< < 198 Sec2 > >
(มุมมอง ควีน)
เคยเห็นมาก่อน ใช่ ฉันเคยเห็นมาก่อน
มนุษย์ที่เหนือยิ่งกว่ามนุษย์ มนุษย์ที่ยากจะเชื่อว่าเป็นมนุษย์เหมือนๆกัน บางทีก็แอบสงสัยว่าสำหรับเจ้าพวกนั้นขีดจำกัดมันคืออะไร ในสายเลือดของเจ้าพวกนั้นมีขีดจำกัดอยู่รึเปล่า
หากบาดเจ็บก็แค่รักษา หากมานาไม่พอก็แค่เพิ่มมานา หากแข็งแกร่งไม่พอก็แค่ยกระดับตัวเองด้วยสารพัดวิธี
ให้พูดก็เหมือนง่าย แต่มนุษย์มีเพดานขีดจำกัดที่ชัดเจนอยู่
เว้นเสียแต่พวก ‘ท็อปโลก’ หรือ ‘ผู้วิเศษ’ ที่อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกัน
“ควีน มีเหยื่อมาหาแล้ว”
ฉันยืนอยู่บนเรือโจคสลัดยักษ์ที่ฉันใช้เวลานับสิบปีก่อร่างสร้างตัวขึ้น ซึ่งเบื้องหน้ากำลังมีกองกำลังทหารเรือขนาดเล็กลอยมา
ตรวจสอบดูแล้ว เรือของอีกฝ่ายไม่ใช่ทัพเรือระดับสูง ไม่ได้มีเรือขนาดยักษ์ หรืออาวุธต่อต้านเรือที่ยิ่งใหญ่อะไร มีเพียงเรือเล็กๆที่ใช้เล่นงานพวกโจรสลัดต๊อกต๋อยสมัครเล่นเท่านั้น
“เหมือนว่าพวกนั้นตั้งใจจะมาหาเรื่องนะ”
“ก็สวยเลยสิ”
ฉันสั่งให้หันทางเดินเลยย้อนกลับไปหาเรือนั่น และออกคำสั่งมุ่งหน้าบุกจู่โจม
“ขยี้ให้แหลก—-”
ทว่า ภาพที่ปรากฏต่อจากนั้นไม่กี่นาทีคือเรือยักษ์ของฉันที่กำลังจะจมลง
เจองานหินในรอบสิบปี ..รู้กันดีในหมู่โจรสลัดว่าจำเป็นต้องระวังเรื่องการบังเอิญพบกับกองทัพเรือระดับสูง อาทิเช่น พวกพลโท ถ้าหากระวังเรื่องการเดินทางดีๆ ไม่ให้ไปพบพวกยศพลเรือโทขึ้นไปก็ไม่มีปัญหาเแล้ว แต่คราวนี้ต่างออกไป แม้จะระวังตัวเรื่องการเดินเรือเพื่อไม่ให้เจอกับพวกพลเรือโทแล้ว ..แต่คราวนี้ดูท่าจะซวยสุดๆ
พวกเรากำลังจะแพ้โดยที่มีศัตรูเพียงผู้เดียว นั่นคือตัวประหลาดที่กางปีกยักษ์แสนสวยงามลอยอยู่กลางท้องฟ้า พร้อมกับผ้าคลุมที่ปลิวไปมากับสายลม เนื้อตัวไร้บาดแผล บนมือมีเพียงคันธนูอันเดียว ไม่มีลูกธนูอะไรติดตัวมาเลย
ก่อนหน้านี้ พวกเรากระหน่ำยิงปืนใหญ่ใส่ศัตรูแล้ว คิดว่าโดนจังๆก็หลายรอบ แต่นั่นสร้างความเสียหายไม่ได้เลยสักอย่างเดียว สิ่งนั้นเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ สุดท้ายก็มาลอยอยู่ในระยะที่ไม่ไกลมาก จากนั้นก็เกิดเรื่องสุดแปลกประหลาดขึ้น
น้ำปริมาณมากถูกยกขึ้นมาบนท้องฟ้า และแปรเปลี่ยนเป็นลูกศร เจ้าตัวประหลาดนั่นคว้าลูกศรนั้นและยิงด้วยคันธนูซึ่งขยายขนาดตาม
และผลลัพธ์ก็เป็นดังที่เห็น เรือของพวกเรากำลังจะจมในการโจมตีคราเดียว
“กลุ่มโจรสลัดดอกกุหลาบนี่คือคำเตือน”
เธอที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าค่อยๆบินลงมาเทียบกับเรือของฉัน
เท็งงุร่างเล็ก แต่เปี่ยมด้วยอำนาจที่ยากจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“ถ้าไม่อยากตายก็คุกเข่าซะ”
…นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มเข้าใจคำว่าแข็งแกร่งจนเกินไป
