้าวกับคนรู้จัก พลางชมบรรยากาศโดยรอบไปด้วย ผมใช้เวลาไม่นานในการรับประทาน เมื่อทานจนหมดแล้วผมก็วางจานไว้ข้างๆตัว และหันไปหาเรย์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน
“การ์ปไม่มาด้วยรึ?”
“ปกติหมอนั่นชอบกินข้าวเงียบๆกับแขกอีกคนมากกว่าน่ะ แต่เอาจริงๆมันแค่ไม่ค่อยกล้าสู้หน้าหนิงมากกว่ามั้ง คงกลัวบรรยากาศงานกร่อย”
“ขนาดนั้นเลยเรอะ”
“เออสิ พอหนิงเจอหน้าการ์ปทีไรก็ชอบส่งบรรยากาศมาคุ เวลาคุยทั้งสองคนก็คุยเหมือนๆเมินตัวตนอีกฝ่ายตลอดด้วย เล่นเอาขนลุกเลย”
หมอนั่นกับหนิงมีประเด็นกันค่อนข้างเยอะเลยละนะ ก็เล่นไปทำยูจิของเจ้าหล่อนเขาตายไปหนหนึ่งจะแค้นฝังหุ่นก็ไม่แปลก
“ฉันขอตัวไปดูมันหน่อยละกัน”
“เช่นนั้นกระผมขอไปด้วยนะขอรับ”
ผมกับชินนำจานไปเก็บ และตรงไปที่กระท่อมซึ่งการ์ปอาศัยอยู่ ทันทีที่มาถึงประตูของกระท่อมก็ถูกเปิดออกโดยคนๆหนึ่ง
สิ่งแรกที่สะดุดตาก็คือดวงตาสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ของทวยเทพ แม้ร่างจะคล้ายกับเด็ก แต่ก็มีความงามไม่ต่างกับทวยเทพอย่างอานิม่าในร่างที่แท้จริงซึ่งผมเคยเห็นมาก่อน
ไม่สิ ให้พูดความงามที่ปรากฏมันเหนือกว่าอานิม่าหรือหนิงเสียอีก จะบอกว่าเธอคือเด็กผู้หญิงที่งดงามที่สุดบนโลกก็คงไม่ได้น่าเกียจอะไร เรื่องนี้ผมกล้าจะยืนยัน เพราะว่า–ครั้งหนึ่ง ผมเคยพบกับเธอมาก่อนน่ะนะ
“ว่าไงจ๊ะ หนุ่มน้อย”
เด็กสาวร่างเล็กส่งรอยยิ้มเสมือนผู้ใหญ่มาให้ ผมยิ้มตอบกลับ
“ไม่ได้พบกันนานนะ เอโด-เวโด้”
“ในช่วงสองสามปีมานี้ เดี๊ยนแทนตัวเองว่า ‘คาร่า’ ค่ะ”
ชื่อคุ้นๆแฮะ แต่ไม่ได้สำคัญอะไรมากผมจึงนึกไม่ออก
“นั้นเหรอ”
เอโด-เวโด้ หรือคาร่าทำหน้าตึงๆใส่ผม
“..จำไม่ได้หรอกเหรอเนี่ย เดี๊ยนคิดว่าตัวเองตอนนั้นวางตัวไว้ค่อนข้างเด่นเลยนะ”
“ถ้าเปิดหน้าให้เห็นก็ไม่มีทางลืมหรอกครับ”
ผมพูดกับเทพแห่งธรรมชาติอย่างสุภาพเล็กน้อย ผิดกับที่วางตัวกับอานิม่า ให้พูดตรงๆคือผมเคราพเธอคนนี้ในระดับหนึ่ง ผิดกับอานิม่าที่เห็นเป็นเพื่อนแท้ๆเลยมากกว่า
