เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 300
< < 187 Sec4 > >
ชายผู้นี้หลับลงไปโดยหารู้เลยว่านั่นจะเป็นคืนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา ..
หลายชั่วโมงหลังจากที่หลับไป กลิ่นควัน และเพลิงไหม้ก็โชยเข้าจมูกของเขา ทำให้ร่างกายของชุนมันตื่นตัวโดยอัตโนมัติ
“เอ๊ะ”
ชุนสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แปลกไป จึงรีบลุกขึ้นจากเตียง และวิ่งไปเปิดระเบียงห้องดู และต้องพบกับเมืองแห่งผู้กล้าซึ่งกำลังถูกโอบด้วยเปลวเพลิง ผู้คนภายในเมืองพากันวิ่งหนีภัยอันตรายปริศนา นอกจากนั้นไกลออกไปจากคฤหาสน์ของตระกูลก็กำลังเกิดการต่อสู้อยู่ ระหว่างใครกับใครก็ไม่ทราบ ทว่าคลื่นดาบสีเขียวที่สาดส่องไปทั่วท้องฟ้านั่น ..คือวิถีของดาบแห่งผู้กล้า จัสติสเทีย
“ลาล่า …!!”
ชุนไม่รอช้า รีบวิ่งไปคว้าดาบประจำตระกูล และวิ่งออกจากคฤหาสน์เพื่อไปช่วยผู้เป็นน้องสาวทันที
****
ท่ามกลางเปลวเพลิงที่เข้าปกคลุมเมืองแห่งผู้กล้า
ผู้กล้าสาวนาม ‘ลาล่า’ ได้คว้าดาบแห่งผู้กล้าออกมาฟาดฟันศัตรูบนท้องฟ้า และบนผืนดินอย่างห้าวหาญ แสงสีเขียวสะบั้นเวทมนตร์และอำนาจทั้งหมดได้ในคราเดียว
“อาร์คเดม่อนจริงๆด้วย”
ศัตรูของเธอก็คือเผ่าปีศาจชั้นสูง ‘อาร์คเดม่อน’ ปีศาจผู้มีพลังกายเทียบเท่านักดาบขั้นสูงระดับต้นๆ และมีทักษะเวทมนตร์อยู่ในระดับขั้นสูง หากเทียบกับทหาร ก็จัดว่าเป็นทหารในหน่วยชั้นยอด เป็นบุคลากรอันทรงคุณค่าที่หาตัวจับได้ยาก
ตามที่ตำนานเล่าขาน อาร์คเดม่อนจะปรากฏตัวในปีที่ใกล้เคียงกับการถือกำเนิดของจอมมาร มันจะออกอาละวาดเพื่อตามล่าหาผู้กล้าในยุคนั้น และสังหารทิ้งก่อนที่ผู้กล้าจะเติบโตจนกลายเป็นอันตรายต่อจอมมาร เหล่าปีศาจที่ปรากฏมิใช่สิ่งมีชีวิตในยุคนี้ หากแต่เป็นวิญญาณร้ายที่สร้างร่างของตัวเองขึ้นมาในอีกยุคสมัย เพื่อคอยรับใช้นายเหนือหัวของตนอย่างจอมมาร
ลาล่าท่องประวัติตำนานของอาร์คเดม่อนในใจ พลางวิเคราะห์ความสามารถของอาร์คเดม่อนนับสิบตนตรงหน้า
“พลังกายมากกว่าฉันซะอีก”
ขีดจำกัดร่างกายพื้นฐานที่เหนือกว่ามนุษย์อย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ผู้กล้าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดก็เทียบไม่ได้
กระนั้น–ลาล่าพุ่งหลบเวทมนตร์ของอาร์คเดม่อน โบกสะบัดดาบแห่งผู้กล้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นก็ส่งร่างของอาร์คเดม่อนตนหนึ่งลงไปกองกับพื้น ในสภาพที่หมดสติ และบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ถึงกับตาย
ดาบแห่งผู้กล้าส่งออร่าสีเขียวเข้าปกคลุมร่างของลาล่า พลังกาย ประสาทสัมผัส ถูกเร่งประสิทธิภาพด้วยดาบเล่มนี้ นอกจากนั้น–
“จงเปล่งประกาย–”
อำนาจแห่งดาบเล่มนี้ได้พุ่งเข้าปะทะกับอาร์คเดม่อน
“ผู้กล้า ตัวอันตราย!!”
“ต้องกำจัด เพื่อท่านจอมมาร!!”
“จะกำจัดฉันคนนี้เหรอ ผู้กล้าไม่ใช่แค่เครื่องประดับหรอกนะ!!”
ลาล่าพูดข่มอีกฝ่าย จากนั้นก็พุ่งตัวเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประหนึ่งสายลม พริบตาเดียวก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของอาร์คเดม่อนที่เอาแต่พล่าม และกำลังจะเหวี่ยงหมัดหมายจะทำให้ศัตรูหมดสภาพการต่อสู้
ทว่า
“อย่ารีบร้อนเลยน่า ผู้กล้าคนปัจจุบัน”
“ยะ หยุดนะ!!! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!”
วินาทีก่อนที่จะเล่นงานอีกฝ่าย ลาล่าก็สังเกตุเห็นว่าอาร์คเดม่อนที่ไกลจากเธอหลายเมตรกำลังจับร่างของผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ โดยที่ข้างๆตัวของเขาก็ชาวเมืองไร้ทางสู้กว่าสิบคนนอนเรียงกัน บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส บ้างก็มีสภาพดีอยู่ แต่จิตใจกำลังแหลกสลายด้วยความหวาดกลัว
ลาล่าหยุดมือโดยทันที
“ขี้ขลาดกันซะจริงๆ ..”
