เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 32: เทศกาลตามล่า โจร กกน. (1)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 32: เทศกาลตามล่า โจร กกน. (1)
< < 27 > >
‘วันนี้ก็เหมือนกับเมื่อวาน’ —ชีวิตวัยรุ่นหลายต่อหลายครั้งมักจะคิดกันได้แค่นี้ อือ ผมเองก็ด้วยละนะ วันนี้ก็เหมือนกับเมื่อวาน
เพราะผมก็คุยเล่นกับเพื่อนที่กำลังทำความรู้จักกันปกติ บ้างก็แวะไปผูกสัมพันธ์กับยูจิบ้าง เรย์ช่างมัน ที่สำคัญเบลลามีก็ไปหาตอนพักเที่ยงเหมือนทุกที ทว่า—วันนี้ต่างออกไป
พักกลางวัน
ผมยิ้มเจื่อนๆ พลางหันซ้ายหันขวาในห้องสมุดไปมา
ตรงหน้าคือเบลลามีที่ใจจดใจจ่อกับการอ่านหนังสือนวนิยาย เหมือนทุกที ส่วนซ้ายและขวาผมคือคนดีและนักเลง
นักเลงที่ไหนไม่รู้อีกคน ..ส่วนไอ้ผมที่นั่งอยู่ตรงกลางเหมือนเบลลามีคือ—คนดี?
“คะ เคียวยะ! นี่นายอ่านหนังสือด้วยเรอะเนี่ย?”
โซเฟียพูดอย่างตื่นตระหนก เธอแปลกใจเกินไปกับการที่คนคนหนึ่งจะอ่านหนังสือ และนั่นย่อมทำให้พวกทิฐิสูงอย่างเคียวยะหงุดหงิด
“ฉันอ่านหนังสือแล้วมันหมายความว่ายังไงวะ ไอผู้หญิงสถุล”
ด่าได้รุนแรงมาก สมกับเป็นเคียวยะ เป็นไปได้ผมก็อยากให้เพลาๆ ลงหน่อยอะนะ แต่ก็อย่างที่เห็นเคียวยะคือนักเลงหมาป่าเดียวดายขนานแท้ ถ้าพูดอะไรไม่เข้าหูคงโดนลอบกัดแหง
โซเฟียถึงกับหงอเลยทีเดียว
“…แค่ถามเอง”
“เดี๋ยวเถอะแก! มีสิทธิ์อะไรไปว่าโซเฟียฟร้ะ!?”
กอรี่ท้วงขึ้นอย่างหงุดหงิด ในฐานะคนดี
“เดี่ยวก็ปัดต่อยให้กลิ้งซะหรอก!”
แม้ว่าคนดีโดยทั่วไปจะไม่ใช้กำลังในการแก้ปัญหาก็ตาม เขาคือนักเลงเหมือนกับเคียวยะ เป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อดีจริง
ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน เพราะพวกเขาทะเลาะกันโดยไม่เกี่ยวกับผม อีกอย่างคือผมเกรงใจเบลลามีสุดๆ —-เกรงใจคนอื่นในห้องสมุดด้วย เขาไม่ได้ให้ส่งเสียงดังกันนา …ทุกคน
“หา? คิดว่าทำได้ก็ลองดูสิวะ!!”
“ท้าเองนะ!”
“เดี่ยวสิพวกแก!”
ทั้งสามเล่นอะไรกันไม่รู้ จะต่อยก็ไม่ต่อย ลองเชิง? ดูไม่เป็นอย่างนั้นเลยแฮะ ฮะๆ
“เล่นกันเบาๆ หน่อยนะ” ว่าแล้วผมก็เตือนหน่อย
“มันไม่ใช่การเล่น …มันคือการต่อสู้” เคียวยะตอบ
จริงจังสุดๆ เจ้าบ้านี่คิดจะฆ่ากอรี่หรือไง?
