เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 309
< < 193 > >
กรึกๆ กรึกๆ รถจักรเวทมนตร์ เทคโนโลยีเวทมนตร์ล่าสุดที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยอาณาจักรเกรล และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา รวมถึงการผลิกมาใช้แทนรถม้า และตอนนี้รถรุ่นทดลองคันนี้ก็ กำลังเคลื่อนที่ผ่านผืนผิวทะเลทราย ตรงไปที่แห่งนั้นซึ่งห่างไกลจนลับสายตา ด้วยความเร็วที่มากกว่ารถม้าราวห้าเท่าได้
ภายในรถจักรเวทมนตร์นั้น
“มีธุระกับใครที่นั่นเหรอ?”
มหามังกรปฐพี ‘เกรล’ เอ่ยถามองค์ชาย ‘อัลเบโด้’ ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของรถจักรเวทมนตร์
ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปที่แห่งหนึ่ง โดยที่เกรลยังไม่รู้ถึงเป้าหมายของอัลเบโด้ด้วยซ้ำ
“บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง”
ไม่ใช่ เกรลแค่ลืมไปแล้วต่างหาก
“เหรอ”
“ใช่” อัลเบโด้ถอนหายใจ “เธอจำคนที่มีปริมาณพลังเวทย์มากมายตอนงานประชุมโลกได้หรือเปล่า?”
เกรลพยักหน้ารับ
“คนที่กางบาเรียร์บ้าๆออกมาได้”
ในเหตุการณ์นั้นคือช่วงสุดท้ายที่ราชามังกรกลอเลียสลากเอามนุษย์ต้นไม้มาไว้ตรงกลาง จากนั้นก็กระหน่ำโจมตีด้วย ‘ปืนใหญ่เนลยอน’ และเวทมนตร์ในตำนานที่หายสาบสูญ ‘โนอาห์ คาโน่(ปืนใหญ่วันสิ้นโลก)’ เพื่อป้องกันความเสียหายวงกว้างที่จะเกิดขึ้นหลังจากใช้สองมหาการโจมตีนี้ ทุกคนก็ร่วมมือกันสร้างบาเรียร์หยุดยั้งแรงระเบิดนั่น ทว่าในเหตุการณ์นั้นมีคนๆหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาทัดเทียมกับผู้ใช้ โนอาห์ คาโน่
ต่อมาคนๆนั้นที่ว่าก็มีการเคลื่อนไหวที่น่าสงสัย อย่างการเล่นงาน ‘มังกรนภา’ มอนสเตอร์ระดับแรงค์ S และไปมีส่วนร่วมกับการต่อสู้ที่ป่าแห่งหนึ่ง จนทำให้โลกสั่นสะเทือน
“ผมสนใจในปริมาณมานาภายในร่างกายของเขา เลยได้ส่งเทพดาบที่ทำสัญญากันออกไปจับตัวเขามาให้ครับ พอจำได้หรือยัง?”
