< < 199 Sec2 > >
อัศวินสารพัดประโยชน์ชินได้จอดรถยนตร์เวทมนตร์ที่หน้าหมู่บ้านของชนพื้นเมืองแห่งหนึ่ง พวกผมลงมาจากรถ และพบกับชนพื้นเมืองผิวดำยืนถือหอกยาวราวสองคน ในชุดที่เป็นเอกลักษณ์คล้ายชนพื้นเมืองแถบแอฟริกา
“ที่นี่หรือครับ?”
“ไม่รู้เหมือนกันสิ คงต้องลองคุยดูก่อน”
พวกเขาจ้องมาที่ทางผมและกระซิบข้างหูกันไปมา ก่อนที่หนึ่งในสองคนเดินมาหาผม
“มีธุระอะไร(ภาษาชนพื้นเมือง)”
…เอาแล้วไง
“ท่านเรเซอร์?”
“คือฉันไม่เข้าใจภาษาชนพื้นเมือง นายพอจะเข้าใจรึเปล่า?”
อนึ่ง แม้จะรู้ว่าชินเป็นผู้หญิง แต่ทั้งผมและชินก็ยินดีที่จะให้ผมแทนเขาว่า ‘นาย’ มากกว่า เนื่องจากความเคยชินในอดีต ทั้งทางผมที่แทนชินแบบนี้ตลอด และทางชินที่เล่นบทเป็นผู้ชายมาครึ่งค่อนชีวิตซะจนตอนนี้ไม่น่าเป็นชายแท้หรือหญิงแท้ได้แล้ว
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอีแบบนี้เรียกว่าอะไร แต่จะยังไงก็ได้แหละนะ ชินยังไงก็เป็นชิน ยอดอัศวินของผมอยู่ดี
“ถ้าชนพื้นเมืองที่ทวีปฟัฟนิร์ก็พอสื่อสารได้อยู่ขอรับ แต่..กระผมไม่ได้ศึกษาของคนในแถบนี้เลย”
“แย่แล้วสิแบบนี้”
ตามปกติชนพื้นเมืองจะใช้ภาษาที่แตกต่างกับพวกเรา ไม่ได้ต่างกันอะไรมากมายก็จริง แต่ถ้าคุยกันคนละภาษามันก็อาจเข้าใจผิดไปคนละเรื่องเอาได้
น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ศึกษาเรื่องภาษามาก่อนเลย ทว่าไม่นานฮีโร่ก็ปรากฏ ฟัฟนิร์เดินออกมาคุยแทน
“พวกข้ามีธุระกับผู้อยู่อาศัยที่นี่(ภาษาชนพื้นเมือง)”
“ใช่นักดาบกับเทพีผู้งดงามหรือไม่(ภาษาชนพื้นเมือง)”
“ตรงตามนั้นเลย ติดอยู่นิดเดียวที่ผู้หญิงสวยน้อยกว่าข้านิดหน่อย ส่วนผู้ชายหน้าตาจะคล้ายกับคนๆนี้ แต่คนนี้หล่อกว่าเยอะ(ภาษษพื้นเมือง)”
ฟัฟนิร์พูดพลางชี้ไปทางชิน ชนพื้นเมืองได้ยินก็หัวเราะร่าออกมา
“ถ้าผู้ชายก็ใช่อยู่ แต่ผู้หญิงเหมือนจะผิดคนนะ(ภาษาชนพื้นเมือง)”
“อยากตายนักรึ?(ภาษาชนพื้นเมือง)”
“ล้อเล่นๆ ฮ่าๆๆๆ(ภาษาชนพื้นเมือง)”
เกินคาดแฮะที่ฟัฟนิร์เข้าใจภาษาชนพื้นเมืองด้วย แต่ก็สมกับที่อยู่มาหลายพันปีดี
“เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรเหรอ?”
