เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 320
< < 199 Sec3 > >
“พี่จ๋า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
พ่อหนุ่มกะล่อนกำลังร้องไห้โวยวายหาพี่ซะยกใหญ่เลยวุ้ย ผิดคาแรคเตอร์ไปไกลแล้วนะครับ คุณเรย์
ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะปลอบหรือว่าหัวเราะดี อีกใจก็เข้าใจหัวอก อีกใจก็แค้นเรย์ในหลายๆเรื่องจนอยากเอาคืน ..แต่พอเห็นชินเดินมาหาเรย์ก็ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ของผม หากแต่เป็นหน้าที่ของคนเป็นพี่สาวอย่างชินต่างหาก
“…นึกว่าพี่ตายไปแล้วซะอีก”
“ท่านเรเซอร์น่าจะเล่าให้ฟังเลยนี่ว่าพี่ยังสบายดี”
ก็ใช่นะเรื่องนั้น แต่กว่าจะรู้นี่ก็–
“แต่นึกว่าตายไปแล้วตั้งหลายปีเชียวนะ!! จะบอกให้ผม เย้ พี่ยังมีชีวิตอยู่แหละ ดีจังเลย—ได้ที่ไหนกัน!!? ทำไมไม่แวะมาหาบ้างเลยละ!? ไม่ใช่แค่ผมนะ พ่อกับแม่ก็เป็นห่วงนะ!!”
ใช่ๆ เห็นด้วยเลย
“เรื่องนั้น ..ค่อนข้างจะอธิบายยากครับ”
พอชินพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางฟัฟนิร์ เจ้าหล่อนก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที คงจะไม่อยากไปเป็นตัวการณ์ของปัญหาครอบครัวกระมัง แต่ถ้าไม่มีฟัฟนิร์ชินก็ตายไปแล้วนา แต่ก็ไม่ยักจะพาชินมาแวะหาคนอื่นเลยด้วยนี่สิ
อืม ถ้าเป็นผมก็คงจะหาทางหนีเหมือนฟัฟนิร์แหละนะ แม้ผมจะเอือมๆกับการตัดสินใจบ้าบอของฟัฟนิร์ แต่เอาเข้าจริงๆผมกับยัยนี่ก็เป็นคนประเภทเดียวกัน จึงเข้าใจหัวอกดีเลยละ ปัญหาของใครของมันสิฟร้ะ ถ้าไม่ได้หนักหัวตัวเองก็จะไม่ไปยุ่ง
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ก็ ..โดนลากไปพัวพันบ่อยๆน่ะนะ ไม่ใช่คนเย็นชาที่สนิทกับใครไม่เป็นสักหน่อย
“….”
“ทะ ทำไมแม้แต่ท่านเรเซอร์ก็”
รู้ตัวอีกทีผมก็เผลอหัวหน้าหนีไปทางอื่นเหมือนกับฟัฟนิร์ คนประเภทเดียวกันจริงๆนั่นแหละ
“ใช้ไม่ได้เลยนะ! ต้าวชิน!! ปัญหาของตัวเองก็จัดการด้วยตัวเองสิ!!”
“โทษทีนะ ชิน สัญชาตญาณบอกว่าฉันไม่ควรไปยุ่ง ..”
ชินเมื่อเห็นอย่างนั้นก็ปรับสีหน้าตัวเองให้เหมือนกับทุกสถานการณ์ และค่อยๆลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น และใช้มือคู่นั้นโอบแก้มทั้งสองข้างของเรย์เอาไว้ พลางส่งยิ้มที่งดงามให้ผู้เป็นน้อง
“เหตุใดจึงร้องไห้กันครับ เรย์”
“…..”
