เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 31: บทพิเศษ มังกรธาตุ
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 31: บทพิเศษ มังกรธาตุ
ต้องเกริ่นก่อนนะคับ–ขอบคุณสำหรับคนติดตามหลักพันนะคับผม หลังจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะคับ
แล้วก็นี่คือบทพิเศษซึ่งจะเป็นการพูดปูถึงตัวละครสำคัญในอนาคตหลายตัว แต่จะว่าไม่จำเป็นต้องอ่านก็ได้ ก็ได้เช่นกันคับเพราะเนื้อหามีเอี่ยวกับเรเซอร์นิดเดียวเท่านั้นคับ ในอนาคตก็จะมีบทบอกเล่าอยู่แล้วด้วย แค่เอามาใส่ก่อนให้รู้ก่อนเฉยๆ
ยังไงก็หวังว่าจะสนุกนะคับ
< < มังกรธาตุ > >
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีก่อน เวลาก่อนที่เรเซอร์ผู้เดินทางไปทั่วโลกจะได้กลับมายันทวีปฟัฟนิร์—-ขณะเดียวกันก็เป็นเวลาที่เหล่ามังกรธาตุทั้ง 4 กำลังทำอะไรบางอย่างกัน
บ้างก็เที่ยวเปร่ บ้างก็พยายามทำอะไรบางอย่าง บ้างก็วางแผน บ้างก็เดินทางทั่วโลก
ไร้สาระบ้าง มีสาระบ้าง ผสมปนกันไป นั่นแหละคือชีวิตของพี่น้องมังกรธาตุ สิ่งมีชีวิตทีมีอิสระที่สุดบนโลก
****************************
ตำนานมหามังกรคือสิ่งที่ฉันหลงใหล
มังกรผู้ช่วยปัดเป่าความชั่วร้ายออกจากโลกทั้งใบ และยอมเป็นผู้ร้ายให้กับทั้งโลก—นั่นคือฉากหน้าที่น่าหลงใหล แม้แต่ฉันเองก็ยังรู้จักเพียงฉากหน้านั้นและอิ่มเปรมไปกับความอัศจรรย์นั้น
ว่ากันว่าเมื่ออดีตกาล วีรสตรีในตำนาน ‘ยูนา’ ได้ร่วมมือกับมหามังกรทั้งสี่ทิศกำจัดสิ่งชั่วร้ายออกจากโลก และทวงคืนแสงสว่างกับโลกทั้งใบ
แสงสว่างที่ได้ในทุกเช้านี้ก็ล้วนมาจากความพยายามของพวกเขา
อา ฉันน่าหลงใหล อยากจะเจอตัวเป็นๆจัง เพราะถ้าได้เจอกับมังกรแสนน่าหลงใหลเหล่านั้น ชีวิตของฉันคงจะดีขึ้นกว่านี้เยอะเลย
—–อลิซ วัย 14 ปีคิดเช่นนั้นขณะที่กำลังถูกรังแกอย่างหนักหน่วง
เมืองชันไมอันมากด้วยชื่อเสียง ณ โรงเรียนชื่อดังที่เปี่ยมด้วยคุณภาพของเมืองชันไม ทุกคนหารู้เลยว่าเมืองที่ชาวบ้านดูเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยวขนาดนั้น มีเด็กน่าสงสารถูกรังแกอยู่ นั่นก็คืออลิซลูกสาวพ่อค้าผู้มั่นคั่ง
เธอถูกรังแกในห้องน้ำ เด็กเกเรหญิงสาวตรงหน้ามีสามคน แต่งตัวไม่เรียบร้อย
“ยัยอลิซวันนี้ก็อ่อยท่านเบลอีกแล้วสินะ”
พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจ เธอคิดเช่นนั้นและเผลอไปมองค้อนหนึ่งในสามสาว ทำให้พวกหล่อนเกิดเลือดขึ้นหน้า
“อีนังนี่ วอนนักนะ”
กำลังจะถูกตบ—-ทว่า ประตูห้องน้ำที่ไม่น่ามีใครอยู่ก็ได้เปิดขึ้น
“วะฮ้ะๆๆ! ลงผิดที่ซะได้!!”
น่าจะเป็นคนที่ร่าเริง—–ชายรูปงามในร่างเปลือยเดินออกมาจากห้องน้ำ ยืนอยู่ข้างๆอลิซ รูปหล่อ สูง 190 ซ.ม. เส้นผมสีเขียวไปฟ้ายุ่งเหยิง ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย รอยยิ้มสุขอารมณ์ ร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อสูง กล่าวได้ว่าหุ่นดีมากถึงที่สุดก็ไม่ผิด—-เพียงแต่ความหล่อเหลาพวกนั้นไม่ได้เข้าตาใครเลย เพราะว่าสิ่งที่ดึงดูดโฟกัสสายตาผู้คน ท่อนล่างอันอัศจรรย์
ราวกับโชว์เจ้าสิ่งที่เพศหญิงมิอาจมีให้เห็น สิ่งนั้นไม่ได้ตั้งตะง่าน แต่ห้อยลง—-แต่ใหญ่ยาวมาก ดาบยี่ห่ออะไรกัน? ไม่สิ
“—-กรี๊ด!!!!!!!”
สามสาวนังเลงร้องเสียงหลงพร้อมกัน—มีเพียงอลิซที่เผลอเลือดกำเดาได ซะอย่างนั้น ร่างกายคนเราไม่ได้มีโครงสร้างอย่างนั้นแท้ๆ
“วะฮ่าๆๆๆๆๆ ตายแล้ว ลืมใส่เสื้อซะได้—ไม่สิ เสื้อสลายหายไปแล้วนี่น่า ให้ตายเถอะ!!!! ฮา!!!!”
ดูดีดสุดๆชายคนนี้
“หญิงงามทั้งหลาย ข้าจะทำเมินให้พวกเจ้ารีบๆหนีไปซะละ!! หรือจะชมเชยกับร่างกายของข้าก็ได้นา วะฮ่า!!!!! ว่าไปนั่น ขืนพูดแบบนั้นก็โดนพวกนักผจญภัยไล่กระทืบปกป้องหญิงสาวน่ารักพอดีเซ้!!!—-อ๊ะ แต่นี่มันทวีปฟัฟนิร์นี่นา ไม่มีพวกนักผจญภัยบ้าดีเดือด เช่นนั้นก็หายห่วง!!!! ว่าไปนั่น! วะฮ่าๆๆๆๆ!!”
ตบมุกขำไม่ออกให้ตัวเองอีก ว่าแล้วก็หัวเราะอีก ดูท่าจะอารมณ์ดี
สาวนักเลงทั้งสามทำตามนั้น พากันวิ่งออกจากห้องน้ำไป คงไม่คุ้นชินกับสิ่งๆนั้นเพราะยังไงเสียก็เป็นลูกผู้ดีไร้เดียงสา …ส่วนอลิซนั่งจ้องตาเป็นวาว
“สนใจนั้นรึ?”
