เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 303
< < 189 Sec1 > >
(มุมมองเบลลามี)
เรานั่งอยู่บนรถไฟเวทมนตร์ เป็นเวลากว่าครึ่งวันแล้วที่เราได้ออกเดินทางจากอาณาจักรฟัฟนิร์ ..เกิดหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นที่อาณาจักรฟัฟนิร์ ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเรา เราคือต้นเหตุของเรื่องทั้มหมด เพื่อไม่ให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่แห่งนั้นต้องประสบพบเจอกับเรื่องเลวร้ายไปมากกว่านี้ เราเลยตัดสินใจออกมาจากอาณาจักรแห่งนั้น และเดินทางต่ออย่างไร้จุดหมาย
คิดเพียงแค่ว่าจะเดินทางไปจนถึงสุดสาย ในเวลานี้ ..ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนั้น
ไม่สิ ให้พูดถึงเรื่องที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ เราคิดว่าน่าจะเป็นกระบวนการคิดของมนุษย์ที่มักจะ ‘รู้สึกผิด’ กับเรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้อื่น
เมื่อครึ่งวันก่อน ..อาณาจักรฟัฟนิร์ถูกบุกรุกโดย ‘ทูตสวรรค์’ พวกเขาตัวแทนแห่งสวรรค์ได้เข่นฆ่าผู้คนมากมาย เพื่อตามจับเรา เราได้รับการปกป้องจากทุกคน และเห็นทุกคนตายไปต่อหน้าต่อตา
เอเธอร์เข้าต่อสู้กับทูตสวรรค์จนบาดเจ็บสาหัส กอรี่ได้รับคำสาปจากทูตสวรรค์ ..คนรู้จักของเราหลายคนเศร้าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้สึกเจ็บอยู่ข้างในอก ..แต่ที่ทำให้น่าเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นก็คือ ภายในใจของเราเรียกหาแต่ ‘คนๆนั้น’ ทั้งที่เขาคนนั้นกำลังพยายามอยู่ แต่เรากลับทำอะไรไม่ได้–-ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง
เรา ..
“ท่านเบลลามี รับอะไรดีคะ?”
เสียงเรียกของ ‘บิลเซบับ’ ดังขึ้น เธอเดินมาพร้อมกับ ‘แอสโมเดียส’ ในมือของทั้งสองถือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และขนมมาหลายห่อ
“เราขอบะหมี่ถ้วยเดียวพอ”
“รับทราบค่า”
บิลเซบับกำลังดีใจอยู่ เพราะขนมทั้งหมดได้ตกเป็นของเธอ เนื่องจากว่าเราไม่เอา และแอสโมเดียสที่ไม่ใช่คนกินเยอะก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม แต่แค่มองเราก็พอเดาใจจริงของเธอออก
“นี่ครับ ท่านจอมมาร”
“ขอบคุณ”
เรารับบะหมี่ถ้วยขนาดมาตรฐานมาจากแอสโมเดียส กำลังอุ่นได้ที่ เหมือนว่าพึ่งไปเติมน้ำร้อนมาเมื่อครู่นี้เอง
แอสโมเดียสลงไปนั่งตรงข้ามเรา บิลเซบับลงมานั่งข้างๆเรา จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มกินอาหารเย็นในยามค่ำคืนกันอย่างเอร็ดอร่อย ผิดกับเราที่ไม่มีอารมณ์จะใส่อะไรเข้าปาก
สงสัย เรารู้สึกสงสัยจริงๆว่าทำไมทั้งสองยังกินข้าวได้ลง ทั้งที่เกิดเรื่องน่ากลัวมากมายขนาดนั้น
“ทำไมยังกินได้ลงคอ ..ไม่สิ”
วิธีพูดแบบนี้มันไม่ดี
“เอ่อ”
แต่ต้องพูดยังไงถึงจะดีล่ะ?