“คนที่ต้าวเรเซอร์ตามหาอยู่ที่นี่แหละ แล้วก็ชมว่าข้าสวยด้วยแหละ”
รู้สึกเหมือนกำลังโดนหัวเราะเยาะมากกว่านะนั่น ..แต่ก็ช่างมันเถอะ
“ช่วยเป็นล่ามให้ทีสิ”
“…”
ทำหน้าอย่างกับคาดหวังอะไรสักอย่าง
“…อยากกินอะไร ถึงเมืองแล้วเดี่ยวเลี้ยง”
พอถามไปอย่างนั้นดันทำขมวดคิ้วใส่ซะอย่างนั้น
ถามจริงนี่คาดหวังอะไรกับผมเนี่ย?
“ใบหน้าเช่นนั้นหมายความว่าต้องการคำชมต่างหากขอรับ ท่านเรเซอร์”
“..เก่งมาก เก่งมาก เดี่ยวเข้าเมืองไปแล้วเลี้ยงขนมนะ”
ฟัฟนิร์ได้ยินก็สะบัดผมของตัวเอง และหายใจ เชอะ! เสียงดังแบบกวนๆ
“ต้าวเรเซอร์เนี่ยนะ ระวังเรื่องการวางตัวหน่อยก็ดีนะข้าจะบอกให้ อันตัวข้านั้นไม่ใช่เด็กที่ดีใจกะอีแค่ขนมหรอกนะจะบอกให้”
“อะ อ่อเรอะ อ่อเรอะ ไม่เอาขนมแล้วว่างั้น”
“ไม่ได้พูดอย่างนั้นเสียหน่อย ข้าไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดหักหาญน้ำใจของต้าวเรเซอร์สักหน่อย ถ้าให้ก็จะรับไว้”
“เอาเป็นว่าช่วยเป็นล่ามให้หน่อยละกัน”
ฟัฟนิร์พยักหน้ารับอย่างยิ่งใหญ่ และหันไปสนทนากับชนพื้นเมืองต่อ
“พวกข้ามีธุระกับคนเหล่านั้น ขอเข้าไปในหมู่บ้านหน่อยสิ(ภาษาชนพื้นเมือง)”
“ได้สิ แต่อย่าทำเรื่องไม่ดีนะ เข้ามาในฐานะแขกก็ต้องรักษากฏในฐานะแขก(ภาษาชนพื้นเมือง)”
“หากมีธรรมเนียมอะไรก็จงบอกให้พวกข้าฟังเลย ขอสาบานด้วยเกียรติของมหามังกรว่าจะไม่ฝ่าฝืน(ภาษาชนพื้นเมือง)”
“มหามังกร? เป็นคนที่แปลกจริงๆนะ เทพีผู้งดงามก็พูดอะไรแบบนี้ออกมาเหมือนกัน ..กฏก็มีอะไรไม่มากหรอก ท่านหัวหน้าเผ่าจะเล่าให้ฟังเอง ตอนนี้แค่อย่าก่อเรื่องไม่ดีก็พอแล้ว(ภาษาชนพื้นเมือง)”
ชนพื้นเมืองผู้เป็นตัวแทนมาพูดคุย เดินถอยหลังเปิดทางให้พวกผมทั้งรอยยิ้ม
เป็นมิตรดีจริงๆแฮะ ต่างกับพวกชนพื้นเมืองในแซร์อิซลิบลับ คนที่นั่นเห็นหน้าปุ้บท้าสู้ปั้บทันที ถ้าแพ้ก็จะโดนขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ถ้าชนะก็จะได้รับการเชื้อชวนโดยดี ..
“ขอบใจภาษาที่นี่พูดยังไงรึ?”
“เเต๊งกิ้ว หลายๆ!!”
ฟัฟนิร์กอดอก และโพล่งเสียงดัง ท่าทางดูน่ารักน่าชังเสมือนเด็กประถมหัดพูดคำๆใหม่ หากบอกใจจริงนี้ไปได้โดนฟัฟนิร์เผาแน่นอน
เห็นเช่นนั้นผมก็ทำตาม–
“เเต๊งกิ้ว หลายๆ!!”