ก่อนอื่น ก่อนที่ชินจะงงไปมากกว่านี้ ผมผายมือไปทาง เอโด-เวโด้ และแนะนำเธอให้ชินรู้จัก
“คนๆนี้คือหนึ่งในทวยเทพทั้งสิบของโลกใบนี้ นาม ‘เอโด-เวโด้’ รู้จักกันดีในฐานะเทพแห่งธรรมชาติน่ะ”
“เทพแห่งธรรมชาติ ..ยินดีที่ได้พบขอรับ กระผม ‘ชินดร้า’ เป็นอัศวินข้างกายของท่านเรเซอร์ และหากไม่รังเกียจโปรดเรียกกระผมว่า ‘ชิน’ แทนนะขอรับ”
ชินโค้งศรีษะให้ตามมารยาท เอโด-เวโด้ พยักหน้ารับ และนำมือมาทาบที่อกของตัวเอง
“โปรดเรียกทางนี้ว่า ‘คาร่า’ นะจ๊ะ”
“มีชื่อเหมือนคนปกติให้เรียกก็สะดวกดีนะครับ ให้เรียกว่าท่านเทพ หรือเอโด-เวโด้ ก็ดูแปลกๆด้วย”
“นั่นสินะ”
ในเมื่อเธอขอให้เรียกว่าคาร่า ผมก็จะเรียกเธอว่าคาร่าเหมือนกัน
คาร่าหันไปมองที่โต๊ะหมากรุกอันนั้น เธอผายมือไปทางนั้นคล้ายเชิญชวน
“ดูท่าทั้งทางหนุ่มน้อย กับทางเดี๊ยนจะมีเรื่องต้องคุยเยอะเลย หาที่นั่งก่อนดีกว่าไหมจ๊ะ?”
“เห็นด้วยครับ”
จากนั้นพวกเราก็ไปนั่งที่โต๊ะหมากรุก ผมกับชินนั่งฝั่งเดียวกัน โดยที่คาร่านั่งฝั่งตรงข้าม โดยไม่พูดไม่จา คาร่าหยิบเอาหินหลายก้อนออกมาจากไหนก็ไม่รู้ เธอนำทั้งหมดมาตั้งบนกระดานหมากรุก และเริ่มขยับก่อน ผมเห็นว่าช่วยไม่ได้เลยยอมเล่นฆ่าเวลากับเธอ จากนั้นการสนทนาก็ได้เริ่มขึ้น
“หนุ่มน้อยได้พบกับ ‘อานิม่า’ แล้วสินะ”
“ใช่ครับ แต่ได้เห็นหน้าเห็นตากันจริงๆก็ตอนป่าอาถรรพ์ ตลอดมาอานิม่าสิงอยู่ในร่างของเด็กที่เธอเก็บมาเลี้ยง ไม่ทราบว่าคาร่าทราบรึเปล่านะ”
“พอจะทราบอยู่จ๊ะ แต่ไม่มีโอกาสไปเห็นกับตาตัวเองหรอก ..แล้วอานิม่าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
ผมครุ่นคิดก่อนตบ
“นิสัยดีผิดคาด นึกว่าพวกทวยเทพจะออกแนวคนเอาแต่ใจซะอีก และดูถูกมนุษย์ซะอีก”
“แหม่ๆ ดูพูดเข้าสิ เทพคนแรกที่หนุ่มน้อยเจอคือเดี๊ยนไม่ใช่หรือ? พูดแบบนี้มันไม่ต่างกับการเอาทางนี้มาตั้งเป็นบรรทัดทางเลยนะจ๊ะนั่น”
“คาร่าไม่ได้เข้าใจอะไรผิดหรอกครับ”
ได้ยินอย่างนั้นคาร่าก็หัวเราะพึมพำในลำคอ และลงมือเดินหมากอย่างฉลาด
“ช่วงนี้ดูจะผ่านหลายๆอย่างมาเยอะเลยนะจ๊ะ เทียบกับสมัยเด็กแล้วคิดอย่างไรบ้างหรือ?”
“นั่นสินะ ..”