“จริงๆแล้วพี่เองก็อยากจะกลับไปเจอเหมือนกัน ..ขอโทษนะ”
”..ครับ”
จากนั้นหัวหน้าชนเผ่า กูลู ก็นำทางพวกผมไปที่กระท่อมแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกันพวกผมก็ปล่อยให้สองพี่น้องพูดคุยกันหลายต่อหลายเรื่องที่หลังแถว กูลูหันมาพูดอะไรสักอย่างกับผม แน่นอนว่าผมไม่เข้าใจภาษาที่ของเขา แต่ล่ามฟัฟนิร์ก็รับมา และแปลให้ผมฟังแบบเรียลไทม์
“กูลูกล่าวว่าที่แห่งนี้คือที่พักสำหรับแขก ซึ่งเจ้าพวกมนุษย์เรย์อาศัยอยู่กันมาได้หลายวันแล้ว”
“แบบนี้นี่เอง แปลว่าหนิงก็อยู่ที่นี่”
“ถ้าหนิงไม่อยู่หรอกนะ ยัยนั่นไปช่วยคนแถวนี้ล่าสัตว์น่ะ”
เรย์พูดขึ้นพอพูดถึงหนิง
“ล่าสัตว์สินะ ทำอะไรสมเป็นวัยรุ่นดีเหมือนกันนะ สมกับเป็นคนที่ได้รับพลังเก้าส่วนของข้าไป เซ้นต์ดีไม่ใช่น้อย”
“วัยรุ่นในเมืองเขาล่าสัตว์กันเรอะ ก็ไม่นะ ..ว่าแต่สำหรับหล่อนหนิงคือ ‘หัวขโมย’ สินะ”
“ใช่แล้ว เมื่อสองพันปีก่อนเด็กวัยรุ่นในเมืองมักจะออกไปล่าสัตว์กันนะ ต้าวเรเซอร์ไม่รู้รึ?”
“โทษทีนะนี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว เดี่ยวนี้วัยรุ่นเขานิยมเล่นกีฬาในร่มกันต่างหาก”
“…กีฬาในร่ม? คืออะไรละนั่น”
ผมเลือกจะไม่ตอบคำถาม เป็นการเอาคืนที่บังอาจมากวนเท้าผม
พวกผมเข้าไปภายในกระท่อมนั่น และพบกับคนๆหนึ่งที่นอนอวดครวญอยู่บนเตียง
“…..”
‘มาสเตอร์ ระวังตัวด้วยค่ะ’
เข้าใจแล้ว
คนที่นอนอยู่บนเตียงคือชายปริศานาที่ทั่วทั้งร่างพันด้วยผ้าพันแผล บริเวณหัวไหล่ถึงหน้าท้องของคนๆนี้มีบาดแผลฉกรรจน์ที่มีเลือดซึมออกมาอยู่ อาการดูหนักคล้ายว่าจะตายได้ทุกเมื่อ ส่วนเรื่องที่ยูนาบอกให้ผมระวังก็ไม่ใช่อะไรอื่นเลย แต่เป็นเพราะคนๆนี้ค่อนข้างอันตรายนิดหน่อยตรงที่–เป็นผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพเหมือนกับผม
ไม่ได้ทราบไปถึงชื่อและความสามารถหรอกนะ แต่ขึ้นชื่อว่าวิญญาณระดับเทพมันก็ต้องระวังตัวนิดหน่อย
ไม่ใช่แค่ผมที่รู้สึกตัวเรื่องนี้ ชินเองก็ทำท่าจะชักดาบออกมาทุกเมื่อ ส่วนฟัฟนิร์ก็ไปหลบอยู่หลังของชินแบบไม่ปิดบัง เห็นอย่างนั้นเรย์ก็โผล่มาอธิบายให้ฟัง
“คนนี้คือคนที่เล่าให้ฟังน่ะ ไปเก็บมาได้ตอนพวกฉันไปหายูจิที่จุดศูนย์กลางของโลก คือสภาพก็อย่างที่เห็นแหละ หมอนี่โดนยูจิเล่นงานมาน่ะ”