“อือ จำได้แล้ว คนที่แพ้เทพดาบอย่างหมดรูป”
ได้ยินอย่างนั้นอัลเบโด้ก็หัวเราะออกมาในลำคอ พลางคิดในใจว่าการพ่ายแพ้ให้เทพดาบไม่ได้น่าอับอายเสียหน่อย
“จะอย่างไรก็แล้วแต่”
“เข้าใจแล้วละ”
เกรลยิ้มออกมาอย่างสดใส
“คนๆนั้นคือกุญแจไปสู่ความฝันของอัลเบโด้”
“ใช่แล้วละ พวกเราจะไปหาเขา”
อัลเบโด้มองออกไปนอกหน้าต่าง ด้วยสีหน้าที่แน่วแน่
“ที่คุกนรก ‘คัลเซเรม’ ”
****
คุกนรก ‘คัลเซเรม’ คุกหฤโหดอันเป็นที่ขุมขังพวกตัวอันตรายทั่วทุกมุมโลก ตั้งอยู่ที่ทางตอนใต้ของทวีปเกรล ติดอยู่กับหนึ่งในสี่ ‘เขตุอันตราย’ ของโลก เช่นเดียวกับ ‘ป่าอาถรรพ์’ ที่แห่งนั้นถูกขนานนามว่า ‘แดนนรกกินคน’
ว่ากันว่า แดนนรกกินคน เป็นที่อยู่อาศัยของ มอนสเตอร์ระดับ B ไปจนถึง A ประปรายกันเหมือนเป็นเรื่องปกติ แถมพวกมันยังอาศัยอยู่ด้วยกับเป็นกลุ่มอีกด้วย การจับตัวรวมกลุ่มของมอนสเตอร์ระดับ B และ A นับสิบตัวนั้นอาจจะมีความอันตรายได้ถึงมอนสเตอร์ระดับ S
นอกจากนั้นข้างใต้ทะเลทรายยังเป็นที่อยู่อาศัยของ มอนสเตอร์แรงค์ S นาม ‘อีสเตอร์’ ผู้กลืนกินมนุษย์ซึ่งมีชีวิตอยู่รอดมากว่าร้อยปีแล้วเท่าที่มีบันทึกเอาไว้
ว่ากันว่า มันถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่มอนสเตอร์แรงค์ S ที่ตายยากที่สุด แม้แต่ เทพดาบเกรย์ที่เคยเข้าห้ำหั่นกับมันก็คว้าน้ำเหลว ไม่อาจปริดชีพมันได้ ทุกวันนี้อีสเตอร์ก็ยังอาศัยอยู่ใต้ผืนทะเลทรายของแดนนรกกินคน ในฐานะเจ้าแห่งทะเลทราย
การมีอยู่ของแดนนรกกินคน ทำให้คุกคัลเซเรม แม้จะหนีออกมาได้ นักโทษก็จะจบชีวิตด้วยการถูกมอนสเตอร์แถวนั้นฆ่าตายอยู่ดี แน่นอนว่าคนนอกที่คิดจะมาช่วยคนภายในเองก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน
จนในที่สุด คัลเซเรม ก็ถูกขนานนามว่า คุกนรก
ณ ที่แห่งนั้น ‘ตัวผม’ ผู้มีชะตากรรมจะต้องกอบกู้โลกใบนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องขังขนาดเล็ก ในสภาพที่ใส่ชุดนักโทษ และเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลฟกซ้ำ
ตัวผม หรือ ‘ยูจิ’ แหงนหน้าขึ้นมามองเบื้องหน้าของตัวเอง ตึกๆ ตึกๆ เพราะว่าได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคนกำลังตรงมาบริเวณที่ผมอยู่
อาจจะเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมคนใหม่ของผมกระมังครับ?
เธอปรากฏตัวออกมา
หญิงสาวผมบลอนด์ที่ผมเคยพบเห็นหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังเป็นหนึ่งในศัตรูตัวฉกาจที่สร้างความโกลาหลให้แก่โลก แวมไพร์มือขวาของเรน ‘อลิซาเบธ’ โผล่มาในร่างเปลือยเปล่า และสภาพผมปิดตาที่ยับยู่ยี่ราวกับไม่ได้ดูแลตัวเองเลย เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล และดินโคลน ผิวเผินเธอเหมือนกับคนวิกลจริตคนหนึ่งซึ่งพบเห็นได้ตามสลัม
ผมไม่ชอบสภาพเช่นนั้น เพราะเหล่าคนที่มีรูปโฉมเช่นนี้ล้วนถูกโลกใบนี้ทำร้าย
อ๊ะ
โดยไม่ได้ตั้งใจ ผมเผลอสบตากับเธอ แต่ว่าก็ไม่มีอะไรมากมายไปกว่านั้น เพราะมีแค่ทางผมที่สบตากับเธอ ตาของเธอที่ไม่ได้สังเกตุผมเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าจะอยู่ตรงหน้า อย่างกับคนสติหลุด
“ห้องนี้”
ผู้คุมขังเหวี่ยงร่างของคนๆนั้นชนกับกรงเหล็กอย่างไร้ความปราณี จากนั้นก็สะเดาะประตูเหล็กออก ก่อนเตะเธอเข้ามาในห้อง
อลิซาเบธล้มลงกองกับพื้น
“..อา”
เธอร้องอวดครวญออกมาเบาๆ เมื่อสังเกตุร่างกายของเธอดีจะเห็นได้เลยว่าเธอดูผอมแห้ง และดูแก่เกินกว่าที่เห็น จากตอนแรกที่เหมือนหญิงสาววัยยี่สิบกลางๆ ตอนนี้สภาพเธอคล้ายกับคนวัยสามสิบกลางๆ
ทำไมถึงมีสภาพร่างกายอย่างนั้นได้กัน?