นึกย้อนกลับไป ในช่วงไม่ถึงปีนี้ผมผ่านอะไรมาเยอะจริงๆนั่นแหละ
เริ่มแรกด้วยการเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ จู่ๆก็ไปพัวพันกับปัญหาสุดไร้สาระอย่างโจรขโมย กกน. จับพลัดจับผลูต้องรับหน้าเป็นโจรแทนคนอื่น จากนั้นก็โดนคนทั้งโรงเรียนเหม็นขี้หน้า ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะกู้ชื่อเสียงกลับมาได้ แต่ติดๆกันเลยก็ต้องสู้กับเรย์ เพราะโดนเข้าใจผิดอีกว่าเป็นตัวการณ์ทำให้พี่สาวตาย
จบเรื่องนั้นก็ไปเจอเรื่องงานเทศกาลโลหิตมังกร ในที่สุดก็เข้าใจว่าศัตรูคนสำคัญของตัวเองคือเรน สู้ชนะมหามังกรเทียม และผู้มีอำนาจมหามังกรอย่างหนิง จากนั้นหนิงก็โดนลักพาตัว และโดนเอเธอร์ดักตี ฝืนสู้คนเดียวอย่างยากลำบาก ..และได้เบลลามีช่วยเอาไว้
จากนั้นก็รวมตัวไปช่วยหนิงกัน โค่นคาลอส ถล่มประสาทเทล่าเทล
กลับมาถึงไม่นานก็เจอกับ โซล่า เลนน่อน คนที่รักผมสุดหัวใจ ปฏิเสธเธอ และไปเรียนที่เกาะวาเรอร์ เกิดเหตุการณ์มากมายเหมือนกัน ณ ที่แห่งนั้น เรื่องราวเบื้องหลังที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนได้ปรากฏ เทียนหลง เทพดาบ ปีศาจมหาบาป จอมมาร อื่นๆมากมาย ผมได้ต่อสู้และชนะ ได้ต่อสู้และชนะ ได้ต่อสู้และเกือบแพ้ ได้ต่อสู้และแพ้ ได้ต่อสู้และชนะกับแพ้ปนกันไปในวันๆเดียว ..ที่สำคัญคือผมสูญเสียหลายสิ่งไปในเหตุการณ์นั้น ไม่ว่าจะความสัมพันธ์กับยูจิ หรือชีวิตของโซล่า
แบกรับความเจ็บปวดและไปต่อ
เก็บตัวที่ป่ามหาภูตอยู่พักใหญ่ๆรอการมาถึงของงานประชุมโลก
งานประชุมโลก ได้เปิดหูเปิดตาหลายๆเรื่อง ได้ร่วมมือกับคนจากหลายๆอาณาจักร และได้เข้าต่อสู้กับชายที่ผมเรียกได้เต็มปากว่า ‘อาจารย์’ เป็นอีกครั้งที่ต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก สุดท้ายก็ได้คนๆนี้สอนได้อย่าง ได้พัฒนาตัวเองไปต่อ ได้สร้างขีดจำกัดใหม่ให้กับตัวเอง และเอาชนะมาได้อย่างไม่ยากเย็น ..กลืนกินทุกอย่างของชายคนนั้น นำมาสร้างอาวุธชิ้นใหม่ให้แก่ตัวเอง
พบกับเซียนอีกครั้ง ผมฝากให้คนๆนั้นสร้างสิ่งที่โซล่าเหลือเอาไว้ให้ และไปต่อ
เดินทางร่วมกับเวฟ วางแผนจะฆ่าคนๆหนึ่งเพื่อช่วงชิงสิ่งสำคัญ ..สุดท้ายก็ได้รับข้อแก้ตัวกับบาปของตัวเอง และสังหารเวฟลงด้วยความพอใจของทุกฝ่าย ได้รับพวกพ้องคนใหม่อย่างอานิม่า
เป็นการฆ่าคนที่รู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต
ผมได้รับการให้อภัยอย่างน่ารังเกียจ และเดินทางไปต่อ
อาณาจักรเนลยอน และสงครามภายใน ได้คืนดีกับเบ็นจิโร่ เพื่อนที่ในอดีตเคยทะเลาะกัน และ—ได้ต่อสู้ตัดสินกับเรน ถึงจะไม่ใช่การต่อสู้ที่ดูดีสักเท่าไหร่ แต่พวกผมคือผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนั้น แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของ ไรเดน อาคาสะ แต่ว่าชัยชนะก็คือชัยชนะ
