< < 199 Sec1 > >
ผมเดินกลับมาภายในห้องขัง เมื่อมาถึงผมก็พบกับ ‘อัลกาด’ ซึ่งยืนรออยู่หน้าห้องขุมขัง เขากอดอกจ้องมาที่พวกผม
“…”
“ขอธิบายนะคะ ฉันกับคุณแจ็คสันได้ใช้เส้นสายของคุณอัลกาดในการหากุญแจมาให้น่ะค่ะ สามารถกล่าวได้ว่าหากไม่ได้คุณอัลกาดคงจะแย่”
“นั้นเหรอครับ ..โดยส่วนตัวผมคิดว่าไม่จำเป็นหรอกนะครับ”
ผมเดินเข้าไปภายในห้องคุมขัง และนั่งลงกับพื้น
“ผมไม่เคยขอความช่วยเหลือกับพวกคุณเลยนะครับ”
“ฉันอยากจะช่วยค่ะ”
“ผมเองก็ด้วย”
ทั้งสองคนยืนยันคำเดิม ส่วนคุณอัลกาด–
“ตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน พวกแกต้องช่วยทำให้ฉันได้ตำแหน่งดาวดาราเด่นมาให้ได้”
อัลกาดพูดพลางจ้องมาที่คุณอลิซาเบธกับคุณแจ็คสัน
“เดี่ยวผมจัดการให้เองครับ ภายในพรุ่งนี้ผมจะทำให้คุณอัลกาดได้ในสิ่งที่ต้องการ ส่วนคุณอลิซาเบธกับคุณแจ็คสัน ทั้งสองคนอยากจะแหกคุกสินะครับ”
คุณแจ็คสันพยักหน้าตอบกลับ คุณอลิซาเบธนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร จะอย่างไรก็ช่าง ..
“พรุ่งนี้หลังจากจัดการเรื่องให้คุณอัลกาดจบแล้ว ผมจะเริ่มแหกคุกทันทีครับ ถ้าพวกคุณสองคนอยากจะออกมาด้วยก็ตามมาครับ เป็นการตอบแทนที่มาช่วยผมทั้งๆที่ไม่จำเป็น ..”
ผมพูดพลางถอนหายใจออกมา และเงยหน้ามองใบหน้าของคุณอลิซาเบธ
…..
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น ..กันครับ”
เธอมีสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีนัก ต้นเหตุอาจจะเป็นเพราะผม
“..พรุ่งนี้จะเตรียมตัวนะคะ”
“….คุณอลิซ—”
…….
…….
เอ๊ะ
มือของผมจู่ๆมันก็หลุดออกจากร่าง และไม่ใช่แค่นั้นร่างกายของผมมันค่อยๆแยกออกจากกันทีละส่วน ตั้งแต่มือไปจนถึงแขน และลำตัว และจบท้ายด้วยสติของผมที่ถูกฉับเปลี่ยนทิวทัศน์เป็นสีดำ ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อของผมกันดังสนั่น
….
….
เสี้ยววินาทีถัดมาผมก็เริ่มตาตื่น ในสภาพที่ถูกตึงแขนและขา แล้วก็ ..ตรงหน้าของผมมีชายคนหนึ่งยืนอยู่
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ยูจิ ผมเจ้าชายลำดับที่ 1 ของอาณาจักรเกรล ‘ลีออน’ เองครับ”
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
****
(มุมมอง เรเซอร์)
ทวีปเกรลคือหนึ่งในสี่ทวีปของโลกใบนี้ และหากเทียบกับอีกสามทวีปแล้วที่แห่งนี้จัดอยู่ในฐานะทวีปที่เล็กที่สุด รวมถึงความจริงที่ว่าทวีปแห่งนี้คือที่ที่ไม่น่าอยู่อาศัยที่สุดด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าทวีปนี้ ‘ไม่มีอะไรเลย’ นอกจาก ‘ความลำบาก’
หากพูดถึงทวีปที่อันตรายที่สุดในแง่ของภัยอันตรายก็คงเป็น ‘ทวีปแซร์อิซ’ ที่มีทั้งมอนสเตอร์ และคนหัวรุนแรงเต็มไปหมด ทว่าที่แห่งนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรณ์ผิดกับทวีปเกรล โดยเฉพาะแร่ระดับสูงซึ่งเป็นสินค้าอันดับหนึ่งของหลายอาณาจักรในแซร์อิซ ซึ่งมักจะหลับใหลอยู่ภายในดันเจี้ยนที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ ก่อให้เกิดอาชีพนักผจญภัย และการหมุนเวียนหลายๆอย่างของเศรษฐกิจ ผิดกับทวีปเกรล
