< < Sec 2 > >
ผมตรงไปหาเคียวยะ กำลังนั่งอยู่ชั้นสอง
เจ้าหมอนั่นทันทีที่เห็นผมก็เกิดหน้าซีดก่อนจะกลับมาทำทีก้าวร้าวใส่
“..มาที่นี่ได้ยังไง?”
“ลองใช้ตาที่ใช้โกงเด็กนั่นอ่านความคิดดูสิ”
“อย่ามาตลก บอกมาซะ”
ผมหยักไหล่ให้ ตอนนั้นเองวีด้านดินโผล่ออกมาจากข้างหลังผม ทันทีที่เคียวยะเห็นเขาก็หัวเราะขึ้นจมูก
“พอแพ้เลยไปร้องไห้ขี้มูกโป่ง เรียกคะแนนสงสารให้ไอลูกคุณหนูนั่นเรอะ ทำตัวน่าสมเพชชะมัด”
พูดถูกหมดเลย หากมองจากภายนอกละนะ
“..ไม่ได้ขอ” วีด้าหลบตาเคียวยะ “เจ้าบ้านี่มันมาจุ้นเอง”
“แล้วสถานการณ์ตอนนี้คืออะไรละหะ? เจ้าโลกสวยนี่สรุปก็ช่วยแกไม่ใช่รึไง?”
“…หนวกหู”
“ฮะๆๆ! เด็กน้อยชะมัด”
“—-จริงของวีด้าเลย เคียวยะ”
ผมยิ้มให้เขา
“มันหนวกหูนะ”
เคียวยะจ้องตาผมก่อนจะทำเสียง ‘ชิ’ ไม่พอใจ
“แกมีธุระอะไรที่นี่”
“ตอนแรกๆ กะจะมาหาข้อมูลเกี่ยวกับโจรขโมยกางเกงไงน่ะ แล้วบังเอิญเจอนายแล้วยังบังเอิญอีกต่อ เห็นนายโกงเด็กต่อหน้าต่อตา เลยจะมาสั่งสอนหน่อย ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นและนักเรียนผู้รักในสถาบันการเรียน”
“ไร้สาระจริงๆ สถาบันการเรียนอะไรนั่นไม่เห็นมีความน่านับถืออะไรเลย ตัวอย่างก็เด็กอย่างแกที่ใช้เงินจ่ายเข้ามามากกว่าความพยายามนั่นแหละ เอาแต่พูดจาสวยหรูไปเรื่อย”
“ก็จริงของนาย มีคนไม่น้อยเลยที่ใช้เงินยัดเข้ามา”
เมื่อเห็นว่าจี้ถูกจุดเคียวยะก็ฉีกยิ้ม
“อย่างแกเป็นต้นไง” ชี้นิ้วอัดหน้าผมจังๆเลย
“อย่ามาล้อเล่นกันสิเคียวยะ ฉันสอบเข้ามาด้วยคะแนนปฏิบัติเป็นส่วนมากนะ”
ผมยังคงปั้นยิ้มปลอมๆฝืนๆ คุย
“ที่โรงเรียนแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของหัวกะทิ—ต้องดีทั้งปฏิบัติและทฤษฎี ดีแค่ด้านเดียวไม่ได้”
“แล้วมันจะมีห้องสายปฏิบัติไปทำไมเล่าถ้าอย่างนั้น ลองคิดดูสิ ถ้าเด็กที่มีพลังต่อสู้สูงระดับถล่มเมืองทั้งเมืองได้แต่แค่อ่อนทฤษฎีเลยปัดตกไป ทางโรงเรียนเขาไม่รู้สึกเสียดายแย่เลยเรอะ? อย่างเช่นฉันไงละ”
“มั่นหน้าจริงนะ ไอสวะ”
“คงจะอย่างนั้นแหละ”
ผมลงไปนั่งตรงโต๊ะซึ่งมีเก้าอี้ตรงข้ามกับเคียวยะ
“มาดวลกันมั้ย?”