‘แวมไพร์เป็นเผ่าที่หากไม่ได้รับสารอาหารเท่าที่ควร ร่างกายจะอ่อนแรง และดูแก่ลงในที่สุดครับ’
เสียงของ ‘อลัน’ วิญญาณระดับเทพที่ผมทำพันธสัญญาด้วยดังขึ้นข้างๆหู เนื่องด้วยเขาอยู่มานานแสนนาน จึงมีภูมิความรู้มากมายที่สามารถเรียนรู้ได้จากอลัน
หมายความว่าแค่กินอาหารให้เต็มอิ่มก็จะกลับมาเหมือนเดิมใช่รึเปล่าครับ? อลัน
‘ตามที่ท่านยูจิคาดไว้เลยครับ ดูจากสภาพแล้วเธอน่าจะอดอาหารมาหลายวันทีเดียว’
นั้นเองเหรอ
“ลำบากแย่เลยนะครับ”
อลิซาเบธซึ่งจิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของผม
ไม่ชอบเลยนะสภาพอย่างนี้ ..ผมถอนหายใจออกมา และถามซ้ำ
“พอจะสนทนาได้หรือเปล่าครับ?”
“……”
“คุณอลิซาเบธ”
“…หา?”
เป็นครั้งแรกที่เธอสบตากับผม
“…มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“หมายถึงคุณหรือว่าผมหรือครับ?”
อลิซาเบธลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ล้มลงกองกับพื้นอีกครั้ง เนื่องจากว่าขาอ่อนแรงเกินไปที่จะเดินด้วยตัวเองได้
แวมไพร์ตอนที่ขาดสารอาหาร สภาพเหมือนกับคนที่มีสภาพกล้ามเนื้ออ่อนล้า ผมควรจะจดจำข้อมูลนี้เอาไว้
อลิซาเบธจ้องมองมาที่ผม เต็มไปด้วยความกลัวปนหวาดระแวง โชคดีอยู่บ้างที่คุณอลิซาเบธดั่งเดิมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นที่โทษคนอื่นไปมาอย่างเรน ทำให้เธอไม่มีอาการโกรธเคืองอะไรผมเลย
“ผมบังเอิญไปเจอเทพดาบเข้าครับ”
“….”
“จากนั้นรู้ตัวอีกทีก็ถูกจับยัดเข้าคุก เหมือนจะโดนข้อหาก่อความไม่สงบเข้าน่ะครับ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง แต่ผมคิดว่าตัวเองคงจะโดนใครสักคนหมายหัวเอาไว้อยู่” ผมยิ้มให้ “หมายความว่านอกจากท่านเรนของคุณ ก็มีคนอื่นอีกยังไงละครับที่คิดจะใช้งาน หรือไม่ก็เอาชนะผม”
ผมพูดทั้งรอยยิ้มที่ดูเสแสร้ง
“ทางคุณล่ะครับ?”