เล่นแรงเหมือนกันนะนั่น ยูจิ
“แล้วพวกฉันเห็นว่ามีข้อมูลหลายอย่างที่น่าสนใจจากทางนั้นเลยยอมช่วยเหลือ และพามาพักอาศัยอยู่ที่นี่ ..อ่า แล้วก็อีกคนที่พามาด้วยตอนนี้ไปล่าสัตว์กับหนิงนะ น่าจะอีกสักพักเลยกว่าจะกลับมา”
ผมจ้องชายในผ้าพันแผล หมอนั่นเองก็จ้องมาที่ผมผ่านช่องผ่านเล็กๆภายในผ้าพันแผล
การสบตาเพียงครู่เดียวก็ทำให้ผมพอจะนึกออกว่าชายคนนี้เป็นใคร
“ขอฉันคุยกับคนๆนี้สองต่อสองหน่อยสิ”
“ไม่มีปัญหา”
กล่าวจบเรย์ และคนอื่นๆก็พากันออกจากกระท่อมไป จนเหลือแค่ผมกับชายในผ้าพันแผล
ผมลงไปนั่งเท้าคางกับโต๊ะที่เก้าอี้ข้างๆเตียงนอน จากนั้นก็เอ่ยทัก
“ไม่ได้เจอกันนานนะ ‘การ์ป’ ”
“…อ่า ..จริงๆก็ไม่ได้นานขนาดนั้น”
ให้พูดคือไม่กี่เดือนเอง แต่มองอีกมุมก็นับว่าผ่านมาหลายเดือนได้แล้ว ขึ้นอยู่กับมุมมองแต่ละคนละกัน
‘การ์ป’ ขุนนางที่มารับหน้าที่เป็นตัวปัญหาแทนผมอย่างไม่ทราบสาเหตุ จู่ๆก็โผล่หัวมารังแกยูจิสารพัด ท้ายูจิดวลและแพ้ไป แค่นั้นยังไม่พอใจ เจ้าตัวยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างไร้สาระ ถึงขนาดไปหาเรื่องโซเฟียด้วย จนลงเอยด้วยความหายนะของตระกูลด้วยน้ำมือของผม ก่อนที่ตัวของมันจะไปคว้าพลังวิญญาณระดับเทพมาได้ และโผล่มาอาละวาดในงานเทศกาลโลหิตมังกรพร้อมกับเรน
แน่นอนว่าบทสรุปก็คือการ์ปได้พ่ายแพ้ให้แก่ยูจิ แต่เล่นเหลี่ยมสังหารยูจิลงได้ นำพาไปสู่ความพิโรธของหนิงที่ลงกับการ์ป จากนั้นผมก็คิดมาโดยตลอดว่าหมอนี่น่าจะตายไปแล้วแหงๆ แต่ยังรอดแฮะ น่าเหลือเชื่อจริงๆ
แถมยังโผล่มาด้วยสารรูปที่ผิดแปลกไปกับตอนแรก
“สภาพดูอมทุกข์น่าดูนี่”
“เรื่องนั้นเอาไปบอกยูจิของแกเถอะนะ เรเซอร์ ..”
…..สวนกลับได้ไม่เลว
“แล้วรอดมาได้ยังไง?”
“ถูกช่วยไว้โดยทวยเทพน่ะ .. ‘ไอโด-เวโด้’ เทพแห่งธรรมชาติ เธอช่วยฉันไว้ก่อนที่ฉันจะถูกฆ่า”
แปลว่าหลังจากโดนหนิงเล่นงานก็โชคดีรอดตาย แต่ก็ไม่พ้นโดนตัวแปรอื่นตามมาไล่ฆ่าอีกสินะ
“อีกคนที่พวกเรย์ไปเก็บมาได้ก็คือเทพแห่งธรรมชาติรึ?”
“..ประมาณนั้น”
“แล้วหลังจากรอดมาได้ แกก็ไปร่วมมือกับเทพแห่งธรรมชาติทำอะไรบางอย่าง ก่อนลงเอยด้วยสภาพปางตายอย่างตอนนี้?”
“อ่า ใช่”
…..