“…ลาขาดละ”
“อย่าปอดเลยน่าเคียวยะ”
“—ไม่ได้ปอด ได้เงินมาเยอะแล้วต่างหาก”
ผมวางถุงเงินทั้งหมดที่ผมมีวางทันที
“ขอเดิมพันมันหมดนี่แหละ”
เจ้าหมอนั่นเกิดลังเลชั่ววูบหนึ่ง …วิเคราะห์สักพักจึงได้ข้อสรุป
“ไม่เด็ดขาด”
‘ยูนาช่วยสลายการตัดมิติที’
‘เข้าใจแล้วค่ะ’
—-อนึ่งตั้งแต่แรกเริ่มเคียวยะไม่สามารถอ่านความคิดในอดีตหรือปัจจุบันของผมได้ ไม่ใช่เพราะความต่างพลังหรืออะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะการตัดมิติของยูนา
มิติการมองเห็นความคิดของผมระหว่างเคียวยะ มันถูกยูนาตัดทิ้งไปถึงขั้นวิญญาณเลยละ แม้จะไม่ได้อธิบายอะไรมากแต่ไม่มีใครเห็นก็ตาม …กล่าวได้ว่าหากเป็นระยะประชิดผมชนะเคียวยะได้ไม่ยาก ระยะไกลว่าไปอย่าง แล้วใหญ่กับการพนันซึ่งต้องนั่งใกล้ๆ กัน เจ้าหมอนั่นไม่มีสิทธิ์กระทั่งมองผมด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าแค่มิติการมองเห็น มิติอย่างอื่นที่ดวงตาเคียวยะทำได้กับคนอื่นหรือตัวเองก็ยังทำได้หมด นั่นก็คือหนึ่งในความได้เปรียบเสียเปรียบพลังกัน ระยะใกล้ ..ผมชนะ ระยะไกล..เคียวยะชนะ ในรูปแบบการพนันคงประมาณนี้
แล้วก็เพื่อล่อให้เจ้านั่นยอมรับข้อเสนอจึงให้ยูนาสลายมิติลง
ว่าแล้วก็ทำตามนั้น ….
“ฮะๆ …”
หัวเราะทำไมกันนะ?
“เอาสิ”
ตกหลุมพรางง่ายๆ —เพราะผมตัดมิติความคิดของตัวเองอีกต่อหนึ่งเกี่ยวกับความสามารถของยูนาและความคิดเรื่องแผนการ
ถ้าเป็นระยะแค่นี้จะทำอะไรก็สะดวกไปหมด ดวงตามหาปราชญ์ของเคียวยะก็ยังไม่ได้พัฒนาเป็นถึงขั้นสมบูรณ์ด้วย จึงมองไม่ออก …ถ้าหากพัฒนาไปถึงสมบูรณ์ลูกเล่นตุกติกของผมไม่มีทางใช้ได้แน่นอน คนที่แพ้การดวลคือผมแน่นอน แต่ครั้งนี้มันต่างกัน—เคียวยะตอนนี้ยังอ่อนแอ หากเทียบกับช่วงที่เป็นตัวร้ายโดยสมบูรณ์
ผมยิ้ม—เพราะฉะนั้นชนะแน่
“อย่าหนีซะละ เล่นหนึ่งตาจบพอ”
“เออ!”