“…-ป เปล่าค่ะ คือ”
อลิซเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“อายุยังน้อยแท้ๆแต่สนใจสิ่งนี้มากพอดู เจ้านี่ใฝ่รู้ดีจริงๆ”
—-ขอบพระคุณค่ะ
“แต่จ้องนานแบบนั้นมันไม่ดีนา ถ้าไม่ใช่ข้าแต่เป็นเหล่ามนุษย์ผู้มักมากคงจะตั้งตระง่านแล้วจู่โจมใส่เจ้าแหง เข้าใจแล้วก็วิ่งหนีไปซะ”
“-ข เข้าใจแล้วค่ะ”
อลิซเช็ดเลือดกำเดาแล้วกำลังจะเดินออกจากห้อง แต่ต้องสะดุดเมื่อเจอกับคำพูดโอ้อวดของชายหนุ่ม
“ขอบคุณท่านมหามังกรวายุ ‘แซร์อิซ’ ผู้นี้ด้วยซะละ!!!! วะฮ่าๆๆๆ!!!!”
“———-เดี่ยวก่อนค่ะ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะคะ?”
“ก็มหามังกรวายุไงละ ทำไมรึ? จะวิ่งไล่กวดข้าแล้วเรียกนักผจญภัยมาช่วยรุมอีกต่อนั้นรึ?”
“ไม่ใช่ค่ะ ที่ว่าเป็นหมามังกรวายุนั่นเรื่องจริงหรอ!”
“จริงแท้แน่นอน!!”
—-ก็บ้าแล้ว
“อย่ามาล้อเล่นนะค่ะ ล้มรู่ท่านแซร์อิซแบบนี้มันหยามกันชัดๆ เรื่องแอบอ้างพวกนี้ใช้ไม่ได้”
“…เคราพรักข้านั้นรึ? น่าแปลกแหะ ปกติมีแต่ไล่กวดกันจนเมืองจะแตก อืม หาได้ยาก เจ้ามนุษย์ที่พิลึกก็เจอมาบ้าง …อ๊ะ ตายจริง นี่มันทวีปฟัฟนิร์นี่หว่า”
—-ทวีปฟัฟนิร์ต่างกับทวีปแซร์อิซ พวกเขาเคราพรักมหามังกรอย่างสุดใจ
การมีคนมากล่าวอ้างก็ไม่ต่างกับการดูถูกผู้เปรียบได้กับพระเจ้า
“ถ้านั้นก็เยี่ยม เอ็นดูข้าดีๆซะละ”
“บอกว่าอย่าแอบอ้างไงค่ะ”
“ไม่ได้แอบอ้างสักหน่อย ถึงจะไม่มีร่างมังกรให้แปลงแล้วก็ตาม แต่อภินิหารอย่างการพัดคฤหาสน์ให้ปลิวได้ หรือจะให้สร้างพายุดีละ ยังทำได้เล็กน้อยแม้จะถูกยัยผู้หยิงโฉดนั่นทารุน ให้ทำให้ดูมั้ย?”
“..นั่นมันออกจะรุนแรงไปหน่อย”
“แล้วจะให้ข้าพิสูจน์อะไรเล่า! เป็นผู้หญิงแท้ๆความหนักแน่นยังไม่มี!”
—-อะไรกันละนั่น? ความหนักแน่นกับผู้หญิงตามคำสอนบ้าๆลวงๆยังไม่มีสอนเลย
“ฟังไว้นาเจ้าหนู ผู้หญิงที่มัดใจชายได้ต้องกล้าหาญและเปี่ยมด้วยความหนักแน่น—อาทิเช่นก็เทพแห่งธรรมชาติที่รักของข้า …ไม่ก็วีรสตรียูนา เจ้าควรเอาพวกเขาเป็นแบบอย่างนา”
“เจ้าคนต่ำทราม แอบอ้างท่านเทพไม่พอยังท่านวีรสตรีอีก แกนี่มัน!!”
“ข้าแค่แนะนำเจ้าเท่านั้น ผู้หญิงต้องหนักแน่น ต้องแข็งแกร่ง ต้องแยกโลกด้วยดาบเล่มด้วยได้ หรือเป่าข้าให้ปลิวด้วยเวทมนต์ได้ ทำให้ข้าตายได้เท่ากับผู้หญิงชั้นยอด!!”
“อย่าเอารสนิยมตัวเองยัดเยียดให้ชาวบ้าน!”
“วะฮ่าๆๆๆๆ!!!! พูดความจริงล้วนๆได้ซึ่งความจอมปลอม ก็ถ้าผู้หญิงแข็งแกร่งจะสามารถจัดการกับชายที่รักได้สบายบรือ ฝ่ายชายที่ถูกทำร้ายร่างกายคงยินดีเป็นแน่ นั่นคือสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้ …หลังพบกับหญิงคนหนึ่ง”
ผู้แอบอ้าง?กุมอกตัวเองด้วยท่าทางซาบซึ้งใจ—–เบื้องหลังที่ไม่มีเขารู้ มหามังกรวายุได้มีรสนิยมทางเพศที่น่าเศร้าเมื่อพบกับวีรสตรีท่านหนึ่งในตำนาน
อลิซหน้าซีกเผือก
“นายนี่มันพิลึกไปแล้ว …ถ้างั้นบินได้มั้ย?”
“สบาย!”