หลายต่อหลายครั้งเลยที่เรายังเรียบเรียงประโยคดีๆไม่ได้ ถ้าเกิดเอาแต่พูดจาไม่ดีอย่างนั้นจะโดนทุกคนเกลียด และตีตัวออกห่างเอาได้
แต่ไม่ใช่กับสองคนนี้
“ท่านเบลลามีเมื่อนานแสนนานเคยบอกไว้เองนะคะ ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องร่าเริงไว้เสมอ ตัวเองในตอนที่ร่าเริงคือตัวเองที่สมบูรณ์พร้อมจะเผชิญกับทุกอย่างที่สุด ต่อให้หิวข้าว เจออริที่เหม็นขี้หน้า หรือว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายมาก็จงยิ้มสู้ซะ ผู้ที่จะชนะ คือผู้ที่กลืนกินได้กระทั่งบรรยากาศได้–อ้างอิงโดยท่านจอมมาร พวกเราเลยต้องกินให้อร่อยที่สุดค่ะ!”
“ใช่แล้วครับ นอกเหนือจากนั้น อาหารในยุคนนี้เนี่ยอร่อยอย่าบอกใครเชียวครับ ทำเอาผมกลัวอ้วนลงพุงเลย”
แม้แต่แอสโมเดียสที่เป็นคนกินน้อยก็เริ่มกินเยอะขึ้นมา ..กินกันได้น่าอร่อยมากจริงๆ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องยิ้มไว้เหรอ ..เหมือนกับเรเซอร์เลยนะ”
เป็นคนที่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ ..ความเหนือมนุษย์ของเขาคนนั้นคือการที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มักจะยิ้มออกมาได้เสมอ หลายต่อหลายครั้งที่เราได้รอยยิ้มของเรเซอร์ช่วยเอาไว้
“ต้องยิ้มเหมือนเรเซอร์”
ใช่ เราเองก็ต้องยิ้ม
เราฝืนตัวเองยิ้มออกมา จากนั้นก็เริ่มกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยความอร่อยเหมือนกับทั้งสองคน
“อร่อยจัง”
“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่าที่เข้าใจมันคือของที่จะอร่อยที่สุดเวลากินตอนดึกๆนะครับ ท่านจอมมาร อ้างอิงโดยตัวผมเอง”
“แอสโมเดียส อย่าเอาการวิจัยแปลกๆของนายมายัดให้ท่านเบลลามีเชียวนะ”
“เป็นงานวิจัยที่ดีนะ ไว้เราจะอาสาวิจัยต่อเอง”
“เห็นมั้ยเล่า แอสโมเดียส!!”
“ทะ โทษที ไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้น”
เราเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำจริงจังหรอก ใช่ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการล้อเล่นอย่างที่เรเซอร์เคยทำบ่อยๆ แต่ว่าเราทำไม่ค่อยชำนาญสักเท่าไหร่ ทำให้พูดอะไรไปทุกคนก็มักจะคิดว่าเราพูดจริงทำจริงตลอด แต่ให้ไปอธิบายมันก็อาจจะทำให้เข้าใจผิดกว่าเดิม เราเลยเลือกที่จะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง
บางทีการไม่ทำอะไร ก็คือการทำที่ดีที่สุด–เรย์ที่ชาญฉลาดเรื่องวิธีคิดเคยบอกเราไว้อย่างนั้น ถือว่าเราจึงหลักคำสอนของเรย์ละกันนะ
แต่ว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมันก็อร่อยจริงๆนะ ..ทำกินเองง่าย สะดวกกับตัวเราที่ไม่ค่อยมีเวลาด้วยสิ
“พอได้มาตั้งวนกินข้างกันสามคนแบบนี้ก็ชวนให้นึกถึงเรื่องเมื่ออดีตเลยนะคะเนี่ย รู้สึกว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ฝนตก พวกเราสามคนโดนแมงป๋องทะเลทรายไล่ฆ่า จนต้องมาแอบในถ้ำ แล้วต้มอะไรสักอย่างกิน จำไม่ผิด พวกเรากิน..”