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ขอโทษที่พวกเพื่อนฉันส่งเสียงดังนา เบลลามี”
“อือ ไม่เป็นไรหรอก …บรรยากาศเช่นนี้ไม่ได้เลวร้ายนัก” หล่อนพูดโดยที่ยังไม่วางตาจากหนังสือ “นานๆที ..วุ่นวายบ้าง ..ไม่เป็นอะไรหรอก”
นั่นสินะ แต่ยังไงผมก็ต้องลุกไปเคลียร์อยู่ดี ไม่นั้นจะรบกวนคนอื่นเอา
“เฮ้ๆ พอเลยนะ หนุ่มน้อย”
ผมเดินเข้าไปขวางกลางระหว่างกอรี่ โซเฟีย และเคียวยะ
“…ทำตัวน่าหงุดหงิดชะมัด”
เคียวยะพูดจบก็สะบัดตูดเดินไปนั่งอ่านหนังสือคนเดียว …ลับสายตาด้วย
“เจ้านั่นจะเกลียดอะไรพวกเรานักหนากัน?” กอรี่พึมพำ เซ็งสุดๆ
“หรือว่าจะมีปัญหาน่ะ? …ต้องช่วยสิถ้านั้น” โซเฟียกำหมัดอย่างหนักแน่น
ผมที่เห็นเด็กดีสองคน(-1)ก็พลอยยิ้มอ่อนโยนกับทั้งสอง
“เรเซอร์จริงๆ ฉันก็สงสัยมานานแล้วละนะ” โซเฟียยกมืออย่างมีมารยาท
“ว่ามาเลย”
“ทำไมนายยิ้มได้ขยะแขยงจริงอะ เป็นคนชอบยิ้มแท้ๆ แต่ยิ้มได้น่ากลัวมากเลย”
“นั่นน่ะทำร้ายจิตใจพอดูเลยนะ”
ว่าแล้วโซเฟียก็เอามือมาอุดปากสนิท
“ขอโทษ”
“อืม แค่พูดเล่นน่ะ จริงๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจมันอะไรหรอก บางทีการยิ้มได้พิลึกอย่างนี้ก็เป็นเอกลักษณ์อันน่าเหลือเชื่อของฉันด้วย แถมมีประโยชน์อีก ตอนจะโดนคุณพี่นักเลงดักขโมยตังค์พอยิ้มให้ดันพากันวิ่งกระเจิงเลย แบบนี้เรียกว่าดวงดีมีบุญได้กระมัง?” ผมหัวเราะไร้อารมณ์ “การยิ้มน่ะ ..ไม่เหมาะกันฉันเลยนี่เนอะ”
“ขอโทษจริงๆ นะ เรเซอร์ คนเราจะยิ้มมันไม่ได้ยิ้มกันที่ใบหน้าอยู่แล้ว เขายิ้มกันที่ใจต่างหาก!”
“ใช่แล้วๆ! คนดีอย่างนายไม่ต้องเครียดหรอก กอรี่คนนี้ขอรับประกันให้”
ทั้งสองปลอบใจผมใหญ่เลย …ผมแค่พูดหยอกเล่นแท้ๆ
“ขอบใจละกัน”
“อืม/อ่า!!!”
….
บรรณารักษ์ผู้ชายเดินมาหาพวกผม
“ชะ ช่วยเบาเสียงหน่อยนะครับ”
เบลลามีพยักหน้าให้
“ขอโทษคะ”
“..ครับ” เขาคงคุ้นชินกับเบลลามีดี “ยังไงก็..รักษามารยาทในห้องสมุดด้วยนะ”
“ค่ะ”
บรรณารักษ์โค้งหัวให้และเดินกลับไป …เบลลามีหันมาจ้องผม และใช้นิ้วแตะตรงริมฝีปาก ทำเสียง ‘ฟี’ ที่แปลว่าเบาหน่อย
“เขาโกรธแล้วนะ”
“โทษทีนะเบลลามี จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมพูด “โทษทีนา”
“ขอโทษจริงๆ นะเบลลามี” โซเฟียพูด
“ขอโทษจริงๆ” กอรี่พูด
ผมกับอีกสองคนคอตกเดินออกจากห้องสมุดกันไป เพื่อให้เบลลามีใช้เวลาอ่านหนังสืออย่างเต็มที่
****
(มุมมองของเบลลามี)
พวกเรเซอร์ออกไปแล้ว …เราไม่ได้ไล่เสียหน่อย ทำไมต้องไปกันด้วยนะ…
เราได้แต่เอียงคอฉงน ก่อนจะถอนหายใจเบาหวิว และอ่านหนังสือต่ออย่างตั้งใจ ทว่า …ไม่มีอารมณ์อ่านแล้ว
อุตส่าห์ได้มีโอกาสคุยเล่นกับคนอื่นจริงจังเสียที น่าเสียดายมาก
เราปิดหนังสือนิยายลง และนำมันไปเก็บในชั้นเดิม บังเอิญว่าชั้นที่หยิบมามันอยู่ข้างกับคนที่พวกเรเซอร์ไปมีเรื่องด้วยตะกี้นี้
จำไม่ผิด ดูดุร้าย ..คนที่ดูดุร้าย ชื่ออะไรนะ
แต่เขาเหมือนกับเราเลย ..ตรงที่โดดเดี่ยว
“..ชื่ออะไรเหรอ?” คนตรงหน้าทำเมินสนิท “…นิยายที่อ่านนั่น สนุกรึเปล่า?”
ไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่บังเอิญไปเห็นนิยายในมืออีกฝ่ายพอดี เราไม่เคยอ่านมันจึงมีเรื่องให้คุยบ้าง แต่น่าจะเป็นได้แค่การทักแบบงูๆ ปลาๆ เท่านั้น ..เรานี่ไม่ไหวจริงๆ
เขาคนนั้นแหงนหน้ามอง พลันส่งสายตาราวกับข่มกันใส่
“มีปัญหาอะไรรึเปล่า เด็กแก็งเรเซอร์”
“เด็กของเรเซอร์? …เปล่านะ เราเป็นเพื่อน?”
“แล้วจะมาทำย้อนทำไมเล่า น่าจะรู้เองแก่ใจไม่ใช่เรอะ?”
เขาทำหน้าหงุดหงิดใส่ ..คนนี้พิลึก แต่..
“นั่นสินะ พวกเราเป็นเพื่อนกันสินะ”
พอรู้ว่าเป็นเพื่อนกับเรเซอร์เราก็เผลออมยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“…แล้วสนุกมั้ย?”
“…ใช้ได้ ถ้าไม่โดนสปอยก็ใช้ได้อยู่”
ว่าแล้วเคียวยะจึงถอนหายใจ ก่อนปิดหนังสือนิยายลง
“บอกไว้ก่อน ถ้าจะมาทักทายฉันเพราะสงสารบอกเลยว่าน่าโมโหสุดๆ”
“…”
“เป็นไปได้ช่วยหยุดที”
เขาพูดอย่างไร้เยื่อใย เป็นคนที่ดูตรงเกินไปจนไร้มารยาท และดุอย่างที่คิดไว้เลย
“จู่ๆอย่ามาชวนชาวบ้านคุยด้วย มันน่าหงุดหงิดและรำคาญ ไม่มีใครชอบหรอก”
“ตอนเจอกับเรเซอร์ครั้งแรกเขาก็มาทักทายฉันแบบไม่ตั้งตัวนะ ไม่เห็นน่ารำคาญเลย”
“คงเป็นแค่ฉันสินะ ขอบใจละกันที่ช่วยสอนเรื่องสามัญสำนึกอีกเรื่อง”
เขาพูดขอบคุณเหมือนประชดประชัน
“สรุปแล้วมาทักฉันจะเอายังไงกันแน่ละ บอกเลยถ้าจะเล่นเป็นเพื่อน ขอปฏิเสธ”
“…ถึงฉันจะไม่รู้อะไรมากก็เถอะ แต่ถ้าเป็นเพื่อน ..มันก็ต้องเล่นกันบ้างอยู่แล้วสิ”
“เป็นผู้หญิงที่ย้อนแย้งและซื่อดีนี่” เขาจ้องมายันนัยน์ตาของเรา “คำพูดมาจากใจจริงทั้งหมด หาได้ยาก”
และพูดราวกับอ่านใจได้
“ไม่คิดจะมีเพื่อน ไปไกลๆ ซะ”
“อือ”
ฉันพยักหน้ารับและหันหลังกลับไป แต่ก่อนหน้านั้นดันนึกเรื่องคุยออกพอดี
“ถ้าเกิดอยากคุยเรื่องนิยาย ..คุยกันได้นะ”
“…”
“..คิดว่ายังไงหรือ?”