ว่าแล้วผู้แอบอ้างก็จับมือเธอและ————พุ่งทยานขึ้นไปบนฟ้า โดยไร้ซึ่งเพดานขวางกั้น
อลิซเบิกตาโพลงกว้างไม่ใช่เพราะเขาบินได้ แต่เป็นเจ้าสิ่งที่ถูกแรงลมพัดไปมา——ไอนั่นของผู้ชาย
เลือดกำเดาไหลไปตามสายลมเช่นกัน
ในวันนั้นเธอก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของเหล่ามังกรธาตุ
*************
ทวีปเกรล แดนแห่งวิทยาการ—-อาณาจักรเกรล สถานที่ที่ได้รับนามแห่งมหามังกรดิน ครั้นอดีตวิทยาการเล่นแร่แปรธาตุของอาณาจักรแห่งนี้ได้ช่วยเหลือกองทัพที่เผชิญหน้ากับมังกรธาตุโดยตรง จนเมื่อจบสงครามก็ได้รับการตอบแทนและเกียรติจนขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของโลก
พูดอีกอย่างหนึ่งอาณาจักรเกรลเป็นผู้ครองครอบพลัง 9/10 ของมหามังกรดิน สิ่งนั้นก็คือ ประสาทลอยฟ้า ‘เกรล’
ทว่าหนึ่งในสิ่งที่ทุกคนหารู้กัน ความลับสุดยอดของอาณาจักรเกรลซึ่งไม่มีผู้ใดรู้กันเลย—–นั่นก็คือ ณ อาณาจักรแห่งนี้เป็นที่พำนักหลักของเกรล …เกรล ที่คือมหามังกรดินนั่นเอง
เด็กสาวผู้มีเลือนผมสีน้ำตาลมัดทรงโพนี่เทลสั้น หากไม่ได้ถูกรวบไว้คงเป็นเด็กสาวผมสั้นถึงบ่า ร่างเล็กราวกับเด็กประถม สวมเสื้อกาวด์ของนักวิทยาศาสตร์และเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้น
เธอมีเครื่องประดับเล็กน้อยเป็นกิ๊บผมรูปชั่งตีเหล็ก—ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเล่นแร่แปรธาตุ เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของเธอ สิ่งที่คนสำคัญได้มอบให้เธอ
แล้วเธอที่ว่าหลายต่อหลายครั้งนั่นก็คือ ‘เกรล’ มหามังกรดินผู้ครั้งหนึ่งเคยมอบความมืดให้กับโลกทั้งใบ สิ่งมีชีวิตในตำนานทัดเทียมกับจอมมาร
เจ้าสิ่งนั้นคือเด็กสาวน่ารักตัวแค่นี้นั่นเอง
เกรลผู้มีใบหน้าที่เรียบเฉยต่อทุกสิ่งเกิดอมยิ้มเล็กน้อย ขณะกำลังเดินเล่นในปราสาท–ปราสาทของราชานั่นแหละ
เธอพลางดูสิ่งที่อยู่ในมือตัวเอง มันคือถุุงใส่ขนมคุกกี้ตามตลาด ไม่เหมาะกับสถานที่อย่างปราสาทเลยสักนิด แต่มีใครสักคนกำลังเฝ้ารอมันอยู่—นั่นก็คือคนสำคัญของเธอเหมือนกัน
เกรลเดินอย่างอารมณ์ดี อมยิ้มกับตัวเองไปด้วยจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่กว่าเธอสามเท่าและกว้างกว่าเธอสิบเท่า
เด็กสาวธรรมดาคงเปิดไม่ได้ เว้นแต่เพียงเกรลที่ทำเพียงเตะมัน—–ตู้ม!!!!! ไม่ใช่แค่ประตูที่กระเด็น แต่ปูนกำแพงก็กระเจิงเมื่อเจอแรงกายของเกรล แม้จะมีพลังเพียงหนึ่งในสิบส่วน แต่ก็มากพอจะถล่มปราสาทได้หากเอาจริง
“—เอาคุกกี้มาฝากนะ”
เธอพูดแบบสบายอารมณ์ทั้งๆที่พึ่งทำลายข้าวของไป แต่เธอไม่สน เธอสนเพียงชายที่กำลังนั่งอ่านหนังสือและทดลองอะไรบางอย่างบนชั่งเหล็ก
….ชายผู้นั้นมองมา
เด็กหนุ่มผมยาวสีทองอ่อน ดวงตาสีเหลืองมีเอกลักษณ์ รูปงามแต่ตัวเล็ก อายุราว 14 ปี สวมเสื้อเต็มยศ ทั้งหมดราวกับเจ้าชาย—-เจ้าชายแห่งอาณาจักรเกรลนั่นเอง
“คุกกี้ของโปรด ‘เรออน’ มาแล้ว”
ชื่อของเขาคือ ‘เรออน’ ผู้เป็นที่สนใจของเกรล
“…เกรลนี่เธอ”
เกรลเอียงคอท่าทางดูง่วง
“อะไรหรือ?”
“ยังจะมาถามว่าอะไรอีก ประตูพังแล้วนะ”
เรออนชี้นิ้วไปทางประตูแสนน่าสงสาร เมื่อกล่าวเตือนเกรลจึงรู้สึกตัวเกิดสะดุ้งเฮือกทั้งๆที่หน้าดูง่วง
“…มันขวางทางน่ะ”
“ถ้าขวางทางก็เปิดสิ ไม่ใช่ทำลาย เกรลทุกวันนี้เจ้ายังอยู่รอดมาได้อีกนะ”
“ฉันเป็นอมตะน่ะ”
“แบบนี้นี่เอง”
ชั่งสมเหตุสมผลยิ่งนัก เรออนห่อหลังนั่งพิงกับเก้าอี้ลง ก่อนจะกดอะไรบางอย่างบนกลไกของเก้าอี้ทำให้มันเคลื่อนที่ไปหาประตู
“มัวแต่พึ่งของแบบนั้นระหว่างลงพุงเอานะ รักษาสุขภาพหน่อยสิ”
“ปกติก็ออกกำลังกายตามหลักอนามัยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาปกติจะพุ่งของสบายบ้างก็หายห่วง”
“แบบนั้นก็เป็นคู่มือฉันไม่ได้สิ”
ครั้งนี้เรออนเป็นฝ่ายสะดุ้งเฮือก
“-น นี่คิดจะปั้นฉันเป็นคู่มือจริงๆสินะ”
“บอกตั้งแต่แรกแล้วนี่ ฉันมาเพื่อเอาพลังเก้าส่วนคืน แล้วก็อยากได้นายเป็นคู่มือด้วย”
—-คิดจะฆ่ากันรึ ไม่ว่าใครก็คิดอย่างนั้น เพราะคู่มือของมหามังกรตอนได้พลังทั้งหมดคืน อย่างน้อยๆพอให้สนุกก็ต้องท็อปโลก หากอยากสูสีก็ต้องเก่งทัดเทียมวิญญาณระดับเทพ และอยากชนะก็ต้องระดับจอมมาร
นั่นสเกลพลังในการโค่นมหามังกรทุกตัว ว่ากันตามตรงเรออนตอนนี้ไม่คิดว่าตัวเองจะชนะเกรลได้เลย เพราะเขาคือนักเล่นแร่แปรธาตุ
“ขออีกสัก 100 ปีเถอะ”
“ตายพอดีสิแบบนั้น”
รู้ด้วย เขาแปลกใจ
“ถ้านั้นขอสัก 20 ปี”
“ก็ตายอยู่ดีนั่นแหละ”
เกรลกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย เธอดูไม่ได้สงสัยกับมันเลย—ใช่ เรออนไม่คิดจะอยู่ถึงยี่สิบปีหรอก เพราะแผนการบางอย่างที่บอกไม่ได้ เขาคิดจะตายในเร็วปีนี้
“รีบๆเก่งแล้วเป็นคู่มือได้แล้ว”
“ไม่ไหว เอาท่านเซียนไปเป็นคู่มือเถอะ”
—ท่านเซียนในที่นี้จะไม่บอกว่าเป็นใคร แต่เป็นบุคคลสำคัญของอาณาจักรเกรล
“ไม่เอา ไม่อยากเป็นเพื่อนกับเพื่อนของจอมมารหรอก”
เธอคิดว่าหากได้เป็นคู่มือกันก็เท่ากับ ‘เพื่อน’
“อย่าว่าร้ายท่านเซียนสิเกรล”
“ไม่รู้สิ—–เอาเป็นว่าขอบังคับนะ”
เกรลกล่าวอย่างเรียบเฉยและพุ่งเข้าใส่เรออน
พริบตาเดียวกันนั้นเรออนก็ดีดนิ้ว—–ร่างของเกรลไปโผล่อีกทีบนฟ้า เธอกำลังดิ่งลงฟ้า
“สุดยอดเลย เรออน”
เธอพึมพำ และกระโดดถีบอากาศ—-จนพุ่งไปลงที่ห้องของเจ้าชายอีกครั้ง เป็นที่เดิมก่อนที่จะวาปหายไป
“ไหงบอกไม่ไหวไง”
“ถ้าได้พลังสิบส่วนมาคืนเมื่อไหร่ฉันก็แพ้แน่ๆสิ”
“ชนะสิ ฝึกอีกสิ สักสิบปีก็ไหวอยู่”
“ไม่คิดจะอยู่ถึงสิบปีหรอก”
“อดสู้กันพอดีสิ …เอ๋”
เกรลไม่รู้สึกตัวเลยว่าหัวแตก เลือดไหลลงหัวเธอ
“—เกรล!”