การหยุดมือนั่นทำให้เกิดช่องว่าง
“[เฮลเฟรม(เพลิงนรก)]”
เธอถูกจังหวะทีเผลอนั่นเล่นงาน และถูกเวทมนตร์ขั้นสูงอัดเข้าที่กลางตัว—แม้จะกระโดดหนีทันทีที่โดน แต่ว่าเพลิงทำลายล้างนั้นก็มีพลังทำลายมหาศาล ขนาดที่ร่างเล็กๆนี่ไม่อาจทนรับมันไว้ได้โดยไม่เป็นอะไร
“อั้ก!”
ลาล่า ทรุดกับพื้น กลางวงของเหล่าอาร์คเดม่อน เธอใช้จัสติสเทียในการพิงเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงกองกับพื้น จากนั้นก็รักษาตัวเองด้วยเวทมนตร์รักษา
โชคยังดีที่มีเกราะกันเวทมนตร์เอาไว้บ้าง ถ้าหากไม่มีละก็–เธอคงสิ้นชีพไปแล้ว นี่แหละความน่าสะพรึงของอาร์คเดม่อน พลังกายระดับสูง เวทมนตร์ระดับสูง เป็นตัวตนที่เสมือนกับมอนสเตอร์ชั้นสูงที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ
มนุษย์นอกจากผู้กล้า โดยปกติจะเลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เวทมนตร์ พลังกาย วิชาไสยศาสตร์ เล่นแร่แปรธาตุ รึ แขนงอื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่พวกอาร์คเดม่อนต่างออกไป มันอยู่ในระดับสูงทุกแขนง
แม้แต่ผู้กล้าอย่างเธอที่เด่นในทุกๆด้านเหมือนกัน การเอาร่างเข้าไปรับเวทมนตร์ระดับสูงเข้าตรงๆก็เป็นหนทางสู่ความตายเหมือนกัน ..ตัวตนเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเข้าต่อสู้กับอาร์คเดม่อนได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไร บนโลกนี้คงมีเพียงพวก ‘ท็อปโลก’ และ ‘ผู้วิเศษ’ เท่านั้น พวกเขาเหล่านั้นคือตัวตนที่แข็งแกร่งจนเกินบรรยายไปไกลโข …และนั่นก็คือจุดมุ่งหมายที่เธอต้องไปให้ถึงก่อนจะถึงการกำเนิดของจอมมาร
ผู้กล้าจะมาหยุดอยู่แค่ตรงนี้ไม่ได้!!
“ถ้ากะอีแค่อาร์คเดม่อนก็สู้ไม่ได้ ฉันคงไม่สามารถปกป้องใครได้ทั้งนั้น!!!”
ลาล่าที่กำลังหน้ามืดกลับมาได้สติ เธอชี้ดาบแห่งผู้กล้าขึ้นไปบนฟ้า ทันใดนั้น แสงสีเขียวก็พุ่งออกจากปลายดาบ เข้าปกคลุมเมืองทั้งเมือง
“ดาบแห่งผู้กล้า และผู้กล้ารุ่นแรก โปรดเป็นพลังให้ฉันด้วย ฉันขอสาบานว่าจะอุทิศตนให้แก่เส้นทางแห่งผู้กล้า และสะบั้นความมืดทั้งมวลให้สิ้นไปจากโลกใบนี้—”
เปลวเพลิงที่ปกคลุมทั่วทั้งเมืองถูกดับทิ้งด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งวาจาอันสูงส่ง พลังของดาบแห่งผู้กล้า ‘จัสติสเทีย’ ก็คือ— ‘การหวนคืนสู่ความยุติธรรม’ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกสะบั้น และส่งไปในสิ่งที่ควรจะเป็น นั่นแหละคือประกายแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้กล้า
แสงสีเขียวเข้าโอบร่างของลาล่า พริบตาเดียว เธอก็ส่งอาร์คเดม่อนลงไปกองกับพื้นด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และช่วยเหลือชาวเมืองที่โดนจับมาเป็นตัวประกันได้ง่ายๆ
จากนั้นลาล่าก็ทำการสะบัดดาบอีกจังหวะ แสงสีเขียวพุ่งผ่านอาร์คเดม่อนนับสิ้น และส่งร่างนั้นลงไปนอนกับพื้น
ท้องฟ้ายามราตรี ถูกย้อมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้กล้า การสังหารหมู่ และเพลิงทำลายล้างได้เลืองหายไปราวกับก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
ลาล่าดับแสงศักดิ์สิทธิ์ของดาบลง และยืนอยู่บนหลังคาบ้าน ท่ามกลางซากศพของอาร์คเดม่อน และชาวบ้านที่ยังคงหายใจกันอยู่
“..แฮก ..อา ..พัฒนาไปอีกขั้นแล้ว”
เธอยิ้มยินดีกับตัวเอง และหันไปมองที่ผืนดินซึ่งเหล่าปีศาจได้ถูกหยุดการเคลื่อนไหวลงแล้ว ..เอ๊ะ??
เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นบนหัวของเธอ เพราะภาพที่เห็นก็คืออาร์คเดม่อนตนหนึ่งที่ยังเหลือรอดนั้นได้อุ้มเด็กผู้ชายตัวเล็กเอาไว้
“ผะ ผู้กล้า ถ้าแกคิดจะฆ่า ป่านนี้ทุกอย่างมันคงจบไปแล้ว คิดบ้าอะไรอยู่กันถึงไม่ฆ่าพวกข้าเลยสักคนเดียว!!”