“..พวกเราแพ้ ..ท่านเรนตาย ..จากนั้นก็โดนพามาที่นี่”
ไม่ต่างกับที่ควรจะเป็นเท่าไหร่สินะครับ
พวกคุณเรเซอร์ตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นขนาดไหนกันแล้วนะ ถ้าเจอกันครั้งหน้า ผมจะชนะได้หรือเปล่านะ? ตัวผมตอนนี้ไม่สามารถมั่นใจได้แล้วว่าจะเอาชนะคนๆนั้นได้ ผมรู้ตัวเองตั้งแต่ตอนที่พวกเราสู้กันครั้งล่าสุด ตราบใดที่ผมยังไม่เด็ดขาดพอจะฆ่าเขาทิ้งให้ได้ ผมก็ไม่มีทางชนะ
สำหรับเรื่องนั้นผมก็ตัดสินใจไปแล้วว่าถ้ามาขวางกันอีก ผมจะเอาจริงเพื่อโค่นคุณเรเซอร์ ต่อให้ที่ทำมันคือการสู้หมายจะเอาชีวิตเพื่อนของตัวเองก็ตาม แต่เพื่อโลกใบนี้จะให้คนนอกมายุ่งไม่ได้เด็ดขาด ผมน่ะ ..จะต้อง
จะต้อง ..
“…”
ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองเวลานี้กำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่คิดว่ามันไม่น่าใช่สีหน้าที่ดีสักเท่าไหร่ สังเกตุได้จากสีหน้าของอลิซาเบธได้เลย
“…..”
ความทรงจำนับล้าน การเริ่มต้นใหม่นับล้านๆมันหลอกหลอนผมอยู่ทุกๆวัน ทำให้บางครั้งก็เผลอหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ พักหลังๆมานี้เองก็นอนไม่หลับ จนต้องนอนสามวันครั้ง แถมยังนอนแค่ครั้งละสามชั่วโมงเพียงเท่านั้น
ผมถอนหายใจเฮือกโต และเปลี่ยนเรื่องคุย
“เรื่องที่คุณแพ้มันไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว ตอนนี้สนใจสภาพร่างกายของตัวเองจะดีกว่านะครับ คิดว่า ..ไม่สิ ถ้าไม่ได้กินอะไรเลยอีกสักหน่อย ได้ตายจริงๆแน่ครับ”
“…”
“พรุ่งนี้อาหารเช้ากับกลางวัน และเย็น ผมจะให้คุณครับ ถ้าทำอย่างนั้นคงจะทดแทนการขาดแคลนได้บ้าง”
“..ฉัน ..ปล่อยให้ฉันต่ายเถอะค่ะ”
อลิซาเบธกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เห็นอย่างนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าหนี
“การตายไม่ใช่ทางออกที่ควรหรอกนะครับ คุณควรจะชดใช้ความผิดของตัวเองในคุกแห่งนี้—”
“ต่อให้ฉันติดคุกเป็นพันปี มันก็ชดใช้ให้ชีวิตคนที่ตายไปเป็นแสนคนไม่ได้หรอกนะคะ คุณยูจิ นอกเหนือจากนั้น ..” อลิซาเบธหรี่ตามองอย่างไร้อารมณ์ “คุณไม่ควรตัดสินใจแทนคนอื่นนะคะ”
“…..เรื่องนั้นผมโดนทักอยู่บ่อยๆนะครับ แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่สามารถปล่อยให้ใครตายตรงหน้าผมได้ครับ”
“ฉันสงสัยค่ะ ว่านั่นคือความปารถนาของคุณจริงๆ หรือว่าเป็นเพียงแค่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของคุณ”
“มันคือหน้าที่ที่เกิดจากความปารถนาของผมครับ”