“เอ๋ เหมือนวัตถุในห้องของเรออนจะแข็งน่ะ แข็งมากเลยหัวจึงแตก”
เกรลอมยิ้ม แต่เรออนวิ่งมาด้วยความเป็นห่วง
เขาเอามือไปสัมผัสกับหน้าผากที่ย้อมเลือด
“ขอโทษนะเกรล”
….เกรลส่ายหัว
“อย่าส่ายหัวสิ เดี่ยวแผนมันเปิด”
“ไม่เข้าใจเลย”
“อะไร?”
เกรลเอียงคอสงน
“เรออนจะมาสนใจเราทำไม? เราเป็นอมตะนะ”
“บ๋องรึไง? ถ้าปล่อยแผลไว้มันเจ็บไม่ใช่รึ”
“เอานั้นเพื่อนเค้าทำกันนี่…ทั้งๆที่ยังไม่ได้แลกเลือดกันเนี่ยนะ?”
“แลกเลือด?—-เป็นคำสอนของยัยยูนาอะไรนั่นเรอะ”
เกรลพยักหน้า
“ตอนที่คอขาดยูนาบอกว่าถ้าอยากมีเพื่อนก็ต้องทำแบบนี้กับเพื่อนน่ะ เท่ากับว่าเพื่อนต้องแลกเลือดกัน”
เรออนกำหมัดแน่น
“ยัยนั่นสอนอะไรเธอเนี่ย เป็นถึงวีรสตรีแท้ๆ …เกรล”
เรออนกอดเกรลแน่น
“ดูแลตัวเองหน่อยสิ”
“แรงกอดน้อยแบบนี้ทำฉันตายไม่ได้หรอกนะ”
“ใครเค้าฆ่ากันโดยการกอดเล่า”
“ยูนาเคยใช้พลังควบคุมให้ฟัฟนิร์มากอดฉันจนตายน่ะ”
“—-ยัยวีรสตรีนั่น พ่อจะฆ่าไม่เลี้ยง!!!!”
เกรลส่ายหัวให้
“ฆ่ายูนาไม่ได้หรอก เธอแข็งแกร่ง”
“..นั่นสินะ ฉันหัวร้อนไปหน่อย ..หายดีแล้วละ”
เรออนผละตัวออกจากเกรล ทำให้พบว่าแผลทั้งหมดหายไป
“ไนซ์การเล่นแร่แปรธาตุ”
“ใครสอนพูดแบบนั้น?”
“ทหารยามน่ะ”
“นั้นหรือ เป็นวิธีพูดที่แปลกดีแล้วก็ขอบใจที่ชม”
เรออนเดินไปนั่งลงกับเก้าอี้และวิจัยบางสิ่งต่อ
เกรลลงไปนั่งบนโซฟาของเจ้าชายโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ
“มัวแต่วิจัยมันไม่เก่งขึ้นหรอกนะ ไปฝึกกันเถอะ”
“ขอลาละ เดิมทีเป้าหมายไม่ใช่เก่งขึ้นด้วย”
เป้าหมายของเรออนคือการยกระดับอาณาจักร…ไม่สิ เขาตั้งใจจะยกระดับทั้งทวีปเกรล
“เพราะผู้คนของเราอ่อนแอจึงจำเป็นต้องมีดาบและโล่ที่แข็งแกร่ง ถึงจะเป็นเพียงคำเปรียบเปรยก็ตาม แต่พวกเราต้องเก่งขึ้นทั้งหมด”
แม้เรออนจะกล่าวอย่างจริงจัง แต่เกรล–ไม่สิ ต่อให้มังกรธาตุทั้งหมดมานั่งฟังก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะพวกเขาไม่ใช่พวกเอางานเอาการโดยธรรมชาติ เกรลซึ่งทำงานเพื่อเรออนมาตลอดก็ไม่ค่อยชอบใจนักเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้นการทำเพื่อคนอื่นก็ไม่ใช่นโยบายของมังกรธาตุด้วย
“จะไปสนใจพวกอ่อนแอทำไมกัน”
เกรลนอนลงโซฟาพลางนำคุกกี้เข้าปากสบายอารมณ์
“เพราะเป็นเจ้าชายยังไงละ”
กล่าวอย่างจริงจังแล้วก็ทุ่มสุดตัว
“อีกไม่นานก็ตายแล้วแท้ๆ”
เรออนไม่คิดจะอยู่นานนัก เขามีเหตุผล
“ชั่งเถอะ—-เกรลไม่ใช่ว่าฉันฝากซื้อคุกกี้หรือไง?”
“…แย่ละสิ”
เกรลกระโดดลงจากโซฟ้า
“เดี่ยวไปเดินเล่นตรงชายแดนอาณาจักรหน่อยนะ”
“—หยุดเชี”
พูดไม่ทันจบเกรลก็พุ่งหายไปจากระยะสายตาเรออน
“…พวกมังกรธาตุนี่รักอิสระดีนะ”
เขาพึมพำอย่างหดหู่
*******************
ณ อาณาจักรเนลยอน
“—-เนลยอน!”
ผู้พูดคือหญิงสาวร่าเริง เธอเป็นสาวน่ารัก ใช่ ออกไปในทางน่ารักมากกว่า
เลือนผมสีทอง ดวงตาสีฟ้าราวกับท้องทะเล ผมหางม้า สวมหมวกแก็ปลายทะเลดูเห่ย สวมเสื้อนอกสีฟ้าลายทะเลกับพระอาทิตย์อัสดงดูเห่ยและมีเสื้อในเป็นเสื้อสีขาวลายคลื่นทะเลดูเห่ย กางเกงขาสั้นเลยหัวเข่าเล็กน้อย
เธอมีชื่อว่า ‘วิน’ —เป็นหนึ่งในผู้ครอบครองวิญญาณระดับเทพ ทำงานให้กับอาณาจักรเนลยอน
โดยรวมเป็นผู้หญิงที่น่ารักแต่แต่งตัวดูเห่ย เธอกำลังวิ่งป่ายปีนในคฤหาสน์ผู้มีชื่อว่าเนลยอน เช่นเดียวกับมหามังกรวารีในตำนาน
ผู้ที่ถูกเรียนคือเด็กหนุ่มหรือเด็กสาวไปทราบ เพราะใบหน้ายากจะดู เส้นผมสีฟ้าเป็นประกายซึ่งมัดจุดยาวไว้ เหมือนกับที่ผู้ชายผมยาวชอบไว้กัน ดวงตาสีฟ้าใสเป็นประกาย สวมเสื้อสูทสีขาวสง่างาม ดูเป็นผู้ดี แต่ชอบทำตาเหมือนโมโหอยู่
“มีอะไรเจ้าลิง?”