มีเรื่องเล่าในหมู่โจรสลัดอยู่ว่า ..ให้หลีกเลี่ยงพวกที่มีกลิ่นอายอันตรายโชยออกมา ไม่ต้องสนใจว่าคนๆนั้นจะเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก หรือว่าผู้ชายตัวแห้งๆ จงเชื่อมั่นในจมูกของตัวเองซะ ไม่อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็ว ชีวิตในฐานะโจรสลัดของแกก็จะจบเห่เข้าให้ และหากใครที่ไม่มีโอกาสในการจับกลิ่นอาย หรือจับกลื่นอายแล้วก็สัมผัสถึงความอันตรายไม่ได้เลยเก็ให้คิดซะว่า–เทพธิดาแห่งท้องทะเลไม่เข้าข้างเอาละกัน
ใช่แล้วละ โจรสลัดอย่างพวกเราใช้ชีวิตไปตามกระแสของท้องทะเล ประสงค์ของเทพธิดาแห่งท้องทะเลคือที่สุด ..ต่างกับทหารเรือชั้นสูงที่เตรียมตัวดีๆก็จะรอด ถ้าหากว่าชะตากำหนดให้มันจะต้องจบก็ต้องจบ และมันมักจะจบด้วยน้ำมือของ—พวกผู้วิเศษ
จากนั้นฉันและลูกเรือทั้งหมดก็ถูกจับเข้าคุกนรก ‘คัลเซเรม’ ก่อนจะมารู้ที่หลังน่ะนะว่าเธอคนนั้นเป็นใคร และตามที่คาดเอาไว้ ..เหมือนว่าพวกเราจะไม่มีโชคในการเป็นโจรสลัดสักเท่าไหร่
และปัจจุบันนี้ ผ่านมาหลายปีภายในคุกนรก ก่อร่างสร้างตัวจนขึ้นเป็นผู้ทรงอิทธิพลได้แล้วแท้ๆ..แต่ฉันก็กำลังจะเจอเรื่องแบบเดียวกับเมื่ออดีตเข้าจนได้
มันยิ่งย้ำเข้าไปใหญ่ว่าฉันไม่เหมาะจะเป็นโจรสลัดจริงๆด้วย
****
ร่างกายรู้สึกปลอดโปร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โซ่ที่รัดทั้งร่างเอาไว้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ผมกลับมาเป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์
นักโทษทุกคนที่กรูเข้ามาหาผมถูกซัดออกไปด้วยหัตถ์แห่งการหักล้าง ผมกะความรุนแรงไว้ในระดับที่พอดี แค่มากพอจะเหวี่ยงอีกฝ่ายให้ปลิวไปจากทิวทัศน์ตรงหน้าแค่นั้น นอกจากนั้นก็หักล้าง สร้างพื้นที่ที่จะปฏิเสธการโจมตีทุปรูปแบบขึ้นมาด้วยการขยี้อากาศเปลี่ยนวิถีของลูกธนู และเวทมนตร์
โดยไม่ต้องขยับร่างกาย แค่ถ่ายมานาจำนวนน้อยนิดของตัวเองเข้าไปแค่นั้น เทียบกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้มันง่ายผิดกันเลยละ
รู้ตัวอีกที ผมก็ไปอยู่ข้างหลังของควีน โดยที่มีทหารเอกของเธอสองถึงสามคนขวางทางผมเอาไว้
“ย๊ากกก”
สามชีวิตวิ่งเข้าใส่ผมพร้อมกับดาบในมือคนละเล่ม ผมยกดาบของตัวเองขึ้นมา และ–
“[ดาบประกายแสง]”
“[ดาบประกายแสง]”
“[ดาบประกายแสง]”
“[ดาบประกายแสง]”
ดาบของผมเร็วกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ผมฟันเข้าที่กลางอกของชายคนหนึ่ง ส่งเขาไปนอนกองกับพื้น ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลบดาบประกายแสงจากคนสองคน ไม่ได้ยากอะไรเลยในสภาพที่พร้อมสมูบูรณ์เช่นนี้
ทั้งสองคนหมุนตัวจะฟันดาบใส่ผม ผมผสานมือเข้าหากัน ใช้งานวิชาไสยศาสตร์สลับตำแหน่งยืนของผมกับอีกคน ทำให้วิถีดาบของทั้งสองฟันเข้าใส่กันเอง คนหนึ่งลงไปนอนกับพื้น อีกคนหันกลับมาหาผมพร้อมกับวิ่งเข้าใส่
“อั้ก”
“ใช้ได้กระทั่งวิชาไสยศาสตร์เลยเรอะ!!?”