“เข้าใจพูดดีนะคะ ..เข้าใจแล้วค่ะ” อลิซาเบธถอนหายใจ “จะขอรับความหวังดีของคุณในวันพรุ่งนี้”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็โล่งอก จังหวะนั้นผู้คุมขังก็เดินผ่านหน้ากรงพร้อมกับโยนเสื้อผ้าสำหรับใส่ในคุกขนาดสำหรับผู้ชายโตเต็มวัยมาให้
“ใส่ให้ยัยขี้เล่ห์นั่นด้วย”
“เข้าใจแล้วครับ”
จากนั้นผมก็ลุกขึ้นไปเก็บเสื้อที่เหมือนกับผ้าเช็ดเท้า และช่วยใส่ให้กับคุณอลิซาเบธที่เปลือยเปล่า
****
ผมนั่งหลับตาอยู่เฉยๆเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในที่สุดก็จวนจะถึงเวลารับประทานอาหารเช้าแล้ว ผมลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับหันไปมองทางอลิซาเบธ ซึ่งนอนขดตัวเหมือนกับแมวที่กำลังจะอดอาหารตาย ทั้งส่งเสียงร้องเบาๆออกมาไม่หยุด ทั้งตัวสั่นตลอดเวลา
“ท่านเรน …ท่านเรน ….ท่าน …”
เป็นสภาพที่น่าอดสู่ทีเดียวครับ
“ถึงเวลาอาหารเช้าแล้วนะครับ”
“…ค่ะ”
อลิซาเบธพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่เหมือนจะไม่ไหว ผมเลยต้องไปช่วยพยุงเธอขึ้นมา เวลานี้เธออยู่ในชุดนักโทษที่มีขนาดใหญ่เกินตัวของเธอไปมาก แต่ผมคิดว่าดีแล้วละ เพราะเสื้อมันมีรอยขาดค่อนข้างเยอะ พอชุดใหญ่แล้วรอยขาดที่จะเผยให้เห็นร่างของเธอจะไม่ค่อยโผล่มาสักเท่าไหร่
ประตูห้องขังถูกปลดล็อคอัตโนมัติตามเวลาทำการณ์ นี่คือหนึ่งในกลไกของอุปกรณ์เวทมนตร์
ผมแบกอลิซาเบธเดินไปยังจุดรับประทานอาหาร ซึ่งระหว่างทางก็มีนักโทษหลายคนถูกปล่อยตัวมากินข้าวเหมือนกับผม
“รีบๆกินแล้วไปทำงานซะ!”
ผู้คุมขังถือแส้เหวี่ยงไปมาใส่นักโทษที่เดินผ่านราวกับสุ่มตีคน
“ทำงาน?”
“ที่คุกแห่งนี้หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จพวกเราจะโดนจับไปใช้แรงงานครับ”
ผมชี้ไปที่ปลอกคอของคุณอลิซาเบธ
“อุปกรณ์เวทมนตร์ปลอกคอชิ้นนี้มีคุณสมบัติในการดูดกลืนมานาครับ” ผมชี้กลับมาที่ปลอกคอของตัวเอง “ผมกับคุณอลิซาเบธจะอยู่ในสภาพที่โดนดูดกลืนมานาตลอดเวลา แต่ว่าบางกรณีก็มีคนที่มีมานามากพอจะไม่โดนดูดไปจนหมด อย่างเช่นตัวผม และคุณอลิซาเบธ ซึ่งพวกเราที่ยังพอมีมานาเหลืออยู่จะโดนจับไปดูดมานาออกจากร่างต่อ ซึ่งพลังงานจอกปลอกคอ รวมถึงพลังงานที่ดูดไปจากพวกเรานั้นเป็นสมบัติของอาณาจักรเกรล”
“…คุณน่าจะมีมานามหาศาลไม่ใช่หรือคะ? แค่ปลอกคออันเดียวไม่น่าจะเอาอยู่”
แม้ว่าจะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ทรงประสิทธิภาพแค่ไหน แต่มันก็ไม่น่าดูดมานาในตัวผมโดนทั้งหมดไปได้ ให้เปรียบเทียบ สมมุติว่าตัวตนระดับพรสวรรค์ในรอบสิบปี มีมานาอยู่ราว 100,000 หน่วย(สมมุติ) และคนที่มีปริมาณมานาระดับนี้จะทนการดูดของมานาได้ทั้งวัน จึงต้องโดนบังคับมาดูดมานาออกจากร่างอีกที