นอกจากเรื่องนั้นก็มีเรื่องส่วนตัว ระหว่างผมกับวินเข้ามาด้วย ผมได้ตกหลุมรักผู้หญิงคนอื่นนอกจากทั้งสามคน ถึงขนาดที่ทำทุกอย่างเพื่อจะช่วยเธอ และน้องสาวเอาไว้ให้ได้ ฝืนโชคชะตา สละวิญญาณของแรกซ์ และผ่านมันมาได้
กลับมาเมืองชันไม ฝากสิ่งสำคัญหลายสิ่งไว้ที่นั่น และไปต่อที่อาณาจักรฟัฟนิร์ที่พังทลาย พูดคุยกับคนหลายคนที่นั่น รับฝากความหวังของหลายๆคนเอาไว้ และเดินทางมาต่อจนถึงตอนนี้
ทั้งหมดที่ครุ่นคิดอยู่ยังไม่ได้ร่วมกับจุดแรกเริ่มของผมเลยด้วยซ้ำ
“คิดว่าไม่เลวเลยกระมังครับ พอเอาตัวเองตอนนี้ไปคิดหลายๆเรื่องก็ชวนให้คิดว่าถ้าในอดีต ผมถือครองพลังอย่างตอนนี้อยู่ มันจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างมั้ยนะ”
“อย่างครั้งแรกที่ได้พบกันสินะจ๊ะ ที่ตอนนั้นหนุ่มน้อย และเพื่อนๆนักผจญภัยกำลังจะโดน ‘เซียน’ ฆ่าทิ้งด้วยเหตุผลบางอย่าง”
..ใช่ อย่างตอนนั้นก็ด้วย ครั้งแรกที่ผมกับเซียนเจอกันคือความเข้าใจผิดในบางเรื่อง ไปสู่ความคิดที่จะฆ่าผม ทว่า
“ตอนนั้นก็ได้คาร่าช่วยเอาไว้น่ะนะ”
ก่อนที่จะตายอย่างไร้พลัง คาร่าได้โผล่มาช่วยผมไว้จากเซียน ด้วยการปะทะกันเล็กน้อยก่อนจบด้วยการเจรจา พอรอดตาย คาร่าก็รักษาบาดแผลของผมให้ และใช้เวลาไม่นานในการพูดคุยหลายๆเรื่องกับผม ก่อนที่เธอจะเดินจากไป
“น่าคิดถึงอยู่นะจ๊ะเนี่ย หนุ่มน้อยในตอนนั้นที่แม้แต่เซียนยังสู้ไม่ไหว ตอนนี้กลับเติบโตขึ้นจนสู้ชนะคนระดับเดียวกับเซียนได้แบบไม่ยากเย็น ..หนุ่มน้อยเวลานี้ กับเทพดาบก็ไม่น่าคณามือแล้วละจ๊ะ”
“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“ไม่เชื่อในสายตาของทวยเทพหรือจ๊ะ?”
…..ผมถอนหายใจออกมา
“นี่ คาร่า ตามที่พวกเราเคยสัญญากันไว้ในวันนั้น” ผมหรี่ตามองเกมกระดาน และโพล่ง “ถ้าหากผมแข็งแกร่งมากพอแล้ว คาร่าจะยอมบอกเป้าหมายของตัวเองให้ฟัง ขอถามหน่อยสิ ตรงๆเลยนะ คิดว่าตอนนี้ผมไปถึงจุดๆนั้นหรือยัง?”
“ไม่นับเทพมังกร ..บนโลกใบนี้ ไม่สิ บนหน้าประวัติศาสตร์เลยก็ได้ คนที่พอจะเป็นคู่ต่อสู้ให้หนุ่มน้อยเวลานี้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำจ๊ะ ถ้าถามว่าพอแล้วหรือยัง ก็คงตอบได้เพียงแค่เพียงพอแล้วละ”
คาร่าแบมือทั้งสองข้าง และนับจำนวนคนที่ว่า
“‘ยูนา’ ‘อลัน’ ‘มิคาเอล’ ‘โอลิเว่อร์’ … ‘เอเธอร์’ .. ‘โซโลม่อน’ .. ‘ยูจิ’ ..เหมือนจะไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ”
“ถ้าอย่างนั้นก็”
“ทำไมจึงอยากจะรู้หรือจ๊ะว่าเป้าหมายขอป้าแก่ๆคนนี้คืออะไร?”