‘เเต๊งกิ้ว หลายๆ! เด้อ!’
แม้แต่ยูนาที่ตอนนี้พูดไม่ค่อยจะได้ก็ขอมีส่วนร่วมด้วยไม่พอ ยังมีแถมให้ด้วย
หลังจากพวกเราสองคนทำจบก็หันไปมองชินที่ยืนอย่างนิ่งสงบ พอสัมผัสได้ถึงสายตาที่คาดหวังเรื่องที่รู้ๆกันดี เจ้าตัวก็แก้มแดงขึ้นมา ขยับตัวไปมาแบบเขอะเขินก่อนจะพึมพำเบาๆ
“..เเต๊งกิ้ว หลายๆ..ขอรับ”
ชนพื้นเมืองสองคนเห็นอย่างนั้นก็หันไปมองหน้ากันเอง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
จากนั้นก็ได้ทางผ่านสบายๆเข้ามาภายในหมู่บ้าน
โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่นี่จะประกอบไปด้วยคนพื้นเมืองผิวดำ ให้เทียบก็เหมือนกับชนพื้นเมืองแถวแอฟริกาในโลกเก่าของผม แถมชุดที่ใส่ก็ยังคล้ายกันค่อนข้างมากอีกด้วย แต่ดูดีๆแล้วจะต่างกันนิดหน่อยน่ะนะ อย่างเรื่องการใช้สีหรือวัตถุดิบที่ใช้ทำ ไปจนถึงลวดลายน่ะนะ
เอาเป็นว่ารวมๆก็รู้สึกประทับใจกับสิ่งที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ แต่จะจ้องมากเกินไปก็คงไม่ดี เพราะเป็นแขกต่างแดน เลยตัดสินใจเลือบไปมองการใช้ชีวิตและชุดที่ใส่แบบไม่ให้ดูน่าเกียจ
ระหว่างที่เดิน ฟัฟนิร์ก็แวะถามคนอื่นไปเรื่อย ซึ่งรายละเอียดที่คุยกันก็คงได้แต่รอให้ฟัฟนิร์บอก
“ฟัฟนิร์เคยมาที่นี่เหรอ?”
“ก็ใช่ แต่นานมาแล้วนะ อาจจะพันปีกว่าๆ ..หรือหลักร้อยกัน? ข้าเองก็จำไม่ได้แล้วสิ”
ดูท่าจะนานจริงๆ
“ตอนนั้นข้ามากับเพื่อนร่วมเดินทางคนแรกในอดีต ด้วยความบังเอิญอะไรไม่รู้พวกข้าก็จับพลัดจับพลูไปช่วยหมู่บ้านแห่งนี้กู้วิกฤตการที่โดน ‘อีสเตอร์’ ไล่กินคนภายในหมู่บ้านๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มันไม่เคยมีพฤติกรรมไล่จับคนกินเลย”
ฟัฟนิร์เล่าให้ฟังพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าไปด้วย
“ทีแรกที่ได้ยินเรื่องราว ข้าก็คิดจะหนีทันที แต่ต้าวสหายของข้าดันดื้ออยากจะช่วยเหลือผู้คน สุดท้ายก็ออกสำรวจหาเบาะแสกัน ทำให้รู้ว่าที่ใต้ดินมีปฏิกิริยาของคริสตัลที่เหมือนกับแร่ในดันเจี้ยน ซึ่งของเหล่านั้นมันเป็นตัวดึงดูดมอนสเตอร์ ข้ากับต้าวสหายจึงเริ่มแผนการณ์ขนย้ายสิ่งนั้นไปที่อื่นแทน”
ใบหน้าของฟัฟนิร์ตอนเล่าเรื่องเกี่ยวกับต้าวสหายที่ว่าดูสนุกสนานจนผิดสังเกตุ ชินเองก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยเหมือนมีอะไรบางอย่างที่มีแค่ผมที่เข้าไม่ถึงอยู่ อย่างไรอย่างนั้นเลยแหละ
“ภารกิจครั้งนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทำให้หมู่บ้านี้ปลอดภัย และเป็นการถือกำเนิดของดินแดนใหม่นามว่า— ‘แดนนรกกินคน’ อีกด้วย ในอีกหลายร้อยปีให้หลัง ฮ่าๆๆๆๆๆ!”