การ์ปกำหมัดแน่น หมอนั่นโพล่งขึ้นด้วยเสียงที่สั่น
“เรเซอร์ ..ยูจิมันเป็นบ้าไปแล้ว หมอนั่นกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ไม่เหมือนกับยูจิที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน”
“นั่นสินะ ยูจิของทางนี้อมทุกข์อย่างที่นายว่ามานั้นแหละ สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็น ข่าวล่าสุดที่ได้ก็ไปติดคุกที่คัลเซเรมด้วย ก่อเรื่องไว้ซะมากมายขนาดนี้ คงจะบ้าไปแล้วจริงๆอย่างที่แกว่า”
ผมเองก็ไม่ได้รู้ทั้งหมดหรอกว่ายูจิกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ด้วยว่าต้องเจออะไรมาบ้าง สิ่งที่ยูจิต้องแบกรับ ผมไม่มีทางรู้ได้หรอกว่ามันมากมายขนาดไหน หรือต่อให้สิ่งที่ยูจิแบกรับอยู่มันจะไร้สาระ ผมก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเข้าใจถึงสิ่งๆนั้น
คนนอก—ผมถูกยูจิจำกัดสถานะไว้ประมาณนี้ ผมมั่นใจได้ก็ตอนที่ได้สู้กับยูจิครั้งล่าสุด การถูกหมอนั่นปฏิเสธในคราวนั้นทำให้ผมตระหนักรู้ว่าการจะช่วยยูจิมันคือเรื่องโง่เขลา สำหรับผม
“เมื่อราวๆเดือนก่อน ทางฉันเองก็โดนยูจิตามไล่ตามมากระทืบน่ะนะ ถึงจะสวนกลับได้แต่ก็แค่เล่นทีเผลอกับความใจอ่อนของหมอนั่น”
“แม้แต่แกก็โดนสินะ ..”
“อ่า แล้วโดนยูจิทำอะไรบ้างล่ะ”
“หลายอย่างอยู่ ..”
“อยากสงสารอยู่นะถ้าก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้เป็นศัตรูกัน”
“ไม่ได้ต้องการความสงสาร”
“แล้วต้องการอะไรล่ะ”
“…ฉันอยากจะแก้ไขความผิดของตัวเอง”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยิ้มออกมา จากนั้นก็ยื่นมือไปหาการ์ป
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วย พวกเราลงเรือรำเดียวกันแล้ว”
“จะดีเหรอที่ให้โอกาสคนอย่างฉัน”
“หายห่วง ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อใจในตัวแก หรือซึ้งต่อใจจริงอะไรของแกอยู่แล้ว แค่เห็นว่ามีค่าพอให้ใช้งานเลยจะขอใช้งานสักหน่อย แล้วก็ต่อให้สร้างปัญหาให้ อย่างแก แค่สละเวลาสักวิเดียวให้ก็พอแล้วละ”
การ์ปหัวเราะพึมพำในลำคอ
“นี่พูดจริงๆนะไม่ได้เอาใจหรืออะไร หายห่วงรึยัง?”
“แบบนั้นค่อยหายห่วงหน่อย”
ผมยื่นแขนไปสัมผัสหน้าท้องของการ์ป จากนั้นเจ้าตัวก็พยายามจะเขยิบร่างหนีจากผม
“เป็นอะไรไป?”
“ทางนี้ต่างหากต้องถาม ทำไมจู่ๆถึงมาแตะต้องตัวกันล่ะ ..”
“แค่จับตัวนิดหน่อยเอง ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย”
“เห้ย! เรเซอร์ ดราแคล์ นี่แกคิดจะนอกใจยูจิอย่างนั้นหรอกเรอะ!!?”
ไอเบื้อกนี่พล่ามอะไรของมันวะ ผมอดใจไม่ไหว ลุกขึ้นไปตบหัวมันหนึ่งที และตวาดใส่
“บอกไว้ก่อนเหมือนกันเฟ้ยว่าตูก็ไม่ได้มีรสนิยมทางเพศแบบนั้น! แล้วตูกับยูจิมันเกี่ยวข้องกันตรงไหนฟร้ะ หา!!?”
“…ฉันนึกว่าพวกนายมีความสัมพันธ์อย่างนั้นมาตลอดซะอีก”
ไม่อยากจะเชื่อว่าการ์ปมันจะเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แต่ดูจากสีหน้าแล้วน่าจะใช่แฮะ ..นี่ผมกับยูจิดูเกย์ขนาดนั้นเลยเรอะ พักหลังๆในโรงเรียนก็มีข่าวลือจำพวกนี้เยอะพอตัวเลยด้วย
จะอย่างไรก็แล้วแต่–
“คิดเองเออเองสินะ โง่จริงๆเลยแกเนี่ย เฮ้อ ฟังนะ แค่จะรักษาแผลให้เอง เพราะโดนวิชาดาบประหลาดๆเข้าทำให้รักษาร่างกายด้วย [ฮิล] ไม่ไหวก็จริง แต่ถ้าเป็น ‘เพลิงมหามังกร’ ของหนิงน่าจะรักษาได้ไม่ใช่รึไง?”