การดวลเริ่มขึ้นท่ามกลางเสียงเฮของชายร่างใหญ่—ถึงผอม หรือก็คือนักพนันนั่นเอง
วีด้ามองอย่างใจจดใจจ่อ
“คิดไว้เลยว่าคืนนี้จะกินอะไรดี”
“อย่าปากดีให้มาก”
เคียวยะจ้องผมเขม็งปล่อยออร่าไม่เป็นมิตรให้สุดๆ
“เล่นเกมเดิมกับที่โกงเด็กมานะ”
“เออ อย่ามัวพูดกฎบ้าๆ บอๆ ให้มาก น่ารำคาญรีบดวลได้แล้ว ฉันจะได้กลับบ้านสักที”
“อ่า พรุ่งนี้มีเรียนนี่นะ”
—-เริ่ม
สัญญาณเริ่มดังพร้อมกับใบหน้าของเคียวยะ หน้าเขาเหวอสุดๆ ราวกับเผลอไปชนอะไรเข้าอย่างจัง
น่าเศร้าจริงเชียว
“นายท้าทายเองนะเคียวยะ ที่บอกให้รีบดวลนะ อยากกลับบ้านเร็วนักนี่นะ”
แน่นอนอยากกลับบ้านเร็วเป็นเรื่องที่ดี เด็กอย่างพวกเราไม่ควรมาเที่ยวเตร่เลย
“…แกทำอะไรลงไป”
“เป็นอะไรไปละ? นายเริ่มก่อนนี่”
“…อย่ามาตลกนะเว้ย แกทำอะไรลงไปตอบมาซะ!”
เคียวยะทุบโต๊ะดังลั่น จ้องผมด้วยแววตาเคียดแค้น
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หยุดพาลได้แล้วเคียวยะ เลือกซะ”
ผมยื่นการ์ดสามใบไปให้
“จะมองเห็นหรือมองไม่เห็นไม่รู้นายหรอกนะเคียวยะ แต่ถ้าจะพนันก็ต้องรับความเสี่ยงนั่นคือทางเลือกของนายนี่? นี่ไงมุมมองของคนที่เล่นพนันกัน มุมมองของวีด้าน่ะ ไม่ได้จะบอกว่าการพนันมันดีอะไรหรอก เออ มันโคตรจะแย่เลย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เล่นพนันกันโดยการเดิมพันหลายสิ่งนอกจากเงินทอง ทั้งหมดเพราะเขาไม่มีดวงตาวิเศษแบบนายไง”
“อึก”
“ไม่สนหรอกว่าจะมีแผลใจบ้าบออะไร แต่—นายไม่มีสิทธิ์มาซ้ำเติมใครทั้งนั้น ฉันเองก็เช่นกันเพราะฉะนั้นจะไม่พูดไปมากกว่านี้ เข้าใจแล้วก็รีบจับซะมันจะได้จบๆ ไป”
เคียวยะพูดอะไรไม่ออกเขาเอื้อมมือมาจับหนึ่งในสามใบและวางลงโต๊ะ—แน่นอนว่าพลาด
เมื่อเข้าตาผมก็หยิบการ์ดของเคียวยะ 1 ใบและวางลงทันที—ผมชนะ
ผมเปรยการ์ดทั้งหมดในมือลงโต๊ะและส่งยิ้มเป็นมิตรให้ชายตรงหน้า
“แกก็แค่มือใหม่เคียวยะ ฉันก็เช่นกันในวงการพนัน ทั้งหมดก็เพราะพลังชนะทางละนะ”
“โกงกันชัดๆ อีแบบนี้”
“นายเองก็กะโกงเต็มที่เลยนี่ แค่แก้ทางเท่านั้น”
“อย่ามาตลกนะ …อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นคนผิดนะ”
เคียวยะลุกขึ้นทำหน้าตาเจ็บใจถึงขีดสุด เจ้านั้นกำหมัดแน่นเท่าที่จะทำได้
“—ถ้าจะโทษใครก็ไปโทษคนที่ทำให้ฉันเป็นอย่างนี้เซ้!!!”