อากาศร้อนจัด สภาพแวดล้อมแห้งแล้ง หลายๆที่มีมอนสเตอร์คอยจู่โจม ถึงขนาดต้องแต่งตั้งให้เป็นเขตุอันตรายถึงสองในสามส่วน ขาดแคลนทรัพยากรณ์หลายๆอย่าง ไม่สามารถผลิตทรัพยากรณ์ได้ด้วยตัวเอง อากาศแทบจะเหมือนเดิมตลอดเวลา มีกลุ่มโจรอยู่มาก อาณาจักรใกล้เคียงส่วนใหญ่ล่มสลายไปนานแล้ว เมืองหลายๆเมืองก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกับสลัมหรือรังโจร ทั้ง–อาณาจักรเกรลยังอยู่ในช่วงตกต่ำที่สุด
เทียบกับอาณาจักรมหาอำนาจด้วยกัน อาณาจักรเกรลไม่มีอะไรเลย นอกเสียจากการเล่นแร่แปรธาตุ วิทยาศาสตร์ที่แต่ก่อนก้าวนำอาณาจักรอื่นหลายขั้น แต่บัดนี้ก็เริ่มถูกไล่ตาม และกลายเป็นว่าไม่มีอะไรเลย หลังจากการถือกำเนิดของ ‘อิกดราซิล’ ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการวิจัยทุกอย่างบนโลก ทำให้ตัวตนของอาณาจักรเกรลค่อยๆถูกลดความสำคัญลงเรื่อยๆทีละนิดมาเป็นร้อยปี
นอกจากนั้นการเมืองเข้าสู่ความปั่นป่วน ขุนนางคิดจะชิงอำนาจ และเบื้องหลังที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ—เกิดการแบ่งฝั่งระหว่างสายเลือดราชวงศ์ด้วยกันเองภายใน
ณ ปัจจุบันนี้ การเรียกตัวเองว่าอาณาจักรสี่มหาอำนาจคือเรื่องน่าอับอาย ไม่ช้าก็เร็ว อาณาจักรแห่งนี้จะไร้ซึ่งอำนาจที่ใช้คานสมดุลของโลกใบนี้ และคงจะถูกทดแทนด้วย ‘จักรวรรดิราชามังกร’ ซึ่งมีอำนาจเกือบจะทัดเทียมกับอาณาจักรมหาอำนาจอื่นๆ
ในแง่ความอันตรายของปัจจัยถายนอก ทวีปแซร์อิซนั้นอันตรายที่สุด แต่ในแง่ความอันตรายโดยตัวเอง ทวีปเกรลคงจะเป็นอันดับหนึ่งในเวลานี้น่ะนะ
บอกตามตรง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ผมอยากมาเหยียบสักเท่าไหร่
ผมคิดเช่นนั้นพลางเปิดหน้าต่างกระจกรถยนตร์เวทมนตร์ และยื่นหน้าออกไปข้างนอก ..ใช่จริงๆด้วย
ตรงหน้ามีปฏิกิริยาแปลกๆบนพื้น ผมสัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนในพื้นที่กำลังเคลื่อนมาทางนี้
“หยุดรถก่อนเถอะชิน”
“ครับผม”
ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนรถยันตร์เวทมนตร์ซึ่งบรรจุคนได้ราวห้าคน โดยที่มีดีไซน์คลายๆรถม้าตรงที่ข้างหน้าจะมีคนขับหนึ่งคน และข้างหลังจะมีที่ให้คนนั่งได้สี่คน และตอนนี้ชินก็รับหน้าที่เป็นคนขับ โดยที่มีผมกับฟัฟนิร์นั่งอยู่ข้างหลัง ซึ่งพวกเรากำลังนั่งเล่นไพ่กันอยู่ แต่จู่ๆก็เกิดเรื่องเข้าผมเลยสั่งให้ชินหยุดรถ และลงไปข้างล่าง
“เกมยังไม่จบเลยนะ ต้าวเรเซอร์”
ฟัฟนิร์โผล่หัวมาบ่นจากในรถ
“ไว้ค่อยเล่นต่อทีหลังเถอะน่า ถ้ารถยนตร์พังขึ้นมาทำไง? ไม่ได้ซื้อมาถูกๆหรอกนะจะบอกให้”
“..เกือบจะชนะแล้วเชียว”
ตามรูปเกมไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลย แต่ก็ช่างมันเถอะ