“ยัยนั่น ..บอกว่าต่อให้ลุกขึ้นได้ตอนนี้ก็ทำประโยชน์อะไรไม่น่าได้ เพราะอย่างนั้นนอนรอเรเซอร์มาก่อนเถอะ”
เลยต้องนอนทนเจ็บมาหลายวันนี่เอง โหดชะมัดยัยนั่น
“ยัยนั่นนอกจากยูจิแล้วกับคนอื่นๆนี่ปฏิบัติไม่ต่างกับหนอนแมลงเลยแฮะ”
“..ยกเว้น แกด้วยต่างหาก เรเซอร์”
“หนวกหูจริง นอนเงียบๆไปเถอะคนเจ็บ”
ผมสัมผัสร่างของการ์ป สัมผัสถึงมานาภายในร่างกายและทำให้เกิดปฏิกิริยาพิเศษขึ้น— [วิหคอมตะ] พวยพุ่งโอบกอดร่างของการ์ป บาดแผลฉกรรจน์ทั้งหมดพลางถูกลบหายไปเสมือนเรื่องโกหก เมื่อทำการรักษาเสร็จสิ้นแล้วผมก็ปาดเหงื่อ และถอนหายใจ ฟู่ว เล็กน้อย
การใช้วิหคอมตะกับตัวเอง หรือกับคนอื่นที่เข้าใจโครงสร้างการทำงานของมานาดีแล้วไม่ได้ยากอะไรเลย แต่กับคนที่ไม่เคยใช้วิหคอมตะด้วยมันจำเป็นต้องใช้สมาธิในการวิเคราะห์ร่างกายระดับหนึ่งน่ะนะ อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาราวสี่ถึงห้าวิกว่าจะติด ไม่ใช่เวลามากมายอะไรก็จริง แต่ถ้าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน เวลาแค่นี้ก็ตัดสินชะตากรรมได้แล้วละ
“ร่างกายพึ่งจะดีพักอีกหน่อยเถอะ เดี่ยวฉันไปก่อนละ”
“..ขอบใจ”
“หวังว่าในอนาคตจะทำตัวให้เป็นประโยชน์นะ การ์ป”
ผมพูดทิ้งท้ายอย่างนั้นและเดินออกจากกระท่อม โดยที่ไม่ทันได้เห็นใบหน้าที่พึงพอใจอย่างยิ่งของการ์ป
ทันทีที่ออกมา ผมก็พบกับของ ‘ดีย์’ เข้าให้
“ย๊ากกกก”
“ฮึย!”
สองพี่น้องกำลังดวลดาบกันอยู่ละ
ชินกับเรย์ถือดาบไม้ ฟาดฟันใส่กัน พลัดกันรุกรับอย่างสูสี บ่งบอกถึงคลาสวิชาดาบของทั้งสองที่ไม่ได้ทิ้งห่างกันมาก
และพอมองดูดีๆก็พบฟัฟนิร์นั่งอยู่ในศาลาแถวๆนั้น ผมเลยเดินไปนั่ง และชมการต่อสู้ของสองพี่น้องอย่างบันเทิงใจ
วัดแค่ด้านวิชาดาบอย่างเดียว เรย์ดูจะเหนือกว่าในระดับหนึ่ง ด้วยทักษะการป้องกันและสวนกลับที่ยากจะคาดเดานั่น การผสมผสานวิชาดาบเข้าด้วยกันโดยเทคนิคแยกแยะวิชาดาบพิเศษเป็นธาตุทั้งแปดบนโลก ทำให้ความเข้าใจในวิชาดาบของเรย์เวลานี้สูงเอามากๆ
แต่ในด้านของการต่อสู้ของจริง ไม่ว่าจะจังหวะการก้าวเท้า หรือการออกแรงทุกส่วนในร่างกาย ชินจะทำได้ดีกว่ามากโข เห็นได้ชัดเลยว่าใครผ่านสมรภูมิรบมามากกว่ากัน
ให้เดา ในช่วงแรกของการต่อสู้ เรย์เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่หลังจากชินจับทางการต่อสู้ได้มันก็เริ่มสูสีขึ้นมา จนปรากฏเป็นภาพการดวลดังที่เห็นตอนนี้
“อึก—โธ่เว้ย!”