“หญ้าที่เอามาต้มแล้วจะอร่อยครับ ท่านจอมมารเอามาต้มโดยไม่รู้เลยว่ามันมี ..อึติดอยู่”
….
บิลเซบับกับแอสโมเดียสหันหน้ามามองกันและกัน ส่วนเราเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่างรถไฟ
“ท่านเบลลามีตอนนั้นพึ่งมาบอกทีหลังว่ามีอึติดมาด้วย พอพวกเราเช็คหม้อดูดีๆก็พบว่า ..กินไปหมดแล้ว”
“อ้า!!!!!!! นี่มันหนึ่งในเจ็ดความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดของผมเลยนะครับเนี่ย!! เลวร้ายพอๆกับตอนที่โดน คุณลิเวียธานปฏิเสธรักเลย!!!”
“นึกดูแล้วตอนนั้นฉันอ้วกออกมาเลยนะคะนั่น ..”
เราเป็นคนที่ทำให้สองคนนี้มีความทรงจำที่เลวร้าย น่าสงสารจังเลยนะ
“เราสัญญาว่าจะไม่มีครั้งที่สอง”
“พูดให้ถูกคือไม่มีครั้งที่เจ็ดครับ”
แปลว่าสมัยก่อนเราไม่ได้ทำแค่รอบเดียวนี่เอง ตัวเราเวลานั้นทำไมถึงได้ใจร้ายกับเพื่อนคนสำคัญของตัวเองได้ขนาดนั้นกันนะ
นึกแล้วเราก็รู้สึกผิดขึ้นมาเลย ..
“นี่ บิลเซบับ แอสโมเดียส”
“มีอะไรหรือคะ?”
“ว่าไงครับ ท่านจอมมาร”
….
“เรื่องไม่ดีที่เราเคยทำกับเอเธอร์มีอะไรบ้างเหรอ?”
เอเธอร์ ..คือพี่ชายของเรา
เป็นบุตรแห่งพระเจ้าเหมือนกับเรา พวกเราเป็นฝาแฝดที่เคยสนิทสนมกัน จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเข้า
รู้ตัวอีกที เราก็ถูกหมายจะเอาชีวิตโดยเอเธอร์ เพราะเอเธอร์คือ ‘ผู้กล้า’ ส่วนตัวเราคือ ‘จอมมาร’ เป็นสองตัวตนที่ถูกชะตากำหนดให้เป็นศัตรูกัน และต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นจากการต่อสู้ในทุกๆครั้ง ครั้งหนึ่งเราเองก็เคยถูกปราบโดยผู้กล้า
“เหมือนจะเคยเล่าให้ฟังแล้วนะคะว่าท่านเบลลามีตอนนั้นใช้อุบายหลอกลวงท่านพี่ของตัวเอง จากนั้นก็ชิงพลังของเขามาให้แก่ตัวเอง แล้วก็ถีบท่านผู้นั้นลงสู่เหวลึกของโลกซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์อสูร ..ถึงให้หลังจากยุคโบราณไป ท่านเอเธอร์จะปีนขึ้นมาจนถึงยอด และขึ้นเป็นผู้กล้าได้แล้วก็ตาม แต่ความเคียดแค้นในวันนั้นก็ยังคงอยู่”
“เราไม่รู้สึกว่ากำลังโดนแค้นอยู่เลย”
ถึงเอเธอร์จะปรากฏออกมาว่าตั้งใจจะฆ่าเราก็ตาม แต่เราสัมผัสถึงเจตนานั้นของเอเธอร์ไม่ได้เลย
“เรื่องนั้น ..ฉันเองก็ไม่รู้ค่ะ แต่ว่าเขาตั้งใจจะฆ่าท่านเบลลามี เหมือนอย่างที่เคยทำเมื่ออดีตนั่นคือความจริงนะคะ”
“เจรจาไปก็ไม่มีความหมายหรอกครับ ครั้งสุดท้ายที่ผมคุยกับท่านพี่ของท่านจอมมารคือวันที่ผมโดนปาดคือโดยที่ยังพูดไม่จบด้วยซ้ำครับ”
ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพี่ชายคนจะแหลกสลายเป็นผุยผงไปแล้ว แต่ว่านะ ..