ผมเดินตรงมาข้างหน้ารถ จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น ใช้มือข้างขวาแตะที่พื้น และพึมพำออกมาเบาๆ
“[เอิร์ธฟิลด์]”
ขยายอาณาเขตุให้กว้างที่สุด จากนั้นก็ทำการเคาะพื้นหนึ่งที เป็นสัญญาณการใช้งานเอิร์ธฟิลด์
เพียงพริบตาเดียว หนอนทะเลทรายมรณะขนาดเกือบสิบเมตร ‘มองโกเลีย’ ก็ปรากฏตัวอยู่บนผืนดินตรงหน้าผม
มอนสเตอร์แรงค์ C ในขั้นเริ่มต้น และแรงค์ B ในตอนที่โตเต็มวัย เป็นที่รู้กันว่ามองโกเลียคือเพชรฆาตของทวีปเกรล เพราะพื้นที่กว่าสองส่วนสามเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยของมัน ด้วยวิธีการต่อสู้ของมันที่ยากต่อการรับมือทำให้ต่อให้เป็นตัวเล็กๆมันก็มีประสิทธิภาพมากพอจะถล่มกลุ่มโจร หรือทหารกองหนึ่งหนึ่งได้เลย หากไม่เตรียมวิธีรับมือมาดีๆ หรือต่อให้เตรียมตัวมา มองโกเลียก็ถนัดการลอบโจมตีเป็นพิเศษด้วย ถ้าไม่ใช่คนที่มีทักษะการตรวจจับมานา ต่อให้เป็นนักผจญภัยแรงค์ A ตัวตนของมันก็สร้างปัญหาให้ไม่ใช่น้อย
การมีอยู่ของมองโกเลีย อาจกล่าวได้ว่ามันคือตัวการณ์สำคัญที่ทำให้ทวีปแห่งนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก การเดินทางเพื่อขนหรือท่องเที่ยวต่างๆนานา เกือบครึ่งมักจะมีปัญหากับมองโกเลียทั้งนั้นแหละ
แต่ก็นั่นแหละนะ กะอีแค่มองโกเลีย สำหรับผมมันไม่ใช่ปัญหาอะไรอยู่แล้ว
ผมใช้แขนซ้ายสัมผัสหัวของมัน และ—ระเบิดด้วยเปลวเพลิง
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ร่างของมองโกเลียระเบิดจากหัวลงไปท้าย จนไม่เหลือกระทั่งเศษซาก เปลวเพลิงของผมส่งมันไปโลกหน้าเรียบร้อยแล้ว
“ฟู่ว”
ถือซะว่าเป็นการออกแรงประจำวันก็ได้ หลังจากเดินทางมาหลายวัน
เสียงตบมือดังขึ้นจากข้างหลัง ทั้งชินและฟัฟนิร์พากันตบมือให้แก่ผม
“สมกับเป็นท่านเรเซอร์ขอรับ มองโกเลียตัวเมื่อครู่คงจะอยู่แรงค์ B ไม่ผิดแน่ ต่อให้เป็นผมก็คงต้องใช้การโจมตีราวสามครั้งกว่าจะจัดการมันได้”
สามครั้งที่ว่าของชินก็คือเวลาไม่กี่วิแหละมั้ง ไอแบบนั้นก็ไม่ต่างกับที่ผมทำเท่าไหร่หรอก แต่ก็นะ ถ่อมตัวได้สมกับเป็นชินดี
“กะอีแค่มองโกเลีย ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรหรอก
ถ้าเป็นมอนสเตอร์แรงค์ S ก็ว่าไปอย่าง
ผมหันหลังกลับมาเดินขึ้นรถยนตร์เวทมนตร์ ชินเห็นอย่างนั้นจึงออกรถไปต่อ
“ว่าแต่ชินเนี่ยเจ๋งดีแฮะ ทำได้ทุกอย่างเลย ตอนขึ้นทวีปเกรลแรกๆก็โชว์ขี่เรือ แล้วตอนนี้ก็ขี่รถยนตร์เวทมนตร์เป็นอีก”
อนึ่ง พวกผมได้ขึ้นที่ท่าเรือของทวีปเกรล แล้วก็ช่างน่าเศร้าที่พวกผมตัดสินใจแยกกับเคียวยะ โดยที่ทางผมจะไปในจุดๆที่นัดหมายไว้กับสองคนนั้น(เรย์ และหนิง) ส่วนพวกเคียวยะ(เคียวยะ,อานิม่า,เมอัน)จะตรงไปที่อาณาจักรเกรลเลย เพื่อไปหาข่าวสารหลายๆอย่าง
ตอนนี้เองพงกเราก็แยกทางกันได้สองสามวันแล้ว
“ต้าวชินเป็นคนที่เรียนรู้ไวละนะ ยืนยันได้จากประสบการณ์ที่ช่วยร่วมกับชินหลายปีได้เลย”
“นั่นสินะ เล่นขับเป็นภายในห้านาทีเนี่ย”
“เป็นมนุษย์ที่สุดยอดอย่างไม่น่าเชื่อ!”