“ลิง?”
เด็กสาวเอียงคอสงน
“พูดได้เห่ยชะมัด ตกลงแล้วเพศอะไรกันแน่น่ะเนลยอน”
“ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งมีชีวิตที่สูงส่งอย่างขาพเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องมีเพศตรงข้ามไว้สืบพันธุ์”
ว่าแล้ววินก็หัวเราะร่า ร่าเริง—-ถูกคนแบบนี้มาพูดใส่ก็ไม่รู้สึกเศร้าหรอก เพราะไม่ได้รักไคร่เชิงชู้สาวอยู่แล้ว
“เขาว่าพวกมังกรเป็นหมันนี่นะ! น่าสงสาร”
“—-ใครสอนเจ้ามากัน!?”
เนลยอนเกิดมีน้ำโหขึ้นมา
“อ๊ะ อา โทษทีเด้อ โทษที”
วินพยายามปรามอารมณ์ของเนลยอนไว้—เนลยอนมองขึ้นไป ไม่ได้มองวิน
“หรือว่าแกน่ะหะ เจ้าราชาแห่งไศยศาสตร์”
นั่นคือฉายาของวิญญาณะดับเทพที่วินครอบครอง—-ผู้คิดค้นวิชาไศยศาสตร์ และบรรลุมันทุกแขนง ราชาแห่งไศยศาสตร์
“อย่าใส่ร้ายคนอื่นสิเนลยอน เพราะแบบนี้ไงถึงได้ไม่มีใครคบน่ะ”
“อย่ามาล้อเลียนกันนะยัยเด็กเมื่อวานซืน!”
“เห่ยชะมัด!”
วินหัวเราะร่าเริง นั่นทำให้เนลยอนมีน้ำโหกว่าเดิม
ถ้าเกิดว่าวินไม่ได้เป็นผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพเขาคงเข้าไปกระซากหน้าลงมาจูบพื้นแล้ว เพียงแต่อีกฝ่ายมีวิญญาณระดับเทพสุดแกร่งอยู่
แล้ววินเจ้าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าก็คือผู้ครองครองวิญญาณระดัดเทพที่เยี่ยมที่สุดก็ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง—-ต่อให้เนลยอนได้รับพลังทั้งหมดคืนมา ก็ใช่ว่าจะชนะได้ง่ายๆ
“อย่าถือสาเลยน่า เนลยอนไปละ”
“มาแค่นี้เนี่ยนะ?”
“มีธุระแค่นี้แหละ ต้องรีบไปเข้าเรียนแล้ว”
วินโบกมือให้และกระโดดดึงๆออกไปอย่างร่าเริง ปล่อยให้เนลยอนนั่งตึงเครียดคนเดียว
“พวกมนุษย์นี่มันจริงๆเลย”
เนลยอนไม่ถูกกับมนุษย์อย่างแรง เขาคิดเช่นนั้น และทำงานต่ออย่างขันแข็ง
มหามังกรวารี ปัจจุบันนี้ก็พำนักอยู่ที่อาณาจักรเนลยอน กำลังทำงานเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของอาณาจักร—-ทั้งหมดที่ทำก็เพราะเขามีเป้าหมายอยู่
เนลยอนมองขึ้นไปบนฟ้า
“..จะครอบครองโลกใบนี้ให้ได้”
เพื่อที่จะได้พบกับคนๆนั้นอีกครั้ง บิดาของเขา เทพแห่งมังกร ‘เทียแมท’
นั่นคือเป้าหมายอันบ้าบิ่นของเนลยอน
***
สายลมได้พัดพาซึ่งหลายสิ่ง ไม่เว้นกระทั่งผู้ใหญ่ทัดฟ้าก็ยังมิอาจต้านทานแรงของสายลมได้ หลบเลี่ยงก็ไม่ได้ เพราะสายลมนั่นคือชะตาของชีวิตที่จะพัดไปหาบางสิ่งและเปลี่ยนทิศบ้างเมื่อเจอกับอะไรบางอย่าง
‘เป็นสายลมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้’ มันคือ ‘ชีวิต’
ฟัฟนิร์ได้รับรู้การมีอยู่ของสายลมนั่นหลังจากที่ถูกวีรสตรีและผู้ยิ่งใหญ่มากมายโค่งลงพร้อมกับเหล่าพี่น้อง
สามปีแล้วสินะ ฟัฟนิร์คิดเช่นนั้นขณะที่จ้องไปยันหลุมศพเบื้องหน้า หลุมศพของผู้ที่ตนคร่าชีวิตไปโดยไม่สนสิ่งใด ความรู้สึกผิดสูงสุดของเธอ คือการเอาชีวิตของหญิงสาวที่มีชื่อว่า ‘ซากุระ’ อาจจะมีหลายอย่างปลนเจือกัน อย่างความคิดอกุศลที่หากตัวเองไม่ฆ่าผู้หญิงคนนี้ก็จะไม่ถูกยูนาตามล่าและพ่ายแพ้
อย่างไรก็ช่าง ตอนนี้ฟัฟนิร์สำนึกผิดจากใจจริงและกำลังใช้ชีวิตที่เหลือของตัวเองสวดส่งวิญญาณผู้ที่ตนฆ่าไป
ผลสรุปคือนับไม่ได้ ยันปัจจุบันก็ยังหายไปไม่หมด ปัจจุบันนี้เธอก็ยังคงเดินทางไปทั่วอยู่ พูดอีกอย่างก็ถูกสานลมพัดไปมาอยู่ จนกว่าชีวิตจะหาไม่
ถึงมังกรธาตุจะไม่มีวันตายก็ตาม แต่ความตายสักวันคงมาถึงแน่ เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกับกฏของโลก แต่สักวันต้องมาถึงแน่
“ไม่เจอกันนานเชียว ถ้าติดต่อกับท่านยูนาได้ก็ช่วยกล่าวปรามหน่อยนะ อย่าโหดร้ายกับเรามากเลย”
ฟัฟนิร์กล่าวอย่างเหนื่อยใจตรงหน้าหลุมศพ เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนรักกันเลยขอความช่วยเหลือ ถึงเจ้าตัวจะให้ความช่วยเหลือไม่ได้ก็ตาม เป็นการกล่าวปลอบประโลมตัวเองมากกว่า
“จะว่าไปก็สามปีแล้ว …ต้าวมนุษย์น่าสนใจจะเป็นยังไงบ้างนะ เราไม่ได้เจอเสียตั้งนาน แน่นอนว่าท่านยูนาด้วย รักมากเลย”
ไร้ซึ่งความจริงในช่วงหลัง เธอแค่พูดเป็นโล่ไว้เท่านั้นเผื่อกรณีที่ยูนาแอบได้ยิน ส่วนคำว่า ‘ต้าว’ กับสิ่งมีชีวิตที่เธอสนิทด้วยระดับหนึ่งจะเรียกอย่างนั้น ระหว่างเดินทางเอกก็มีคนได้รับคำนำหน้าชื่อไปมากมายเช่นกัน
ฟัฟนิร์มองขึ้นไปบนฟ้า—-ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
เธอรู้สึกได้ถึงสิ่งมีชีวิตที่เหนือทัดฟ้าเช่นเธอ—-
“100ปีได้เลย ต้าวพี่”
เธอยิ้มร่าทักทายชายตรงหน้า
“ไม่ได้อยู่ในร่างไร้ซึ่งมลทินเหมือนปกติหรือ?”