“หล่อนเองเรอะตัวต้นเหตุ!!? ถามจริงเถอะนี่ทำไมต้องเป็นหล่อนทุกรอบด้วยเนี่ย จะมีตัวตนอยู่ในประวัตัศาสตร์มากไปแล้วนะเฟ้ย!!”
“คนใหญ่คนโตก็งี้นี่แหละ!!” ฟัฟนิร์ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
ถามจริงเถอะ ..ว่าแต่เป็นตัวการณ์ย้ายที่อยู่อาศัยของอีสเตอร์เองแท้ๆ ดันเดินไม่ดูตาม้าตาเรือหลงทาง จนโดนอีสเตอร์เล่นงานเข้าซะอย่างนั้น ฟัฟนิร์เนี่ยไม่ค่อยได้เรื่องเลยแฮะ
“ส่วนหนึ่งคงต้องชื่นชมแผนของต้าวสหายคนนั้นแหละนะ ตอนที่ข้าอยู่กับมนุษย์ผู้นั้นสถิติการตายต่อเดือนของข้าก็น้อยลงหลายเท่าตัวเลย”
“ในช่วงหนึ่งในชีวิตก็ยังพอมีโชคบ้างนี่เอง”
“..การได้พบกับคนๆนั้นคงเป็นหนึ่งในโชคดีที่สุดของข้าเลยก็ไม่ผิด”
ฟัฟนิร์พูดออกมาอย่างใสซื่อ ราวกับเมินประโยคพูดกึ่งแซะของผม ทำเอารู้สึกผิดขึ้นมาเลย-ฟัฟนิร์หรี่ตามองผม แสยะยิ้มออกมา ก่อนโพล่ง
“โชคดีที่สุดอีกอย่างก็คือการได้พบกับต้าวเรเซอร์ และต้าวชิน”
“ “…” ”
ผมกับชินหยุดเดินพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย อันเป็นจุดเริ่มต้นของวันมาฆบูชา
…..
…..
“เป็นอะไรไป?”
“เปล่า”
“ไม่มีอะไรขอรับ”
ใช่เรื่องที่ต้องพูดออกมาตรงๆมั้ยเนี่ย— ตรึกๆๆๆ เสียงฝีเท้าเร่งวิ่งมาทางนี้ดังขึ้น
ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่นัก ชินจึงชักดาบออกมา และพุ่งมาขวางผมกับฟัฟนิร์ไว้จากคนที่วิ่งเข้ามาหาจากข้างหลัง
คนๆนั้นเบรกกระทันหัน จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น และนำหัวมากระแทกกับพื้น
“โอ้!!! ท่านมหามังกร!!(ภาษาชนพื้นเมือง)”
“เขาเรียกข้าว่ามหามังกรแหน่ะ”
ฟัฟนิร์หันไปมองหน้าชิน ชินส่ายหัวตอบ คงจะสนทนากันทางจิตใจว่า พูดถึงใครอ่ะ? ไม่ใช่ผมนะขอรับ พูดถึงต้อตำหรับก็ต้องท่านฟัฟนิร์สิขอรับ อ้าวเหรอ? ถ้านั้นก็ช่วยไม่ได้–ฟัฟนิร์เดินมายืนอยู่ตรงหน้าชายผู้นั้น และยิ้มให้
“เงยหน้าเถิด เหล่าผู้ศรัทธา(ภาษาชนพื้นเมือง)”
วางมาดซะ
“กะ กระผมผู้นำชนเผ่าครับ! นาม ‘กูลู’(ภาษาชนพื้นเมือง) ”