สุดท้ายชินก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายไล่อยู่คนเดียว การโจมตีที่เน้นเข้าเป้า และเร็วของชินสร้างความลำบากให้เรย์ไม่ใช่น้อยเลยละ เหมือนจะรู้แล้วว่าเรย์ถนัดตั้งรับก่อนสวนกลับมากกว่า เจ้าตัวจึงเลือกจะใช้การโจมตีที่สวนกลับได้ยาก
“เก่งขึ้นเยอะเลยนะครับ เรย์”
“เรื่องนั้นพี่เองก็ด้วยแหละ–นะ!!”
โหว จังหวะตวัดดาบของเรย์สวยสุดๆเลย แต่เสียดายที่พลาดเป้า และเป็นการโจมตีที่เน้นสวยงามเกินไปนิดน่ะนะ ทำให้มีช่องว่างจู่โจม ชินไม่รอช้าก้าวชิด และแทงเข้าที่จุดๆนั้น
“อั้ก!!”
เรย์ถูกแรงกระแทกนั่นเล่นงานเข้าจนลงไปกลิ้งกับพื้น ไม่ใช่จุดที่อันตรายอะไร แค่เป็นจุดที่โดนแล้วจะเจ็บสุดๆก็แค่นั้น
“สมกับเป็นต้าวชิน”
“เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ประสบการณ์มันต่างกัน นอกจากนั้นร่างกายชินก็ดีกว่ามากด้วย”
“จะว่าไป เรเซอร์ ข้าสงสัยน่ะ ..เจ้าน้องชายของต้าวชิน เหตุใดถึงมีดาบบ้าๆพรรค์นั้นอยู่กับตัวรึ?”
ฟัฟนิร์พูดพลางจ้องไปที่ดาบมังกรเหล็ก ‘บรามุนต์’ ซึ่งวางไว้บนโต๊ะข้างๆกับดาบมนตรา ‘เซกเฟียร์’ ของชิน
ดาบทั้งสองเล่มล้วนเป็นอาวุธระดับ ‘เจ็ดสิบสองอาวุธทลายโลกา’ แต่เอาเข้าจริงๆดาบมังกรเหล็กบรามุนต์มีประสิทธิภาพในการรีดพลังที่สุดจะเหลือเชื่อมากกว่าโขเลยน่ะนะ จะว่าเป็นหนึ่งในดาบที่น่าหวาดกลัวในพลังที่สุดบนโลก ไม่แพ้ดาบแห่งผู้กล้าเลยก็ว่าได้ แถมยังเป็นดาบที่ถูกทำจากอริเก่าฟัฟนิร์ด้วย
“เจ้าน้องชายของต้าวชินคือผู้สืบทอดของเกรย์สินะเนี่ย ทำเอาข้าแปลกใจเลยที่เลือกเอาคนที่ดูมีพรสวรรค์จืดๆอย่างนั้น”
พูดในแง่ของพรสวรรค์ด้านวิชาดาบ เรย์ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่แค่มีในระดับทั่วๆไป ไม่ได้สูงพอจะขึ้นไปจุดสูงสุดได้เหมือนดั่งเกรย์ หรือว่า ไรเดน อาคาสะ ดูได้จากการที่สู้กับชินเลย ถ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงจะสามารถเรียนรู้พร้อมกับพัฒนาตัวเองได้ระหว่างการต่อสู้ทันที ต่างกับเรย์ที่แพ้แล้วค่อยมานั่งวิเคราะห์เอาทีหลัง จึงน่าแปลกใจที่คนระดับนั้น ทำไมถึงเลือกคนที่ต่ำกว่าตัวเองขนาดนี้มาเป็นลูกศิษย์
“เจ้าน้องชายของต้าวชินอะไรเล่า เรียกว่า ‘เรย์’ เถอะ รายละเอียดปรีกย่อยฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะ แต่เรย์เป็นลูกศิษย์ของเกรย์ในระยะเวลาหนึ่ง หลังจากเกรย์ตายก็ได้รับดาบเล่มนั้นมา พวกเราไม่ใช่นักดาบด้วย ไม่เข้าใจจิตวิญญาณของนักดาบหรอกนะ แต่มันต้องมีเหตุผลเป็นธรรมดาอยู่แล้วนี่ ถ้าสงสัยนักว่างๆก็ไปถามสิ ภายนอกดูเป็นพวกกะล่อนไม่น่าคบนิดหน่อย แต่จริงๆก็คุยด้วยง่ายดี”