เมื่อพูดเรื่องไร้ความรับผิดชอบจบเคียวยะก็ปาถุงเงินในมือของตัวเองจนเศษเหรียญกระจัดกระจาย
“…ไอสวะลูกคุณหนูอย่างแกไม่มีทางเข้าใจฉันหรอก ดวงตาวิเศษบ้าบออะไรกันเล่า …มันก็แค่..ดวงตาต้องคำสาป”
เคียวยะพูดจบก็เดินออกไป คงจะมุ่งกลับบ้านทันทีตามที่บอก
บรรยากาศโดยรอบเงียบทันทีเมื่อเห็นท่าทางของเคียวยะ ผมเองก็เช่นกัน วีด้าไม่มีท่าทีดีใจอะไรเลย
…เคียวยะ หนึ่งในโศกนาฏกรรมทางครอบครัว เด็กหนุ่มผู้มีปัญหาทางครอบครัวมากที่สุดเท่าที่จะนึกได้
จะว่าเด็กขาดความรักก็คงได้ เขาตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้รับความรักจากครอบครัวเลย มีเพียงดวงตานั่นเท่านั้นที่พอจะคิดว่าเป็นของขวัญให้เขา—แม้มันจะเป็นต้นเหตุของความร้าวฉานก็ตาม
ก็ดวงตามหาปราชญ์น่ะมันมองได้แต่ความจริงเท่านั้น แก่นแท้ ความจริงทั้งหมดทั้งมวลไม่มีสิ่งใดที่ดวงตามหาปราชญ์มองไม่เห็น กระทั่งอนาคตอีก 100 ปีข้างหน้ามันก็มองเห็นด้วยซ้ำ เป็นสุดยอดพลังแสนจะขี้โกงไม่แพ้วิญญาณระดับเทพ และไม่แพ้เหล่ามังกรธาตุ
ผู้อื่นอาจจำเป็นต้องจับจุดบางสิ่งเพื่อก้าวต่อไป แต่ผู้ครอบครองดวงตามหาปราชญ์จะเห็นตั้งแต่จุดเริ่มต้นยันขีดสุดได้เพียงใจนึก—-แก่นแท้ของการฝึกมันก็เห็นได้ไม่ยาก
ความสามารถสุดแกร่งไร้ผู้ใดเทียบอย่างแท้จริง บอกตามตรงยูนาอาจจะด้อยกว่าเล็กน้อยก็เป็นได้หากมองถึงความหลากหลายในการใช้งาน …การมองถึงความจริงทุกประการคงเป็นคอนเซปต์ที่ชัดเจนที่สุดกระมัง ไอสิ่งนั้นมันอันตราย เรียกได้ว่าเป็นตัวทำลายสมดุลโลกเลยก็ไม่เกินหากบรรลุได้ละก็
แต่ว่าก็อย่างที่หลายๆ คนว่า—บางทีเรื่องจริงบางสิ่งไม่ต้องรู้น่าจะดีกว่า และเพราะมองเห็นได้แต่ความจริงนั่นแหละ มันถึงพินาศน่ะ
ความจริงของโลกที่สกปรกนี้แค่คิดตามเคียวยะผมก็แทบจะบ้าตาย …เขาต้องเห็นมันตลอดทั้งชีวิตโดยที่ไม่อาจเลี่ยงในวัยเด็ก พอโตมาคงจะควบคุมมันได้ระดับเปิดปิดแต่ในวัยเด็กน่าจะไม่สามารถควบคุมได้และต้องทนเห็นมันทั้งๆ อย่างนี้ การจะเรียกว่าดวงตาต้องคำสาปก็ไม่เกินเลยนัก
เพราะคำสาปมันไม่ใช่ความหมายที่ดีนัก การเป็นเด็กธรรมดาอย่างผมอาจจะดีกว่าผู้วิเศษในรอบหลายร้อยปีกระมังในความคิดของเคียวยะ
*******
หลังจากนั้น
“เอ้านี่”
ผมยื่นเงินให้วีด้า
“…ไม่เอา”
“จะดีรึ”
“อือ ไม่อยากได้เงินแบบนี้หรอก”
“จะลามือแล้วเรอะ?”