“อืมๆ ใช่เลย สมกับเป็นอัศวินของฉัน”
“สมกับเป็นต้าวชินของข้าเหมือนกัน”
ระหว่างที่ผมกับฟัฟนิร์ผลัดกับชมชินไปมาก็จะสังเกตุได้ว่าหูของเจ้าตัวแเดงแจ๋เลย เพราะปฏิกิริยาแบบนั้นมันดูน่ารักดี ผมกับฟัฟนิร์เลยวางแผนแอบชมชินบ่อยๆโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ด้วยแหละ แหม่ๆ ชั่วจริงๆเลยพวกผมเนี่ย
ผมกับฟัฟนิร์เองก็เข้าขากันได้ดีเกินคาด ใช่ที่เรียกว่าผีเห็นผีหรือเปล่านะ
“จะว่าไป ฟัฟนิร์ เธอช่วยเล่าประสบการณ์ที่ทวีปเกรลให้ฟังหน่อยสิ”
“หวังว่าต้าวเรเซอร์จะไม่คิดว่าเรื่องเล่าของข้ามันเป็นเรื่องตลกไว้ฟังแก้เบื่อนะ”
….ไม่หรอก ไม่หรอก
ผมคุยกับฟัฟนิร์ พลางขยับมือเล่นไพ่กับเธอฆ่าเวลาไปด้วย ส่วนชินก็เร่งสปีดรถยนตร์เวทมนตร์เต็มที่ หากเป็นโลกใบเก่าของผมมันก็คงคล้ายๆกับคนเหยียบรถเร็ว 180 โดยที่คนข้างหลังนั่งเล่นมือถือกันแหละมั้ง
“เทียบกับทวีปอื่น ข้ามีประสบการณ์กับทวีปเกรลไม่ค่อยเยอะนักนะ เพราะที่แห่งนี้เป็นทวีปที่แห้งแล้งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การเดินทางไปแต่ละจุดของเมืองยากลำบากไม่พอ ยังต้องรับมือกับพวกโจรประจำทางอีก นอกเหนือสิ่งอื่นใด ..นี่คือทวีปที่เซียนชอบเดินเล่นไปมาน่ะ ข้าเลย..นั่นแหละ ปกติภายในไม่ถึงสิบปี ข้าจะย้ายไปทวีปอื่นๆเรื่อยๆ แต่ทวีปเกรลนี่ข้ามานานๆที ร้อยปีครั้งได้”
ฟัฟนิร์เกาศรีษะของตัวเอง ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะเล่า
“สำหรับข้านี่คือทวีปที่อยู่ยากที่สุดแล้วละ ถึงมอนสเตอร์จะโฉดชั่วไม่เท่าที่แซร์อิซ หรือไม่ได้มีท้องทะเลที่เต็มไปด้วยศัตรูเก่าของข้าก็ตามที”
ตามที่ผมรู้ ฟัฟนิร์ออกเดินทางในฐานะผู้สวดส่งวิญญาณมาตลอด เธอเลยตั้งกฏให้กับตัวเองว่าจะไม่หยุดอยู่กับที่ ต้องย้ายสถานที่ไปตลอด เพื่อจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แต่ก็มีแค่ทวีปเกรลนี่แหละที่นานๆครั้งถึงจะมา ผิดกับทวีปอื่น ..แบบนี้นี่เอง ความรู้ใหม่เลย
อาจจะดูเหมือนฆ่าเวลา แต่จริงๆนี่คือการคุยที่มีประโยชน์ไม่ใช่น้อยเลย เพราะฟัฟนิร์คือผู้จบการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับความอันตรายในแต่ละพื้นที่มา ด้วยประสบการณ์นับพันๆปีของเธอ ทำให้ข้อมูลทุกอย่างที่เธอพูดออกมานั้นมีค่าเอามากๆ
ทำให้ผมได้ข้อสรุปใหม่ที่แต่ก่อนผมน่าจะเข้าใจผิดไปเอง ..ทวีปที่อันตรายที่สุด ไม่ใช่ทวีปแซร์อิซ หากแต่เป็นทวีปเกรลเห็นนี้ต่างหาก
ระหว่างทาง ผมได้แวะปราบมองโกเลียหลายตัวไม่พอ ยังต้องรับมือกับพวกกลุ่มโจรเรื่อยๆอีก ถ้าหากคนที่นั่งอยู่บนรถไม่ใช่พวกผม นี่คงเป็นทริปการเดินทางระยะยาวที่สยองมิใช่น้อย
ถึงทางนี้ที่เลือกการเดินทางเน้นเร็วมากกว่าจะเป็นฝ่ายผิดส่วนหนึ่งก็เถอะ แต่ทวีปนี้มันก็นะ สมัยที่ผมมาอยู่ก็อยู่แค่แปปเดียวด้วย ทำให้ไม่ค่อยได้เปิดหูเปิดตาที่นี่เท่าไหร่
“พูดถึงสิ่งที่อันตรายที่สุดนี่ …เคยเจอรึเปล่า ไอ้ตัวที่ชื่อ ‘อีสเตอร์’ ”
ผู้กลืนกินมนุษย์ มอนสเตอร์แรงค์ S เลื่องชื่อประจำโลก เห็นว่าอาศัยอยู่แถวๆคุกนรกคัลเซเรมซึ่งมีชื่อว่า ‘แดนนรกกินคน’ แค่ฟังชื่อก็หลอนจนไม่กล้าเข้าไปใกล้แล้ว
“……”
“ฟัฟนิร์?”
