เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 296
< < 186 Sec3 > >
“แบบนี้นี่เอง ..โลกวุ่นวายกว่าที่คิดอีกนะ สงสัยต้องขยายขอบเขตุการรับรู้ของป่ามหาภูตเพื่อเก็บข้อมูลเสียหน่อยแล้ว”
หลังจากได้ฟังการอธิบายจากผม เซเนียก็ลงความเห็นเช่นนี้
“เรื่องมันไปไกลกว่าที่ใครๆก็คาดการเอาไว้แล้ว ปัญหามันอาจจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนเทียบเท่าภัยพิบัติจากมหามังกรเมื่อสองพันปีก่อน หรือไม่ก็การปรากฏตัวของจอมมารในยุคผู้กล้า คิดว่าแม้แต่มหาภูตเองก็ต้องเลือกนะ”
ผมกล่าวความเห็นส่วนตัวของตัวเองออกไป ไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นด้วยร้อยทั้งร้อยอะไรหรอก แค่พูดเตือนไว้ก่อนจะดีกว่า
“..จะเก็บไปคิดดู เอาเป็นว่าเราจะทำตามข้อตกลงของเจ้าเอง ช่วยอธิบายรายละเอียดของคนที่ให้ปกป้องกับดูแลรักษาทีสิ”
“ชื่อ วิน กับ โทมิเรีย อยากให้ช่วยดูแลความปลอดภัย ส่วนอีกคนที่อยากให้เก็บรักษา เป็นน้องสาวของวิน ชื่อ จาย่า”
“เข้าใจแล้ว เจ้าหญิงแห่งเนลยอน แล้วก็วินผู้ทำพันธสัญญากับอาจารย์แรกซ์ แล้วก็น้องสาวของเธอ..ต่อไปก็คือเรื่องสภาพของยูนาสินะ”
เซเนียส่งสายตามาทางยูนา ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ยูนาจะเริ่มเปิดปากพูดเอง
“อย่างที่มาสเตอร์ทราบนั่นแหละค่ะ ตัวฉันในไม่ช้าจะกลายเป็นแบบเดียวกับอาจารย์แรกซ์”
“กลายเป็นแบบเดียวที่ว่าคือ?”
“ ‘ตกนรก’ ค่ะ ดูตลกเล็กน้อย แต่นรกนั้นมีอยู่จริงดังที่มาสเตอร์ได้พบเห็นเลย”
….
“เซเนีย พอจะมีทางช่วยรึเปล่า?”
“ไม่มีหรอก ทำได้แค่ยื้อเวลาเท่านั้นแหละ ตอนนี้หล่อนใช้ไปสองครั้งแล้วด้วย คงจะเหลือเวลาแค่ยี่สิบหรือสามสิบปีนี่แหละ ก่อนวิญญาณจะโดนลากไปนรกตามอาจารย์แรกซ์ไป ..เฮ้อ สมกับเป็นศิษย์อาจารย์กันเลยนะคะ ทำเรื่องบ้าๆไม่ดูขีดจำกัดตัวเองกันเลย”
เซเนียกล้าถึงขนาดด่าอาจารย์ตัวเองไปด้วยเลยรึเนี่ย ดูท่าที่ทำจะเป็นเรื่องใหญ่โตสุดๆ–ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
“แม้แต่ปัญญาของมหาภูตก็ไม่อาจหาทางออกได้นี่เอง”
“หยุดพูดจากวนประสาทเลย เราไม่หลงกลหรอกนะ บอกว่าไม่มีก็คือไม่มี”
..ช่วยไม่ได้แฮะ
“ยูนาทำไมถึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับฉันเลยล่ะ เพราะอ่อนแอไปเหรอ?”