“ไม่รู้”
นั้นรึ
“ถ้าอยากมาเจอกันก็พบได้เสมอนะ ที่โรงเรียนเวทมนตร์”
“ไม่โผล่นายไปให้เห็นเป็นครั้งที่สองหรอก”
วีด้าเดินไปท่าทางดูซึมๆ คงจะคาใจกับคำพูดของเคียวยะมาก ระดับที่ไม่อยากได้เงินที่ตะกี้อยากได้นักได้หนาทีเดียว
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางหยิบเงินถุงตรงหน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งมีบาร์เทนเดอร์ อายุราว 60 ปียืนหลังตรงสง่า
“..มันฝรั่งอร่อยดี”
“ไมทราบว่าสนผู้หญิงหน้าตายังไงครับ?”
…
“ทะ โทษนะครับ ผมจำรหัสผิดไป คือ ถ้าอยากถามความลับต้อง..พูดว่าไงนะครับ”
อายชะมัดตู
***
วันนี้เจอเรื่องประหลาด—เรามักจะไปโซนมืดของเมืองแล้วเล่นการพนันตลอด ด้วยเงินที่ได้มาจากแม่บ้าๆ ขี้ลืม ทว่าวันนี้อย่างที่บอก เราเจอเรื่องประหลาด เจอเจ้าคนที่รู้ทุกอย่างได้ คนขี้โกงและคนท่าทางใจดี แต่ดูน่ากลัว
คนดูใจดีแสดงสิ่งหนึ่งให้เราเห็น เป็นภาพจำลองชีวิตของใครสักคน ส่วนชายขี้โกงกล่าวหาดูถูกเราแล้วโวยวาย
ไม่ว่าจะคนไหนก็น่ารำคาญเพียงแต่—มันทำให้เราทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกนี้มันเรียกว่าอะไรกันนะ …ตะลึง?
เมื่อจบการพนันเราปฏิเสธจะรับเงินตามข้อเสนอและตรงดิ่งไปที่บ้าน พลางคิดถึงเรื่องประหลาดในวันนี้
รู้สึกอึดอัดตลอดกระทั่งมาถึงบ้านเก่าๆ โทรมๆ ในสลัม
เธอคนนั้น เจ้าแม่สารเลวมองมาที่เรา กำลังยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะกินข้าวผุพัง
น่าจะจับได้แล้วว่าเราเอาเงินไป
เราผงกหน้าลงพร้อมรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น คงจะเจ็บน่าดูแต่ช่างมันสิ
“วันนี้เอาเงินไปเล่นพนันมาเหรอ?”
“เออ ทำไม”
เราพูดด้วยเสียงแข็ง หล่อนที่เห็นก็ถอนหายใจ
“ถ้าจะเล่นอย่างน้อยๆ ก็ออมเงินไว้กินข้าวบ้างสิ อย่าเล่นจนหมด”
“ใครสน เงินของแกฉันไม่สนหรอก”
“อย่าก้าวร้าวนักสิ”
“อย่ามาสอน”
…ไม่ว่าจะยังไงเราก็ไม่วันอ่อนข้อให้ยัยนี่เด็ดขาด ไอคนที่ลืมลูกตัวเองแล้วเที่ยวสนุกกับผู้ชายได้ไม่อายใครน่ะ
ในบรรยากาศที่ตึงเครียดนั้น—-จ๊อง ท้องดันร้องซะงั้น
แก้มพลันแดงแจ๋ เราตื่นตระหนกมองยัยผู้หญิงนั่นด้วยดวงตาเกรี้ยวกราดกว่าเดิม
“หิวสินะ?”
“เรื่องของฉันสิ”
“ให้ตายสิ ลูกนี่ละก็”
“—อย่ามาเรียกว่าลูกนะ!”