ทว่า ตัวผมจะมีอยู่ที่ 1,000,000,000 หน่วย(สมมุติ) ซึ่งมากกว่าเป็นพันเท่า จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโดนดูดไปจนหมดร่างได้ ยังไม่รวมกลไกการผลิตมานาในร่างกายอีก
“ถ้าเกิดผมโดนจับใส่ปลอกคอแค่อันเดียวเหมือนกันทุกคนก็คงจะแหกคุกไปได้แล้วละครับ แต่ว่า”
ผมถกเสื้อขึ้นเปิดให้คุณอลิซาเบธดู
หน้าท้องของผมมีท่อสีดำทิ่มทะลุเป็นแนวตั้งราวยี่สิบอัน ของพวกนี้มันคอยดูดกลืนมานาของผมเป็นปริมาณมหาศาล และไม่ใช่แค่นั้น ดูจากจุดที่ทิ่มแทงแล้ว จะไม่ได้มีแค่มานาของผมที่โดนดูดไป แต่วงจรเวทย์ของผมจะอยู่ในสภาพที่พังตลอดเวลา ทำให้ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ไม่พอ พลังกายก็โดนลดลงมหาศาลอีก
คิดว่าตัวเองตอนนี้ น่าจะมีระดับพลังกายเทียบเท่านักดาบขั้นบรรลุปลายแถวเท่านั้น ซึ่งลำพังพลังแค่นี้แหกคุกไม่ไหวหรอก เจอผู้คุมคนสองคนผมก็ไปต่อไม่ได้แล้วละ
“..ค่อนข้างเลวร้ายเลยนะคะ”
“ก็ครับ”
“นอกจากนั้นข้างในร่างกายของผมก็โดนติดระเบิดเอาไว้ด้วยครับ”
“ได้รับการดูแลอย่างดีเลยสินะคะ”
“นั่นสินะครับ”
จากนั้นการรับประทานอาหารก็ดำเนินไปอย่างราบลื่น พวกผมรับถาดอาหารจากคุณผู้คุมขังโดยแลกกับการโดนต่อยหน้าคนละที จากนั้นก็นั่งกินในจุดที่ไม่ค่อยมีคน โดยที่ตามที่ตกลงกันไว้ ผมยื่นถาดข้างของตัวเองให้แก่คุณอลิซาเบธ
ทว่า
“อะไรกันเนี่ย อะไรกันเนี่ย น้องยูจิมีแฟนสาวด้วยเหรอเนี่ย?”
ผมถอนหายใจ และแหงนหน้ามองคนที่มาเยือน
นักโทษผู้อ้างตนเป็นรุ่นพี่ และสั่งสอนผมอย่างดีในวันแรกที่เจอกัน ‘อัลกาด’ ชายผิวคล้ำร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าโหดเหี้ยมเหมือนกับนักมวยปล้ำฝั่งตัวร้าย
อัลกาดเดินมานั่งข้างๆผม และจ้องหน้าของคุณอลิซาเบธ
“แก่ไม่พอ ยังแห้งอย่างกับศพอีก รสนิยมห่วยจริงๆนะ น้องยูจิ”
“ผมไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้นกับเธอครับ แค่บังเอิญนอนห้องขังเดียวกันครับ”
“สบายเลยนี่นาแบบนั้น จะได้ไม่ต้องเหงาแล้วช่วยตัวเองที่มุมมืดแล้วด้วย”
“..คุณอัลกาด ถ้าแค่หาเรื่องผมอย่างเดียวไม่มีปัญหาหรอกนะครับ แต่ว่าคนๆนี้ไม่ได้เกี่ยวด้ว–”
อัลกาดจับหัวของผม และเหวี่ยงลงถาดอาหาร เขาลงแรงกดหัวผมใส่น้ำซุปขุ่นๆที่สกปรก จากนั้นก็ดึงหัวผมขึ้นมามองอย่างมีความสุขกับผลงานของตัวเอง
“พอใจหรือยังครับ?”