ชายตรงหน้า—-มหามังกรวายุ ‘แซร์อิซ’ กำลังยืนมองเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ที่สำคัญยังสวมเสื้อผ้าอยู่ด้วย เป็นเสื้อสบายตัว และกางเกงยาวเลยหัวเข่าเล็กน้อยเหมือนจะหลวมแต่ถูดมัดไว้
จากที่ฟัฟนิร์พูด ปกติแซร์อิซจะแก้ผ้าใช้ชีวิตมากกว่า
ว่าแล้วแซร์อิซก็หัวเราะร่า
“วะฮ่าๆๆๆ!! พอดีมีสาวในน้อยเมืองช่วยแปลงโฉมหน่อยนะ มิเช่นนั้นจะสง่าบริสุทธิ์เกินไป”
“ดีแล้วละ ไม่อยากเห็นของสืบพันธ์ต้าวพี่ชายสักหน่อย”
“ได้เลย เฉพาะเจ้าของอนุญาติ! เพราะฉะนั้นช่วยเลิกเรียกข้าว่า ‘ต้าว’ ทีสิ มันรู้สึกพิลึกน่ะ”
“…”
ฟัฟนิร์เอียงคอสงน
“ทำไม?”
“รู้สึกถึงมลทิน เหมือนกับจอมมาร แล้วก็ดาบของยูนา”
ว่าอีกอย่างคือไม่ชอบ
“เข้าใจแล้ว คงจะหยะแหยงชอบกลสินะ ขอโทษนะต้—พี่ชาย?”
“อนุญาต!! วะฮ่าๆๆ!!!”
กล่าวทักทายกันเสร็จแล้วแซร์อิซก็ลงไปนั่งข้างๆฟัฟนิร์มองหลุมศพตรงหน้า เขาเองก็จำได้ดีเพราะนั่นคือหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
“ข้ากับเจ้าตายกันในวันๆเดียวกับผู้หญิงตรงหน้าเลยสินะ นึกแล้วก็ฟินชอบกล”
“ฟิน?”
“เวลาถูกยูนาฟาดฟันจนขาขาดแขนขาดนับไม่ถ้วน ซ้ำร้ายยังถูกโซ่มัดคอทั้งเดือนจนขาดอากาศหายใจ มันฟินจนหาที่สุดได้”
“พี่พิลึก มังกรวิตถาร”
“วะฮ่าๆๆๆๆ น้องสาวในไส้แท้ๆไหงดูรังเกียจกันอย่างนั้นเล่า!! แค่ครั้งนี้ที่ให้อภัยนะ!!!”
ฟัฟนิร์มองผู้เป็นพี่อย่างห่วงใย ถึงจะตั้งนานแล้วแต่อารมณ์ทางเพศที่น่ากลัวนั่นเป็นไปได้ก็อยากรักษา
“พี่มีคนที่ถูกใจรึยังละ?”
ว่าแล้วก็ชวนคุยตามพะสาพี่น้องที่สนิทกัน
อนึ่งฟัฟนิร์กับแซร์อิซคือคนที่สนิทกันมากที่สุด
“ก็เจออยู่…จริงๆเจอหลายคนเลยละ แต่ถ้าหากบอกว่าใครสุดที่สุดในรุ่นก็ต้องเป็นเทพแห่งธรรมชาติสิ”
“มั่วชั่ว ผู้หญิงคนนั้นใจดีจะตาย”
“ลับหลังเป็นพวกโหดร้ายน่ะ จัดว่าเป็นผู้หญิงที่ดี ครั้งล่าสุดที่เจอกันข้าก็นอนไส้ทะลักอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆเชียว”
ฟัฟนิร์สะดุ้งเล็กน้อย เธอไม่ถูกกับเรื่องไส้ๆพุงๆ
“หรอ …พี่ไปทำอะไรให้เขาฆ่าละ”
“เผลอไปฆ่าผู้ติดตามหล่อนเค้านะ แต่ก็ฆ่าข้าทั้งๆที่ยิ้มอยู่นะ”
ฟัฟนิร์อึ้งกับนิสัยพิลึกของผู้เป็นพี่อย่างหาที่สุด ไม่ใช่แค่เธอแต่คนอื่นก็เช่นกัน
“สมควรแล้ว จริงๆควรนิ่งสนิทเป็นปีด้วยซ้ำ”
“ว่าฮ่าๆๆๆๆ!! พูดแล้วก็รู้สึกดีเลย ถ้าได้นอนเป็นตายนับปีเนี่ย”
ฟัฟนิร์ถอนหายใจ
“อ่า!! ถ้าพูดถึงพวกที่แววดีตอนนี้ เป็นผู้ชายทั้งนั้นเลย สุดยอดใช่ย่อยเจ้าเองก็รองไปทักทายดีมั้ย?”
“เป็นคนยังไงหรือ”
แม้จะรู้อยู่แก่ใจฟัฟนิร์ก็ยังถามต่อ—-
“คนแรกชื่อไรเดน อา…อะไรสักอย่างนี่แหละ แต่ชื่อนำหน้าเป็นไรเดน เจ้านี่เก่งใช่ย่อย ตอนที่เดินเล่นในทวีปเนลยอนก็ถูกโจมตีเข้าจนไม่เหลือกระทั่งเศษเนื้อเลย ใช้เวลาตั้งหนึ่งปีในการฟื้นฟูลำบากแทบแย่”
“ไรเดน อาคาสะ สินะ คนๆนั้นแกร่งมากเลย ทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกตอนนี้ก็ว่าได้”
—-ไรเดน อาคาสะ ผู้มีอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในอาณาจักรเนลยอน กล่าวได้ว่าแกร่งสุดในทวีปเนลยอน
“ต่อมาก็ผู้กล้าลำดับที่ 100 เจ้าหมอนี่ทำข้าเกือบตายเลยถ้าหนีไม่ทัน”
ผู้กล้าคนปัจจุบันผู้สร้างตำนานถล่มกองทัพฟัฟนิร์อย่างย่อยยับเมื่อไม่กี่ปีก่อน และนั่นก็คือศึกที่ชินไปเอี่ยวด้วย
“ว่ากันว่าเป็นผู้กล้าที่เก่งเท่ากับรุ่นแรกเลยนะ”
“เก่งขนาดนั้นคงพอประมือกันพวกเราร่างสมบูรณ์หรือจอมมารได้สนุกทีเดียว แค่คิดข้าก็ตัวสั่นแล้วละ”
แซร์อิซใช้นิ้วนับลายชื่อคนที่น่าสนใจ
“ต่อมาก็—-เจ้านักไศยศาสตร์จากองค์กรอะไรนี่แหละ ตอนเจอกันข้าก็วิ่งหนีหางจุกตูดเลย รุนแรงสุดๆ ถ้าหากร่างกายข้าไม่ได้มีไว้ให้หญิงสาวสุดรุนแรงข้าคงปล่อยตัวไปแล้ว”
“พี่พิลึก …นักไศยศาสตร์คนนั้นเองสินะ”
“ใช่แล้ว ลูกชายของราชาแห่งไศยศาสตร์ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่เลย นึกว่าถูกยูนาฆ่าเพราะเรื่องบาดมางในอดีตแล้วเสียอีก ชั่งเป็นผู้ชายที่โชคดีเสียจริง”
“แต่พี่บอกว่าแข็งแกร่งนี่?”