หน้าของลาล่าเปลี่ยนสีอย่างฉับพลัน เธอกระโดดลงพื้นพร้อมกับดาบคู่ใจ และวิ่งเข้าใส่อาร์คเดม่อนอย่างไม่คิดชีวิต กะจะหยุดให้เร็วที่สุดก่อนที่ตัวประกันจะเป็นอะไรไป แต่ว่า–ไม่ทันอยู่แล้ว
“อย่านะ!!!!!!!!”
ลาล่าหยุดวิ่งลงกระทันหัน เพราะเล็บที่แหลมคมของอาร์คเดม่อนกำลังจ่ออยู่ที่ปลายคอของเด็กน้อย …ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยโทสะ ความดุร้ายนี่ช่างไม่เหมาะกับผู้กล้าเอาเสียเลย แม้แต่อาร์คเดม่อน เผ่าปีศาจที่ถูกกล่าวหาว่าชั่วร้ายก็ยังอดหวาดกลัวเธอไม่ได้
“ไม่ถูกกับผู้กล้าเลยแฮะ ไอ้มนุษย์หน้าเลือดที่ฆ่าปีศาจไม่เลือกหน้ามันน่านับถือตรงไหนกันวะ!?”
“ปล่อยมือจากเด็กคนนั้นซะ ..อาร์คเดม่อน”
“ต่อรองเหรอ? เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองบ้างก็ดีนะ ผู้กล้า!”
“หา?”
วิศัยทัศน์ที่แคบลงหลังจากระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมา ทำให้เธอไม่ทันระวังตัว ก้อนหินเวทมนตร์ยักษ์ได้พุ่งอัดหน้าท้องของเธอ และส่งร่างของท่านผู้กล้าลงไปกลิ้งกับพื้นหลายตลบอย่างไร้ทางตอบโต้
ยังมีอาร์คเดม่อนเป็นกำลังเสริม ไม่ใช่แค่มีเด็กโดนจับเป็นตัวประกัน ยัง …
“อ๊ากกกกก”
วงจรเวทย์ของลาล่าถูกทำลาย เวทมนตร์หินนั่นพุ่งเข้ามาทำลายวงจรเวทย์ที่ไว้ใช้ต่อกรกับศัตรูของเธอ
มนุษย์เมื่อถูกทำลายวงจรเวทย์จะใช้นานมานาได้ลำบากขึ้น ทั้งเวทมนตร์ ทักษะดาบ หรือว่าการถ่ายมานาจะย่ำแย่ลง หรืออาจถึงขั้นที่ใช้งานอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ สภาพที่ถูกทำลายวงจรเวทย์นั้นไม่ต่างกับสภาพไร้ทางสู้สำหรับมนุษย์
ลาล่าในตอนนี้ ไม่ใช่ผู้กล้าที่แข็งแกร่งอีกต่อไปแล้ว
เธอนอนอยู่กับพื้น ใช้แขนอีกข้างจับแขนที่ถูกทำลายวงจรเวทย์เอาไว้ กัดฟันกรามแน่น ข่มน้ำตาแห่งความเจ็บปวด และจับจ้องมาที่เหล่าอาร์คเดม่อนเจ้าเล่ห์
“อาร์คเดม่อน ..พวกแก ..พวกแกมัน”
“ประมาทไปนะ ผู้กล้า ไม่เคยมีใครสอนแกรึไงกันว่าตอนสู้กับพวกข้านั้นห้ามประมาทน่ะ”
“โชคดีชะมัดที่ผู้กล้าในยุคนี้เป็นแค่เด็กที่ยังไร้เดียงสา ถ้าเป็นเป็นไอ้สัตว์ประหลาดรุ่นแรกพวกเราได้โดนฟันทิ้งพร้อมกับตัวประกันไปแล้วกระมัง”
อาร์คเดม่อนโยนตัวประกันทิ้ง และเดินเข้ามาหาลาล่าที่นอนไร้ทางสู้อยู่กับพื้น เธอฝืนตัวเองลุกขึ้นมา พร้อมกับดาบแห่งผู้กล้า จากนั้นก็ทำการส่งมานาเข้าดาบเล่มนี้ ทว่า-
“อึก–อั้ก!!!”
เลือดพุ่งออกจากวงจรเวทย์ของเธอ ดาบแห่งผู้กล้าส่องแสงไปผิดทางกับที่เธอเล็งเอาไว้ จากที่เสียหายหนักอยู่แล้ว วงจรเวทย์ยิ่งใช้งานไม่ได้เข้าไปใหญ่ เธอในเวลานี้เสียการควบคุมโดยสมบูรณ์
“แฮก ..ไม่จริงใช่มั้ย?”
“เสียใจด้วยนะ ท่านผู้-กล้า!!”
อาร์คเดม่อนเตะร่างของลาล่าจนกระเด็น ..ชาวเมืองรอบๆที่เห็นท่าไม่ดีก็รีบพากันวิ่งหนี โดยไม่สนใจ เด็กหรือคนอื่นๆที่ยังถูกจับเอาไว้อยู่ ลาล่ามองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยแววตาแสนสิ้นหวัง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะเห็น ภาพของผู้คนที่หนีตายโดยไม่สนใจสิ่งอื่นบนโลกใบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะเห็นในยุคที่เธอได้ขึ้นเป็นผู้กล้า
นี่เรา ..ทำพลาดลงไปแล้ว
“อาร์คเดม่อ—-”
เธอถูกอาร์คเดม่อนเตะเข้าที่ศรีษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“จะบอกอะไรให้เอาบุญนะ ไอ้ผู้กล้า ผู้กล้าอย่างพวกแกน่ะมีหน้าที่ฆ่าปีศาจเว้ย ไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องชาวเมือง!! เพราะทำอะไรเกินกว่าหน้าที่ตัวเองเลยพลาดแล้วเจอดีเข้าไงโว้ย!! ต้นตระกูลของพวกแกไม่ได้เขียนคำสอนไว้หรือไงว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘การเด็ดหัวจอมมาร’ รองลงมาคือ ‘การเด็ดหัวพวกปีศาจ’ ที่ไร้ทางสู้อย่างพวกข้า!!!”