“ถ้ามาสเตอร์ไม่มีดาบสะบั้นมิติ ..ก็คงยากที่จะเอาชนะสถานการณ์ ณ ช่วงเวลานั้นได้ค่ะ”
อยากจะเถียง แต่ก็เถียงไม่ออก เพราะมันคือความจริง
ตัวผมอ่อนแอเกินไป จนต้องพึ่งยูนาระดับที่เกินตัวของเธอ กลายเป็นว่าผมนี่แหละคือสาเหตุหลักที่จะพายูนาจมลงสู่นรกโดยไม่รู้ตัว
บนเกาะวาเรอร์ ถ้าเกิดไม่ได้ดาบสะบั้นมิติของยูนา พวกเราทุกคนจะตายกันหมด เบลลามีจะถูกชิงร่างไปโดยสมบูรณ์ ..งานประชุมโลก ถ้าไม่ได้ดาบสะบั้นมิติของยูนา พวกมนุษย์ต้นไม้จะกลืนกินทุกอย่างไปมากกว่าเดิม และอาจจะจบด้วยการที่ทวยเทพถือไพ่เหนือกว่าด้วยจำนวนลูกน้องที่ทรงพลังนับพันนับหมื่นก็เป็นได้
สองสถานการณ์ข้างต้น ผมไม่อาจแก้ไขได้โดยไม่ไปเบียดเบียนยูนา ผลลัพธ์มันเลยลงเอยอย่างนี้
ทั้งแรกซ์ และยูนา ถึงลงเอยอย่างนี้ ..
“ขอโทษนะยูนา ฉันคงจะเป็นคู่ทำพันธสัญญาที่ไม่ได้เรื่องสุดๆเลย”
“หยุดเลยค่ะ ฉันไม่ถูกกับคำขอโทษอย่างแรง”
นั่นสินะ ยูนาเป็นคนประเภทที่โดนขอโทษแล้วจะหัวร้อน แล้วสวนกลับว่า ‘ขอโทษหา o่อ มึo เรอะ!!!?’ แต่ในฐานะคนที่ทำให้เธอซวยผมก็อยากจะขอโทษอยู่ดี แล้วก็อยากจะ ..
“..ยูนา”
“อะไรหรือคะ?”
แล้วก็ ..
“..ไม่มีอะไร แค่คิดได้น่ะว่าไม่อวดดีเกินไปจะดีกว่า”
ผมถอนหายใจเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเอง และสาบานในใจว่าจะไม่ใช้งานดาบสะบั้นมิติอีกเป็นครั้งที่สาม อย่างน้อยแค่ยี่สิบถึงสามสิบปีก็ยังดี ผมอยากจะให้ยูนาอยู่กับผมนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ..ถ้าตอนจบที่ได้ ผมกับยูนาต้องแยกจากกัน มันจะไปมีความหมายอะไร
ยูนาคงจะอ่านใจผมได้ เธอจึงยิ้มออกมาแบบไม่ปิดบัง
“คิดมากไปแล้วค่ะ มาสเตอร์”
“ช่างฉันเถอะน่า”
เซเนียหรี่ตามองผมอย่างเรียบเฉย
“ฟังนะคะ เรเซอร์ นี่คือการตัดสินใจของยูนา การที่ยัยนี่มันโง่พอจะสละวิญญาณเพื่อเธอ มันคือการตัดสินใจที่เตรียมใจมาแล้ว ถ้าเพื่อคนๆนี้แล้ว ต่อให้ต้องเสียซึ่งวิญญาณของตัวเองก็ไม่มีปัญหา เพราะคิดอย่างนั้นถึงได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เธอ” เซเนียหาว ก่อนพูดต่อ “คำขอโทษมันเสียมารยาทต่อการเตรียมใจ และจิตวิญญาณของยูนา นะ”
….
“เราไม่คิดโกรธที่เธอลากอาจารย์แรกซ์ลงนรกเพื่อช่วยผู้หญิงคนเดียว หรือทำให้ยูนาตกนรกเพื่อความปารถนาของตัวเอง เพราะพวกเขาที่ให้เธอยืมแรงก็ล้วนปารถนาในสิ่งๆเดียวกัน ทว่า หากคิดดูถูกการเตรียมใจนั้นของพวกเขา เราไม่ยกโทษให้หรอกนะ”
เซเนียกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห ดูท่าผมจะไปเหยียบจุดที่ไม่ควรเหยียบเข้าซะแล้ว
“เข้าใจตรงกันนะ?”