…เอ๊ะ
สัมผัสของแขนบางๆ ซึ่งไร้เนื้อโอบร่างเล็กๆ นี้ไว้
“เงินที่ให้ไปไว้สำหรับกินข้าวนะ ไม่ได้ไว้ให้เล่นพนันจนไม่มีจะกินน่ะ”
“…พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจเลย”
“รักตัวเองหน่อยสิ”
…อึก
“แกมันก็แค่แม่นิสัยไม่ดีไม่ใช่รึไง แค่พวกติดผู้ชายแท้ๆ”
“ขอโทษนะที่แม่ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้”
…รู้ตัวอีกทีเราก็โอบกอดแม่กลับไปแล้ว
*******
ผมใจร้ายกับเคียวยะไปหรือเปล่านะ?
ผมคิดเช่นนั้นขณะเดินไปโรงเรียนยามเช้าตรู่
เมื่อวานหลังจากดวลกับเคียวยะเสร็จแล้วพูดคุยข้อมูลกับบาร์เทนเดอร์เรียบร้อยก็รีบกลับบ้านทันที อยู่ดึกมากไม่ดีทั้งกับตัวผม ที่สำคัญพวกอาชญากรก็น่าจะทำงานเวลามืดๆ กันเลยรีบกลับดีกว่า
แล้วก็ผมอยู่ในหอของโรงเรียนจึงนอนตื่นสายได้ระดับหนึ่ง
บังเอิญไปเจอเบลลามีพอดีด้วย
“อรุณสวัสดิ์”
เบลลามีพยักหน้าให้ผม
“อรุณสวัสดิ์นะ เรเซอร์”
—เรียกชื่อผมด้วย! น่ารัก!!
ผมยิ้มกรุ้มกริ่มทันที ไม่ทันไรก็ได้อาหารตาแล้ว อารมณ์ดีสุดๆ เลย ไว้ไปขอโทษเคียวยะดีกว่าต้องขอบคุณเบลลามีเลย ทำให้ผมคิดได้
“จะว่าไปเรเซอร์ไปทำอะไรมารึเปล่า?”
“ถ้าหมายถึงเมื่อวานก็ไปหาเบาะแสเล็กน้อยน่ะ”
“ได้ช่วยเด็กคนหนึ่งไว้สินะ”
—หมายถึงวีด้าเหรอ?
จะว่าไปเบลลามีเริ่มชวนผมคุยแล้วแฮะ กล่าวอีกอย่างคือเริ่มสนิทกัน
“ทำไมเหรอ?”
“เปล่าหรอก ..อือ เมื่อเช้ามีเด็กคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าโรงเรียนน่ะ พอถามเลยบอกว่าอยากพบคนชื่อเรเซอร์ ฉันก็เลยอาสารับฝากข้อความให้”
“แบบนี้นี่เอง”
แต่เช้าก็อารมณ์ดีเลยจริงๆ ด้วย
“เขาบอกว่าหลังจากนี้จะไม่เล่นการพนันแล้วน่ะ แล้วก็บอกเรเซอร์ว่าอย่าเล่นการพนันอีกนะ …เรเซอร์เล่นการพนันหรือ?”
“เปล่าๆ ไม่ได้เล่นจริงจังมากหรอก”
——เสียงดังขึ้นจากข้างหลัง
“ได้ยินหมดเลยนะเรเซอร์! เล่นการพนันมันไม่ดีนะ!!”