“เออ ไว้จะเก็บไปคิดดูก็ได้”
เป็นครั้งแรกที่ยอมผ่อนปลงให้ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเลย
“เรเซอร์ก็ชอบอ่านด้วย ไว้คุยกันก็ดีนะ”
“เจ้านั่นมันตอแหล มันแค่คิดจะเข้าใกล้เธอเลยทำเป็นเชี่ยวชาญแค่นั้นแหละ”
…ดูไม่ออกเลย ฟังหูไว้หูท่าจะดีกว่า
“ว่าเรเซอร์ไม่ได้นะ เขาเป็นคนดี”
“…เออ ถ้าจะด่าเดี่ยวไม่ด่าให้หล่อนฟังก็ได้”
“ขอบใจนะ”
หมอนี่ขมวดคิ้วและเบ้ปากหงุดหงิด เหมือนจะหยะแหยงกับอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็นเลย
ไม่รู้สิ
ฉันตัดสินใจหยิบนิยายเรื่องสั้นมานั่งอ่านก่อนจะเข้าคาบบ่าย “..อีกอย่าง..ฉันชื่อ ‘เคียวยะ'”
สุดท้ายเขาก็บอกชื่อให้ฟัง ..เคียวยะนี่เอง
*****
ในช่วงบ่ายผมพยายามไปผูกมิตรกับเคียวยะหลายต่อหลายครั้ง แน่นอนว่าถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี ดีที่เป็นผู้ชายมิเช่นนั้นจิตใจผมคงแหลกสลายเป็นผุยผงไปแล้ว ประหนึ่งถูก ธานอo ดีดนิ้ว
น่าแปลกใจมาก—เคียวยะเข้าถึงได้ยาก ไม่สิ จะว่าตามคาดก็ได้ แต่มันเกินเลยกว่านั้น นึกว่าจะเป็นเด็กปากเสียไม่สุงสิงกับใครที่ถ้ามีคนมาชวนคุยบ่อยๆ ก็จะเริ่มสนิทซะอีก ชั่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ไม่ว่าจะชวนคุยแค่ไหน หมอนั่นก็ไม่คิดเล่นด้วยเลย
ผมพยายามผูกมิตรต่อไป กระทั่งเลิกเรียนแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าเคียวยะจะเล่นด้วย ซ้ำร้ายยิ่งฝืนคุยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งโดนเกลียดมากเท่านั้น …
“เรเซอร์เย็นนี้ไปเที่ยวร้านบาร์แห่งหนึ่งมั้ย? ฉันเผอิญเจอเมื่อวานน่ะ เป็นร้านที่ดีทีเดียว” กอรี่โพ่งขึ้น โซเฟียเห็นก็ท้วง
“ไปบาร์มันจะปลอดภัยเรอะ?”
“บาร์ไม่ใช่ที่อันตรายขนาดนั้นสักหน่อย แล้วร้านนี้ก็ไม่ค่อยมีคนด้วย”
“เย็นนี้ว่าจะไปอ่านหนังสือเพิ่มเติมสักหน่อย แต่ผ่อนคลายบ้างน่าจะดี…เอาไงดี?”
โซเฟียหันมาถามผม อย่างกับว่าถ้าทั้งสองคนโอเครก็จะไปด้วย
“ชวนเบลลามีด้วยก็ได้นะ” โซเฟียพูด
“โอ้ ไปกันเยอะๆ นั่นแหละสนุก” กอรี่เสริม
…ผมส่ายหัวให้ทั้งสอง พลางยิ้มตอบ
“ขอโทษนะ เย็นนี้มีธุระน่ะ”
“เรื่องโจรขโมย กกน. เหรอ?”
“อ่า”
“ลำบากแย่เลยนะ” โซเฟียพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“เรย์เป็นถึงว่าที่คณะกรรมการนักเรียนไม่ใช่รึไง ไหงโยนงานมาให้แกหมดเลยละนั่น” กอรี่พูด
นั่นสินะ ทำไมถึงโยนงานให้ผมกันนะ? ให้เดาคงเพราะสนใจในตัวผมกระมัง ตัวผมกับพี่ชายของเขามีเอี่ยวกับพอตัว ถึงระดับที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่า ผมคือคนฆ่าชิน ..หมอนั่นคงอยากรู้หลายๆ อย่างเกี่ยวกับผมมากขึ้น ในเชิงตามหาคนร้าย
“ไม่หรอก ฉันเองก็ได้ประโยชน์มาเหมือนกัน”
ทั้งสองเอียงคอฉงน คงสงสัยว่าไปรับงานแทนพวกคณะกรรมการนักเรียนแล้วจะได้อะไร?