“..เข้าใจแล้ว”
แม้จะตอบกลับอย่างนั้น แต่ในใจผมไม่ได้ไปในทางเดียวกันเลย
“เธอน่ะยังเยาว์วัยนัก สำหรับเราและยูนา เธอก็แค่เด็กคนหนึ่งที่พอมีของ แล้วก็ใจถึง แต่ว่า ..ในหลายๆด้านยังต้องพัฒนาแหละนะ โดยเฉพาะการยอมรับความสูญเสีย–โลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ยืนยาวไปตลอดกาล ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว สักวันจุดจบก็ต้องมาถึง แม้แต่ภูตสวรรค์อย่างเรา หรือว่าวิญญาณอย่างยูนา สักวันก็ต้องเลืองหายไปตามธรรมชาติ ยูนาก็แค่เลือกจะหายไปเร็วกว่าเดิม เพื่อสิ่งที่สำคัญกว่าอนาคตที่น่าเบื่อไม่รู้กี่พันปี”
คำพูดของเซเนียในคราวนี้มันคงจะติดอยู่ในใจผมไปอีกนานเลยละ
“ยอมรับความเป็นไปซะเถอะนะ ..ไม่นั้นเธอจะไม่อาจคว้าอะไรไว้ได้เลยในสักวัน”
ประโยคนั้น ..ทำให้ผมกลับมาครุ่นคิดอะไรหลายๆอย่าง
****
รู้สึกว่าสติลอยไปไกลแล้ว ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันบ้าง แต่หลังเคลียร์เรื่องยูนาจนจบก็มีพูดคุยกันหน่อยนึง ก่อนจะออกมาจากป่ามหาภูต ทางเคียวยะเหมือนว่าจะอยู่ต่ออีกหน่อย เพราะจะพาโครินไปหาเพื่อน ส่วนผมก็ออกมาข้างนอก และตรงไป ณ จุดๆที่ต้องแวะเยี่ยมตลอด หากบังเอิญผ่านเมืองชันไม
ที่แห่งนั้นก็คือหลุมศพของ ‘ซากุระ’ เพื่อนสนิทยูนาที่ล่วงลับไปนับสองพันปีได้แล้ว
เวลาค่ำคืน สถานที่แห่งนั้นจะปรากฏขึ้นข้างๆป่ามหาภูต
ผมเดินไปตามทางที่ไร้ถนนนำทาง มีเพียงพื้นหญ้าเปล่าๆเท่านั้น และใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่รายล้อมไปด้วย ‘ดอกไม้ที่ดูอ่อนแอ’ นั่นคือนิยามที่ทุกคนมอบให้แก่ดอกไม้นี่
..ร่างวิญญาณของยูนาปรากฏข้างๆผม เธอก้าวเดินข้างๆผมระหว่างเส้นทางที่ดอกไม้นำทาง
“ไม่ใช่ว่าเธอปรากฏตัวในช่วง เที่ยงถึงเที่ยงคืนไม่ได้หรือไง?”
‘ที่ป่ามหาภูตคือกรณีพิเศษน่ะค่ะ’
เธอไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น ทางผมก็ไม่คิดจะถามเลยปล่อยลืมเรื่องนั้นไป
เดินอยู่พักใหญ่ๆจึงมาถึงหน้าหลุมศพแห่งหนึ่ง ซึ่งมีแขกที่มาเยี่ยมเยือนก่อนพวกเราแล้ว
‘ฟัฟนิร์’ นั่นเอง
“ทะ ท่านยูนา?”
ฟัฟนิร์ตกใจเสียงดังเมื่อพบกับยูนาในร่างวิญญาณ เธอถึงกับตัวสั่นไม่หยุดเลยละ
‘….ไม่ต้องไปก็ได้’
ยูนาหยุดฟัฟนิร์ที่ตั้งใจจะเดินออกจากที่แห่งนี้ ทำให้ฟัฟนิร์ไม่มีทางเลือก แม้อยากจะหนีออกไปมากแค่ไหนก็ตามที ดูจากสภาพแล้ว
“แต่ว่า”
‘ก็บอกว่าไม่ต้องไปก็ได้ไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงคะ?’