“..แกเนี่ยน่าขยะแขยงจริงๆนะ”
อัลกาดปล่อยมือจากหัวของผม และเดินไปที่โต๊ะประจำของเขาซึ่งรายล้อมด้วยสมุนนับสิบคน
เมื่อเห็นว่าเลิกสนใจผมแล้ว ผมก็ใช้แขนปัดน้ำซุปที่ลวกหน้าตัวเองออกช้าๆ
“ไม่ตอบโต้หน่อยหรือคะ? คนระดับนั้นต่อให้เป็นคุณในตอนนี้ก็ไม่น่ายากอะไร”
“ผมจำเป็นต้องออมแรงไว้ให้มากที่สุดครับ ให้เสียเหงื่อแค่หยดเดียวกับคนพรรค์นั้น ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ” ผมหรี่ตามองถาดอาหารที่น้ำซุปหกจนหมด “ถ้ายังไม่รังเกียจ เชิญครับ”
ผมดันถาดอาหารของตัวเองไปทางอลิซาเบธ เธอรับมันไว้โดยไม่รังเกียจ
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่มีปัญหาครับ”
****
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ผมกับอลิซาเบธก็ถูกจับไปดูดมานาออกจากร่าง เป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันในคุกแห่งนี้
วันนี้ก็เหมือนกับทุกๆวัน เพียงแค่มีคุณอลิซาเบธเพิ่มเข้ามา
“คนที่มานามหาศาลอย่างเธอมีอยู่ด้วยเหรอ?”
นักวิจัยที่มาเก็บเกี่ยวมานาของผมเอ่ยถามขณะที่ใช้เครื่องประหลาดดูดมานาของผมไป
“….”
ผมเลือกจะไม่ตอบอะไร เจ้าตัวมองปริมาณมานาที่ถูกดูดไปเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดตัว กลับกันเลย ยิ่งดูดมากเท่าไหร่ ปริมาณมานาก็ได้ทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ คาดว่าตอนนี้มานาผมน่าจะเหลือราวเก้าส่วนจากสิบส่วน
นักวิจัยจ้องมาที่ผมด้วยแววตาสีแดงก่ำ
“เป็นพรสวรรค์ที่น่าอิจฉาจริงๆนะ”
น่าอิจฉา??
“ตรงไหน ..ตรงกันที่น่าอิจฉาครับ”
“โอ้ พูดเป็นด้วย ไปจี้ใจดำเข้ารึไง?”
“ขอโทษด้วยครับ”
ผมกล่าวขอโทษทันทีที่โดนยั่วจนสติหลุด คุณนักวิจัยเห็นก็หัวเราะพึมพำในลำคอ
“เป็นเด็กที่สุภาพจนน่าแปลกใจเลยนะว่าเธอไปทำอะไรมา ถึงโดนพามาที่คัลเซเรมได้เนี่ย”
“ฆ่าคนก็น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วนะครับ คิดว่า”
“ฆ่าคนสินะ ..ฆาตกรนี่เอง”
ครอบครัวของตัวเอง และเด็กๆที่ถูกจับมาสังเวยให้แก่ตัวผม ภาพวันวานเหล่านั้นย้อนกลับเข้ามาในหัวจนทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อยากจะอ้วก อยากจะเอาเลือดของผู้บริสุทธิ์ออกมาจากร่างกายของตัวเอง แต่ว่าทำไม่ได้แล้ว เพราะว่าเลือดของพวกเขามันใหลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับผมเรียบร้อย
เลือดของพวกเขา กลายเป็นส่วนหนึ่งของผม กลายเป็นเลือดที่สกปรกเหมือนกับเลือดของผม ..คำเรียกทุเรศๆอย่าง ‘ฆาตกร’ เหมาะกับผมกว่าที่คิด
“ใช่แล้วละครับ”