“อย่า ..มาพูดบ้าๆ ..คำสอนของพวกเราผู้กล้าคือ– ‘ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องเป็นแสงสว่างให้โลกใบนี้’ พวกแกเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า?”
“เผ่าปีศาจอย่างพวกข้าไม่มีสิทธิ์อยู่บนโลกที่แสนอบอุ่นรึไงหะ!? ถึงได้มาไล่ฆ่าพวกข้ากันอย่างโหดร้าย!”
ไม่เข้าใจอะไรเลย เรื่องที่ปีศาจตนนี้พูด เช่นเดียวกัน ปีศาจตนนี้ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ลาล่าพูด เพราะทั้งสองอยู่คนละฝั่ง
“มนุษย์อย่างแกคงไม่เข้าใจหรอกว่าโลกในยุคนั้นมันโหดร้ายขนาดไหน ผู้กล้าที่พวกแกนับถือเป็นวีรบุรุษ สำหรับพวกข้ามันคือฆาตกรโว้ย!!”
“แล้วที่พวกแกกำลังทำมันต่างกับฆาตกรตรงไหนกัน!?”
ลาล่าใช้แรงฮึดลุกขึ้นมาเหวี่ยงดาบ อาร์คเดม่อนพากันกระโดดหนีวิถีดาบ และยื่นมือออกไปพร้อมจะกระหน่ำเวทมนตร์ใช่ผู้กล้าตรงหน้า
“ฉันน่ะต่างกับพวกแก ..ไม่เห็นรึไง ฉันยังไม่ได้คร่าชีวิตใครไปเลยสักคนเดียว อย่าเอาชื่อของผู้กล้าไปเหมารวมกับพวกแกที่ฆ่าได้กระทั่งเด็กเชียว อาร์คเดม่อน!”
“..แก”
อาร์คเดม่อนตนนี้พึ่งจะสังเกตุ ว่าเผ่าปีศาจพวกพ้องของตัวเองแค่ถูกทำให้สลบ บ้างก็บาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีใครที่ถูกหมายจะเอาชีวิตจริงๆเลย ..นั่นทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
คิดบ้าอะไรอยู่กัน? ผู้กล้า
“ดูถูกกันอยู่รึไง!?”
“นายต่างหากที่กำลังดูถูกชื่อของฉัน”
ผู้กล้าลาล่าหายใจฮอบ ใช้ดวงตาที่ใกล้จะปิดคู่เล็กๆนั่นมองไปรอบๆ และหายห่วงเมื่อเห็นว่าไม่มีชาวเมืองอยู่ในกำมือของปีศาจแล้ว เธอจึงหันมายิ้มให้แก่ปีศาจอย่างห้าวหาญอีกครั้ง
“ฉันไม่เข้าใจหรอกว่าผู้กล้ารุ่นแรกไปทำอะไรให้พวกแก ต้นตระกูลของฉันทำเรื่องสุดเลวร้ายอะไรไปบ้าง ฉันไม่รู้อะไรเลยก็จริง แต่ตอนนี้ฉันเป็นผู้กล้า หน้าที่ของฉันในฐานะผู้กล้าคือการปกป้องผู้คน ..และพวกแกกำลังทำร้ายผู้คนที่ฉันต้องปกป้อง แค่นั้นก็มากพอแล้วที่ฉันจะหมายหัวพวกนายว่าเป็น ‘ศัตรู’ แต่ว่าถ้าหากว่าอาร์คเดม่อนไม่ใช่ศัตรูจริงๆจะทำยังไง ..เพราะคิดอย่างนั้นเลยกะจะไว้ชีวิต แล้วค่อยมาคุยกันทีหลังถึงเจตนา ..ถ้าเกิดพวกนายไม่ใช่ศัตรูจริงๆ …ฉันเองก็คิดจะปกป้องพวกนายในฐานะ ‘ผู้กล้า’ เหมือนกัน”
“อย่ามาพูดบ้าๆ เผ่าปีศาจอย่างพวกข้าในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับมอนสเตอร์ด้วยซ้ำ การฆ่าพวกข้าสำหรับผู้กล้า หรือคนอื่นๆ มันคือการทำเพื่อสันติสุขของโลกไปแล้วด้วยซ้ำ ..พวกข้าจะไม่มีวันได้รับอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่ยังมีพวกแกเผ่ามนุษย์อาศัยอยู่บนโลก!!!”