ผมใช้วิชา ‘เซ้นต์’ ส่งหมัดของตัวเองไปกระแทกเข้าหน้าของเขาคนนั้นจนล้มลงกองกับพื้น จากนั้นก็โยนดาบในมือของตัวเองทิ้ง และจ้องไปที่ควีน
“ดีเลิศ–จนไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายเลยจ๊ะ …ดาบประกายแสงที่เร็วประหนึ่งแสงจริงๆ วิชาไสยศาสตร์ที่ใช้งานได้เร็วโดยไม่ต้องมีพิธีอะไรเลย นอกจากนั้นก็ ..วิชาหมัดนั่นเป็นวิชาของราชามังกรไม่ใช่เหรอ? ไปเรียนมาจากไหนกันจ๊ะเนี่ย”
“จากหลายๆที่ครับ”
“..เธอใช่ที่เขาเรียกกันว่า ‘ผู้วิเศษ’ รึเปล่าจ๊ะ?”
ควีนพยายามถ่วงเวลาอยู่ มองแค่ปราดเดียวก็รู้ จากสายตา และลมหายใจ ถึงจะเก็บสีหน้าได้ดี แต่ของพวกนี้มันหลอกกันยาก
“คิดว่าตัวเองเหนือกว่านั้นครับ”
“…สุดยอดเลยนะเนี่ย คิดถูกแล้วจริงๆที่ต้อนเธอให้จนมุมโดยไม่ให้ปลดปลอกคอออก แต่ก็พลาดไม่คิดว่าพวกพ้องของเธอจะเล่นใช้เธอเป็นเหยื่อล้อ และอาศัยช่วงชลมุนติดต่อหากุญแจกับคนอื่น ..แจ็คสันคนเดียวไม่น่าไหว ไม่ใช่ว่าไปร่วมมือกับคนอื่นเพื่มด้วยหรือจ๊ะ? อย่างอัลกาดน่ะ”
“ไม่รู้สิครับ สำหรับผมแล้วจะยังไงก็ได้”
ทุกอย่างอยู่ที่ผลลัพธ์
“มีเพื่อนที่ดีจริงๆนะ”
“ไม่ใช่เพื่อนครับ”
“..ถ้าไม่มีคนพวกนั้น เธอคงจะจบเห่ไปแล้วนะจ๊ะ ยูจิ”
“เรื่องนั้นใครเป็นคนตัดสินกันครับ”
ผมเดินไปจนแทบจะติดกับควีนแล้ว จังหวะนั้นก็สัมผัสได้ถึงฝีเท้าที่พุ่งมาด้วย [จังหวะแตะสายลม] ผมหันหลังไปเผชิญหน้ากับคุณเควินที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
“ย๊ากกกก!!!!”
ดาบผ่าเข้าที่ร่างของผม เป็นดาบที่ดีมาก ทำให้ผมในเวลาที่ไม่ระวังตัวถูกเฉือนตั้งแต่หัวไหล่ลากยาวไปถึงหน้าท้องได้
เป็นบาดแผลที่ใหญ่มาก
“มาช่วยแล้ว ควีน”
“ทำได้ดีมาก เควิน”
แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไร
พริบตาเดียว บาดแผลขนาดยักษ์ก็ถูกรักษาจนหายดี
ทั้งควีนทั้งเควินพากันอึ้งกับสิ่งที่ได้พบ
“….”