ผมยิ้มออกมา ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นอย่างไม่ปิดบัง
“…”
“เป็นเด็กที่แปลกจริงๆนะ”
คุณนักวิจัยใช้เวลาดูดมานาของผมอีกราวสองชั่วโมง ก่อนจะปล่อยตัวเนื่องจากถึงเวลาทานมื้อกลางวันแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะเดินจากไป เขาก็โพล่งขึ้นจากข้างหลัง
“พักผ่อนบ้างก็ดีนะหนุ่มน้อย อดนอนมันไม่ดีต่อร่างกาย
“วันนี้กะจะนอนอยู่ครับ”
“แล้วก็อีกเรื่อง เธอยังเด็กอยู่ ชีวิตยังมีอะไรมากกว่าที่คิดนะ ..การฆ่าคนมันอาจเป็นเรื่องใหญ่ก็จริง แต่โลกใบนี้มันก็โหดร้ายแบบนี้แหละ ต่อให้เปื้อนเลือดมากแค่ไหน เราก็สามารถล้างมันออกได้ตามใจต้องการ ดูเห็นแก่ตัวกับผู้เสียหายไปหน่อย แต่ว่ามันสำคัญที่บทสรุปต่างหาก”
ชีวิตของผมจมอยู่กับคำอวยพรของทวยเทพ เกิดมาสูงส่งกว่าทุกๆคน ถูกเลือกให้เป็นผู้กอบกู้ของโลกใบนี้ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรื่นรมย์ แต่หากมองย้อนกลับไปที่ข้างล่างของบังลังค์แล้วก็จะพบกับมนุษย์ชั้นต่ำที่มีหน้าที่เป็นแท่นให้ตัวผมยืน คนเหล่านั้นเองก็เหยียบร่างไร้วิญญาณของคนหลายคนอีกทีหนึ่ง
ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งคนที่ต้องเสียสละ ทั้งคนที่ต้องแบกตัวผม ล้วนไม่ได้สิ่งใดตอบแทน เพราะผมทำพลาด ครั้งแล้วครั้งเล่า ทิวทัศน์สุดท้ายที่ผมจะเห็นบนโลกก็คือซากศพของทุกคน เหมือนกับทุกๆครั้ง ตัวผมมักจะยืนอยู่เหนือกว่าทุกชีวิตเสมอ
ไอ้วิถีชีวิตแบบนั้น ..มันคือคำอวยพรของทวยเทพ คำอวยพรที่ทำให้ร่างของผมเปื้อนไปด้วยเลือด
“ไม่เห็นด้วยเลยนะครับ กับวิธีคิดพรรค์นั้น ล้างบาปของตัวเองทิ้ง ..ขืนล้างมันออกง่ายๆ ไอ้ความรู้สึกอยากอาเจียนในอกของผม คงจะหายไปนานแล้วละครับ”
ไม่ใช่แค่ล้างแล้วมันจะหายไป ไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวเองแล้วเลือดของผมจะไม่สกปรก ไม่ใช่ว่าทำสำเร็จแล้วตัวเองจะไม่ใช่คนบาป
“กลิ่นมันติดตัวไปตลอดครับ”
ผมตอบกลับเพียงแค่นั้น และเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง
ผมเดินออกมาข้างนอกห้องวิจัย เดินไปตามทางเดิน ตรงไปที่โรงอาหาร ผมมองไปข้างหน้า
พักหลังๆมานี้ หลายต่อหลายครั้ง ผมมักคิดตลอดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ โกรธ? หรือว่าเศร้า? หรือว่าหวาดกลัว? ถ้าผมไปจ้องกระจก ผมอาจจะพอรู้ก็ได้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่ว่า—ผมไม่อยากจะเห็นสีหน้าของตัวเองในเวลานี้
“ผมจะต้อง ..กอบกู้โลกใบนี้”
เพราะมันคงเป็นสีหน้าที่ไม่น่าดูสักเท่าไหร่นักน่ะครับ