“…อีสเตอร์….เจ้านั่น….น่ากลัว”
ฟัฟนิร์โยเกม เลิกเล่นไพ่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเธอก็ก้มหน้าก้มตาไม่บอกกล่าวอะไรเลย …ละ เล่นเอาท่านมหามังกรของพวกเราเสียมาดเลย แค่ชื่อเนี่ยนะ!? ทำให้ฟัฟนิร์หลอนได้ขนาดนี้เชียว ดูจากระดับความหลอนแล้ว ไม่ใช่ว่าเหนือกว่าเซียนกับยูนาอีกรึนั่น?
“…อยากรู้อะไรเหรอ ..เอาเป็นข้าโดนมันกินกี่ครั้งดีมั้ย?”
“มะ ไม่ต้องก็ได้ ถ้าไม่อยากเล่า”
กะว่าจะถามเอาข้อมูลสักหน่อย แต่ดูจากสภาพฟัฟนิร์แล้วเนี่ย ..
“ไม่ต้องเกรงใจก็ได้นะ ข้าคือมหามังกรผู้ยิ่งใหญ่ กะอีแค่อีสเตอร์ที่ดูๆแล้วน่าจะเก่งกว่าข้าตอนมีพลังครบสมบูรณ์ ข้าไม่กลัวหรอก”
“ที่พล่ามออกมามันย้อนแย้งไปหมดแล้วนะครับ ฟัฟนิร์!”
ว่าแต่เจ้าอีสเตอร์มันโหดกว่ามหามังกรร่างสมบูรณ์อีกเหรอเนี่ย ..สยองโคตร
ฟัฟนิร์ตอนนี้ได้สูญเสียทักษะการพูดคุยเพื่อเข้าสังคมไปชั่วขณะหนึ่ง ชินจึงเปิดปากพูดกับผมแทน
“เท่าที่เคยได้ยินโดยบังเอิญ เหมือนว่าท่านฟัฟนิร์จะหลงเข้าไปในแดนนรกกินคนเข้าน่ะครับ แล้วก็โดนอีสเตอร์เข้าจู่โจม พออีสเตอร์เห็นว่าท่านฟัฟนิร์ฟื้นคืนชีพได้เรื่อยๆก็เลยเก็บไว้ในรัง …แล้วก็”
“แบบเดียวกับตอนมังกรเหล็กเลยไม่ใช่รึไง ฟัฟนิร์ หล่อนช่วยเดินทางให้มันดีๆหน่อยได้เปล่าเนี่ย?”
“…..”
ถึงจะบ่นไป แต่ตอนนี้ฟัฟนิร์คงไม่ได้ยินที่ผมพูด
“แล้วรอดออกมาได้ไง?”
“ท่านเซียนที่บังเอิญผ่านมาช่วยไว้น่ะขอรับ”
…แปลว่าอีสเตอร์ก็ไม่ค่อยเท่าไห—
“โดยแลกกับแขนและขาของท่านเซียน ท่านฟัฟนิร์จึงสามารถหนีออกมาได้แบบเกือบไปแล้วขอรับ”
…..เห้ย นั่นเซียนนะเห้ย ไอ้อีสเตอร์อะไรนั่นมันเกินไปเปล่าเนี่ย ไม่ใช่ว่ามอนสเตอร์แรงค์ S มันแค่ตึงมือคนละดับเซียนหน่อยๆแล้วก็สู้ไม่ได้ไม่ใช่รึไง? ไหงมันโหดเว่อร์ขนาดนั้นฟร้ะ
“วะ ว่าแต่เซียนก็ใจดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ อุตส่าห์ไปช่วยฟัฟนิร์ถึงที่”
“…เซียนแค่ลากข้ากลับมาให้ใช้แรงงานเท่านั้น ข้อหาทำบ้านพังแล้วข้าหนีน่ะ ..จำได้ว่าข้าโดนจับใช้แรงงานเป็นสิบปีเลย..”