“ …”
หงอยเลย ผมแทงศอกใส่ร่างวิญญาณของยูนาแบบเปล่าประโยชน์หนึ่งที
“แล้วจะไปขู่ฟัฟนิร์ทำไมเล่า”
‘ไม่ได้เจตนาค่ะ’
ยูนาตอบกลับแบบห้วนๆ และตรงไปนั่งอยู่หน้าหลุมศพ โดยที่ผมกับฟัฟนิร์ยืนมองจากข้างหลัง
ไม่ใช่แค่ผมกับยูนา ฟัฟนิร์เองก็มีธรรมเนียมปฏิบัติของเธอในที่แห่งนี้เช่นกัน เพราะเสียใจกับความผิดในอดีตของตัวเอง ถ้ามีโอกาสเธอจะมาทำความเคราพต่อซากุระที่เธอลงมือสังหารไปในอดีตเสมอ ..ถึงยูนาจะไม่เคยให้อภัยตัวเอง และคิดว่าทั้งชีวิตไม่มีทางได้รับการให้อภัย เธอก็คงจะทำอย่างนี้วนไปเรื่อยๆเป็นพันหรือหมื่นปีต่อจากนี้นั่นแหละ
ยูนาเริ่มเปิดปาก เล่าเรื่องราวที่ตัวเองเผชิญมาในช่วงเดือนถึงสองเดือนนี้ให้ฟัง ไม่ว่าจะงานประชุมโลก ป่าอาถรรพ์ หรือว่าสงครามภายในอาณาจักรเนลยอน
………
………
เมื่อเล่าทุกอย่างจนจบ ยูนาก็บอกลา และลุกขึ้นยืนมองไปตรงพุ่มไม้ใกล้ๆ
‘ใครกันคะ?’
มีคนแอบอยู่แถวๆนี้ จริงๆทั้งผมทั้งยูนาก็จับได้ตั้งนานแล้ว แต่ผมนึกสงสัยว่าเจ้าตัวจะทำอะไรต่อเลยปล่อยให้ดูต่อไป แต่พอหมดธุระแล้ว ถ้าไม่เคลียร์กับพวกถ้ำมองก่อนจะเป็นปัญหาเอาได้น่ะนะ
“เอ๊ะ? มีคนแอบมองเหรอ?”
ฟัฟนิร์พึ่งจะรู้ตัว
ยูนาในร่างวิญญาณตรงไปที่พุ้มไม้นั่น และ ..
“ขอโทษด้วยนะคะ!!”
เจอเข้ากับ ‘ลีน่า’ ที่นั่งแอบมุมอยู่
“ลีน่า?”
มาทำอะไรที่นี่กัน?
****
พวกเราออกจากทุ่งดอกไม้ไร้ค่า และนั่งอยู่ในผืนหญ้าไม่ไกลจากโบสถ์มากนัก จากการคำบอกกล่าวของลีน่า เธอบังเอิญไปเจอฟัฟนิร์เข้า เลยแอบตามมา ด้วยความที่เธอคลั่งไคล้มหามังกรอย่างฟัฟนิร์สุดๆ รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่นั่น และโดนจับได้
“ท่านฟัฟนิร์คือท่านฟัฟนิร์ตัวจริงสินะคะ!?”
ลีน่าขยับตัวไปมาอย่างอารมณ์ดี เธอปลื้มใจสุดๆที่ได้พบกับฟัฟนิร์อีกครั้ง
“..ชะ ใช่แล้ว ข้าเองแหละมหามังกรผู้ยิ่งใหญ่ ฟัฟนิร์”
“มหามังกรที่ปัดเป่าความชั่วร้ายออกจากโลกเมื่อสองพันปีก่อน ท่านฟัฟนิร์!”
…..
…..
บรรยากาศมาคุปรากฏขึ้นทันที แม้ยูนาจะไม่ได้ปรากฏร่างวิญญาณ แต่ผมกับฟัฟนิร์ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันหนักอึ้ง ซึ่งลีน่าไม่อาจสัมผัสได้
“ถ้าไม่รังเกียจอะไร ท่านฟัฟนิร์ช่วยเล่าเรื่องราวการกอบกู้โลกให้ฟังจะได้หรือเปล่าคะ!?”
พอแค่นี้ทีเถอะ ลีน่า มากไปกว่านี้ยูนาได้ตบะแตกแหงๆ อย่างที่รู้กันดีในหน้าประวัติศาสตร์จริงๆ ไอ้ความมืดที่ว่ามันคือแก็งมหามังกร ส่วนคนที่ปัดเป่าก็คือยูนาและพวกพ้องของเธอต่างหาก อีแบบนี้ยูนาได้หัวร้อนจนหยุดไม่อยู่ชัวร์ป้าป
ผมกับฟัฟนิร์สื่อสารกันทางสายตา
‘ไม่ไหวๆๆๆๆๆ ข้าทรยศสายตานั่นไม่ได้ ต้าวเรเซอร์ทำอะไรสักอย่างทีสิ!!’