“ก็เห็นพูดคุยกับฉันได้เข้าใจดีเลยไม่ใช่เหรอ? ดูผิวเผินก็นึกว่าเพื่อนมนุษย์จากต่างแดนด้วยสิ ..ไม่ใช่มอนสเตอร์สักหน่อย จะให้ฆ่าได้ยังไง ..ดูๆแล้ว ผู้กล้าในยุคก่อนจะต่างกับที่ฉันรู้จักนะ”
ลาล่าควบคุมลมหายใจจนเข้าที่ และยิ้มให้กับอาร์คเดม่อนเบื้องหน้า
“ในยุคนี้ หน้าที่ของผู้กล้าคือการเป็นสะพานเชื่อมให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่บนโลก ..การมีอยู่ของฉัน คือสัญลักษณ์แห่งสันติสุข อาร์คเดม่อน ..เชื่อฉันเถอะ ..เชื่อในตัวของฉันที่ถูกเลือกให้เป็นสะพาน”
กล่าวจบ ลาล่าก็โยนดาบลงกับพื้น และอ้าแขนรับ จับจ้องเหล่าอาร์คเดม่อนด้วยดวงตาที่แสนสดใส เพียงแค่มองดวงตาคู่นี้ จิตใจของผู้คนก็จะได้รับการชำระล้าง ..อาร์คเดม่อนตนหนึ่งทำท่าจะยืนมือมา เพื่อตอบรับคำชวนอันจริงใจนี้
ทว่า
ร่างของลาล่าถูกก้อนหินทะลุผ่านหน้าท้องไป ร่างไร้เรี่ยวแรงประหนึ่งดึงปลั๊กออก เธอล้มลงกองกับพื้นอย่างหมดรูป
“..ทำไม..กัน”
อาร์คเดม่อนเก็บมือของตัวเอง ทั้งๆที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ..
“ผู้กล้ามันเชื่อถือได้ที่ไหนกัน ..สะพานเชื่อมผู้คน? อย่ามาล้อเล่นกันหน่อยเลย ผู้กล้าคือตัวตนที่มีอยู่เพื่อปกป้องมนุษย์ และทำลายล้างปีศาจ ให้จับมือกับสัตว์ประหลาดหน้าเลือดอย่างผู้กล้าน่ะไม่เอาด้วยหรอก ไม่รู้ด้วยว่าคำสอนของพวกแกในปัจจุบันมันจะสวยหรูแค่ไหน แต่เส้นทางที่พวกแกริเริ่ม มันเต็มไปด้วยเลือดของพวกข้าโว้ย”
….
“..นั้นเหรอ ..ขอโทษนะ”
“ขอโทษ? ขอโทษอะไรกัน …”
ลาล่ายิ้มให้อาร์คเดม่อนอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะหลับตาลงช้าๆ ..ในใจของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก อย่างความตาย แต่ว่าในฐานะผู้กล้า ถ้าความตายของเธอมันช่วยให้คนกลุ่มหนึ่งสบายใจได้ มันก็อาจจะไม่ใช่การตายที่สูญเปล่าอะไร
ในวินาทีสุดท้ายเธอก็ยังคงยึดถือแนวทางของผู้กล้าจวบจนกระทั่ง เธอได้ตายจากไป ..เธอได้แต่หวังว่าคนต่อไปที่จะมารับตำแหน่งผู้กล้านั้นจะไม่หลงทางให่แก่หน้าที่ของตนเอง ก็จริงที่จุดเริ่มต้นของเธอคือความปารถนาที่อยากจะปกป้องครอบครัวของตัวเอง แต่ว่าพอได้เป็นผู้กล้าแล้วมันไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่แค่คนของตัวเอง ..ผู้กล้ามีหน้าที่ต้องเป็นสะพานเชื่อมผู้คน มิใช่ อาวุธสงครามของอาณาจักรใด อาณาจักรหนึ่ง มิใช่ ตัวตนที่จะต้องหันดาบเข้าใส่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างเผ่าปีศาจ
การพบกับอาร์คเดม่อน ทำให้เธอตระหนักรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่มอนสเตอร์ที่มีสติปัญญา หากแต่เป็นมนุษย์ที่เคยอาศัยอยู่บนโลกแห่งเดียวกับพวกเธอ จริงๆไม่ใช่แค่อาร์คเดม่อน เธอได้ท่องโลกไปมากมาย ได้พบกับเผ่าพันธ์ุอื่นๆที่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ เนื่องจากว่ามนุษย์มองพวกเขาเป็นเพียงสัตว์ที่เอาไว้ใช้ซื้อขาย อยากจะช่วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะสถานะผู้กล้าที่มีไว้เพื่อคนกลุ่มเดียว
คิดมาโดยตลอดระหว่างที่ต้องทำงานให้แก่อาณาจักรแซร์อิซ เธอคิดจะเปลี่ยนแปลงสถานะของผู้กล้า คิดจะปฏิวัติประวัติศาสตร์ตระกูลของตัวเอง แต่ว่าเหมือนจะทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ..นั่นคือเรื่องที่เธอรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง
จริงๆก็แอบกลัวมาตลอด ที่เหนื่อยจนร้องไห้ไม่ใช่อะไรหรอก ..แค่เหนื่อยที่ตัวเองยังอ่อนแอเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทั้งที่ได้ตำแหน่งและชื่อเสียงยิ่งใหญ่พอจะพลิกโฉมโลกใบนี้มาไว้แล้วแท้ๆเชียว
ช่างน่าเสียดาย ..ที่ฉันไม่สามารถเปลี่ยนแนวคิดของใครบางคนได้
ผู้กล้าไม่ใช่แค่ภาพลวงตา อยากจะให้โลกตระหนักรู้ถึงตัวตนที่มีอยู่เพื่อโลกใบนี้ ..อยากจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้
ลาล่ายื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของอาร์คเดม่อนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน จากหน้าประวัติศาสตร์แสนป่าเถื่อน เธอสัมผัสมันจวบจนกระทั่งได้ตายจากไป
ในใจได้แต่หวังว่า ..ผู้กล้าตัวจริงผู้ยึดมั่นอุดมคติ และทรงด้วยพลังสมกับฐานะต่างกับเธอ จะปรากฏตัวออกมา คนๆนั้นจะต้องเป็นผู้กล้าที่ไม่ได้เดินในเส้นทางสีเลือด แต่เดินในเส้นทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้แห่งความยินดีของผู้คน
“ขอโทษที่ไม่มีค่าพอให้เชื่อนะ”
อาร์คเดม่อนตนที่ลงมือสังหารลาล่าไป เขายืนนิ่ง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ..ก่อนจะสบถออกมา
“น่าขยะแขยงจริงๆ เป็นแค่ผู้กล้าแท้ๆแต่คิดจะทำอะไร ..”