“ก็ถ้าทำสำเร็จฉันจะได้ลบล้างข้อกล่าวหาได้ไง ที่สำคัญอาจมีเส้นสายระหว่างช่วยงานก็ได้ อย่างเรย์หรือรุ่นพี่ไอริสเป็นต้น ถึงจะเป็นโรงเรียนแต่นี่ก็กึ่งโรงเรียนสำหรับขุนนาง มีเส้นสายเผื่อไว้น่าจะดีกว่า เพื่ออนาคตน่ะนะ”
“แบบนี้นี่เอง แกนี่สมกับเป็นบุตรชายของท่านดราแคล์เลยนะ” โซเฟียนำกำปั้นทุบฝ่ามืออย่างชื่นชม
“ดูไม่บริสุทธิ์ใจเลยนะ …อ๊ะ ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกๆ!” กอรี่พึมพำขึ้นก่อนจะรู้สึกตัวว่าพูดเชิงหาเรื่องผมไป
แน่นอนว่าไม่ถือสาหรอก
“คงจะอย่างนั้นแหละ—-แต่แค่ใจจริงคืออยากช่วยก็ไม่เป็นไรก็ได้เนอะ?”
อืม ถึงใจจริงจะไม่ใช่เหมือนกันก็ตาม เรื่องเส้นสายก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ด้วย …ผมเล่ห์มองเคียวยะที่ยังนั่งอยู่ ทั้งๆ ที่ปกติจะเดินออกจากห้องทันทีหลังเลิกเรียน ทว่ากับนั่งฟังต่อ
“เอาเป็นว่าถ้าวันนี้ไปได้สวยพรุ่งนี้ไว้ไปบาร์กันดีกว่า”
ผมยกนิ้วโป้งให้ ว่าแล้วก็บอกลาและเดินออกจากห้องไป—-ไปหารุ่นพี่ไอริส
ผมนัดเธอคุยที่หน้าหอหญิงเลย เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครดักฟัง
“มีเรื่องให้ช่วยหน่อยน่ะครับ เกี่ยวกับคดีโจร กกน. ของรุ่นพี่ไอริส”
“…อย่าเอาชื่อฉันไปใส่กับคดีเสื่อมๆ อย่างนั้น …เข้าใจแล้ว ลองว่ามาสิ” ไอริสกอดอกรับฟัง “คงสำคัญมากสินะ”
“ครับ”
ผมเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ฟังอย่างรวบรัด เพราะ—-คดีโจร กกน. ต้องรีบจบในวันๆ นี้นี่แหละ
*****
ในห้องที่ปกคลุมไปด้วยความมืด มีคนคนหนึ่งกำลังเดินผ่านสิ่งกีดขวางมากมายโดยไร้ซึ่งแสงสว่าง ทั้งหมดสมบูรณ์แบบราวกับเขามีประสาทสัมผัสที่ดี …ที่นี่คือห้องในหอหญิง เป็นสถานที่สำหรับผู้หญิง และผู้ที่เดินอยู่ก็ควรจะเป็นข้าวของห้องด้วย ทั้งอย่างนั้นกลับไปเปิดไฟหรือผ้าม่าน
แม้จะเป็นห้องของตัวเอง แต่หากห้องรกมีอะไรวางเต็มไปหมดก็น่าจะมีสะดุดบ้างเล็กน้อยแท้ๆ
“…”
เขามาหยุดอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าตรงหน้า ไม่รอช้าจึงรีบเปิดเก๊ะข้างล่างทำให้พบกับเครื่องนุ่งห่มส่วนร่างของหญิงสาว—-ว่าง่ายๆ กกน. ใช่ กกน.หลากสีดูน่ารักกำลังเรียงลายกัน บางอันเป็นลายหมีด้วย ทั้งหมดดูไม่แพงมาก อย่างกับกางเกงในที่หาได้ตามท้องกระดาษ ทั้งๆที่นี่เป็นห้องของลูกขุนนาง
“เชอะ ใส่ของเด็กน้อยชะมัด ยัยบ๊องตื่นนั่น”
เจ้านั่น …ว่าเป็น ‘โจร’ ก็ได้ เขาพึมพำเช่นนั้นราวกับดูถูกเจ้าของกางเกงในหลากสีที่ดูน่ารัก ..ไร้มารยาทที่สุด
“เอาเถอะ ยังไงก็ช่าง จะยังไงก็ช่างมัน”
เขาคว้ากางเกงในนับสิบอันมากำไว้ในมือ พลางแสยะยิ้มรางๆ มิใช่รอยยิ้มหื่นกาม หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ถูกเติมเต็มในจิตใจ เป็นรอยยิ้มที่น่าขยะแขยงเป็นที่สุด
“ยัยนั่นมากวนตีนกันซะได้ ต้องสั่งสอน…หึๆ” ว่าแล้วก็หัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆ!! พอรู้ว่าโดนขโมยกางเกงมันจะร้องไห้มั้ยนะ! อา อยากเห็นจริง อยากเห็นเป็นบ้า!”