ไม่ใช่คนประเภทเกรียนแตกอย่างเคียวยะ รึยูจิตอนนี้ด้วย นี่แหละสำคัญ
ก่อนที่ฟัฟนิร์จะไปตามที่ผมบอก ผมก็พูดขึ้นก่อน
“แล้วก็นะ ถึงหมอนั่นมันจะไร้พรสวรรค์ แต่ในอนาคต โลกของนักดาบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่จากหมอนั่น”
ความอ่อนแอของมนุษย์ นำพาไปสู่วิถีแห่งการครุ่นคิดไปสู่ชัยชนะ บางที่นี่อาจจะเป็นวิชาดาบที่แท้จริงของเรย์
“เชื่อมั่นในตัวเจ้าเรย์น่าดูนะ ต้าวเรเซอร์”
ในนิยายต้นฉบับ เรย์จะเป็นคนคิดค้นการจำแนกวิชาดาบขึ้นมา แต่ไม่ทันที่จะได้เผยแพร่เจ้าตัวก็ตายก่อน ผู้เผยแพร่เลยกลายเป็นยูจิแทน นอกจากนั้นเจ้าตัวก็ได้คิดค้นวิชาดาบสุดขี้โกงขึ้นมาบนโลกใบนี้ด้วย มันคือวิชาดาบที่เหนือกว่าทุกวิชาบนโลก และสิ่งนั้นจะกลายเป็นรากฐานใหม่ให้แก่โลกใบนี้
แน่นอน ให้หลังจากเรย์ตามไปสิบปี วิชาของเรย์จะถูกพัฒนา ชนิดที่เรย์น่าจะตามไม่ทัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอกว่าจุดเริ่มต้นมาจากนักดาบธรรมดาๆคนหนึ่ง
“แน่นอนสิ”
เพราะอย่างนั้นผมจึงเชื่อในตัวเรย์ละนะ
ผมกับฟัฟนิร์เดินลงจากศาลา ไปหาทั้งสองคนหลังการต่อสู้ เรย์หายใจฮอบขณะที่นอนกองกับพื้น ส่วนชินยืนตรงทั้งรอยยิ้ม ไม่เห็นแม้แต่เหงื่อสักหยดเดียว
“สำหรับตอนนี้ก็ยังห่างชั้นกันน่ะนะ”
…..
….
“พวกนักล่ากลับมาแล้ว!!!!!!!!(ภาษาชนพื้นเมือง)”
เสียงตะโกนของคนๆหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับเสียงกลองที่ดังสนั่นไปทั่วทั้งชนเผ่า เห็นอย่างนั้นพวกผมก็รีบตรงไป ณ จุดๆที่มีเสียงดัง และเมื่อไปถึงผมก็พบกับขบวนคนของชนเผ่าราวสิบคนที่แบกหมียักษ์มา โดยที่มีคนๆหนึ่งเดินนำหน้าซะโดดเด่นเชียว
‘หนิง’ ในชุดชนเผ่าสีน้ำตาลลายแดงเปิดไหล่และอก บนหัวมีขนนกติดอยู่เป็นเครื่องประดับ หล่อนเดินอยู่หน้าขบวน เดินไปก็เต้นไปอย่างสนุกสนาน เสียงเฮดังสนั่นไปตามจังหวะการออกท่วงท่าสุดเมามันนั่น
นอกจากนั้นพอเริ่มมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็สังเกตุได้ว่าผิวของหนิงออกไปในทางคล้ำนิดหน่อย นี่อยู่แค่ไม่กี่วันเองนะ ผิวเปลี่ยนซะแล้วเหรอเนี่ย?
เป็นคนที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้ง่ายดีจริงๆนะ ยัยนั่น