ฟัฟนิร์ที่เงียบพูดอธิบายนรกที่ตัวเองต้องเจอ
……
ความทรงจำที่แสนเลวร้าย สำหรับคนรุ่นหลังคือประสบการณ์ที่แสนทรงคุณค่า ภูมิใจไว้เถอะ ฟัฟนิร์เอ๋ย ..
“ชิน ..พอมีข้อมูลอย่างอื่นอีกรึเปล่า”
“คนที่ทำงานเก่าเคยเล่าให้ฟังขอรับว่าเทพดาบคนปัจจุบัน ‘ดาบมังกรเหล็ก’ ‘เกรย์’ เคยเข้าไปหาอีสเตอร์เพื่อพิชิต แต่ผลลัพธ์ก็คือเสมอไม่รู้ผลขอรับ ไม่ทราบรายละเอียดเหมือนกัน บางทีอาจเป็นแค่ข่าวลือก็เป็นได้ขอรับ เพราะเป็นเรื่องเมื่อหลายสิบปีก่อนด้วย”
“แบบนี้นี่เอง ..เกินคาดไปไกลเลยแฮะ สมกับเป็นมอนสเตอร์แรงค์ S ที่ถูกจัดอยู่ในตำแหน่ ‘ราชันย์มอนสเตอร์’ เลย”
ราชันย์มอนสเตอร์ คือชื่อเรียกของเหล่ามอนสเตอร์แรงค์ S ที่ทรงด้วยพลังอำนาจมากที่สุดในหมู่มอนสเตอร์ระดับสูงสุดด้วยกันเอง โดยที่บนโลกนี้ตั้งแต่เริ่มหน้าประวัติศาสตร์ โลกมีราชันย์มอนสเตอร์ทั้งหมดห้าตัว—ผมพูดคุยกับชินพลางคิดในใจไปด้วย
‘สกอลล์ฮาติ’ หมาป่าผู้กลืนกินแสงและความมืด ..และปัจจุบันก็ตายไปแล้วด้วยน้ำมือของ ‘ราชาผู้พิชิต’ ‘โอลิเว่อร์’
“ว่ากันว่าพวกมันจะปรากฏตัวออกมาในวันพิเศษที่พระจันทร์และดวงจันทร์ซ้อนทับกันในสมัยนั้น การปรากฏตัวของพวกมันคือสิบปีครั้ง และทุกครั้งที่มันปรากฏ มนุษย์บนโลกก็จะถูกลดไปกว่าครึ่ง คนสมัยก่อนเล่าว่ามันเกิดขึ้นตามประสงค์ของพระเจ้า เพื่อลดจำนวนมนุษย์ที่มากเกินไปน่ะขอรับ”
“ไม่อยากคิดภาพถ้ามันยังอยู่จนถึงปัจจุบันเลยแฮะ”
ตัวต่อไป
‘ไฮดร้า’ อสูรกายแห่งท้องทะเลที่ครั้งหนึ่งเคยปกครองผืนทะเลของโลกใบนี้ มันคือร่างจำแลงของ ‘เทพแห่งชีวิต’ ‘ไฮดะระ’ ว่ากันว่าไฮดร้ามีขนาดใหญ่เกือบจะเทียบเท่าทวีปทั้งทวีปในปัจจุบัน ทั้งยังมีพลังชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด ต่อมาก็ได้ถูกสังหารโดย ‘ราชาผู้พิชิต’ ‘โอลิเว่อร์’
“ฉันสงสัยจริงๆว่าคนๆนั้นใช้วิธีไหนฆ่าตัวที่ใหญ่เท่าทวีปเนี่ย”
“ราชาผู้พิชิตเป็นคนคิดค้นมหาเวทย์ด้วยไม่ใช่หรือครับ บางทีเขาอาจจะใช้มหาเวทย์พร้อมกันสี่บทในการจัดการก็ได้นะขอรับ”
..ก็เป็นไปได้แฮะ ถ้าเป็นมหาเวทย์อย่าง ‘โนอาห์ คาโน่(ปืนใหญ่วันสิ้นโลก)’ ทียิงทีทวีปสะเทือน แต่นี่ใช้พร้อมกับสี่มหาเวทย์เลย ..
ต่อไปก็ ..