หัวเราะอย่างชั่วร้ายจบ …เอี๊ยด—ประตูห้องก็เปิดขึ้นอย่างช้าๆ แสงจากภายนอกโหมเข้ามาข้างในห้องอันดำมืด
“—–หา?”
เจ้าโจรร้ายส่งเสียงตกกะใจ
ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาคือผู้หญิงเกือบจะสิบคน …ทั้งหมดจ้องที่ชายสวมผ้าคลุมซึ่งกำลังกำ กกน. ชาวบ้านอยู่—–น่าสงสัย ไม่สิ ไอ้หมอนี่มันเป็นคนร้ายไม่ผิดแน่
คิดได้เช่นนั้นก็อย่างกับมีสัญญาณเตือนไฟไหม้
“—–กรี๊ด!!!!!”
“โจรขโมยกางเกงใน!!”
“แกทำอะไรห้องคุณโซเฟียน่ะ!!”
ห้องนี้คือห้องของหญิงสาวที่มีนามว่า ‘โซเฟีย’ เด็กดีของทุกคนในหอหญิง …ผู้เป็นที่รักกำลังถูกกระทำ ทุกๆ คนที่เห็นต่างเป็นเดือดเป็นร้อนกับเหตุการณ์ร้าย
โจรร้ายผู้กระทำผิดได้แต่อึ้งกิมกี่ เขานิ่งสนิท อ้าปากค้างก่อนที่จะได้สติจากเสียงร้องของหญิงสาวมากมาย
“ยะ อย่าเข้ามาเชียวละ ไปไกลๆ ซะ!!”
โจรร้ายลุกขึ้นยืน และจับข้อมือของตัวเอง คล้ายจะร่ายเวทย์ นั่นทำให้ทั้งหมดนิ่ง
“…แกเป็นโจรขโมย..พักนี้รึ?”
“อะ..ฮะๆๆ”
เจ้าโจรขำแห้งๆ อยู่ๆก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ตลกเลย—
“ถ้าใช่แล้วจะทำไมฟร้ะ!!”
พูดออกมาเช่นนั้นก็เกิดเวทย์น้ำขนาดยักษ์ขึ้นมาที่ปลายมือ เจ้านั่นสะบัดมือหนึ่งครั้งทำให้แรงอัดเกิดขึ้นตรงปลาย—-มันพุ่งเข้าใส่ผู้หญิงหลายคน
และระเบิดออก เป็นระเบิดน้ำเบาๆ ใช้ทำลายการมองเห็นได้ชั่วขณะ
“ถ้าตามมาพวกแกเป็นรายต่อไป! จะจำหน้าไว้ให้หมดเลยคอยดู!! รวมถึงลายกางเกงในของพวกแกด้วย! นังตัวดี!!”
พูดจาภัยสังคมจบก็รีบหันหลังใส่เกียร์หมา และกระโดดถีบกระจกออกไปข้างนอก——
“—เดี่ยวสิ กระโดดแบบนั้นมัน”
ไอ้ภัยสังคมทำมือผสานกันในเชี่ยววิเดียว—ทันใดนั้นเขาก็เดินแตะอากาศได้
“ ‘วิชาไสยศาสตร์ กฎแห่งธรรมชาติ’ ”
ทั้งหมดกรูเข้ามาดูตรงหน้ากระจกที่แตก และพบว่าโจรร้ายค่อยๆ กระโดดลงไปข้างล่างโดยที่ใช้อากาศเป็นตัวเหยียบ
“….วิชาอะไรนั่น?”