…..
..
ชุนยืนมองภาพที่เกิดขึ้น ด้วยดวงตาที่สิ้นหวัง
“ลาล่า?”
“แกมัน? ลูกหลานผู้กล้าเหมือนกันไม่ใช่รึไง”
อาร์คเดม่อนตรงมาหาชุน พร้อมมือที่บีบอัดด้วย [เฮลเฟรม]
“ลา—ล่า!!!!!!!!!”
ชุนชักดาบออกมา และวิ่งเข้าใส่อาร์คเดม่อนด้วยความรวดเร็ว ดาบแล่นผ่าอากาศ พุ่งเข้าใส่หัวของอาร์คเดม่อน ประมาทเพียงนิดเดียว หัวของอาร์คเดม่อนตนหนึ่งก็ได้หลุดออกจากบ่าด้วยแรงเหวี่ยงดาบ และความเร็วการพุ่งตัวที่เหนือมนุษย์
อาร์คเดม่อนที่อยู่ใกล้ๆพากันพุ่งตัวหนีออกมา พร้อมกับยื่นมือเตรียมกระหน่ำยิงเวทมนตร์เข้าใส่ลูกหลานผู้กล้าผู้นี้
พลังกายที่ปรากฏ ทำให้เหล่าอาร์คเดม่อนเห็นภาพหลอนเป็น ‘ผู้กล้ารุ่นแรก’ ที่สะบั้นดาบเพียงครั้งเดียวก็สังหารพวกตนได้นับร้อยชีวิต
“มิเกล!!!”
“อย่าเข้าไปใกล้มันเชียวนะ!!”
อาร์คเดม่อนตนหนึ่งพยายามห้ามไม่ให้เพื่อนของตัวเองวิ่งไปหาอาร์คเดม่อนที่นอนคอขาดกับพื้น ผู้เป็นหัวหน้าหันหน้ามาหาชุนที่วิ่งมาโอบกอดร่างไร้วิญญาณของลาล่า
“ไม่นะ ไม่ ..ลาล่า ..เดี่ยวสิ ทำไม ..เป็นถึงท่านผู้กล้าเลยไม่ใช่รึไง?”
แม้จะเขย่าร่าง หรือตะโกนเรียกมากขนาดไหนก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของน้องสาวอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าเธอตายไปแล้ว
น้องสาวผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำทุกอย่างเพื่อทุกๆคนบนโลก ผู้กล้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยเห็น ได้จากไปโดยฝีมือของเผ่าปีศาจผู้ขี้ขลาด ..ความจริงนั่นทำให้ชุนเจ็บใจถึงที่สุด แต่ว่าน้ำตามันก็ไม่ไหลออกมา เพราะว่า–ความแค้นมันกดน้ำตาเอาไว้อยู่
ชุนจับจ้องไปที่อาร์คเดม่อนด้วยแววตาที่เคียดแค้น มือข้างถนัดกำดาบไว้แน่น แต่ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเข้าต่อสู้กันนั้น ..ผู้ที่มีดวงตาประหนึ่งมรกตก็ได้เดินเข้ามา
เด็กสาวตัวเล็กผู้มีดวงตาสีมรกต เดินเข้ามาจากข้างหลังของชุน
ชุนสบตากับสีมรกตนั่น และรู้สึกหลงใหลในความงดงามของสิ่งนั้น ..ท่ามกลางความสกปรกของโลกใบนี้ มีแค่เธอผู้นี้เท่านั้นที่มีสิ่งที่งดงามยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
เจ้าหญิงมรกต ‘อาเบล’ เธอย่อลงกับพื้น ลากเอาดาบแห่งผู้กล้าที่หนักกว่าสิบโล และยื่นให้กับชุน
“ผู้กล้าได้ตายจากไปแล้ว บนโลกนี้ไร้ซึ่งแสงสว่างที่มีไว้เพื่อชำระล้างความมืด ดังเช่น ปีศาจที่พร้อมจะพรากทุกสิ่งไปจากโลกใบนี้ ..เช่นนั้นต้องทำเช่นใดจึงจะดี? ในเมื่อนามของผู้กล้าได้ถูกกลืนกินโดยความมืดแสนชั่วร้ายแล้วก็ต้องริเริ่มพิธีขึ้นมาใหม่อีกครั้ง” อาเบลพนมมือ และโพล่งออกมาด้วยวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ “พิธีการถือกำเนิดของผู้กล้า จะเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง ณ ที่แห่งนี้”
วินาทีที่ชุนได้ยื่นมือมาสัมผัสดาบแห่งผู้กล้า แสงศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งลงมาจากบนฟ้า เป็นแสงสว่างอันอบอุ่น กระทั่งอาร์คเดม่อนผู้ชั่วร้ายก็ยังรู้สึกถึงมันได้
“..อา พระเจ้า? นั่นคือคำอวยพรของพระเจ้าเหรอ”
อาร์คเดม่อนผู้เป็นหัวหน้าหลงไปกับแสงสว่างนั้น และเดินเข้าหาแสงสว่างตรงหน้า
“ท่านช่วยเป็นแสงสว่างให้แก่โลกใบนี้แทนท่านผู้กล้าที่ล่วงลับไปได้หรือไม่?”