‘โยนขี้ให้กันจนได้สินะยัยนี่’
ผมถอนหายใจเฮือกโตอย่างช่วยไม่ได้
“ฟัฟนิร์ไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไหร่นะ เพราะมันมีเรื่องน่าเศร้าในนั้นค่อนข้างเยอะ”
“เรื่องน่าเศร้า?”
“แผลใจในอดีตที่ไม่อยากจะบอกให้คนอื่นรู้ไงละ”
ผมยิ้มตอบลีน่า เธอได้ยินอย่างนั้นก็เก็บที่บอกมาครุ่นคิด และเข้าใจได้ง่ายๆ
“ขอโทษด้วยนะคะ ท่านฟัฟนิร์ หนูไม่คิดถึงใจของท่านเลย”
“ฮะ ฮะ ฮะ ไม่หรอกน่า ข้าไม่ถือสาอะไรหรอก เป็นถึงมหามังกรที่มีกะเพาะใหญ่ซะเปล่า ถ้าไม่ใจกว้างก็เสียชื่อหมดเชียวนะ!”
“ท่านฟัฟนิร์สุดยอด!!”
“เข้าใจแล้วๆ ฟัฟนิร์สุดยอดสุดๆเลย แต่ก่อนอื่นนะ ลีน่า”
พอผมเรียกชื่อของเธอ ดันสะดุ้งโหยงซะอย่างนั้น
คงมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับผมแน่นอน
“อะ..อะไรเหรอคะ พี่เรเซอร์”
ผมจ้องตาเธอ ตั้งใจจะอ่านสีหน้า
อืม มีปัญหาเกี่ยวกับผมจริงๆด้วย คิดได้อย่างนั้นเลยเข้าเรื่องเลย
“ฉันไปทำอะไรไม่ดีมารึเปล่า?”
ถามตัวเองสิฟร้ะ จะถามตูทำไม ถ้าผมโดนถามแบบนี้ ผมคงตอบกลับอย่างนี้ แต่ลีน่าคือเด็กดีขนานแท้ เธอจะคิดอีกอย่าง จะคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับตัวเองมากกว่าจะย้อนคำถามกลับใส่ผม ดังที่ผมทำ
แล้วก็ลีน่าไม่ใช่เด็กที่จะโกหก หากเรื่องนั้นมันไม่จำเป็นจริงๆ ผมรับรู้ได้ดีเลยละ ..อาจจะด้วยความคุ้นชินอันน่าประหลาดระหว่างผมกับเธอ
“คือว่า ..พี่ชายน่ะ”
จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องกลุ้มใจของตัวเองออกมา
เหมือนว่าผมจะโดนใส่ความว่าเป็นขุนนางชั่วที่คิดจะจับเด็ก 12 ขวบ ทำเมียน้อย ช่าง ..เลวร้ายอะไรเยี่ยงนี้ ใครกันที่บังอาจปล่อยข่าวลือสุดใจร้ายกับตัวผมพรรค์นี้ออกมา
“ไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย ฝากไปบอกคนที่สรุปให้ลีน่าฟังอีกทีด้วยนะว่าเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว”
“..แต่ว่าจดหมายที่อ่านมันมีเนื้อหาพูดถึงเกี่ยวกับหนูเยอะเลย แคทเธอรีน ..เอ่อ เพื่อนของหนูก็เลยสันนิฐานไว้อย่างนั้น เธอบอกว่าพี่ชายมีข่าวลือที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หนูก็พยายามจะเถียงอยู่นะคะ แต่ก็”
เรื่องปกติของวัยนี้แหละนะที่จะหลงเชื่อเพื่อนมากเกินไป ให้เดา เด็กที่ชื่อ แคทเธอรีน น่าจะกินกาวเป็นชีวิตจิตใจ ถึงขนาดป้ายกาวใส่ลีน่าได้เช่นนี้เนี่ย
“เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องจริง พี่ไม่เคยคิดจะจับลีน่าทำเป็นเมียน้อยหรืออะไรทั้งนั้น แต่เดิม พูดเรื่องผัวๆเมียๆ เมียน้อย อะไรพวกนี้กับเด็กสิบสองนี่ก็แปลกชะมัด พวกที่ทำได้มีแต่พวกขุนนางโรคจิตเท่านั้นแหละ”