“จะได้เข้าใจถูกไงครับว่ามีใครบ้างที่กำลังยืนขวางทางผมอยู่”
…..
“คาร่า ผมนับถือเธอนะ ไม่ใช่ในฐานะเทพ แต่ในฐานะผู้มีพระคุณ แต่ว่าต่อให้เป็นผู้มีพระคุณ แต่ถ้ามีเป้าหมายแปลกๆอย่างการฆ่าเบลลามี หรืออะไรสักอย่างที่มันขวางทางผมอยู่ ผมก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากเคลียร์ปัญหาตรงหน้า”
“…จะฆ่าเหรอ? ถ้าเป็นหนุ่มน้อยละก็คงได้แต่ยอมรับความตายที่จะมาถึง”
“ผมไม่อยากฆ่าใครทั้งนั้น”
ผมกับคาร่าจ้องหน้ากัน ก่อนที่คาร่าจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าตลก หน้าของผมเหรอ? เรื่องที่ผมพูดเหรอ? ที่แน่ๆผมไม่ขำตามเธอเลยสักนิด
“วางใจได้ เทพแห่งธรรมชาติผู้นี้ไม่คิดจะขวางทางเจตจำนงศ์ของใครทั้งนั้น เพียงแค่ ..ปารถนาจะเห็นวันพรุ่งนี้ไปจนวันสุดท้ายของโลกเท่านั้น ไม่สิ ขอแค่ได้ทราบว่าโลกใบนี้มีตอนจบอยู่ก็เพียงพอแล้ว”
“คาร่าเคยบอกว่าที่ช่วยผม เพราะมันจำเป็นต่อจุดประสงค์ของตัวเอง มันหมายความว่ายังไง”
“หมายความตามที่เคยได้ฟังมาเลย ..เรเซอร์ ดราแคล์ คือชายที่จะมอบจุดจบมาสู่โลกใบนี้ ไม่ใช่การทำนายหรืออะไรทั้งนั้น แต่มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน”
…….
ผมจะมอบจุดจบให้แก่โลกใบนี้ หากหมายถึงทำลายลูปของยูจิ ผมคิดว่ามันคือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน—
“คนที่หยุดสงครามระหว่างจอมมารและทวยเทพก็คือหนุ่มน้อย ไม่ใช่เรื่องของปัจจุบัน แต่เป็นเรื่องของอดีตที่ไกลโพ้น ก่อนที่เวลาที่ไร้จุดสิ้นสุดจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก”
…
“หนุ่มน้อยเคยบอกว่าตัวเองเป็นผู้ที่มาจากต่างโลก”
“ใช่ ในโลกก่อนผมชื่อ ‘ยศ’”
“จริงๆแล้วหนุ่มน้อยไม่ใช่ผู้ที่มาจากต่างโลก แต่เป็นผู้ที่เคยไปเยือนต่างโลกต่างหากจึงจะถูก”
“..หมายความว่ายังไง”
เกมกระดานหมากรุกสิ้นสุดลงแล้ว ผมคือผู้ชนะ คาร่านับประสานมือเข้าหากัน และเริ่มเล่าความจริงของตัวผมให้ฟัง
“เธอเคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ทว่า”
…….
“เจตจำนงศ์ของเธอ คนสำคัญของเธอ สถานะของเธอ โชคชะตาของเธอ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเธอ ทุกสิ่งทุกอย่าง เธอถูกชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด ” คาร่าแหงนหน้ามองท้องฟ้า “เธอคือ ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ ‘ตัวจริง’ ที่โลกใบนี้หลงลืม หรือพูดให้ถูก เธอถูกทำให้โลกใบนี้ลืมตัวตนของเธอ”
…..
“ก่อนที่กาลเวลาที่ไร้จุดสิ้นสุดจะเริ่มขึ้นด้วยน้ำมือของคนๆนั้น”
….