“ตอนนี้คิดว่าต่อให้ร่างสมบูรณ์พวกข้าพี่น้องทั้งสี่ก็ตึงมือแล้วละ ฮ่าๆๆๆๆ พูดแล้วก็น่าขายหน้า”
ทั้งสองพูดเรื่องเข้าใจยากกัน
“แล้วได้เจอเอเธอร์บ้างหรือไม่ พี่”
เอเธอร์ ผู้ที่แข็งแกร่งสุดในยุคสมัยคนปัจจุบัน
“เจ้านั้นขอผ่านละ มันไม่คิดจะชายตามองพี่เลย ว่าไงดีละ ฆ่าทิ้งเสร็จก็เดินจากไปเลย ไม่บิ้วอารมณ์อะไรทั้งนั้น เห็นแก่ตัว!!”
“ใจดีกว่าที่คาดอีกนะ พี่พิลึกไปเอง”
“ว่ะฮาๆๆๆ!! ทำไมคิดว่าข้าพิลึกนักละ”
ฟัฟนิร์นั่งกอดเข่าตัวเอง แล้วถามเรื่องสำคัญจริงๆ
“สรุปแล้วเนลยอนว่าไงละตอนนี้”
—เนลยอน ชื่อของมหามังกรวารี
“เข้าพบไม่ได้”
“ทำไม?”
“ถูกเจ้าสิ่งมีชีวิตที่ชื่อ ไรเดน สะกัดไว้”
ที่ว่าถูกไรเดนจัดการจนกว่าจะฟื้นก็ตั้ง 1 ปี
“เนลยอนไปเป็นพวกกับอาณาจักรจริงๆ …เนลยอนคิดจะสร้างสงครามอีกแล้ว”
ฟัฟนิร์พึมพำอย่างซึมกระทือ
“เจ้าเนลยอนก็ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“ล่าสุดที่เจอกันก็เรียกคนมาไล่ล่าเราด้วย”
“ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่น้องคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เลว”
แซร์อิซพูดไร้สาระและปล่อยหลังลงพื้นหญ้า
“ยังคงยึดติดกับท่านพ่อไม่เปลี่ยน”
ฟัฟนิร์กล่าว เธอมองขึ้นไปบนฟ้าราวกับนึกเรื่องที่นานแสนนาน
“เป็นเจ้าน้องที่น่าโมโหจริงๆ คราวหน้าต้องสั่งสอนหน่อยแล้ว”
“ถ้าพี่สามารถเข้าไปหาได้นะ”
ว่าแล้วแซร์อิซก็หัวเราะลั่นเพราะเขาเข้าใจดีว่าหมายถึงอะไร
สถานที่ที่เนลยอนอยู่มังกรธาตุไม่สามารถเข้าไปได้ง่ายๆหรือเข้าไปได้ก็โดนฆ่าหรือจับกุมตัวไว้แน่นอน เพราะฉะนั้นอย่าเข้าไปใกล้จะเป็นการดีกว่า
ยุคสมัยที่มังกรธาตุจะทำอะไรก็ได้ตามใจตนเองมันจบไปเป็นพันปีแล้ว สมัยนี้แค่เมืองเล็กๆเกิดบังเอิญไปเจอพวกมีฝีมือจับกุมกันและวางแผนอย่างดีก็จบหมด นั่นแหละคือความลำบากเมื่อเสียพลังไปถึงเก้าส่วน …
ฟัฟนิร์ย้อนนึกถึงพี่น้องอีกคน
“แล้วต้าวเกรลละ?”
มหามังกรดิน ‘เกรล’
“ติดผู้ชายน่ะ ทำตัวได้น่าอนาถจริงๆ มังกรไม่มีช่วงติดสัดสักหน่อย”
“อย่างพี่ไม่ต้องไปว่าต้าวเกรลเลย”
“วะฮ่าๆๆๆๆ จะว่าไปก็ใช่ จะว่าช่วยไม่ได้ก็ได้ เพราะข้าคือสายลมแห่งความรัก!!”
“พี่นี่น่าจะตายอีกสัก 3 วัน”
‘น้อยไป’ แซร์อิซคิดเช่นนั้น
…
“แต่ก็นั่นสินา ช่วงนี้หลายอย่างๆเริ่มปะทุขึ้นมาแล้ว ไม่หยุดหย่อนเลย”
เป็นครั้งแรกที่น้ำเสียงของแซร์อิซเริ่มจริงจัง
“จอมมารเองก็น่าจะใกล้เวลาหวนคืนแล้วด้วย ทวีปเนลยอนกับทวีปฟัฟนิร์กำลังจะเปิดศึกกันเต็มที มีทวีปแซร์อิซกับทวีปเกรลรอตาม …ไหงจะม้ามืดอย่างพวกองค์กรณ์ของลูกชายราชาแห่งไสยศาสตร์พิลึกๆอีก ..คราวนี้โลกจะแตกรึเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆๆๆ!!”
ว่าเรื่องตึงเครียดจบก็หัวเราะ เป็นสิ่งมีชีวิตที่พิลึกเอาเรื่องเหล่ามหามังกร
“แต่จะปล่อยให้โลกแตกไม่ได้เด็ดขาด”
ฟัฟนิร์พูดขึ้น เธอพึมพำอย่างจริงจัง
“เพราะเรายังตายไม่ได้ โลกจึงห้ามแตกเด็ดขาด”
“ข้าเองก็ไม่อยากตายเช่นกัน แค่อยากเจ็บปวดแต่ไม่อยากตาย เข้าใจดี”
แซร์อิซลุกขึ้นยืนและมองถอดไปลับสายตา
“จะว่าไปฟัฟนิร์ …เจ้าอ่อนแอลงมากเลยนะ? ราวครึ่งหนึ่งได้จากที่พลังหายไปเก้าส่วนตอนนี้หายไปเก้าจุดห้าส่วนเลยละ”
“…พอดีเกิดเรื่องเล็กน้อยน่ะ”
ฟัฟนิร์หันไปมองทางขวามือก่อนจะโพ่งขึ้น
“มาพอดีเลย กำลังจะเล่าให้ฟัง”
แซร์อิซชายตามองตาม—-ปรากฏให้เห็นชายหนุ่ม? หน้าค่อนไปทางหวาน น่าจะเป็นหญิงสาวมากกว่าเพียงแต่แต่งตัวแบบผู้ชาย
เป็นหญิงสาวที่มีผมสีน้ำเงินมัดจุดปลาย ดวงตาสีเหลืองข้างในแดง สูงราว 170ซ.ม. ไหล่ไม่กว้างมากจึงอนุมานได้ว่าเป็นผู้หญิง ที่สำคัญ…ผิวหนังเหมือนกับเป็นเกร็ดบางๆ
“…ฟัฟนิร์หวังว่าจะอธิบายให้ฟังได้สมเหตุสมผลนะ”
แซร์อิซปล่อยจิตคุกคามเต็มที่กับคนตรงหน้า เป็นครั้งแรกที่เขามีท่าทีตรึงเครียด
“เจ้าแบ่งครึ่งหนึ่งไปให้มนุษย์นั้นรึ?”