“เหตุอันใดเจ้าถึงทราบถึงตัวจริงของข้า?(ภาษาชนพื้นเมือง) ”
“เรื่องนั้น .. (ภาษาชนพื้นเมือง) ” กูลูหันซ้ายขวามองชนพื้นเมืองที่เริ่มจับจ้อง “เรื่องนั้นคุยกันที่อื่นจะดีกว่า (ภาษาชนพื้นเมือง) ”
ฟัฟนิร์พยักหน้ารับ ก่อนหันมายกนิ้วโป้งให้พวกผม
“มนุษย์ผู้นี้ชื่อ ‘กูลู’ ก่อนอื่นก็ตามเจ้านี่ไปก่อนดีกว่า”
****
พวกผมถูกพามาที่บ้านทำจากไม้และฟางขนาดใหญ่ ภายในห้องนั้นมีโคมไฟเวทมนตร์ และสิ่งที่เด่นที่สุดซึ่งไม่อาจละสายตาได้เลยก็คือ ..ตุ๊กตาฟัฟนิร์ที่มีขนาดเท่ากับตัวจริง
ทุกอย่างเหมือนกับฟัฟนิร์ทุกประการ
“น้ะ น้ะ น้ะ น้ะ น้ะ!!!”
ฟัฟนิร์ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้ายกใหญ่เลย ทำไมกันนะ มีคนทำของบูชาตัวเองขนาดนี้ไม่ดีหรือไง–
“นั่นมันร่างเลียนแบบแสนไร้ยางอายสเกล 1/1 ของข้าที่ต้าวสหายเคยทำไว้นี่นา!!! ของนอกรีตพรรค์นี้ยังไม่ทำลายทิ้งอีกรึเนี่ย!!! (ภาษาชนพื้นเมือง)”
“ท่านมหามังกร ท่านมหามังกร เหตุใดท่านจึงพิโรธ!!? (ภาษาชนพื้นเมือง)”
“ทำไมยังเก็บไว้อยู่กันเจ้ามนุษย์ ข้าบอกไปตั้งแต่รุ่นของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดของทวดดดดดดดดดดด ไปแล้วไม่ใช่รึไงว่าให้ทำลายทิ้ง!! กล้านักนะ เจ้ามนุษย์!! (ภาษาชนพื้นเมือง)”
“เอ๊ะ? แต่ว่าบรรพบุรุษบอกต่อๆกันไว้ว่าให้เก็บรักษาไว้เยี่ยงชีพ ..สิ่งนี้คือรูปลักษณ์ของท่านมหามังกร (ภาษาชนพื้นเมือง)”
ไม่เข้าใจภาษาก็จริง แต่พอรู้เลยว่ากำลังทะเลาะเรื่องอะไรกัน ..
ฟัฟนิร์ทำท่าจะเข้ามาซัดคุณผู้หัวหน้าชนเผ่า เห็นท่าไม่ดีผมจึงเข้าไปคล้องแขนของฟัฟนิร์เอาไว้ไม่ให้อาละวาดไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนหล่อนจะโกรธจัดจงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเลย
“อย่ามาห้ามข้านะ ต่อให้เป็นต้าวเรเซอร์ข้าก็ไม่สนแล้วเวลานี้!! สิ่งนั้นมันคือตุ๊กตาไร้ยางอายที่เจ้าสหายชั้นต่ำของข้ามันเคยทำขายให้คนในชนเผ่าแห่งนี้!!”