ความทรงจำเมื่ออดีตย้อนเข้ามาในหัวของเรา ..
เมื่ออดีตเราทำอะไรลงไปกันนะ ทำไมถึงได้หักหลังพี่ชายของตัวเอง โดยที่ไม่พูดคุยกันก่อน ..
ไม่ผิดแน่ นั่นคือความผิดพลาดในอดีตของเรา ซึ่งเราจะต้องแก้ไขเรื่องนั้นให้ได้
เราจะต้อง .. ‘เอาชนะ’ เอเธอร์ ให้ได้
ใช่แล้ว เรามีเรื่องต้องทำอยู่ หลายๆเรื่องที่เราอยากจะทำยังมีอยู่ ไม่ใช่แค่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้ไปพร้อมกับทุกคน แต่เราอยากจะ–คืนดีกับพี่ชายของเรา
“บิลเซบับ แอสโมเดียส”
เราถอนหายใจออกมาเบาๆ และโพล่งออกมา
“พวกเราจะมุ่งหน้าไปจักรวรรดิราชามังกร”
“จักรวรรดิราชามังกร? ไกลมากเลยนะคะนั่น รอท่านเรเซอร์ก่อนไม่ดีกว่าหรือคะ?”
เราส่ายหัวตอบกลับ
“เรเซอร์เองก็มีเรื่องที่เรเซอร์ต้องทำอยู่ จะให้คอยเฝ้าระวังเราไม่ได้เด็ดขาด เราเองก็ต้องทำเรื่องที่เราสามารถทำได้ในเวลานี้ ..เราจะไปเรียกสติของ ‘โซล่า เลนน่อน’ กลับคืนมา เพื่อการนั้นเลยต้องไปที่แห่งนั้นให้ได้เร็วที่สุด”
ถ้าเกิดว่าเธอคนนั้นฟื้นขึ้นมา เธอจะต้องเป็นกำลังสำคัญให้ทุกคนได้แน่ๆ ..
“เราจะวางแผนการเดินทางเอง บิลเซบับ กับแอสโมเดียส ช่วยระวังหลังให้เราทีนะ อาจจะโดนสะกดรอยตามอยู่ก็ได้ ..แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เรามีวิธีรับมืออยู่”
จะมัวแต่อยู่เฉยๆไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เราหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากกระเป๋า จากนั้นก็เริ่มลงมือเขียนการเดินทางที่เร็วที่สุด โดยวิเคราะห์จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเข้าใจ
“..ท่านเบลลามี”
บิลเซบับมองมาที่เรา ก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้ม และโค้งตัวมองสิ่งที่เราขีดเขียนลงกระดาษอย่างนึกสนุก
****
“สำเร็จแล้ว”
ในที่สุดก็ได้กำหนดการณ์การเดินทางที่รวดเร็วที่สุด กว่าจะไปถึงจักรวรรดิราชามังกรคงใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์เดียวเท่านั้น เนื่องจากว่าเราไม่มีอุปกรณ์วิเศษ และไม่มีเงินทองมากมายอะไรนัก ทำให้มีข้อจำกัดหลายอย่าง แต่เราเผื่อไว้สองกรณี ถ้าเกิดว่าเราหาทางแก้ปัญหาเรื่องข้อจำกัดได้ จะใช้เวลาเดินทางแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น
เอาเป็นว่า เราคิดไว้หลายๆกรณีแล้ว อย่างช้าที่สุดคือสามสัปดาห์ เร็วที่สุดคือหนึ่งสัปดาห์ เป็นไปได้ที่สุดคือสองสัปดาห์
“สุดยอดเลยนะคะ ท่านเบลลามี เขียนเรื่องเข้าใจยากเต็มไปหมดเลย ..แอสโมเดียสดูท่านเบลลามีเขียนเรื่อยๆจนเผลอหลับไปแล้วเลย”
นั้นเหรอ เพราะเอาแต่จดจ่อเราเลยไม่ได้สังเกตุเลยว่าแอสโมเดียสหลับไปแล้ว รู้สึกยินดีอยู่นะที่การเขียนของเราทำให้คนๆหนึ่งสามารถนอนหลับฝันดีได้
“แล้วบิลเซบับไม่ง่วงเลยเหรอ?”