ซึ่งผมไม่ใช่คนจำพวกนั้น ก็จริงที่สักวัน ผมกับลีน่าอาจมีชะตากรรมเกี่ยวข้องกัน ตามนิยายต้นฉบับ หรืออาจจะไม่มีก็ได้ จะอย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องของเรื่องคือมันยังไม่ถึงเวลานั้น
นอกจากนั้นเรื่องคราวนี้ก็ทำให้ลีน่าหวาดกลัวตัวผมในระดับหนึ่งด้วย ทำเอาผมรู้สึกเศร้าขึ้นมาในใจเลยละ
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมพี่ชายถึงใจดีกับทุกคนที่โบส–”
“ง่ายๆเลยเพราะรักไง พี่ชายน่ะคุยถูกคอกับบาทหลวง สนิทสนมกับซิสเตอร์ เด็กๆที่นั่นก็สนิทด้วย โดยเฉพาะกับลีน่าที่สนิทเป็นพิเศษ พอคิดว่าโบสถ์ที่นี่ต้องอยู่แบบยากลำบาก เพราะโดนตัดงบแบบไม่ถูกต้องก็ต้องยื่นมือมาช่วยสิ่งที่รักเป็นธรรมดาใช่รึเปล่า”
..แม้จะไม่เคยประสบพบเจอกับตัว แต่ที่แห่งนี้คือสถานที่เดียวที่เปิดรับ ‘เรเซอร์คนนั้น’ เข้ามาใช้ชีวิตเหมือนกับคนปกติ ในส่วนลึกของจิตใจผม ย่อมรู้สึกขอบคุณเป็นธรรมดา ต่อให้ไม่ใช่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ก็ทำมึน แล้วปฏิเสธว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนไม่ได้
ดูซับซ้อน แต่มันก็ง่ายๆเลย ผมแค่ตอบแทนบุญคุณเท่านั้น
“อีกอย่าง ลีน่าชอบพี่ตอนยิ้มใช่รึเปล่า?”
“..ค่ะ”
ผมแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า นึกถึงใครสักคน ..
“คนที่ชอบฉันตอนยิ้มในครั้งแรกที่เจอกัน นอกจากลีน่าแล้วก็มีแค่เบลลามีนั่นแหละนะ ..พี่อาจจะแค่ดีใจที่ลีน่าชอบพี่ตอนยิ้มก็เป็นได้นะ ถึงได้ยื่นมือเข้ามาช่วยน่ะ”
บางที จุดเริ่มต้นระหว่างผมในเวลานั้น และลีน่าในเวลานั้น อาจเริ่มจากอะไรง่ายๆแบบนี้ก็ได้
“ไม่ใช่แค่ลีน่าที่ชอบพี่ตอนยิ้ม พี่เองก็ชอบที่ลีน่าชอบพี่ตอนยิ้มเหมือนกัน” ผมหันไปยิ้มให้ลีน่า พร้อมกับลูบหัวเธออย่างเอ็นดู “ขอบคุณนะ”
……
ลีน่ากระพริบตาปริบๆ เธอค่อยๆเอื้อมมือมาจับมือของผมบนหัว และยิ้มออกมาอย่างร่าเริงแจ่มใส เหมือนกับลีน่าในทุกๆครั้งที่ผมได้พบกับเธอ
“นั่นสินะคะ!”
รอยยิ้มของลีน่ามันทำให้ผมเห็นภาพซ้อนทับบางอย่าง เล่นเอาผมรู้สึกตกใจไปชั่วขณะหนึ่งเลยละ ..จู่ๆก็ดูโตขึ้น
‘ไม่นั้นเธอจะไม่อาจคว้าอะไรไว้ได้เลยในสักวัน’
ที่ว่าอาจจะไม่อาจคว้าไว้ได้ มันหมายถึงคนที่กำลังหายใจอยู่หน้าผมด้วยหรือเปล่านะ?
ถ้าหากไม่ปล่อยมือกับบางอย่าง ก็อาจจะคว้าบางอย่างไว้ไม่ได้ ..นั่นน่ะ ..หมายความว่าผมต้องเลือกสินะ