“…สัตว์ประหลาดจริงๆด้วย”
คุณเควินวิ่งเข้าใส่ผม ผมใช้มือเปล่ากะจังหวะการเคลื่อนที่ที่สมบูรณ์แบบนั่น และคว้าปลายดาบเอาไว้ก่อนจะออกแรงบีบ ทำลายคมดาบทิ้ง แม้จะเหลือแต่ด้ามจับ คุณเควินก็กะจะใช้มันเล่นงานผมให้ถึงที่สุด ผมจึงก้าวถอยหลังมาราวสองก้าว เอียวตัวหลบการแทงของดาบที่บัดนี้มีระยะโจมตีเหมือนมีด ทั้งหมดสี่จังหวะ จากนั้นก็จับที่ปลายข้อมือของเขา และเหวี่ยงขึ้นฟ้า กระแทกลงพื้น
ตู้ม!!!!!! แรงกระแทกมหาศาลนั่นทำให้คุณเควินกระอักเลือดออกมา และนอนหมดสภาพในที่สุด
เหลือแค่ควีนแล้ว
“..”
“มีแต่ต้องยอมรึเปล่าจ๊ะเนี่ย”
แม้จะเจอสถานการณ์เช่นนี้ แต่ควีนก็ยังปั้นหน้ายิ้มร่าเริงอยู่ได้ ในจุดๆนี้ผมนับถือครับ
“ถ้ายอมรับความพ่ายแพ้ ผมจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นครับ แค่ให้ความร่วมมือกับผมในบางเรื่องก็พอ”
“หมายความว่าจะไม่เสียอะไรทั้งนั้น?”
“ประมาณนั้นครับ”
ไม่มีอะไรที่ผมอยากได้จากคัลเซเรมแห่งนี้ อำนาจ? ไม่ต้องการ ความสะดวกสบาย? ไม่ต้องการ อีกไม่นานผมก็วางแผนจะออกจากที่นี่อยู่แล้ว ที่ต้องการจึงมีแค่ทางผ่านที่ว่านอนสอนง่ายเท่านั้นครับ เพราะอย่างนั้นจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น
ที่ต้องสู้กับควีนเป็นเพราะว่าคนๆนี้ไม่ยอมเป็นทางผ่านให้ก็เท่านั้นครับ
“เข้าใจแล้–”
วินาทีก่อนที่ควีนจะยอมรับความพ่ายแพ้ ทั่วทั้งโรงอาหารก็เกิดการสั่นสะเทือน พร้อมกับแรงระเบิดขึ้น
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!!!!!!!!!!!! ไปตายซะ!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงหัวเราะแบบบ้าคลั่งดังขึ้นมาจากข้างล่าง ผมกับควีนหันไปมองพร้อมๆกัน และต้องพบกับ—คุณมาเจลที่กำลังเป็นบ้ากำลังเข้าเผชิญหน้ากับคุณอลิซาเบธ
“จากนี้ไป ขอเรียกว่าคุณหมาบ้าแทนคุณมาเจลนะคะ!”
“หนวกหู อย่างแกไม่มีสิทธิ์มาตัดสินชื่อของฉันคนนี้!!!!!”
คลื่นทะเลสีรุ้งพัดไปพัดมา พร้อมกับเคียวบาคุนาว่าที่เหวี่ยงไปมาอย่างสูสี ..เหมือนว่าในแง่ความสามารถ พลังของคุณอลิซาเบธจะแพ้ทางทะเลสีรุ้งของคุณมาเจล ทำให้การต่อสู้นี้ดูสูสี ทั้งที่วัดกันตามตรง คุณอลิซาเบธนั้นอยู่ในระดับท็อปโลกของจริงแท้ๆ
“ว่าแล้วเชียว ทะเลสีรุ้งเป็นพลังที่น่ากลัวจริงๆ”
“..พลังนั่นถูกเรียกว่าทะเลสีรุ้ง ..แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่นะ ถึงจะรู้ว่าเป็นวิญญาณระดับเทพก็เถอะ แต่ยากจะเข้าใจ–”
“ทะเลสีรุ้งก็คือความปารถนาที่หวังจะสร้างปาฏิหารย์ เป็นแก่นแท้ของราชาผู้พิชิตครับ”
“..แรงปารถนาที่หวังจะสร้างปาฏิหารย์?”