“โลกใบนี้ไม่เคยมีตัวตนของ ‘ยูจิ’ มาก่อน และ ..คนผู้นั้นนี่แหละคือผู้ที่ชิงทุกอย่างไปจากเธอ และมอบบทบาทที่แสนน่าเศร้าให้แก่เธอ”
คาร่าคือผู้ที่ถือครองเรื่องราวที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางคำโกหกมากมาย ทั้งหมดที่เล่าคือเรื่องที่ยากจะเชื่อ และไม่อยากยอมรับว่ามันคือความจริง แต่ว่า—มันคือความจริงของตัวผม
****
ผมได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วเข้าใจทุกอย่าง คิดว่าคาร่าอาจจะโกหกก็ได้ แต่ไม่ใช่ ทุกอย่างคือความจริง อาจจะเป็นเพราะผมรับรู้ได้ถึงบางอย่างมาตั้งนานแล้วก็เป็นได้ ผมแค่ถูกคาร่าจับเรียงความทรงจำให้เข้าที่ก็เท่านั้น
“..นี่ คาร่า”
“ว่าไงจ๊ะ”
“เรื่องที่เธอตั้งใจจะบอกให้ผมทำจริงๆน่ะ ..คือการ ‘ฆ่า’ ยูจิสินะ”
ผมไม่ปฏิเสธเรื่องเล่าของคาร่า เพราะมันคือความจริง
“ถ้ามันจำเป็นจริงๆฉันพร้อมจะฆ่ายูจิเสมอ ถ้าหมอนั่นยังรั้นวางตัวเป็นศัตรูไม่เลิก ฉันก็มีแต่ทางเลือกนี้ ..แต่ว่านะ ..ยูจิยังไงก็คือยูจิ”
“….”
“ต่อให้ตัวตนของหมอนั่นมันจะไม่เคยมีอยู่จริงมาก่อน แต่ว่า–ตัวตนของหมอนั่นมันไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกนะ ฉันไม่มีทางยอมรับให้ความทรงจำทั้งหลายเป็นเพียงเรื่องโกหก ถ้าจะต้องสู้กัน ไม่ว่าจะด้วยสถานะไหนก็ตาม ..ยูจิก็คือยูจิอยู่ดี นี่คือความจริง”
‘โลกใบนี้มีแต่คำโกหก’ นั่นคือเรื่องที่ยูจิเคยพูดกับผมเมื่อนานมาแล้ว ราวกับว่าตัวของยูจิเข้าใจเรื่องๆนี้ดีกว่าใครๆ ..ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้น
“โลกใบนี้ไม่ได้มีแต่คำโกหก—ฉันเชื่ออย่างนั้น”
“..จะอย่างไรก็แล้วแต่เธอเลย”
คาร่าลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปภายในกระท่อม
“ขอตัวไปดูแลการ์ปก่อนนะ เด็กคนนั้นสภาพจิตใจไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่น่ะจ๊ะ”
“อ่า โชคดี”
เมื่อคาร่าเดินกลับไปแล้ว ก็เหลือแค่ผมกับชินที่นั่งอยู่กันสองคน ตลอดบทสนทนา ชินนั่งเงียบมาตลอด แต่เขาก็ตั้งใจฟังทุกรายละเอียด
“ท่านเรเซอร์”
“ว่าไง?”
“ผมจะติดตามท่านไปจนถึงบทสรุปขอรับ”
ได้ยินอย่างนั้นก็ ..ชื่นใจเลยแฮะ
“ชิน”
“ขอรับ?”
“คิดถูกจริงๆที่เลือกนาย”
ชินแก้มแดงเล็กน้อย ก่อนยิ้มตอบ
“เช่นกันขอรับ”
…..
ต่อให้ตัวตนของนายมันจะมีแต่คำโกหกก็ตาม ….ยูจิ ครั้งหน้าที่เจอกัน ทุกอย่างจะคือการตัดสิน บทสรุประหว่างฉัน และนายจะปรากฏ แต่ไม่ว่ามันจะลงเอยอย่างไร จะดีหรือร้าย จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย หรือไม่มีใครตายเลยก็แล้วแต่ ฉันก็จะบอกนายเสมอว่า—โลกใบนี้ไม่ได้มีแต่คำโกหกหรอกนะ