คนที่ตะโกนคือนักเรียนห้องเดียวกันที่พักนี้สนิทกันมากขึ้น—โซเฟียเอง
“ใช่แล้วละ! ถ้าเงินตัวเองว่าไปอย่างแต่นี่เงินที่พ่อแม่ให้มานะ เอาไปใช้ทำเรื่องสกปรกห้ามเลย แล้วก็ที่บอกว่าไม่จริงจังน่ะ เดี๋ยวก็กลับไปเล่นใหม่แล้วจริงจังโดยไม่รู้ตัวแน่นอน ตัวอย่างก็ฉันไง หึ เสียเป็นแสนก็เสียมาแล้วบอกเลย”
กอรี่ที่เดินกับโซเฟียมาพูดเสริม สมกับเป็นคุณนักเลงชั่งมีประสบการณ์ชีวิตดียิ่งนัก
“นั่นสินะ” ผมหัวเราะเจื่อนๆ “อะ ฮะๆ จะไม่ทำแล้วละ”
ในเมื่อพวกเขาเป็นห่วงผมก็ควรตอบรับกระมัง
“พวกแกนี่มันปัญญาอ่อนจริงๆ พวกลูกคุณหนูมีแต่พวกโลกสวยอย่างเดียวรึไง จะเล่นพนันหรือไม่ก็เรื่องของคนอื่นสิ”
เคียวยะเดินตีคู่ผมมาและพูดต่อว่า ท่าทางดูจะอารมณ์เสียดั่งทุกที ว่าแล้วก็คุยกับเขาหน่อยดีกว่า ..ก่อนจะขอโทษก็ชวนคุยให้คุ้นชินกันก่อน–
“ขอบคุณสำหรับเงินค่าขนมนะเคียวยะ”
“อย่ามาดูถูกกันให้มาก ฉันแพ้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีครั้งต่อไปแน่นอน”
ผมทำท่าตะเบ๊ะโมเอะ กะพริบตาแลบลิ้นให้ด้วย
“รับทราบ—จะชนะเหมือนเดิมให้ดูเอง”
“—-แก!!!!”
เคียวยะจะเข้ามาทำร้ายผมเห็นๆ โซเฟียเลยโผล่มากันไว้
“อย่าใช้ความรุนแรงเชียว!!”
“รกหูรกตาชิบเป๋ง!!”
พูดจบเคียวยะก็เตะกระป๋องใกล้ๆ ปลิวแล้วเร่งจังหวะเดินหนีหายไปเลย
“…เจ้านั่นโหดจังนะ”
กอรี่พึมพำท่าทางหงอยๆ
“ก็ไม่ใช่คนเลวอะไรมาก”
โซเฟียพูดขึ้นหลังเดินไปเก็บกระป๋องนั่นโยนใส่ถังขยะ
“เมื่อวานนี้เห็นช่วยคุณยายที่ศูนย์คนแก่ด้วย ถึงจะนิดเดียวก็เถอะแล้วหลังจากนั้นก็สวดคุณยายยกใหญ่เลย แต่ก็ช่วยอยู่ดี”
“สวดคุณยายด้วยเรอะ เจ้านั่นจะเกินไปแล้ว” กอรี่พูด
“ไว้ไปเตือนให้เพลาๆ หน่อยละกันนะ”
ทั้งสามพยักหน้าให้ เบลลามีมองขึ้นฟ้าและพึมพำเบาหวิว
“คนที่ชื่อเคียวยะตั้งใจเรียนใช้ได้เลยนะ เมื่อวานก็นั่งอยู่แต่ในห้องสมุดเหมือนกัน”
“นั่นสินะ”
ผมมองแผ่นหลังของเคียวยะ
“อือ …เรเซอร์พอรู้อะไรเกี่ยวกับโจรขโมยบ้างมั้ย?”
เบลลามีถาม
“…ก็รู้ในระดับหนึ่งเลยละ”
“รู้ตัวคนร้ายแล้วเหรอ?”
ผมยิ้มให้
“อืม แต่บอกให้ไม่ได้หรอก”
“จำเป็นหรือ?”
“สุดๆ เลย เอาเป็นว่าวางใจให้ฉันได้เลย”
ผมทุบหน้าอกตัวเองแสดงถึงความหนักแน่น เบลลามีจึงพยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้ว เชื่อใจนะ”
“อ่า …แต่เมื่อวานลืมเลย เดี่ยววันนี้เอา กกน. ไปคืนให้นะ”
“…อือ”
MANGA DISCUSSION