พิธีการถือกำเนิดของผู้กล้า—–
“พระเจ้า โปรดเห็นใจปีศาจด้ว—”
ร่างของอาร์คเดม่อนถูกสะบั้นแยกเป็นสองส่วน—แสงสีเขียวพุ่งผ่าร่างของอาร์คเดม่อนอีกหลายสิบตนจนสิ้นชีพ เหลือปีศาจผู้ชั่วร้ายเพียงแค่ตนเดียวเท่านั้นที่เข่าอ่อน ลงไปกองกับพื้นบนศพของพวกพ้อง
แสงศักดิ์สิทธิ์จางหายไปช้าๆ ปรากฏให้เห็นผู้กล้าคนใหม่ พร้อมกับดาบแห่งผู้กล้าที่เปลี่ยนนาย
‘ชุน’ ได้ขึ้นเป็นผู้กล้าแล้ว
“สำเร็จรุร่วงสินะคะ”
ชุนไม่ตอบ เวลานี้เขาจับจ้องแต่ศัตรูของผู้กล้า อย่างอาร์คเดม่อนที่ยังเหลือรอด และเดินเข้าไปหาตรงๆ
“ยะ อย่านะ ผู้กล้า อย่านะ ท่านคือสะพานที่จะเชื่อมผู้คนไม่ใช่เหรอ!!?”
“ใช่ ฉันคือสะพานที่จะเชื่อมผู้คน อย่างที่ได้กล่าวมานั่นแหละ อาร์คเดม่อน”
ชุนยกดาบขึ้นฟ้า เตรียมฟาดลงมา
“เพียงแต่ อาร์คเดม่อน ไม่ใช่ มนุษย์ หากแต่เป็นภัยคุกคาม”
“นี่ท่าน ..เห็นเราเป็นเพียง มอนสเตอ–”
ดาบแห่งผู้กล้าได้แยกร่างของปีศาจร้ายเป็นสองส่วน …ในที่แห่งนี้ ไม่มีปีศาจร้ายอีกต่อไปแล้ว
ชุนยกดาบแห่งผู้กล้าชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า พลันใดนั้นเสียงตบมือก็ได้ดังขึ้น
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ปรากฏตัวออกมา ส่งเสียงดีใจ ตบมือสรรเสริญผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่ และสูงส่ง ผู้คนวิ่งมาช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บ และคนที่ถูกจับเป็นตัวประกัน คนแปลกหน้าปลอบใจกันและกัน เด็กๆถูกช่วยเหลือ ทุกคนช่วยกันปลอบไม่ให้เด็กน้อยร้องไห้
ภาพที่ลาล่าอยากจะเห็นได้เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ ..เกิดขึ้นในสภาพที่ดาบแห่งผู้กล้าถูกย้อมด้วยเลือดของปีศาจ
ชาวเมืองกำลังยินดีกับผู้กล้าคนใหม่อยู่ ..ชุนได้แต่นึกในใจว่าหากลาล่าได้เห็น เธอคงจะยินดีกับตัวเอง
“ช่างน่าเสียดาย” ชุนยิ้มออกมา “ขอโทษนะที่ทำให้เธอเห็นภาพนี้ไม่ได้”
แสงสว่างจากพระอาทิตย์สาดส่องมาที่ชุนซึ่งยืนอยู่บนซากศพ ชาวเมืองที่ได้เห็นภาพนั้นพากันร้องไห้ออกมา และเริ่มร้องเพลิงสรรเสริญผู้กล้ากันอย่างยิ่งใหญ่
ประวัติศาสตร์จะต้องบันทึกเรื่องราวหนนี้เอาไว้ ในฐานะการถือกำเนิดของ ‘ผู้กล้า’ ที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายร้อยปี
ระหว่างที่ผู้คนกำลังร้องเพลงสรรเสริญผู้กล้ากันอยู่ อาเบลได้ตบมืออยู่ข้างๆชุน
“กำลังคิดอยู่เลยค่ะว่าถ้าเป็นท่านจะต้องดึงพลังของผู้กล้าออกมาได้ทรงประสิทธิภาพที่สุด”
“..หมายความว่ายังไง”
“เหมือนจะเป็นความเชื่อผิดๆนะคะ ที่ผู้กล้าจะต้องมีมานาที่มหาศาล”
อาเบลเดินเข้ามาจับปลายดาบแห่งผู้กล้าโดยไม่กลัวคมบาดใดๆ
“ทั้งๆที่แท้จริงแล้ว ดาบเล่มนี้จะตอบสนองกับผู้ไร้ซึ่งพลัง พลังแห่งความยุติธรรมจะถูกมอบให้แก่ผู้ที่ไร้ซึ่งหนทางแห่งชัยชนะ ..มันถูกบันทึกไว้น่ะค่ะว่าผู้กล้ารุ่นแรกมีมานาเพียงนิดเดียวเท่านั้น ฝึกแทบตาย ก็ได้มานามาแค่เทียบเท่ากับชาวบ้านทั่วๆไปที่ไม่เคยใช้เวทมนตร์เลย แต่ว่าดาบเล่มนี้กลับทรงพลังที่สุดเมื่ออยู่ในมือของผู้กล้ารุ่นแรก”
“…นั้นเองเหรอ”
ถ้าเกิดนี่คือความจริงละก็–
“ผู้กล้าที่แท้จริงที่จะต้องได้ถือดาบเล่มนี้ คือท่าน ไม่ใช่ ท่านผู้กล้า ลาล่า—หากแต่เป็นท่านต่างหาก ท่านชุน”