ผมพยักหน้ารับ และอธิบาย
“ครั้งหนึ่งเมื่ออดีต ราชาผู้พิชิตโอลิเว่อร์เคยเข้าต่อกรกับร่างจำแลงของเทพแห่งชีวิต ‘ไฮดะระ’ หรือที่รู้จักกันในนามของตำนานสัตว์อสูรว่า ‘ไฮดร้า’ ในวันๆนั้นโอลิเว่อร์มีกองเรือเพียงน้อยนิด กับทหารเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น แต่เขากลับสามารถพิชิตไฮดร้าได้ด้วยกำลังรบเพียงน้อยนิด สัตว์อสูรอมตะที่ใกล้เคียงกับความอมตะที่สุดได้ถูกโอลิเว่อร์สังหาร ..และย้อมทะเลแห่งนั้นด้วยสีรุ้งแห่งความเป็นไปได้” ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย “เดิมที มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติในการโค่นทวยเทพ เว้นเสียแต่จอมมาร และระบบวิญญาณระดับเทพก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อรวบรวมตัวตนที่ใกล้เคียงกับ ‘จอมมาร’ ที่สุด”
ผมจับจ้องไปที่คลื่นสีรุ้งซึ่งซัดไปมาภายในโรงอาหาร และขมวดคิ้วเข้าหากัน
“สิ่งนี้คือความเป็นไปได้ที่ครั้งหนึ่งเคยสังหารร่างจำแลงของทวยเทพ”
กรณีเดียวกับที่วีรสตรียูนาเคยโค่นมหามังกร ราชาผู้พิชิตโอลิเว่อร์เองก็เคยโค่นไฮดร้าด้วยทะเลสีรุ้งของตนเอง
“…ฮะ.ฮะ..ฮ่าๆๆๆๆๆ”
จู่ๆควีนก็นึกตลก หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เป็นการหัวเราะที่คล้ายกับคุณมาเจลจนแอบน่ากลัว
“พูดให้ฉันฟังไปทำไมจ๊ะเนี่ย?”
“…นั่นสินะครับ”
“แต่ก็เอาเถอะ ช่วยได้มากเลย มันทำให้ฉันนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ตัดสินใจออกผจญภัยเลยละ ใช่ ..ความปารถนาในปาฏิหารย์ ความเป็นไปได้ที่อยากจะคว้าเอาไว้ ไม่ใช่ยอมแพ้เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าหรือก้มหัวให้กับความเป็นจริง ที่เริ่มต้นเส้นทางนี้เพื่ออะไรกัน ..เหมือนจะหลงลืมไปซะตั้งนานเลย”
ควีนหยิบดาบตามพื้นขึ้นมาชี้ใส่ผม และแสยะยิ้มออกมา
“ขอบคุณที่ทำให้จำได้นะจ๊ะ ยูจิ และ..ฉันจะคว้าความเป็นไปได้เอาไว้เอง!!”
“เปล่าประโยชน์ครับ”
“เรื่องนั้นไว้ค่อยพูดหลังจากชนะแทนนะจ๊ะ ยูจิ”
ไม่น่าเผลอเล่าอะไรออกไปเลยครับ ..ผมคว้าดาบจากบนพื้นขึ้นมา โดยคิดว่าเป็นเพื่อนเล่นให้ควีนสักหน่อยก็ไม่น่าเสียหายอะไร
“เอาละนะ!!!”
“เข้ามาครับ”
****
การต่อสู้ของกลุ่มนักโทษได้จบลงแล้วโดยใช้เวลากว่าห้าชั่วโมง ผู้คุมขังที่พบเห็นเหตุการณ์ในวันนั้นรายงานไว้ว่า ..มีนักโทษกว่าพันชีวิตนอนสลบอยู่ตามพื้น ในขณะเดียวกัน นักโทษอีกฝ่ายที่มีกันแค่สามคนไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น ..
ผู้คุมขังคนนั้นรายงานต่อว่านักโทษทั้งสามหลังชนะศึกก็กลับไปนอนในคุก โดยปล่อยนักโทษนับพันนอนสลบอยู่ตรงนั้น และใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็มๆในการเคลียร์พื้นที่
MANGA DISCUSSION