ทุกคนต่างแปลกใจกับภาพตรงหน้า—-โจรร้ายแข็งแกร่ง เกิดความคิดนั้นวูบเข้าสมองทันที
โจรร้ายซึ่งเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่คล้ายจะสิ้นหวังก็แสยะยิ้มออกมา
“ไอพวกลูกคุณหนูที่มีดีแต่ชาติกำเนิดก็แบบนี้หมด อ่อนแอเป็นบ้า กระจอกชะมัด ไร้ค่า! ฮ่ะๆๆๆๆ!!! เห็นกางเกงในหมดแล้วเฟ้ย! ยะโฮ้ว!!!”
เขากระโดดลงพื้นได้อย่างสวยงาม————ดวงตาของโจรร้ายส่องประกายราวกับคำนวณอะไรบางอย่าง เพียงเชี่ยววิเดียวที่เขาลงมาแตะพื้น
“วิชาไสยศาสตร์ตะกี้นี้สุดยอดเลย”
เสียงคล้ายกับชื่นชมดังขึ้น พร้อมบอลเพลิงที่พุ่งเข้าใส่อย่างเถรตรง—-บอลเพลิงที่รุนแรงยากจะหาได้
“–ฮึย!!!”
โจรสะบัดมือมาเสกกำแพงน้ำรับการโจมตีนั่น บอกได้แค่ว่า ทันอย่างฉิวเฉียด ตะกี้นี้อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว …เขารู้ได้โดยทันทีว่าเมื่อกี้เกือบจะแพ้ไปแล้ว
ชายเจ้าของบอลเพลิงพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ประหนึ่งตัวร้ายในตำนานมาโปรด
เขามีชื่อว่า ‘เรเซอร์’ ผู้เข้าโรงเรียนมาด้วยคะแนนปฏิบัติเป็นส่วนมาก พร้อมกับชื่อเสียตั้งแต่วันแรก กล่าวได้ว่า–ว่าที่บอสจิ๊กโก๋ของโรงเรียน
“…กะ แก!” โจรปากสั่นไม่หยุดเมื่อเห็นชายเบื้องหน้า “แกนี่มันขวางหูขวางตาชะมัด!!!”
“โทษทีนะไอโจรวิตถาร ถึงเวลาลากหัวไปห้องคุมวินัยแล้ว”
ว่าอีกอย่างก็ห้องปกครอง
เรเซอร์สะบัดมือเบาๆ ก็เกิดแรงลมมหาศาล การร่ายเวทมนตร์อย่างรวดเร็ว เทคนิคเดียวกับที่เจ้าโจรใช้—–เป็นเทคนิคที่โจรมั่นใจมาก แต่มันกลับถูกใช้ได้ด้วยเด็กวัยเดียวกันที่ไม่ได้มีพลังวิเศษอย่างเขา นั่นทำให้เดือดขึ้นมาบนหัวร้อนละอุ
“—-อย่ามาอวดดีหน่อยเลย ไอสวะ!!” ดินขนาดเล็กที่เปี่ยมไปด้วยความรุนแรงพุ่งออกจากปลายมือของโจร
“เอ้า ฮึบ!” เรเซอร์เอี่ยวตัวหลบอย่างชำนาญและง่ายดาย เขาใช้มืออีกข้างควบคุมเวทลมที่พึ่งสั่งทำงานไปตะกี้นี้
ฟิ้ว!!!! แรงลมอัดเข้าใส่ลำตัวของโจรจนกระเด็นไปไกล และถูกแรงลมดันให้ติดกับพื้น มือทั้งสองข้างถูกดันไว้ให้ติดพื้น
“มะ มือตู!” โจรร้องลั่น “แม่งเอ้ยยย!!!!”