“ลาล่าน่ะนะ บอกมาตลอดว่าเธออยากจะเป็นผู้กล้าที่แท้จริง ถ้าหากว่าโลกใบนี้มีผู้กล้าที่แท้จริงอยู่ เธอก็พร้อมจะสละดาบเล่มนี้ พร้อมกับชื่อของเธอให้ในทันที ..แต่ว่า ตัวฉัน ..ชุนไม่ใช่ผู้กล้าที่เธอต้องการหรอก ทั้งขี้ขลาด เห็นแก่ตัว คนแบบนี้ให้มากที่สุด ก็แค่ตัวสำรองของผู้กล้าที่แท้จริงเท่านั้น”
ชุนเก็บดาบแห่งผู้กล้าเข้าฟัก จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นไปมองแสงอาทิตย์ยามเช้า
“เพราะอย่างนั้น ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากฉันต้องกลายเป็นผู้กล้าที่แท้จริง ..ใช่ ต่อจากนี้ชื่อของฉัน ..ชื่อของผมก็คือ ‘แอสทอเรียส’ ผู้กล้าที่แท้จริง ผู้ที่จะสะบั้นปีศาจร้าย และความมืดมิดของโลกใบนี้ให้สิ้น”
ชุนได้เปลี่ยนนามของตัวเอง เป็นนามเดียวกับผู้กล้ารุ่นแรก
“เจ้าหญิงมรกต อาเบล”
“ว่าไงคะ?”
“เธอช่วยเป็นสักขีพยานทีสิ”
อาเบลได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาจากใจจริง บางทีนั่นอาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอยินดีกับบางสิ่งบางอย่าง
ใช่ เธอกำลังยินดี ..กับความสำเร็จของตัวเองอยู่
“ฉันจะติดตามดูท่านผู้กล้าไปตลอดค่ะ”
“ขอบใจนะ”
และนั่นก็คือการถือกำเนิดของ ..ผู้กล้ารุ่นที่ 100 ‘แอสทอเรียส’ ผู้กล้าที่ไร้ซึ่งอุดมคติ
****
ปัจจุบัน
บนเตียงของขนาดยักษ์ของราชวังศ์ภายในอาณาจักรแซร์อิซ ที่แห่งนั้นมีชายหญิงคู่หนึ่งนอนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า
‘อาเบล’ เจ้าหญิงมรกตได้ตื่นขึ้น และพบกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่งลงมาจากหน้าต่าง เธอมองไปที่ชายที่เปลื่อยเปล่าอยู่ข้างเธอ
“แอสทอเรียสสินะ ..ส่วนตัว ดิฉันชอบชื่อ ‘ชุน’ มากกว่านะคะ ท่านผู้กล้า”
อาเบลพึมพำออกมาโดยที่กะไว้อยู่แล้วว่าเขาคนนี้ยังหลับอยู่ จงใจไม่ให้ได้ยินอยู่แล้ว
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ”
ที่แปลว่า คาดไว้แล้ว
“ว่าท่านผู้กล้าจะยอมทิ้งเกียรติยศทั้งหมดของตัวเอง โอบกอดร่างของหญิงสาวที่ทรยศอาณาจักรแห่งนี้ได้ลงคอ แหม่ ..ทำเอารู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาเลยละ”
ตอนนี้ก็กำลังหัวเราะอยู่ไม่ใช่หรือไง?
“..อือ”
“โอ๊ะ”
อาเบลสังเกตุเห็นว่าท่านผู้กล้ากำลังมีปัญหากับเสียงพูดของเธอเลยหยุดหัวเราะ จากนั้นเธอก็ก้มลงไปนอนข้างๆตัวของเขาอีกครั้ง เธอโอบกอดร่างของชายตรงหน้า และเงยหน้าหรี่ตามองใบหน้าขี้เซานั่น
“น่ายินดีก็จริงที่ท่านให้อภัยดิฉันทุกเรื่อง แต่ว่า ..มีเรื่องหนึ่งที่ไม่ว่ายังไงท่านก็ไม่มีทางยกโทษให้ดิฉันอยู่แน่ๆ” อาเบลยิ้มมุมปาก และพึมพำออกมา “ต้นเหตุการตายของผู้กล้าลำดับที่ 99 ลาล่า คือดิฉันเองค่ะ”
…..
“ไว้ถ้าถึงวันสุดท้ายของท่านเมื่อไหร่ ..ฉันจะเล่าให้ฟังทั้งหมดเองค่ะ”
อาเบลแสยะยิ้มออกมา อยากจะหัวเราะ แต่ก็ข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองเอาไว้ …เธอผู้นี้มีความสุขกับความโง่เขลาของผู้อื่น รื่นรมย์กับความพังพินาศของใครบางคน ยินดีกับการตายของใครบางคน
เจ้าหญิงมรกต หรือว่า ‘อาเบล’ เธอคือหญิงสาวที่เหมือนกับดอกไฮเดรนเยีย ภายนอกดูสวยงาม หากแค่ชมอย่างเดียวก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่าได้แตะต้องเด็กไม้ชนิดนี้เป็นอันขาด
“ถึงตอนนั้น ..ก็หวังว่าท่านจะให้อภัยดิฉันนะคะ”