จาก ต้าวสหาย กลายเป็น เจ้าสหายชั้นต่ำ ไปชั่วขณะหนึ่ง
“แล้วมันไม่ดียังไง ดูดีๆก็ให้อารมณ์เหมือนรูปปั้นอยู่นะ เท่จะตาย”
“ต้าวเรเซอร์…รู้จักตุ๊กตายางรึเปล่า”
ตุ๊ก..ตา..ยาง……ผมหน้าซีดเผือก และเผลอตัวปล่อยมือจากฟัฟนิร์ หล่อนไม่รอช้าเข้าไปกระซากหัวหน้าหมู่บ้านหมายจะเอาเรื่อง ส่วนผมที่ยังงงๆอยู่ก็ลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าตุ๊กตาขนาดเท่าตัวจริงนั่น
“ของแบบนี้มันต้องพิสูจน์”
บางทีอาจจะแค่ตุ๊กตาเสมือนภายนอก ภายในอาจจะเป็นแค่พื้นผิวตุ๊กตาทั่วๆไปไม่มีอะไร เหมือนกับพวกหุ่นตั้งโชว์ที่สวยแต่รูปนั่นแหละ ..ใช่ มันควรจะเป็นอย่างนั้น
“จะทำอะไรหรือขอรับ?”
ผมไม่สนคำทักของชิน และลงมือถกกระโปรงของตุ๊กตาฟัฟนิร์เพื่อความแน่ใจ
เคยคิดมาตลอดว่าบนโลกใบนี้ผมคงไม่ได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ตุ๊กตายาง’ อีกแล้วแท้ๆ ….
“อ๊าาา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ฟัฟนิร์กรี๊ดร้องออกมา ไม่แพ้กัน ผมเองก็
“ขะ ของจริงเว้ย!!!!!!”
จากนั้นสถานการณ์ก็วุ่นวายสุดๆ ก่อนจะลงเอยด้วยการที่ผม ชิน หัวหน้าชนเผ่า และฟัฟนิร์ยืนรอบกองไฟซึ่งกำลังเผาตุ๊กตายางฟัฟนิร์ แน่นอนว่าพวกเราทุกคนให้เกียรติฟัฟนิร์ใช้เพลิงของตัวเองในการเผาเลยละ
“..ของพรรค์นี้มันถือกำเนิดมาได้ยังไงกัน”
ฟัฟนิร์หลับตาลงเพื่อลำลึกถึงอดีต
“..คืนนั้นเจ้าสหายชั้นต่ำกับหัวหน้าชนเผ่าในเวลานั้น พวกมันนั่งกินเหล้าจนเรื้อนกันเละเทะ จากนั้นก็คิดทำเรื่องบ้าบอ ใช้ข้าเป็นแบบสร้างตุ๊กตา ถึงทุกอย่างภายในนั้นจะเกิดจากการคาดเดาล้วนๆ ก็ตาม แต่..ก็ยังเป็นของที่ชั่วร้ายอยู่ดี”
สรุปก็คือเพื่อนร่วมทางคนสำคัญของฟัฟนิร์ กับคุณผู้นำชนเผ่า ณ เวลานั้นสร้างตุ๊กตาที่คล้ายกับตุ๊กตายาง แต่จริงๆแล้วอาจไม่ใช่ หรือใช่ก็ได้ ฟัฟนิร์เห็นก็สั่งให้ทำลาย แต่มันก็ยังคงอยู่รอดจนถึงปัจจุบันนี้ แถมจากที่ฟังๆมาจากหัวหน้าชนเผ่าตอนนี้นี่คือสมบัติตกทอดที่ห้ามให้ใครเห็นทั้งนั้นด้วย เสมือนรูปปั้นที่ต้องบูชา ตุ๊กตาฟัฟนิร์จะโดนจับเปลี่ยนชุดและอาบน้ำทุกวัน ..คิดๆดูแล้ว ถ้ามีคนทำตุ๊กตาผมในทรงๆนี้ขึ้นมา ผมคงสั่งทำลายเหมือนกันแฮะ
ชินที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็โค้งคำนับให้แก่ตุ๊กตายางฟัฟนิร์ซึ่งตอนนี้ไม่เหลือเศษซากอะไรแล้ว ด้วยเพลิงแห่งมหามังกร หน้าประวัติศาสตร์ที่น่าอับอายที่สุดของฟัฟนิร์ก็ได้ปิดฉากลงด้วยประการฉันนี้ …
ขอไว้อาลัยสักหนึ่งนาทีละกัน ผมตามด้วยหัวหน้าชนเผ่าโค้งคำนับตามชินกันเป็นเวลาหนึ่งนาที
จากนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา
“ที่จริงแล้ว พวกข้าไม่เคยทำเรื่องไม่ดีกับสิ่งนี้เลย”
หัวหน้าชนเผ่าหันมาพูดกับผม แน่นอนว่าไม่เข้าใจภาษา เขาเองก็คงไม่เข้าใจภาษาผม ..