“ไม่ค่ะ ฉันชอบเวลาที่ท่านเบลลามีกำลังพยายามทำอะไรสักอย่าง มันรู้สึกตื่นเต้นจนนอนไม่ลงเลยล่ะค่ะ!”
ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ดูไม่ดีเลยนะ
“บิลเซบับใจดีกับเราจังเลยนะ”
“ทั้งหมดเป็นเพราะท่านเบลลามีใจดีกับฉันก่อนทั้งนั้นเลยค่ะ”
“ยังไงเหรอ?”
บิลเซบับยิ้ม และโพล่งออกมา
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ ท่านก็มักจะแสดงประกายแสงแห่งความฝันให้ตัวฉันที่ไร้ซึ่งความฝันเสมอ ..สำหรับฉันที่เป็นเพียงมนุษย์ชั้นต่ำ นั่นคือของขวัญสุดพิเศษที่ดีเกินกว่าจะรับไว้ได้ แต่ท่านเบลลามีก็มักจะจับฉันแบมือ แล้วรับมันไว้ ..มันยากที่จะอธิบาย แต่ท่านพิเศษที่สุดค่ะ”
“..เราเป็นคนพูดไม่เก่ง”
“ท่านเบลลามีแต่ก่อนเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง ท่านเบลลามีตอนนี้เป็นคนพูดไม่เก่ง ดูเข้ากันดีนะคะ”
…นั่นสินะ
เรายิ้มออกมา ปล่อยวางทุกๆเรื่องไว้ข้างหลังก่อน และล้มลงนอนกับเบาะรองหัวของที่นั่ง
“เราเคยคิดว่าตัวเรานั้นอยู่คนละโลกกับคนอื่นๆด้วยละ”
“คนละโลกที่ว่าเนี่ย?”
“วิธีคิด การสื่อสาร ของเรามันต่างกับคนอื่น ให้เปรียบเทียบก็เหมือนว่าเราอยู่ในโลกสีดำ คนอื่นๆอยู่ในโลกสีขาว ประมาณนี้ ..เพราะอย่างนั้น ตลอดมาเราเลยไม่เคยมีเพื่อน และถูกเกียจชังโดยคนอื่นๆ เผลอคิดไปว่าโลกใบนี้มันไม่มีอะไรเลย”
บิลเซบับที่ได้ยินที่เราพูดจู่ๆก็ขึ้นเสียง
“ไม่จริงเลยค่ะ! เรื่องพวกนั้น!!”