‘เซอร์เบอรัส’ หมาป่าสามหัวที่ถูกเล่าปากต่อปากว่าวินาทีที่พบกับมัน ประตูนรกก็ได้เปิดออกแล้ว ..ต่างกับตำนานในโลกจริงของผม ที่มันมีหน้าที่เฝ้าประตูนรก แต่อย่างไรก็ช่าง เจ้าเซอร์เบอรัสนี่คืออดีตสัตว์เลี้ยง?ของทวยเทพที่เข้าต่อสู้กับจอมมารและรอดชีวิตมาได้ แต่สุดท้ายมัจนก็ไร้เจ้าของหลังจากจบยุคโบราณไป เห็นว่ามันท่องไปทั่วทั้งโลก และฆ่ามนุษย์ตามคำสั่งของทวยเทพไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่ง …ไปเจอกับ ‘ราชผู้พิชิต’ ‘โอลิเว่อร์’ มันถูกโอลิเว่อร์ปลิดชีพ และจบตำนานของตัวเองลง หนังของมันถูกเอาไปทำเป็นผ้าคลุมหนังให้กับโอลิเว่อร์
“เขาลือกันว่าหนังของเซอร์เบอรัสสามารถรับพลังโจมตีระดับมหาเวทย์ได้ด้วยละขอรับ”
“เว่อร์ไปๆ”
ตัวต่อไป ‘พูเรียสม่า’ เป็นมอนสเตอร์ผู้ควบคุมวิญญาณที่จะไล่กินวิญญาณในจุดๆที่คนอยู่กันเยอะ ..อ่า ก็นะ โดนฆ่าโดยโอลิเว่อร์เหมือนกัน ไม่ได้มีความสำคัญอะไรหรอก แต่ผมแอบสงสัยแฮะว่าคนๆนั้นใช้วิธีไหนโค่นมอนสเตอร์ที่เป็นวิญญาณได้กัน
หลังทั้งสี่ราชันย์มอนสเตอร์ตายไปทุกตัวก็โดนโอลิเว่อร์จับมาทำอาวุธมากมาย ไม่ว่าจะ–
ถูกจัดอยู่ใน ‘เจ็ดสิบสองอาวุธทลายโลกา’ ‘บังลังค์แห่งราชาผู้พิชิต’ ที่สร้างมาจากสกอลล์ฮาติเอย
ถูกจัดอยู่ใน ‘เจ็ดสิบสองอาวุธทลายโลกา’ ‘ผ้าคลุมราชันย์หมาป่า’ ที่สร้างมาจากเซอร์เบอรัสเอย
ถูกจัดอยู่ใน ‘เจ็ดสิบสองอาวุธทลายโลกา’ ‘มณีวิญญาณ’ ที่สร้างมาจากพูเรียสม่าเอย
สุดท้ายก็ ‘ไฮดร้า’ พี่โอลิเว่อร์แกใจปล้ำทำอาวุธที่สร้างจากเกล็ดไฮดร้าแจกจ่ายทหารในกองทัพ ทำให้ปัจจุบันนี้อำนาจของไฮดะระ กระจัดกระจายไปทั่วทั้งโลก
“เอาละครับทุกคน สี่จากห้าตัวโดนสังหารโดยโอลิเว่อร์ แหม่ๆ เป็นโชคร้ายของมอนสเตอร์จริงๆนะครับที่ซวยมาเกิดในยุคของราชาผู้พิชิตเนี่ย และเป็นโชคดีของอีสเตอร์จริงๆที่เกิดในยุคให้หลังราชาผู้พิชิตตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นได้โดนล่ามาประดับบารมีแหงๆ”
“เห็นว่าในยุคของราชาผู้พิชิต มอนสเตอร์ทั้งสี่ตนที่ถูกขนานนามว่าราชันย์มอนสเตอร์จะถูกเรียกขานกันว่า ‘จุตรเทพแห่งโลก’ ด้วยนะขอรับ”
ด้วยความที่ยุคนั้นพวกที่แข็งแกร่งระดับท็อปโลกแทบจะไม่มีเลย นอกเสียจากพวกมอนสเตอร์หรือข้ารับใช้ของทวยเทพที่รอดมาจากยุคโบราณได้ ทำให้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดมิใช่กองกำลังมนุษย์อย่างปัจจุบัน หากแต่เป็นพวกสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์มากกว่า
เซอร์เบอรัสที่วิ่งไล่ฆ่าคนไปทั่วทั้งโลก ไฮดร้าที่มีขนาดเท่าทวีป พูเรียสม่าที่วาร์ปไล่หม่ำวิญญาณในจุดที่ฝูงชนแออัด สกอล์ฮาติที่จะปรากฏตัวออกมาอาละวาดในวันพิเศษปีละครั้ง เสมือนเทศกาลหนองเลือด ..เป็นยุคสมัยที่เลวร้ายสุดๆ ยุคนั้นมีแค่ราชาผู้พิชิตคนเดียวนี่แหละที่เก่งระดับท็อปโลกน่ะ
“ปัจจุบันไม่ใช้ชื่อนั้นแล้วรึ?”