การใช้วิชาไสยศาสตร์คือการใช้วงจรเวทย์สองข้างผสานกัน เพื่อเล่นกับกฎของมานา…แน่นอน ถ้ามือไม่สามารถประสานกันได้ย่อมไม่สามารถใช้วิชาไสยศาสตร์ได้ โดยพื้นฐานละนะ ถ้าเกิดเป็นผู้ที่บรรลุสักแขนงของแค่นี้คงไม่มีผลประเลย แต่กับอัจฉริยะที่เป็นแค่เด็กอมมือวิชาไสยศาสตร์แล้วคนละเรื่อง
“—-อย่าคิดว่าจะจบแค่นี้เชียว”
โจรภัยสังคมพูดพร้อมเพรียงกับดินที่พุ่งมากระแทกตัวเขาอีกต่อ จนกระเด็นขึ้นฟ้า อาจจะเป็นการกระทำที่โง่เขลา แต่นั่นช่วยทำให้หลุดจากการสะกดของเรเซอร์ ดราแคล์
“—-‘วิชาไสยศาสตร์ กฎแห่งธรรมชาติ’” โจรผสานมืออีกครราวด้วยการแตะเบาหวิว
เหมือนกับการทำให้อากาศแข็งตัวเมื่อกี้—แค่ครั้งนี้เป็นกำแพงอากาศที่ยาวถึง 10 เมตร
โจรแลนดิ่งลงพื้นได้อย่างสวยงามโดยการใช้เวทย์ลมพยุงตัว และออกวิ่งเพื่อหนีเรเซอร์ทันที เขาไม่คิดจะสู้
เรเซอร์ไม่รีรอพุ่งตัวเข้าใส่กำแพงอากาศและใช้ขาสองข้าววิ่งขึ้นในแนวตั้งขึ้นไป จนเลย 10 เมตรได้—-
“ [เอริทครีเอท!]” ดินปรากฏออกมาจากฝ่าเท้าเขา เป็นทรงสเกตบอร์ด เรเซอร์โค้งตัวลงและใช้มืออีกข้างแตะตรงปลายหินทรงสเก็ตบอร์ด—เร่งสปีดด้วยการปล่อยลมเบาๆ น่าจะขั้นกลางได้
ตู้ม!!!! แรงระเบิดอากาศดังขึ้นพร้อมกับการพุ่งตัวอย่างรวดเร็วโดยสเกตบอร์ด พริบตาเดียวก็มาอยู่หลังของโจรแล้ว
“แกนี่มันน่ารำคาญจริงๆ!”
โจรหันหลังกลับมาและปล่อยเพลิงขนาดยักษ์ใส่ แรงพอจะเผาคนให้นอนนิ่งทั้งอย่างนั้น
“มาไม้นี้เรอะ” เรเซอร์พึมพำเบาหวิว
เรเซอร์ไม่มีทางเลือกที่จะหยุดทำลายเพลิงของโจรก่อน ทำให้โจรสามารถวิ่งไปได้สะดวก
“—ก็แค่นี้แหละ ถ้าตามมาแกไม่ตายดีแน่!”
“แกนี่นะ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยเอากางเกงในชาวบ้านคืนแบบบริสุทธิ์ใจไม่ได้หรือไง—-!!”
เรเซอร์ยกมือขึ้นฟ้า และปล่อยบอลเพลิงไปสามลูก————-ตู้ม!!!! มันระเบิดขึ้นบนฟ้าสามครั้ง ราวกับสัญญาณ
ทันใดนั้นเองลำโพงของโรงเรียนก็มีเสียงคลื่นแทรก
“—-ขอความร่วมมือทุกคน ช่วยกันจับโจรด้วยนะคะ ตำแหน่งตามสัญญาณบอลเพลิงสามลูกเมื่อครู่นี้ ขอบคุณค่ะ”
เสียงนั่นดังไปทั่วโรงเรียน …ไม่ใช่แค่นักเรียน แต่คณะอาจารย์ที่มากฝีมือก็ได้ยินเช่นกัน บ้างก็เป็นอดีตอัศวินแห่งฟัฟนิร์ บ้างก็เป็นอดีคจอมเวทราชสำนัก บ้างก็เป็นอดีตทหารระดับชั้นนำ …ทั้งหมดถูกเรียกร้องให้ช่วยจับโจรที่ก่อความเดือดร้อน และโจรที่ถูกหมายหัวแม้จะเป็นอัจฉริยะมากเพียงใด แต่กับเหล่าผู้เก๋าเกมเรื่องต่อสู้แล้ว—ย่อมน่าวิตก
—–โจรรู้เรื่องนั้นดีกว่าใคร เพราะฉะนั้นจึงแหกปากออกมาสุดตัว
“อย่ามาล้อเล้นนะเฟ้ย!!!!!!!”
เขากำลังถูกคนตามล่านับร้อย