“ใช่ มันไม่จริงเลย หลายคนสอนเราถึงข้อนั้น ..บางทีนะ บิลเซบับ เราในอดีตเองก็คงจะเหมือนกับตัวเราในตอนนี้”
ลึกลงไปในตัวของเรามันบอกทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องเพ่งสมาธิหรืออะไร เราแค่รู้สึกมันได้ตามธรรมชาติ
“ตัวเราเมื่อก่อนเองก็เคยคิดอย่างเดียวกัน คิดว่าโลกใบนี้มันช่างน่าเบื่อ รู้สึกแตกแยกกับทุกชีวิต ..แต่ว่านะ ถ้าหากว่าเราในตอนนี้ได้พบกับเรเซอร์ และรับรู้ความจริงว่าโลกใบนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดแล้ว ตัวเราในสมัยก่อนก็คงจะได้พบกับบิลเซบับนั่นแหละ”
…ความรู้สึกมากมายมันกำลังบอกความจริงแก่เราอยู่
จะไม่โกหก หรือปฏิเสธมันเด็ดขาด
“คนที่มอบความสุขแรกให้แก่เราในตอนนั้นก็คือเธอนะ บิลเซบับ”
“…ท่าน..เบลลามี”
“เราเข้าใจแล้วละ ถึงทุกอย่างเกี่ยวกับตัวของเรา”
ทั้งเรื่องที่เราอยากจะมอบอิสระให้แก่โลกใบนี้ ทั้งเรื่องที่เราอยากจะช่วยเหลือผู้คนจากโรคภัยเกี่ยวกับมานาที่ผิดเพี้ยน ..เราน่ะ–
“แค่อยากจะอยู่ในโลกที่ดียิ่งกว่านี้ ไปพร้อมกับคนสำคัญ ความสุขอันเหลือล้นเมื่ออดีตเป็นแรงผลักดันให้เราต้องเดินหน้าต่อไป ..บิลเซบับ”
เรายื่นมือออกไปหาเธอที่กำลังจะร้องไห้ออกมา ยื่นมือไปหา ‘เพื่อนที่ดีที่สุด’ ของเรา และ ‘เพื่อนคนแรก’ ของเรา
“สักวันหนึ่ง พวกเรามาโอบกอดความสุขของโลกใบนี้ ทดแทนสิ่งที่เสียไปเมื่ออดีต–ไปพร้อมๆกันกับทุกคน เพื่อการนั้น”
….
“บิลเซบับ ช่วยติดตามเราไปจนถึงตอนจบของเรื่องราวทีนะ”
“แน่นอนค่ะ ท่านเบลลามี ฉันจะติดตามท่านไปจนถึงจุดจบอย่างแน่นอน จะต้องส่งท่านให้ไปถึงบทสรุปที่แสนสุข ..”
บิลเซบับนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ..
“ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อท่านเบลลามีค่ะ”
****
ไกลออกไป จากอาณาจักรฟัฟนิร์ บนรถไฟของทวีปฟัฟนิร์กำลังมุ่งไปสู่อาณาจักรแห่งหนึ่ง
ณ ขบวนรถไฟแห่งหนึ่ง
เวลากำลังไหลผ่านไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จบ
จากความเหนื่อยล้ามากมายสะสม เบลลามีได้นอนหมดสติ และคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังนอนหนุนไหล่ของบิลเซบับอยู่ ส่วนแอสโมเดียสเองก็กำลังหลับฝันดี ..
บิลเซบับใช้มือลูบศรีษะของเบลลามีที่หลับอยู่ด้วยความเอ็นดู และยิ้มออกมา
“ท่านจอมมารตอนอ่อนแอก็ไม่เลว”
ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะเลืองหายไปในพริบตาเดียว
คนๆหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในรถไฟ เดินระหว่างทางอย่างเชื่องช้า ..
“น่าเศร้าที่โดนขัดจังหวะ”
แสงไฟจากรถไฟได้ดับลง
ครื้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
พร้อมกันนั้น รถไฟก็ได้ถูกทำให้หลุดจากราง และกลิ้งไปมากับผืนดิน—-บิลเซบับอุ้มเบลลามี และแอสโมเดียสออกมาจากขบวนรถไฟ เธอพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว
รอจนกว่าการเคลื่อนย้ายผู้โดยสารสุดป่าเถื่อนนั่นจะหยุดลง และหันไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน
“สมกับเป็นหมารับใช้ของทวยเทพชั้นผู้เลว ดำเนินงานได้รวดเร็วทันใจดีนะคะเนี่ย!!”
บิลเซบับทำใจดีสู้เสือทั้งๆที่ขายังสั่นอยู่–ศัตรู ‘ทูตสวรรค์’ ทยานขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรี และเผยรูปร่างที่แท้จริงออกมา
“กะ ก็ว่าใคร ‘เซราฟิม’ นี่เอง!!”
ทูตสวรรค์ร่างยักษ์ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแสงสว่างที่แผดเผาอากาศ