“กูลูบอกว่าตัวเองไม่เคยทำเรื่องไม่ดีกับร่างเลียนของข้า”
“อย่างมากก็แค่เปลี่ยนชุด และอาบน้ำให้ร่างจำลองท่านมหามังกร”
“อันนั้นสำหรับข้าก็คือปัญหาเหมือนกัน!!! อยากตายมากนักรึไงหะ!!?”
“อ้า!!! โปรดให้อภัยกระผมด้วย ท่านมหามังกร!!!”
ก่อนที่ฟัฟนิร์จะลงมือไปมากกว่านี้—
“อะไรกันเนี่ยๆ พี่ชายคนหล่อตรงนั้นหน้าคุ้นๆนะเนี่ย?”
เสียงแอบน่ารำคาญสุดจะคุ้นเคยดังขึ้นจากข้างหลัง ผมหันกลับไปแสยะยิ้มตอบอีกฝ่ายโดยไม่สนว่ารอยยิ้มของตัวเองมันจะดูชั่วแค่ไหน
“ไม่ได้เจอกันนาน ได้ข่าวจากจดหมายว่าไปแพ้พาโวมานี่”
‘เรย์ คามาเลีย’ เพื่อนพระเอกยอดกระสอบทรายประจำเรื่องปรากฏตัวออกมา พร้อมกับชุดอันเป็นเอกลักษณ์ของชนพื้นเมือง ไม่ได้มีแค่นั้นนะ มีหมวกคาวบอยด้วย ไม่เข้ากับชุดที่ใส่เลยสักนิด
แต่ก็สมกับเป็นเรย์ดี ที่เขาว่าเข้าเมืองตาหลิวต้องหลิวตาตามยังไงละ
“เห้ยๆ สัญญากันแล้วไงว่าจะไม่พูดถึงตอนที่ตูแพ้น่ะ ….”
“ไปสัญญาไว้ตอนไหนฟร้ะ ว่าแต่เรย์ คนอื่นๆล่ะ? เห็นบอกว่ามีคนมาเพิ่มอีกสองคนนี่”
“….”
..เป็นอะไรของมันไป?
ผมสังเกตุสายตาของเรย์ที่มองไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผม เห็นแล้วก็มองตาม ทำให้รู้ว่าเรย์มันกำลังจ้อง—พี่สาวของตัวเองอยู่
เรย์กับชินจ้องหน้ากัน ทั้งสองทำท่าจะขยับร่างกายหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ดูติดๆขัดๆไปหมด ..สุดท้ายชินก็ถอนหายใจ และยอมเสียสละเปิดปากพูดก่อน
“ไม่ใช่ว่าลืมพี่ไปแล้วหรอกนะ ..ฮะๆๆ”
ว่าอย่างนั้นแล้วก็เกาแก้มตัวเองแบบเขินๆ ไม่รู้เหตุอันใดจู่ๆเรย์ก็กล้ามเนื้ออ่อนแรงล้มลงไปกับพื้น พร้อมกับน้ำตาที่หยดลงมาช้าๆ
“พะ…พี่จ๋า!!!!!!!!!”
พี่จ๋า!!!!!!!?
MANGA DISCUSSION