“ถ้าเพิ่มอีสเตอร์ไปด้วยก็ไม่ใช่จุตรเทพสิขอรับ”
นั่นสิเนอะ จุตที่แปลว่าสี่ พอมีอีสเตอร์เพิ่มเข้ามา จุตรเทพก็ล่มสลายเลย ..ถึงเอาเข้าจริงๆมันน่าจะล่มสลายตั้งแต่เล่นโดนราชาผู้พิชิตไล่เก็บเรียงตัวไปแล้วก็เถอะ แอบตลกดีเนอะเรื่องนี้ ฮะ ฮะ ฮะ
ด้วยเหตุนี้เอง อานิม่าจึงได้เน้นย้ำว่าคุณภรรยาของราชาผู้พิชิตอย่าง ‘มิคาเอล’ จึงเป็นตัวอันตรายไม่แพ้เอเธอร์เลย ด้วยอุปกรณ์ที่ได้รับจากผู้เป็นสามีมากมาย ไม่รู้ว่าจะนำไปประยุกต์ใช้อะไรได้บ้าง ..นี่ยังไม่รวมอุปกรณ์อื่นๆที่โอลิเว่อร์เก็บมาจากทั่วทั้งโลกอีก เขาคนนั้นคือเจ้าแห่งยุคสมัยในช่วงนั้นเลยละ ไม่มีใครใหญ่กว่าโอลิเว่อร์ ไม่มีใครเหนือกว่า เป็นราชันย์เหนือราชันย์ ซึ่งถูกยกย่องในฐานะ ‘ราชาผู้พิชิต’ จวบจนปัจจุบัน
“…เรื่องของอีสเตอร์ช่างมันก่อนดีกว่า ฟัฟนิร์เธอเคยเจอราชาผู้พิชิตรึเปล่า?”
พอเปลี่ยนเรื่องคุย ฟัฟนิร์ก็กลับมาตาเป็นประกายเหมือนเดิม
“ว่าไงนะๆ!?”
“รู้จักราชาผู้พิชิตเป็นการส่วนตัวรึเปล่า?”
“…..”
นัยน์ตาอันเปล่งประกายเลืองหายไปอีกครั้ง
“…ข้าเจอกับคนๆนั้นอีกทีก็ตอนที่เป็นวิญญาณระดับเทพไปแล้ว เพราะอยู่ในยุคสมัยที่ต่างกัน แต่ว่า”
แต่ว่า?
“แม้จะเป็นวิญญาณไปแล้ว แต่โอลิเว่อร์ก็มาตามหลอกหลอนชวนข้าไปเป็นเมียน้อยตลอด”
….
“เป็นเวลาหลายร้อยปีทีเดียว ที่โอลิเว่อร์ชอบทำพันธสัญญากับคนอื่น แล้วยังคับให้ผู้ทำพันธสัญญาไล่ล่าข้าเพื่อตื้อให้มาเป็นเมียน้อย”
…
“ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย แต่ผู้ทำพันธสัญญากับโอลิเว่อร์ทุกคน โดนข้าเผาตายหมด”
…..
…….
…….
……
จากนั้นพวกผมก็ปิดตายเรื่องของราชาผู้พิชิต โอลิเว่อร์ ไอ้วิตถารแห่งยุคสมัยไว้แค่นั้น และนั่งเงียบๆจนกระทั่ง ..
“ถึงที่หมายแล้วขอรับ”
“เย้!!”
ฟัฟนิร์ดีใจออกหน้าออกตา กระโดดลงจากรถยนตร์เวทมนตร์ไป และวิ่งวนไปมาข้างล่าง
ส่วนผมกับชินที่ยังคาใจเรื่องเมื่อครู่ก็นั่งซึมๆอยู่บนรถ
“นี่ ชิน”
“ขอรับ?”
“ถ้ามีโอกาสได้เจอกับราชาผู้พิชิตตัวเป็นๆ …ฉันจะเผามัน”
ไอ้วิตถารที่มีดีแค่อุปกรณ์เทียบผมไม่ติดหรอก (ไม่ดูตัวเอง)
“กระผมจะช่วยสุดความสามารถขอรับ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ..”
ชินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังสุดขีด ไม่ได้ล้อเล่นแน่ๆ เตรียมใจจะเล่นงานไอ้เปรตนั่นเต็มที่เลยสินะ ชิน น่านับถือจริงๆ สมกับเป็นอัศวินของผม
“อย่าเอาชีวิตตัวเองไปแลกกับชีวิตสวะเลย ไปกันเถอะ”
“ขอรับ”
จากนั้นพวกเรานายบ่าวก็ได้ลงจากรถ โดยตั้งมั่นในใจว่าจะต้องเด็ดหัวราชาผู้พิชิตที่บังอาจมาล่วงเกินฟัฟนิร์มาสคอตของพวกเราให้ได้ ….
MANGA DISCUSSION