“ใช่”
ฟัฟนิร์ตอบกลับทันควัน นั่นยิ่งทำให้บรรยากาศตึงเครียดอีก
“เจ้าเข้าใจความหมายของการทำแบบนั้นรึเปล่า?”
“เข้าใจดี”
“บ้าจริงๆฟัฟนิร์ ขนาดข้ายังพูดได้เต็มปากเลย”
—-หัวใจของมหามังกรเพลิงถูกแบ่งเป็นสองส่วน
ส่วนหนึ่งอยู่กับฟัฟนิร์ และส่วนหนึ่งอยู่กับหญิงสาวผู้คล้ายกับผู้ชายคนนี้
“ยินดีที่ได้พบขอรับท่านมหามังกรวายุ แซร์อิซ”
เขาโค้งศีรษะเล็กน้อย
“กระผมมีนามว่า ‘ชินดร้า’ ครับ”
ชินดร้า—–หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ชิน’ อัศวินผู้ทำพันธสัญญากับเรเซอร์
—–สิ้นสุดคำพูดนั้นก็เกิดแรงลมมหาศาลขึ้นมา มันมุ่งไปเข้าใส่ชินดร้า
ชินดร้าใช้ความเร็วที่เหนือมนุษย์ชักดาบขึ้นมารับการโจมตีนั้น—แต่มันถูกหยุดไว้ก่อนโดยฟัฟนิร์
สองมังกรธาตุใช้แขนประชันกัน แน่นอนว่าฟัฟนิร์ที่ถูกลดพลังไปอีกครึ่งย่อมเสียเปรียบแต่แซร์อิซไม่ได้กะให้ตัวปลิวจึงประคองได้อยู่
“คิดจะทำอะไรกัน?”
“ฟัฟนิร์ จริงอยู่ที่มังกรธาตุอย่างพวกเราไม่มีวันตาย ไม่ว่าจะวิญญาณแตกสลายหรือถูกส่งออกนอกโลก ก็จะไม่มีทางตาย …แต่ถ้าแก่นแท้ถูกแยกส่วนไปให้คนอื่นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แม้โดยปกติมังกรธาตุจะต้องสมยอมก็ตามเลยไม่มีปัญหาถูกปล้นชิงได้ ทว่า—มันก็มอบให้คนอื่นได้เป็นปกติ ถ้าหากทำเช่นนั้นแล้ว …”
แซร์อิซวางมือจากฟัฟนิร์และจ้องเขม็งใส่ชินดร้า
“ถ้าหากเจ้าคนใดคนหนึ่งตาย ก็จะหายไปตลอดกาลเลย กลายเป็นอีกครึ่งหนึ่งให้กับมังกรธาตุที่ยังมีชีวิตอยู่ หมายความว่าหากมีใครตายขึ้นมาก็จะตายเลยไง เจ้าก็เช่นกันฟัฟนิร์ เจ้าจะได้ตายจริงๆนะ ยิ่งเด็กดวงซวยที่ชอบไปเจออะไรเสี่ยงตายตลอดยิ่งแล้วใหญ่”
แซร์อิซยังคงปล่อยแรงลมไม่หยุด เขาคิดจะข่มขวัญหญิงสาวที่ชื่อชินดร้า
“และตัวข้าในฐานะพี่ใหญ่ จะปล่อยให้น้องสาวที่รักตายไม่ได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้น–เจ้ามนุษย์เพศเมียตนนั้นต้องตายที่นี่”
เขากล่าวอย่างจริงจัง
“ไม่ใช่ว่าจะให้เราอธิบายหรือไง?”
“ไม่ว่าจะเล่าอะไรให้ฟังเท่าไหร่ก็ไม่มีเปลี่ยน”
“แม้จะบอกว่ามันเกี่ยวกับยูนา และคนที่เราเกิดสนใจนั้นรึ?”
พลันใดนั้นแซร์อิซก็เงียบลง
“ยูนา มีผู้ครอบครองยูนาแล้ว!? ที่สำคัญเจ้าสนใจในตัวมนุษย์ เจ้าติดสัด!?”
“ใช่ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ทวีปแซร์อิซ …แต่ไม่ได้ติดสัดนะ แค่สนใจเท่านั้น”
“…ให้ตายสิ”
แซร์อิซกุมขมับตัวเอง
“ถ้าเลือกได้ข้าก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับท่านยูนาหรอก แต่…เข้าใจแล้ว”
แซร์อิซนั่งลงกับผืนหญ้า
“เล่าให้ข้าฟังที”
“ถ้าคิดจะเล่นงานต้าวชินทีเผลอ เราเอาตายแน่”
“ไม่รู้สินะ”
แซร์อิซแสยะยิ้มขี้เล่น
ชิดดร้าเอือมระอาเล็กน้อย เธอถอนหายใจและค่อยๆมานั่งโดยเว้นระยะห่างกับแซร์อิซถึง 3 เมตร
“รบกวนด้วยขอรับ”
“ถ้าพูดอะไรไม่เข้าหูขึ้นมาเจ้าได้ตายนะมนุษย์เพศเมีย”
“ชื่อชินดร้าต่างหาก เรียกให้ถูก แล้วก็อย่าดูถูกเธอเด็ดขาด”
ฟัฟนิร์กล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงที่แข็ง
แซร์อิซถอนหายใจอีกคราว
“เข้าใจแล้วๆ! ชีวิตของน้องสาวทั้งคนอยู่บนเส้นด้ายแบบนี้จะให้ทำใจเย็นได้ไงกันเล่า!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!! เอาเป็นว่าระวังจู่ๆพายุก็เข้าแล้วโดนฟ้าผ่าใส่ทีเดียวร้อยจังหวะละกัน”
“อย่าคิดว่าจะทำร้ายต้าวชินได้เชียว!”
“ฮะๆ อย่ารุงแรงมากนะขอรับ”
มังกรธาตุสองตน และมนุษย์ …ไม่สิ มังกรธาตุทั้งสามได้จับเข่าคุยกัน